ทุกวันนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นสาวก Apple หรือ Android ก็ตาม เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็คุ้นหน้าคุ้นตาอุปกรณ์ที่ชื่อว่า AirPods กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อัดแน่นอยู่ในตัว พร้อมดีไซน์ที่เรียบหรู วัสดุคุณภาพสูง พร้อมงานประกอบสุดเนี๊ยบของ Apple ทำให้หูฟังทุกรุ่นที่ใช้ชื่อว่า AirPods กลายเป็นหนึ่งใน หูฟัง True Wireless ที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบัน การันตีด้วยยอดขายที่สูงในทุกช่องทาง นี่ขนาดว่าทุกวันนี้ตลาดหูฟังไร้สายจะมีตัวเลือกอยู่เยอะมาก ๆ นะครับ แถม AirPods ก็มีราคาสูงมากด้วย แต่มันก็ยังคงขายดีทุกรุ่น ถึงแม้จะเป็นรุ่นเก่าที่ขายมาตั้งแต่ปี 2019 อย่าง AirPods (รุ่นที่ 2) มันก็ขายได้เรื่อย ๆ
Apple AirPods
นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันให้กับเราได้เป็นอย่างดีครับว่า หูฟัง AirPods นั่นมีคุณภาพสูงมากขนาดไหน ? ดังนั้นหากคุณชื่นชอบการดูหนัง ดูซีรี่ส์ และฟังเพลง หูฟัง AirPods สามารถมอบคุณภาพเสียงที่ดีที่สุดให้แก่คุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่จะนำไปใช้คู่กับ iPhone , iPad หรืออุปกรณ์ Apple อื่น ๆ ซึ่งคุณภาพเสียง และประสิทธิภาพแบบนี้ รับรองเลยว่า ไม่มีหูฟังรุ่นไหนขับเสียงได้เหมือนกับ AirPods อีกแล้ว หากวันนี้คุณกำลังหาซื้อ AirPods อยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าปีนี้มีรุ่นไหนขายอยู่บ้าง ? และไม่รู้เลือกซื้ออย่างไรดี ? ในบทความนี้เราได้รวม AirPods ทุกรุ่นที่มีขายอยู่ มาเทียบให้คุณเห็นถึงความต่าง เพื่อช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
AirPods รุ่นไหนเหมาะกับคุณ ? และตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้ดี ที่สุด ?
AirPods Max : หูฟังไร้สายแบบครอบหู ที่ขับเสียงคุณภาพสูงที่สุด พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพ
AirPods Pro (รุ่นที่ 2) : เป็นหูฟังไร้สายที่มีคุณสมบัติโดยรวมที่ดีที่สุด ทั้ง คุณภาพเสียง และฟังก์ชันระดับท๊อป
AirPods (รุ่นที่ 3) : หูฟังไร้สาย ทรงเอีร์ยบัด ที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุด เสียงดี ใส่สบาย พร้อมฟังก์ชันครบครัน
AirPods (รุ่นที่ 2) : เป็นหูฟังไร้สายที่มีราคาประหยัดที่สุด มาพร้อมดีไซน์ที่ใส่สบาย และคุณภาพที่สมราคา
Apple AirPods Max หูฟังครอบหู Over-Ears ที่ดีที่สุด
Apple AirPods Pro (2nd generation)
Apple AirPods (3nd Generation)
Apple AirPods (2nd Generation)
AirPods คืออะไร ?
AirPods เป็นซีรี่ส์หูฟังแบบต่าง ๆ ที่ถูกพัฒนาและออกแบบโดย Apple (ในภาพ AirPods รุ่นที่ 2 (ซ้าย), AirPods Max (กลาง) และ AirPods Pro รุ่นที่ 2 (ขวา))
ย้อนกลับไปหลังจากที่ Apple ประสบความสำเร็จกับ iPod และกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา iPhone ในวันที่ 13 ธันวาคม 2016 ทาง Apple ก็ได้เปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ที่น่าทึ่งออกมาครับ นั่นก็คือ AirPods ซึ่งเป็นหูฟังไร้สายอย่างแท้จริง ที่อัดแน่นด้วยคุณภาพในด้านต่าง ๆ ทั้ง เสียง ฟังก์ชัน และการเชื่อมต่อที่ดี โดยไม่มีสายไฟเหลืออยู่เลย ภายในติดตั้งไมค์ในตัว มาพร้อมกับเทคโนโลยีกรองเสียงรบกวน ANC ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับต้น ๆ จนทำให้การพูดคุยทำได้ดีไม่ต่างจากหูฟัง Earpods เลย นอกจากนี้เรายังใช้เรียกผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Siri ขึ้นมาได้ง่าย ๆ สิ่งเหล่านี้ยังไม่มีในหูฟังรุ่นไหนเลย ทำให้ AirPods ได้รับความนิยมมาก
จน 3 ปีต่อมา มีนาคม 2019 ทาง Apple ก็ได้เปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ออกมาครับ นั่นก็คือ AirPods (รุ่นที่ 2) ซึ่งภายนอกแทบจะไม่ได้ต่างกันเลย แต่ภายในใช้ชิป H1 ใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น คุณภาพเสียงดีขึ้น และให้การเชื่อมต่อที่ง่ายดาย และยังเสถียรขึ้นด้วย และใช้มาจนถึงปี 2023 นี้เลย โดยรุ่นล่าสุดก็คือ AirPods (รุ่นที่ 3) และ AirPods Max ที่ยังคงใช้ชิป H1 เหมือนเดิม
Apple AirPods Max หูฟังครอบหู Over-Ears ที่ดีที่สุด รูปภาพจาก apple.com ราคา 18,900 บาท*
AirPods Max เป็นหูฟังเรือธงของ Apple ที่มีเสียงดีที่สุด และมีฟังก์ชันเยอะที่สุดด้วย โดยรุ่นนี้เปิดตัวมาในปี 2020 ซึ่งเป็นแค่รุ่นเดียวที่มีดีไซน์แบบ Over-Ears หรือแบบครอบหู มาพร้อมกับดีไซน์สุดล้ำ โดดเด่นทั้ง คุณภาพวัสดุ และในงานประกอบ แบบไร้ที่ติ โดยเฉพาะแผ่นรองที่ใช้เมมโมรี่โฟมคุณภาพสูงที่มีคุณสมบัตินุ่มสบายเป็นพิเศษ ส่งผลให้การสวมใส่ที่สบายสุด ๆ และที่พิเศษไปกว่า AirPods รุ่นอื่น ๆ ก็คือ สีสันที่มีให้เลือกถึง 5 สี ประกอบด้วย เทาสเปซเกรย์, สีเงิน, สีชมพู, สีเขียว และสีฟ้า ครับ
VIDEO
Apple AirPods Max หูฟังที่มีดีไซน์อันน่าทึ่ง ใส่สบาย พร้อมคุณภาพเสียงที่คมชัด และเทคโนโลยีสุดล้ำ
ในด้านเทคนิคมันใช้ชิป H1 ที่ใส่มาในหูฟังทั้ง 2 ข้างเลย ทำให้มีการตอบสนองความถี่ที่โดดเด่นมาก ๆ ครับ โดยเสียงกลางจะมีความแม่นยําสูง ช่วยขับเสียงร้อง และเสียงเครื่องดนตรีได้ครบทุกรายละเอียด แม้แต่เสียงคอรัสก็ยังขับออกมาชัดเจนครับ เสียงเบสก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน แม้ว่าที่บางช่วง จะรู้สึกว่ามากเกินไป แต่ก็ไม่ได้กลบเสียงอื่น ๆ ลงเลย และเสียงแหลมถือว่าพอดีสุด ๆ ครับ ให้เสียงที่คมชัด และเคลีร์ยใสมาก ๆ เมื่อทำงานร่วมกับฟังก์ชันอื่น ๆ ที่มีทั้ง การตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟที่ให้คุณดื่มด่ำในโลกของเสียงได้เต็มที่ พร้อมทั้ง ระบบเสียงตามตําแหน่ง และการติดตามศีรษะ ที่จะสร้างเอฟเฟ็กต์เสียงเซอร์ราวด์ที่โดดเด่นสุด ๆ โดยเวทีเสียงจะถูกปรับให้เหมาะสมอยู่เสมอ เมื่อคุณขยับศีรษะ
หูฟังที่ดีที่สุด Apple AirPods Max หูฟังระดับไฮเอนด์ วัสดุคุณภาพสูง ใส่สบาย จัดเต็มด้วยคุณภาพเสียงและเทคโนโลยีสุดล้ำ
และเรายังชอบการควบคุมของรุ่นนี้มาก ๆ ครับ โดยเฉพาะปุ่ม Digital Crown ที่ใช้ง่ายมาก ๆ เพิ่มลดเสียงได้อย่างรวดเร็ว แม่นยํา และควบคุมการเล่นเพลงต่าง ๆ ได้ง่ายมาก ๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคุณสมบัติที่เข้ากันได้ดีกับอุปกรณ์ Apple รุ่นใหม่ ๆ ทั้งหมด นอกจากนี้ด้านอายุการใช้งานรุ่นนี้สามารถใช้ได้ต่อเนื่องประมาณ 20 ชม. ซึ่งก็ถือว่าปกติในหูฟังทรงนี้ แถม Apple ก็ยังโฆษณาอีกว่า ชาร์จแค่ 5 นาที จะใช้งานต่อได้ถึง 1.5 ชม. เลยทีเดียว สำหรับใครที่ต้องการเสียงที่สมบูรณ์แบบ พร้อมฟังก์ชันที่จัดเต็มดีระดับต้น ๆ ของโลก รุ่นนี้ให้คุณได้ทั้งหมดครับ
ข้อดี
การออกแบบที่ดี ใส่สบาย มี Smart Case ให้
มีสีสันให้เลือก 5 สี
ใช้ชิป H1 ข้างละ 1 ตัว
มีโหมด EQ แบบปรับเองได้
มีโหมดฟังเสียงภายนอก
ระบบตัดเสียงรบกวน ANC ประสิทธิภาพสูง
ระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos
มีระบบ Spatial Audio ให้เสียงเซอร์ราวด์
การควบคุมใช้ได้หลายฟังก์ชันมาก ๆ
เพิ่ม-ลดระดับเสียง ผ่านตัวหูฟัง
การพูดคุยและสั่งงาน Siri แบบแฮนด์ฟรี
เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple ได้อย่างง่ายดาย
ชาร์จเร็ว ชาร์จ 5 นาที ใช้ได้ 1.5 ชม.
ข้อควรพิจารณา
ดีไซน์เคสดูแปลก ๆ ไปหน่อย
ตัวหูฟังมีน้ำหนักมาก
ขนาดใหญ่ พับเก็บไม่ได้ จึงพกพาลำบาก
ใช้ชิปตัวเดียวกับ AirPods รุ่นที่ 2 และ รุ่นที่ 3
ไม่มีมาตรฐานกันน้ำ
ชาร์จผ่านสาย Lighning เท่านั้น
ไม่มี Aux 3.5 mm. มาให้
มีราคาสูงที่สุด
ประเภทหูฟัง Over-ear ชิปหูฟัง Apple H1 (ที่ครอบหูแต่ละข้าง) การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 การกันเหงื่อ ไมโครโฟน ไมค์ 9 ตัว ตัดเสียงรบกวน การตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ เซ็นเซอร์ มีในหูฟังทั้ง 2 ข้าง เซ็นเซอร์แบบออปติคัล เซ็นเซอร์ระบุตำแหน่ง เซ็นเซอร์ตรวจจับเคส อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ฟีเจอร์เสริม โหมดฟังเสียงภายนอก EQ แบบปรับได้เอง ไดรเวอร์แบบไดนามิก ระบบเสียงตามตำแหน่ง พร้อมการติดตามศีรษะ การควบคุม ปุ่ม Digital Crown (คลิก) หมุน - เพิ่ม ลดเสียง กด 1 ครั้ง - เล่น หยุด กด 1 ครั้ง - รับสาย กด 2 ครั้ง - ข้าม กด 3 ครั้ง - ย้อนกลับ กดค้าง - เรียก Siri ปุ่มสลับโหมด (คลิก) กด 1 ครั้ง - สลับโหมดตัดเสียง และฟังเสียงภายนอก คำสั่งเสียง (คลิก) อายุการใช้งาน ใช้ฟังได้สูงสุด 20 ชม. ชาร์จ 5 นาที ฟังได้ 1.5 ชม.
Apple AirPods Pro (2nd generation) รูปภาพจาก apple.com ราคา 8,240 บาท*
AirPods Pro (รุ่นที่ 2) นับเป็นการอัปเกรดที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ครับ โดยเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายนปี 2022 ซึ่งยังคงอัดแน่นด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ พร้อมกับการปรับปรุงข้อเสียของรุ่นที่แล้ว จนกลายเป็นหูฟังทรงเอียร์บัดที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ สำหรับดีไซน์ก็ยังคงคล้าย ๆ เดิมครับ เน้นความเรียบหรู ขนาดเล็ก พกพาง่าย ตัวหูฟังมีจุกหูฟังขนาดต่าง ๆ มาให้เปลี่ยน เพื่อให้ได้ขนาดพอดีกับช่องหูของคุณที่สุด ช่วยให้ได้ทั้งความกระชับ และไม่อึดอัดจนเกินไป แถมยังกันน้ำได้ที่ IPX4 ด้วย ทำให้เหมาะมาก ๆ หากคุณกำลังหาหูฟังสักตัวใส่ไปออกกําลังกาย
VIDEO
AirPods Pro (2nd generation) หูฟังที่มีดีไซน์ล้ำสมัย กระชับ แต่ไม่อึดอัด ใส่สบาย พร้อมขับเสียงที่คมชัด เสริมด้วยฟังก์ชันสุดล้ำ
รุ่นนี้ทำงานด้วยชิป H2 ตัวใหม่ มาพร้อมแอมป์ และไดรเวอร์ ที่มีความถี่กว้างขึ้น และปรับจูนมาในโทนเสียงกลาง ๆ พร้อมเสียงเบสที่หนักแน่น และเสียงสูงที่คมชัด ทำให้เหมาะสำหรับสื่อทุก ๆ ประเภทครับ พร้อมกับมีคุณสมบัติที่คุณสามารถปรับ EQ เพื่อให้คุณปรับโทนเสียงตามที่คุณต้องการได้ง่าย ๆ มาพร้อมฟังก์ชัน Spatial Audio ซึ่งเข้ามาช่วยขับเสียงแบบเซอร์ราวด์สามมิติ และปรับเวทีเสียงตามการเคลื่อนไหวศีรษะของคุณ ช่วยมอบเสียงที่เสมือนจริงมากยิ่งขึ้น และการปรับปรุงที่โดดเด่นที่สุด ก็คือ Active Noise Cancellation เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนที่ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
เปรียบเทียบดีไซน์ และขนาดของ AirPods Pro กับ Microsoft Surface Buds และ Samsung Buds+
ส่วนการควบคุมตัวเอียร์บัดรุ่นนี้ได้เพิ่มฟังก์ชันการเพิ่มลดระดับเสียงมาให้แล้ว ซึ่งรุ่นก่อน ๆ ไม่มี ช่วยให้มันใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นพร้อมกับมีอายุการใช้งานที่นานขึ้นเกือบ 6 ชม. มากกว่ารุ่นที่แล้วเล็กน้อย และเมื่อใช้รวมกับเคสชาร์จจะใช้งานได้ประมาณ 30 ชม. เลยทีเดียวครับ นอกจากนี้ยังมีความพิเศษอีกอย่างก็คือ ภายในเคสของรุ่นนี้มาพร้อมกับชิป U1 ในตัว ทำให้มันสามารถใช้ฟังก์ชันค้นหาด้วยแอพฯ Find My ได้ ดังนั้นไม่ต้องกลัวหายเลยครับ
ข้อดี
การออกแบบที่ทันสมัย มีความกระชับ ไม่หลุด
ใช้ชิป H2 ใหม่ ให้คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม
มีโหมด EQ แบบปรับเองได้
ระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos
มีระบบ Spatial Audio ให้เสียงเซอร์ราวด์
มาตรฐานกันน้ำ IPX4
ก้านที่ไวต่อแรงกด ใช้ได้หลายฟังก์ชัน
เพิ่ม-ลดระดับเสียง ผ่านตัวหูฟัง
การพูดคุยและสั่งงาน Siri แบบแฮนด์ฟรี
การสลับระหว่างอุปกรณ์ Apple ทำได้สะดวก
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม
เคสมีลําโพง ทำให้ค้นหาด้วยแอพ Find My ได้
ข้อควรพิจารณา
การออกแบบที่เหมือนเดิม
คุณภาพการโทรที่ธรรมดา เมื่อเทียบกับราคา
สายคล้องคอมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ราคาค่อนข้างสูง
ประเภทหูฟัง In-Ears ชิปหูฟัง Apple H2 Apple U1 (เคส MagSafe) การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 การกันเหงื่อ IPX4 ไมโครโฟน ไมโครโฟนคู่ บีมฟอร์มมิ่ง ไมโครโฟนหันเข้าด้านใน ตัดเสียงรบกวน การตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ เซ็นเซอร์ เซ็นเซอร์ตรวจจับผิวหนัง ตรวจจับการเคลื่อนไหว จับการเคลื่อนไหวเมื่อพูด การควบคุมแบบสัมผัส ฟีเจอร์เสริม โหมดฟังเสียงภายนอก EQ แบบปรับได้เอง ไดรเวอร์ High-excursion ตัวขยายสัญญาณช่วงไดนามิกสูง ระบบเสียงตามตำแหน่ง ระบบช่องระบายอากาศ การควบคุม ปุ่มสัมผัส (คลิก) แตะ 1 ครั้ง - เล่น, หยุด, รับสาย แตะ 2 ครั้ง - ข้าม แตะ 3 ครั้ง - ย้อนกลับ แตะค้าง - สลับโหมด แตะขึ้น / ลง - เพิ่ม / ลดเสียง คำสั่งเสียง (คลิก) อายุการใช้งาน ใช้ฟังได้สูงสุด 6 ชม. ใช้งานกับเคส 30 ชม.
Apple AirPods (3nd Generation) รูปภาพจาก apple.com ราคา 6,390 บาท*
AirPods (รุ่นที่ 3) ได้รับการพัฒนา และปรับปรุงขึ้นจากรุ่นก่อนค่อนข้างมากครับ โดยเปิดตัวในปี 2021 พร้อมกับดีไซน์ที่แตกต่างจาก AirPods 2 พอสมควร โดยตัวหูฟังจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้มันกระชับและกันเสียงรอบข้างได้ดีขึ้น แต่จะยังไม่มีจุกหูฟังนะครับ ทำให้ยังคงสวมใส่ได้อย่างสบาย โดยไม่รู้สึกอึดอัดเลย แม้ว่าจะใส่ต่อเนื่องนาน ๆ โดยภาพรวมทั้งหูฟัง และเคส ยังคงเน้นการออกแบบที่เรียบง่าย และบางเบาเช่นเดิมครับ แต่เพิ่มมาตรฐานการกันน้ำมาที่ระดับ IPX4 มาทั้งคู่ ช่วยให้ใส่ฟังเพลงขณะออกกำลังกายได้อย่างไร้กังวล
AirPods (3nd Generation) หูฟังเอีร์ยบัดที่คุ้มค่าที่สุด เสียงดี ใส่สบาย พร้อมฟังก์ชันที่ครบครัน
รุ่นนี้ทำงานด้วยชิป H1 จากรุ่นเก่า แต่ผสานกับเทคโนโลยีใหม่ และฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ทำให้ขับเสียงที่มีคุณภาพสูงขึ้นมาก โดยเสียงจะมาในโทนกลาง ๆ มีความสมดุลทั้ง เสียงร้อง และเสียงเครื่องดนตรีที่ถูกขับออกมาได้คมชัด มีรายละเอียดที่ครบ ส่วนเสียงเบสก็จัดว่าหนักแน่น ออกเป็นลูก ๆ ซึ่งบอกเลยว่า ในการดูหนัง ฟังเพลง รุ่นนี้ขับเสียงได้น่าประทับใจจริง ๆ ครับ พร้อมกับมี Adaptive EQ มาให้เราปรับจูนเสียงได้ตามต้องการอีกด้วย ทั้งยังมีระบบ Spatial Audio ที่จะเป็นระบบเสียงตามตำแหน่ง พร้อมการติดตามศีรษะ แบบไดนามิก ช่วยขับเสียงเซอร์ราวด์ 3 มิติที่เสมือนจริงมาก ๆ พร้อมกับมีการปรับเวทีเสียงตามทิศทางของศีรษะด้วย
และสิ่งที่เราชอบมาก ๆ อีกอย่างคือ อายุการใช้งานที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนครับ โดยรุ่นนี้ฟังเพลงต่อเนื่องได้ถึง 6 ชม./แบตฯ เต็ม ซึ่งถ้ารวมกับเคสชาร์จด้วย จะใช้งานได้ทั้งหมด 30 ชม. เลยทีเดียว โดยเคสชาร์จ จะมีอยู่ 2 แบบให้เลือกครับ ได้แก่ เคสชาร์จ Lightning และเคสชาร์จ MagSafe ครับ สรุปง่าย ๆ คือ ใครต้องการหูฟังที่ใส่นาน ๆ ได้สบาย มีคุณภาพเสียงที่พิเศษ แต่ไม่ได้ต้องการใช้ระบบตัดเสียงรบกวน ANC รุ่นนี้จะเหมาะมาก ๆ
ข้อดี
การออกแบบที่ดี ใส่สบาย ไม่อึดอัด
เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบจุกหูฟัง
มีโหมด EQ แบบปรับเองได้
มีระบบ Spatial Audio ให้เสียงเซอร์ราวด์
คุณภาพเสียงดีขึ้นกว่า AirPods รุ่นที่ 2
มาตรฐานกันน้ำ IPX4
การพูดคุยและสั่งงาน Siri แบบแฮนด์ฟรี
ข้อควรพิจารณา
ประเภทหูฟัง Earbuds ชิปหูฟัง Apple H1 การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 การกันเหงื่อ IPX4 ไมโครโฟน ไมโครโฟนคู่ บีมฟอร์มมิ่ง ไมโครโฟนหันเข้าด้านใน ตัดเสียงรบกวน เซ็นเซอร์ เซ็นเซอร์ตรวจจับผิวหนัง ตรวจจับการเคลื่อนไหว จับการเคลื่อนไหวเมื่อพูด เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกด ฟีเจอร์เสริม EQ แบบปรับได้เอง ไดรเวอร์ High-excursion ตัวขยายสัญญาณช่วงไดนามิกสูง ระบบเสียงตามตำแหน่ง การควบคุม ปุ่มแบบบีบ (คลิก) บีบ 1 ครั้ง - เล่น, หยุด หรือรับสาย บีบ 2 ครั้ง - ข้ามเพลง บีบ 3 ครั้ง - ย้อนกลับ บีบค้างไว้ - เรียก Siri คำสั่งเสียง (คลิก) อายุการใช้งาน ใช้ฟังได้สูงสุด 6 ชม. ใช้งานกับเคส 30 ชม.
Apple AirPods (2nd Generation) รูปภาพจาก apple.com ราคา 3,790 บาท*
สำหรับบางคน AirPods (รุ่นที่ 2) อาจจะเป็นหูฟังที่ตกรุ่นไปแล้ว เพราะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 และในปัจจุบันก็มี AirPods (รุ่นที่ 3) ออกมาแทนที่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นด้วยราคาที่ปรับลดลงมา บวกกับความที่เป็นรุ่นท๊อปในอดีต ทำให้มันยังคงมีความน่าสนใจอยู่ ดังนั้นนี่จึงกลายเป็น AirPods ที่ถูกที่สุดในปัจจุบันครับ โดยดีไซน์จะเน้นความเรียบง่าย ตัวหูฟังมาในทรงเอียร์บัดมาตรฐาน เน้นการสวมใส่ที่สบาย ซึ่งถ้าดูผ่าน ๆ เหมือนแค่เอา EarPods เอามาตัดสายทิ้งไปดื้อ ๆ ครับ ดังนั้นถ้าคุณเคยใช้หูฟังมีสายของ Apple มาก่อน แล้วรู้สึกชอบ คุณก็น่าจะถูกใจหูฟังรุ่นนี้เช่นกันครับ
เปรียบเทียบดีไซน์การออกแบบของ Apple EarPods (ซ้าย) กับ AirPods (2nd Generation) (ขวา)
ส่วนภายในใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งทำงานด้วยชิป H1 (ที่ยังคงใช้อยู่ใน AirPods รุ่นใหม่ ๆ) ซึ่งมันขับเสียงได้เต็มอิ่ม คุณภาพสูง ทั้ง เสียงร้อง และเสียงเครื่องดนตรี ส่วนฟังก์ชันต่าง ๆ ก็จะมีแค่เซ็นเซอร์เล่น-หยุดอัตโนมัติ ตามการสวมใส่ แต่ฟังก์ชันอื่น ๆ รุ่นนี้จะแทบไม่ค่อยมีครับ ดังนั้นหากคุณเน้นฟังอย่างเดียว มันคุ้มค่ามาก ๆ เพราะคุณภาพเสียงขับออกมาดีมาก ๆ สมกับเป็น Apple เลยล่ะครับ สามารถขับเสียงร้องที่คมชัด เสียงกลางและแหลมเคลียร์ใส พร้อมขับเสียงเบสที่หนักแน่น เต็มพลัง ส่งผลให้ในภาพรวมมันน่าประทับใจมาก ๆ ครับ ในส่วนของเคสชาร์จก็มีดีไซน์ที่เล็ก ๆ และบางครับ แต่ชาร์จหูฟังได้หลายครั้งเลย
ข้อดี
การออกแบบที่ดี ใส่สบาย ไม่อึดอัด
ขนาดเล็ก และเบา พกพาสะดวก
ใช้ชิปตัวเดียวกับ AirPods รุ่นที่ 3
เหมาะสำหรับคนที่มีหูขนาดเล็กมากกว่า
คุณภาพเสียงที่ดีตามมาตรฐาน Apple
การพูดคุยและสั่งงาน Siri แบบแฮนด์ฟรี
ข้อควรพิจารณา
คุณภาพเสียงสู้ AirPods (รุ่นที่ 3) ไม่ได้
อายุการใช้งานที่น้อยกว่ารุ่นอื่น
ไม่รองรับการปรับแต่ง EQ
ไม่มีมาตรฐานกันน้ำ
ไม่มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน
ไม่มีระบบ Spatial Audio
ประเภทหูฟัง Earbuds ชิปหูฟัง Apple H1 การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 การกันเหงื่อ ไมโครโฟน ไมโครโฟนคู่ บีมฟอร์มมิ่ง ตัดเสียงรบกวน เซ็นเซอร์ เซ็นเซอร์คู่แบบออปติคัล ตรวจจับการเคลื่อนไหว ตรวจจับการพูด ฟีเจอร์เสริม การควบคุม ปุ่มแบบบีบ (คลิก) คำสั่งเสียง (คลิก) อายุการใช้งาน ใช้ฟังได้สูงสุด 5 ชม. ใช้งานกับเคส 24 ชม.
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
หูฟัง Apple AirPods เหมาะสําหรับคุณหรือไม่ ?
สำหรับใครที่มีคำถามว่า AirPods เป็นหูฟังที่ดีที่สุดหรือไม่ ? เราขอตอบก็ง่าย ๆ ครับว่า หากคุณไม่ได้ใช้อุปกรณ์ของ Apple เลย นี่ก็อาจจะไม่ใช้หูฟังที่ดีที่สุดครับ จริงอยู่ว่า เราสามารถนำ AirPods ของ Apple ไปใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการอะไรก็ได้ แต่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงใช้งานคุณสมบัติทั้งหมดได้ มันจะดีกว่า ถ้าคุณนำมาใช้งานกับอุปกรณ์ของ Apple ครับ
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนเลือกซื้อ Apple AirPods
1. ลักษณะการสวมใส่ที่เหมาะกับคุณที่สุด
แน่นอนครับ อย่างแรกที่คุณจะต้องตัดสินใจก็คือ ลักษณะการสวมใส่ที่คุณรู้สึกดีที่สุด เนื่องจากในปัจจุบันนี้ AirPods จะมีหูฟังอยู่ 3 รูปแบบ หลัก ๆ แต่ละแบบ แต่ละทรง ก็จะมีข้อดี – ข้อเสียแตกต่างกันไปครับ ทั้ง ในด้านการสวมใส่ ด้านคุณภาพเสียง รวมถึงฟังก์ชันต่าง ๆ เนื่องจากแต่ละแบบ มันจะมีขนาดไม่เท่ากัน ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในใส่ได้มากน้อยไม่เท่ากัน หูฟังบางแบบจึงมีคุณภาพสูงกว่าครับ โดยหูฟังทั้ง 3 รูปทรงของ Apple มีดังต่อไปนี้ครับ
1.1 แบบเอียร์บัด (Earbuds)
AirPods (รุ่นที่ 3)
หูฟังเอียร์บัด หรือ หูฟังแปะหู เป็น หูฟังทรงมาตรฐาน ที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ซึ่งวิธีการสวมใส่เราจะแปะไว้บนหูเฉย ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นแบบที่ใส่สบายสุด ๆ และไม่ว่าหูของคุณจะขนาดเล็ก หรือใหญ่ มันก็ใช้ได้กับทุกคนครับ
แต่การที่ไม่มีส่วนที่สอดเข้าไปในรูหูเลย ทำให้ข้อเสียก็คือ มันจะยึดเกาะกับหูของเราได้น้อยมาก ถ้าหากมีการขยับแรง ๆ มันอาจจะหลุดได้ อีกทั้งยังป้องกันเสียงจากภายนอกไม่ได้เลย
ปัจจุบัน Apple มีอยู่ 2 รุ่น ได้แก่ AirPods (รุ่นที่ 2) และ AirPods (รุ่นที่ 3)
1.2 แบบอินเอียร์ (In-Ears)
AirPods Pro (รุ่นที่ 2)
หูฟังอินเอียร์ หรือ หูฟังสอดหู เป็นหูฟังที่มีจุกหูฟัง (Eartips) เพิ่มเข้ามา ซึ่งเราจะต้องใส่จุกนี้เข้าไปในรูหูเล็กน้อยครับ โดยมันจะเป็นซิลิโคนนิ่ม ๆ เวลาใส่เข้าไป เราจะรู้สึกเหมือนกับว่ามีนิ้วมาอุดหูอยู่ มันจึงกันเสียงรอบข้างได้ดี และแน่นกระชับไม่มีหลุดแน่ ๆ
แต่ข้อเสียคือ เราต้องเลือกขนาดให้พอดี เพื่อไม่ให้มันกระชับจนเกินไป ยิ่งถ้าใครรู้ตัวว่า ตัวเองมีช่องหูที่ค่อนข้างเซนซิทีฟ และเล็กมาก ๆ มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัด และเจ็บได้
ปัจจุบัน Apple มีอยู่ 1 รุ่น ได้แก่ AirPods Pro (รุ่นที่ 2)
1.3 แบบครอบหู (Over-ear หรือ Full-size)
AirPods Max
หูฟังครอบหู ก็ตามชื่อเลยครับ ตัวหูฟังจะใหญ่กว่าใบหูของเราเล็กน้อย วิธีใส่ก็ครอบทับหูไปเลย โดยจะมีฟองน้ำนิ่ม ๆ มารองรับ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นไม่รู้สึกเหมือนถูกทับ และจะมีก้านคาดศีรษะมาให้ด้วย เพื่อยึดตัวหูฟังเข้ากับหูของเรา ซึ่งด้วยขนาดที่ใหญ่ ภายในจึงมีพื้นที่เยอะ สามารถยัดอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เต็มที่ ทำให้คุณภาพ รวมถึงฟังก์ชันต่าง ๆ จึงจะดีที่สุดครับ
แต่ข้อเสียคือ ขนาดที่ใหญ่ และหนักมาก ทำให้การพกพาจะลำบากสักนิดนึง และการใส่แบบครอบทับใบหู มันส่งผลให้มีการถ่ายเทอากาศได้น้อย ทำให้เวลาใส่นาน ๆ ยิ่งอยู่ในห้องอากาศร้อน ๆ มันจะทำให้เหงื่อออก จนทำให้รู้สึกอึดอัด
ปัจจุบันมีอยู่ 1 รุ่น ได้แก่ AirPods Max
2. การตัดเสียงรบกวน
AirPods แต่ละรุ่นจะมีอยู่สิ่งนึงที่ต่างกันคือ ฟังก์ชันการตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างลง เพื่อให้คุณใช้สื่อสารได้ชัดขึ้น โดยการตัดเสียงรบกวนปัจจุบันจะมีอยู่ 2 แบบคือ แบบแอ็คทีฟ ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีที่ช่วยตัดเสียงภายนอก ทำให้มันสามารถเปิดโหมดรับเสียงภายนอกได้อีกด้วย โดยมันช่วยเพิ่มความปลอดภัยเวลาเดินตามที่สาธารณะ ส่วนอีกแบบคือ แบบพาสซีฟ ที่จะใช้ลักษณะการออกแบบตัวหูฟัง เพื่อนำมาปิด หรือมาอุดหูของคุณ (เช่น หูฟังอินเอีร์ย และหูฟังครอบหู) ทำให้คุณจะได้ยินเสียงรอบข้างน้อยมาก ๆ ดังนั้นค่อนข้างอันตราย หากคุณต้องเดินบนฟุตบาทดังนั้นถ้าคุณกําลังมองหาการตัดเสียงรบกวนประสิทธิภาพสูง ๆ แนะนำเลือก AirPods Pro (รุ่นที่ 2) หรือ AirPods Max
3. อายุการใช้งาน
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญก็คือ อายุการใช้งาน และการชาร์จ ดังนั้นก่อนซื้อคุณต้องตรวจสอบอายุการใช้งานของ AirPods รุ่นที่คุณต้องการดี ๆ ซะก่อน บางคนอาจจะต้องการใส่ทำงานตลอดทั้งวัน แต่หูฟังใช้งานได้แค่ 4-5 ชม. แน่นอนครับมันก็ไม่พอ จนอาจจะต้องใช้งานทีละข้าง นอกจากนี้ในส่วนของการชาร์จ ก็สำคัญเช่นกันครับ เพราะหูฟังมักจะเป็นอุปกรณ์ที่คนลืมชาร์จบ่อยที่สุด เนื่องจากเคสชาร์จมันชาร์จได้หลายครั้ง จนเราใช้เพลิน
4. การป้องกันเหงื่อและน้ำ
Apple AirPods รุ่นใหม่ ๆ บางรุ่นก็มาพร้อมคุณสมบัติป้องกันน้ำและเหงื่อได้แล้ว แม้ว่าจะกันแค่ระดับ IPX4 ที่กันน้ำได้ระดับนึงเท่านั้น เช่น เหงื่อ ละอองน้ำ หรือฝนตกปรอย ๆ ได้ ถ้าหากคุณวางแผน ที่จะใส่ไปออกกําลังกาย หรือวิ่งกลางแจ้ง คุณควรเลือกรุ่นกันน้ำได้ เพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าคุณเน้นใช้งานที่บ้าน หรือที่ออฟฟิศ ระดับการกันน้ำที่เหมาะสมจะอยู่ที่การใช้งานของคุณแล้วครับ
บทส่งท้าย
ถ้าหากเราย้อนเวลากลับไปในยุคที่หูฟังกำลังพัฒนา AirPods นับเป็นหูฟังตัวแรก ๆ ที่ได้มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด ซึ่งในยุคนั้นคุณภาพเสียงยังไม่ใช่ทั้งหมดครับ เพราะคำว่า “เสียงที่ดี” ของแต่ละคน ไม่ได้มีเกณฑ์ตัดสินที่ตายตัวว่าต้องดีมากแค่ไหน ? แต่ปัจจัยหลักของหูฟังในยุคนั้นคือ ประสบการณ์การในการใช้งานที่ประกอบด้วย การออกแบบที่ตอบโจทย์ ใช้วัสดุที่มีคุณภาพ มอบการสวมใส่ที่สบาย และการเชื่อมต่อจะต้องเสถียร ซึ่งทั้งหมด Apple ให้ได้ครับ
มาจนถึงทุกวันนี้ Apple ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วครับว่า อุปกรณ์ทั้งหมดของ Apple นั้น มีคุณภาพมากแค่ไหน ? โดยเฉพาะความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีการพัฒนาชิปประมวลผล ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ทำงานอยู่ในอุปกรณ์ต่าง ๆ และระบบปฏิบัติการ iOS ก็คือ สิ่งสำคัญที่ทำให้ Apple ไม่เหมือนใคร ดังนั้นหากคุณต้องการคุณภาพ และประสิทธิภาพแบบ Apple สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือ ต้องยอมจ่ายในราคาที่ Apple ตั้งเอาไว้ครับ ต่างจาก Android ที่ทุกแบรนด์ใช้เทคโนโลยีเดียวกันอุปกรณ์ที่ออกมาจึงคล้ายกัน