อาหารเสริมเป็นอีกทางเลือกอย่างหนึ่งสำหรับคนที่รับประทานสารอาหารไม่เพียงพอ ทั้งนี้เมื่อพูดถึงอาหารเสริมเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น อาหารเสริมวิตามินบี 12, อาหารเสริมแคลเซียม, อาหารเสริมธาตุเหล็ก, วิตามินรวม, อาหารเสริมไฟเบอร์ และที่หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีคือ ‘อาหารเสริมคลอโรฟิลล์’

โดยคลอโรฟิลล์เป็นสารสีเขียวซึ่งพบได้ทั่วไปในผักหรือพืชสีเขียวชนิดต่าง ๆ ซึ่งสาเหตุที่ผู้ผลิตหลายคนสกัดออกมาให้อยู่ในรูปแบบอาหารเสริม เนื่องจากมีผลงานวิจัยบางตัวได้กล่าวว่ามันสามารถช่วยสมานผิว, บำรุงเลือด, ระงับกลิ่นกาย และมีฤทธิ์ในการต้านการกลายพันธุ์อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ดีการรับประทานผักในปริมาณมากเพื่อให้ได้รับคลอโรฟิลล์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยคงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับหลาย ๆ คน ดังนั้นการรับประทานในรูปแบบของอาหารเสริมจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่านั่นเอง
คลอโรฟิลล์ ต่างจาก ไฟเบอร์ อย่างไร ?

คลอโรฟิลล์และไฟเบอร์มีความปลอดภัยต่อสุขภาพทั้งคู่ แต่ไฟเบอร์จะมีสรรพคุณที่ช่วยในของการระบายท้อง ทำให้สามารถลดอาการท้องผูกและขับถ่ายได้ง่ายยิ่งขึ้น
คลอโรฟิลล์ จะช่วยได้ทั้งในเรื่องของอารขับถ่าย, การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน, ขับล้างสารพิษ และกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายครับ
คลอโรฟิลล์ คืออะไร ?
คลอโรฟิลล์เป็นสารชนิดหนึ่งที่มีสีเขียวพบเจอได้ทั่วไปในพืชผักชนิดต่าง ๆ ทั้งนี้คลอโรฟิลล์ยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ โดยมนุษย์อย่างเรา ๆ สามารถรับคลอโรฟิลล์เข้าร่างกายด้วยการทานพืชหรืออาหารเสริมที่ขายอยู่ตามท้องตลาด แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องของการดูดซึมเข้าร่างกาย คลอโรฟิลล์ในรูปแบบของอาหารเสริมจะดูดซึมง่ายกว่าเนื่องจากเป็นของเหลว ในขณะที่พืชสด ๆ อาจถูกย่อยสลายไปในระบบย่อยอาหารก่อนร่างกายจะดูดซึมไปใช้งานครับ

โดยหากเรารับประทานอาหารเสริมคลอโรฟิลล์เข้าไปในปริมาณที่กำลังพอดี แน่นอนว่ามันมีผลดีต่อร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
- ขจัดเชื้อราในร่างกาย
- ล้างลำไส้
- ให้พลังงานแก่ร่างกาย
- อาจป้องกันมะเร็งได้
- กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์
- ล้างพิษในเลือด
- กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
* อย่างไรก็ดีผลงานวิจัยเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ยังคงต้องใช้เวลาในการศึกษาเพิ่มเติม *
คลอโรฟิลล์ มีประโยชน์อะไรบ้าง ?
1. สมานผิว (1)
ในงานวิจัยมีการค้นพบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยต้านแบคทีเรียและลดการอักเสบบนผิวหนังได้ โดยมีการทดสอบในกลุ่มทดลองจำนวนทั้งหมด 10 คนในปี 2015 โดยหลังจากนำครีมที่มีส่วนผสมของคลอโรฟิลล์มาทาบำรุงหน้าอย่างต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ รูขุมขนและสิวดูดีขึ้นกว่าเก่า หลังจากนั้นเมื่อผ่านไปประมาณ 8 สัปดาห์ ก็พบอีกว่าผิวหนังที่ผ่านการทำร้ายจากรังสี UV ดีขึ้นอย่างชัดเจน
2. บำรุงเลือด (2)
งานวิจัยบางชิ้นพบว่าคลอโรฟิลล์สามารถช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง และยังอาจสร้างเลือดให้กับร่างกายของเราได้ด้วย ทั้งนี้มีผลการศึกษาในปี 2004 พบว่ากลุ่มทดลองที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย หลังจากได้รับประทานต้นข้าวสาลีซึ่งมีสารคลอโรฟิลล์ สามารถลดปริมาณการถ่ายเป็นเลือดได้มากกว่า 70% ซึ่งโรคธาลัสซีเมียนั้นทราบอยู่แล้วว่าเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเลือด
3. อาจล้างพิษและมะเร็ง (3)
สาเหตุที่หลายคนเคลมว่าคลอโรฟิลล์สามารถล้างสารพิษหรือหยุดยั้งมะเร็งได้ เนื่องจากผลวิจัยใน 2018 มีนักวิจัยพบว่าการรับประทานคลอโรฟิลล์อย่างต่อเนื่องทุกวัน มีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับอ่อน นอกจากนี้ยังลดอุบัติการเกิดเนื้องอกในกระเพาะอาหารได้กว่า 24 – 54 เปอร์เซ็นต์ และเนื้องอกในตับสูงถึง 29 – 63 เปอร์เซ็นต์
4. ลดน้ำหนัก (4)
จริง ๆ แล้วข้อนี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่ต้องมีผลงานวิจัยมากกว่านี้ครับ แต่อย่างไรก็ดียังคงมีผลทดลองในช่วงปี 2014 โดยให้คุณผู้หญิงจำนวนกว่า 38 คน รับประทานอาหารเสริมคลอโรฟิลล์ 1 ครั้งต่อวัน ซึ่งผลวิจัยพบว่าจำนวนและเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่ลดน้ำหนักมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่ลดน้ำหนักครับ
5. ระงับกลิ่นกาย (5)
มีหลักฐานจากงานวิจัยบางชิ้นได้บอกว่าคลอโรฟิลล์สามารถลดกลิ่นปาก และกลุ่มผู้ป่วยที่ภาวะไตรเมทิลอะมินูเรีย ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นคาวคล้ายปลาดีขึ้น ดังนั้นคลอโรฟิลล์จึงช่วยในเรื่องของกลิ่นกลายได้เป็นอย่างดีครับ
คลอโรฟิลล์ มีผลข้างเคียงหรือไม่ ?
จริง ๆ แล้วคลอโรฟิลล์แทบจะไม่มีผลข้างเคียงต่อการรับประทานเข้าร่างกายเลยครับ อย่างไรก็ดียังมีเคสที่เกิดผลข้างเคียงอยู่บ้าง อย่างเช่น
- อุจจาระสีเขียวหรือสีดำ ซึ่งอาจทำให้เข้าใจว่าเป็นเลือดได้ ดังนั้นใครที่กำลังรับประทานอยู่แนะนำให้หลีกเลี่ยง
- มีปัญหาบริเวณทางเดินอาหาร
- ท้องเสีย
- มีอาการคันหรือแสบร้อน เมื่อนำไปทาจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย
อาการที่บอกไปข้างต้นพบเจอได้ค่อนข้างน้อย แต่ถ้าหากเกิดอาการผิดปกติอะไรก็แล้วแต่ขึ้นมา แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยครับ

ควรรับประทานอาหารเสริมคลอโรฟิลล์อย่างไร ?
อาหารเสริมคลอโรฟิลล์มีให้เลือกทั้งหมด 4 รูปแบบ
- ขี้ผึ้ง
- สเปรย์
- เม็ด
- ของเหลว
การรับประทานที่ถูกต้องและปลอดภัยคือในขนาด 100 – 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือถ้าให้ดีคือรับประทานตามคำแนะนำบนฉลากอาหารเสริมครับ
![]() | คลอโรฟิลล์ ตราเพรียว | |
![]() | คลอโรฟิลล์ บ้านสมุนไพร | |
![]() | Colly คอลลี่ คลอโรฟิลล์ พลัส ไฟเบอร์ | |
![]() | อัลฟา คลอโรฟิลล์ พลัส Alfa Chlorophyll plus | |
![]() | คลอโรฟิลล์ เข้มข้น MINE CHLOROPHYLL X มายพลัส | |
![]() | กิฟฟารีน คลอโรฟิลล์ ซี โอ Giffarine Chlorophyll C-O | |
![]() | ทมซี อัลฟัลฟา คลอโรฟิลล์น้ำ | |
![]() | Unicity Chlorophyll Powder ยูนิซิตี้ คลอโรฟิลล์ |
References :
- Enzymatic debriding agents: an evaluation of the medical literature
- Wheat grass juice reduces transfusion requirement in patients with thalassemia major: a pilot study
- Chlorophyll-Mediated Changes in the Redox Status of Pancreatic Cancer Cells Are Associated with Its Anticancer Effects
- Appetite
- Effects of the dietary supplements, activated charcoal and copper chlorophyllin, on urinary excretion of trimethylamine in Japanese trimethylaminuria patients