เราเชื่อว่าทุก ๆ คน รัก และหลงไหลในการถ่ายภาพกันเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ ? ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะพอใจในรูปที่ตัวเองถ่ายออกมา หลายคนอยากพัฒนาฝีมือและความสามารถในการถ่ายภาพของตัวเองให้มากขึ้น มีการนำเทคนิคการถ่ายภาพต่าง ๆ จากอินเทอร์เน็ตมาปรับใช้ ซึ่งผลก็คือ ภาพไม่ได้ออกมาสวยอย่างที่หวังไว้ ใช่แล้วค่ะของแบบนี้ ไม่ได้อยู่ที่ฝีมือและเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่กล้องของคุณด้วย เพราะฉะนั้นหากคุณสนใจในด้านนี้จริง ๆ คุณก็ต้องลงทุนกันหน่อยค่ะ โดยเริ่มจากมองหากล้องถ่ายรูปดี ๆ สักตัวมาใช้งาน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจะเห็นพัฒนาการของกล้องที่มันมีการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว มีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยทำให้รูปของเรามีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกล้องสมาร์ทโฟน ทำให้ ณ ปัจจุบันนี้ เราได้มาถึงจุดที่ทุก ๆ คนมีกล้องประสิทธิภาพสูง ๆ อยู่ในกระเป๋าตลอดเวลา จริงอยู่ที่กล้องมือถือมันมีคุณภาพที่สูงขึ้นจากเมื่อก่อนมาก แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ที่มีอยู่ ทำให้ยังไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนกล้องโปรได้ ดังนั้นถ้าหากอยากจริงจังกับการถ่ายภาพ สร้างสรรค์ภาพที่เป็นแนวทางของตัวเอง การเลือกใช้ กล้องระดับโปร คือ ทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อที่คุณจะได้ใช้กล้องตัวใหม่ในการศึกษาการถ่ายภาพให้ลึกขึ้น สามารถพัฒนาฝีมือของคุณได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งนี่ก็จะเป็นรีวิวที่จะช่วยให้คุณได้ ความรู้เกี่ยวกับกล้อง และรวมถึงเคล็ดลับในการเลือกซื้อกล้องตัวแรกที่เหมาะสมกับคุณด้วยค่ะ

สำหรับการเลือกซื้อกล้องตัวแรกของมือใหม่นั้น เราไม่จำเป็นต้องเป็นกล้องที่มีราคาสูง ๆ เสมอไปค่ะ คุณควรลงทุนกับกล้องที่มีราคาไม่สูงมากก่อน และเมื่อคุณเก็บประสบการณ์ได้มากพอแล้ว คุณก็ค่อยเปลี่ยนไปเล่นกล้องในระดับที่สูงขึ้น สำหรับบทความในวันนี้เราก็มีคำแนะนำดี ๆ สำหรับผู้ที่อยากเป็นช่างภาพมือใหม่ให้คุณได้เรียนรู้ เพื่อที่จะได้พัฒนาต่อยอดความสามารถให้มากยิ่งขึ้น แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับกล้องประเภทต่าง ๆ ให้มากขึ้นกันก่อนดีกว่าค่ะ เพื่อให้เราเข้าใจตรงกัน
กล้อง Mirrorless รุ่นไหนดี ?
- กล้อง Mirrorless ที่คุ้มค่ามากที่สุด เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทางการถ่ายภาพ: Canon EOS M50 Mark II (EF-M15-45mm f/3.5-6.3 IS STM) กล้องมิลเลอร์เลส สาย Vlogger
- กล้อง Mirrorless คุณภาพสูง สำหรับมือใหม่ที่เน้นการพกพาเป็นหลัก: Sony Camera A6400 Kit 16-50 mm.
- กล้อง Mirrorless ที่ดีที่สุด มาพร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ทั้งการถ่ายภาพ และการบันทึกวิดีโอ เหมาะมาก ๆ สำหรับ Vloggers ทุกคน: Panasonic Lumix GX9 kit 12-32 mm.
- กล้อง Mirrorless ประสิทธิภาพสูง มาพร้อมฟังก์ชันการถ่ายภาพมากมาย เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้การถ่ายภาพ: Nikon Z30 Mirrorless Camera Kit 16-50 mm. Lens
- หนึ่งในกล้อง Mirrorless ที่ดีที่สุด สำหรับมือใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นอย่างจริงจัง: Olympus OM-D E-M10 Mark IV Kit 14-42 mm.
- หนึ่งในกล้อง Mirrorless ราคาประหยัดที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ทั้งการถ่ายภาพ และการทำวิดีโอบล็อก: Fujifilm X-T200 Kit with 15-45 mm.
- กล้อง Mirrorless ราคาสุดประหยัดที่ถ่ายภาพสวย กะทัดรัด บางเบา และเกือบจะมีฟังก์ชันที่สมบูรณ์แบบ: Fujifilm X-A7 Kit 15-45 mm.
กล้องดีเอสแอลอาร์ (DSLR) รุ่นไหนดี ?
- กล้อง DSLR ที่มีคุณสมบัติครบครันที่สุด สามารถรองรับทักษะในด้านการถ่ายภาพของคุณที่จะพัฒนาในอนาคตได้เป็นอย่างดี: Canon Camera EOS 90D kit 18-55 mm.
- กล้อง DSLR ที่เล็กและเบาที่สุด มาพร้อมฟังก์ชันที่ครบครัน เหมาะมาก ๆ กับคนที่ต้องการเรียนรู้การถ่ายภาพ: Canon EOS 200D Mark II (EF-S 18-55mm f/4-5.6 IS STM)
- กล้อง DSLR ที่มีฟังก์ชันครบครัน พร้อมให้คุณนำไปใช้ต่อยอดความรู้ด้านการถ่ายภาพ: Nikon D5600 Kit AF-P 18-55 mm.
- กล้อง DSLR ระดับเริ่มต้นที่ใช้งานง่าย ในราคาสุดคุ้ม เหมาะสำหรับมือใหม่มากที่สุด: Canon EOS 1500D Kit (EF S18-55 IS II)
กล้องถ่ายรูป ในปัจจุบัน !
ก็อย่างที่เราได้บอกไปในตอนต้นว่า กล้องถ่ายรูป มันมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดดมาก ซึ่งส่งผลให้จากในอดีต มาจนถึงปัจจุบันมีกล้องประเภทต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้ง กล้องฟิล์ม, กล้องมิลเลอร์เลส, กล้องแอคชั่น, กล้อง DSLR, กล้องโพลารอยด์ หรืออีกชื่อคือ กล้องอินสแตนท์ เป็นต้น ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมกล้องถึงมีหลายประเภท? นั่นมันก็เป็นเพราะว่า กล้องแต่ละประเภท ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการถ่ายภาพในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณนำกล้องถ่ายใต้น้ำ มาถ่ายภาพบนบก รูปก็จะออกมาดูแปลก ๆ เพราะค่าต่าง ๆ ถูกเซ็ตมาให้เหมาะกับแสงใต้น้ำมากกว่า แต่กลับกัน ถ้าคุณนำกล้องทั่วไป ลงไปถ่ายปะการังตามแหล่งดำน้ำต่าง ๆ คุณก็ต้องหาอุปกรณ์เสริมมาใช้ ซึ่งแน่นอนค่ะว่า มันจะทำให้คุณลำบากมาก ๆ กว่าจะได้รูปสวย ๆ มา
ดังนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับคุณว่า อยากได้กล้องไปใช้ถ่ายอะไร ? และแน่นอนทุก ๆ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ เราเชื่อว่าคุณกำลังอยากเป็นช่างภาพอยู่ใช่ไหมล่ะคะ หากใช่ ! เราขอแนะนำให้คุณเลือก กล้อง Mirrorless หรือ กล้อง DSLR มาเป็นกล้องประจำตัวของคุณค่ะ เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อการถ่ายภาพโดยเฉพาะ
กล้อง Mirrorless ต่างจากกล้อง DSLR อย่างไร ?
กล้องมิลเลอร์เลส (Mirrorless Camera)

กล้องมิลเลอร์เลส เป็นกล้องที่ได้รับการออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้ทุก ๆ คน โดยเฉพาะมือใหม่ค่ะ ตัวกล้องถูกออกแบบมาให้เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มีโหมดอัตโนมัติมากมาย เน้นความสะดวกสบายในการใช้งาน และพกพา ซึ่งมันพกพาได้ง่ายกว่ากล้อง DSLR มาก เนื่องจากบอดี้มีขนาดที่เล็กและเบากว่ามาก ในส่วนของฟังก์ชันในการใช้งาน ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายกว่ามากเช่นกัน แต่ยังคงประสิทธิภาพ ไม่แพ้กล้อง DSLR เลย ถ้าพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือ มันเป็นการนำกล้อง DSLR มาตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก ลดฟังก์ชันที่ไม่ค่อยได้ใช้ทิ้งไป พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนเมนูให้ดูง่ายขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ
จุดเด่น | จุดด้อย |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
กล้องดีเอสแอลอาร์ (DSLR หรือ Digital Single-Lens Reflex Camera)

กล้องดีเอสแอลอาร์ (DSLR) จะให้อารมณ์ในการถ่ายภาพที่ดีกว่าและอย่างที่เราได้เกรินไปในกล้องมิลเลอร์เลสแล้วว่า กล้อง DSLR มันจะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักค่อนข้างมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับเลนส์กล้องที่คุณเลือกใช้ด้วย และเพื่อแก้ปัญหานี้จึงได้มีการออกแบบที่พิเศษกว่า โดยตัวกล้องจะมีการดีไซน์ให้เหมาะกับการจับถือ เพิ่มบาลานซ์ที่ดี โดยต่อให้ใช้เลนส์เสริม คุณก็ยังจับถือได้อย่างถนัดมือ มอบความรู้สึกมั่นคงในการใช้งานได้มากกว่ากล้องมิลเลอร์เลส สำหรับช่องมองภาพมีโฟกัสที่ไว และตัวกล้องมันจะบันทึกภาพเหมือนกับที่ตาคุณเห็น ฉะนั้นภาพจะออกมาตรงตามที่คุณคิดไว้ นอกจากนี้ยังมีเลนส์หลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน รวมไปถึงแบตเตอรี่ของกล้องประเภทนี้ก็สามารถใช้งานได้นานกว่าด้วย
กล้อง DSLR ถือเป็นกล้องที่เล่นค่อนข้างยาก อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะมันต้องใช้ประสบการณ์ และต้องมีความรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพมากพอสมควร จึงจะเล่นกล้องประเภทนี้ได้ แต่หากคุณเป็นมือใหม่ที่มีความพยายาม พร้อมที่จะศึกษาและเรียนรู้ กล้องประเภทนี้มันก็เหมาะกับคุณค่ะ
จุดเด่น | จุดด้อย |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
วิธีการเลือกซื้อ กล้องถ่ายรูป สำหรับมือใหม่ !
การเลือกซื้อกล้องที่ดีที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ค่ะ เพราะปัจจุบันเรามีกล้องให้เลือกมากมายหลายรุ่นหลายราคา อีกทั้งกล้องแต่ละรุ่นยังมีรายละเอียดเยอะแยะเต็มไปหมด แน่นอนถ้าจะให้คุณไปศึกษาใหม่ก็คงต้องใช้เวลานาน ฉะนั้นในวันนี้เราก็มีคำแนะนำดี ๆ มาช่วยให้คุณสามารถจำกัดวงของกล้องและทำให้ตัวเลือกเหลือน้อยที่สุดได้ คุณจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ ซึ่งมันจะมีปัจจัยอะไรบ้าง ? หากพร้อมกันแล้ว เราไปเริ่มกันเลย
1. เลือกประเภทของกล้อง

ในบทความนี้เราได้คัดเลือกกล้องมา 2 ประเภทค่ะ นั่นก็คือ Mirrorless Camera และ DSLR Camera ซึ่งทั้ง 2 ประเภท เป็นกล้องที่เหมาะกับคนที่ต้องการจะพัฒนาฝีมือ ทักษะ และความสามารถในการถ่ายภาพให้มากขึ้นค่ะ โดยกล้องสองประเภทนี้ ก็มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร ซึ่งเราได้อธิบายไว้แล้วในหัวข้อกล้อง Mirrorless แตกต่างจากกล้อง DSLR อย่างไร ? ซึ่งคุณสามารถพิจารณาเลือกประเภทของกล้องจากข้อดี-ข้อด้อยทั้งหมดของมันได้ ซึ่งหากคุณเป็นมือใหม่ที่ชอบถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก เริ่มจากกล้อง Mirrorless Camera มันจะเหมาะกว่าค่ะ เพราะใช้งานง่ายไม่ต้องศึกษาอะไรเพิ่มเติมมากนัก แต่หากคุณอยากศึกษาการถ่ายภาพอย่างจริงจังคุณก็ควรเลือก DSLR Camera ไปเลยค่ะ เพราะมันสามารถช่วยพัฒนาทักษะคุณได้ดีกว่า
2. เซนเซอร์กล้อง

เซนเซอร์ คือ ชิ้นส่วนของฮาร์ดแวร์ซึ่งอยู่ภายในกล้อง เป็นการนำเซลล์ไวแสงหลายล้านชิ้นมารวมกัน โดยเรียกว่า โฟโต้ไซด์ (Photosites) แต่เราจะคุ้นหูกับคำว่า พิกเซล (Pixel) นั่นเองค่ะ ซึ่งเซนเซอร์จะทำหน้าที่รับแสงและแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อส่งผลไปเก็บในการ์ดหน่วยความจำ ยิ่งกล้องมีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ภาพถ่ายของคุณก็จะมีคุณภาพของภาพที่ดีขึ้นมากเท่านั้น นั่นก็เป็นเพราะว่า เซนเซอร์ที่มีขนาดใหญ่โฟโต้ไซด์ที่อยู่ภายในก็จะใหญ่ขึ้นด้วย ทำให้มันมีความไวต่อแสงมากขึ้น มีความคมชัด สามารถเก็บรายละเอียดมากกว่า ซึ่งก็แน่นอนค่ะ ราคาก็จะสูงขึ้นเป็นเงาเลยทีเดียว

ในปัจจุบันมีการใช้งานเซนเซอร์อยู่หลายขนาด อาทิเช่น Medium format, Full frame, APS-H, APS-C, Micro Four Thirds และ 1″ เป็นต้น ซึ่งใน Mirrorless Camera และ DSLR Camera ก็จะมีเซนเซอร์มากมายที่นิยมใช้กัน แต่อันที่เหมาะสำหรับมือใหม่ เราขอแนะนำให้ใช้เพียง APS-C และ Micro Four Thirds ก็พอค่ะ เนื่องจากมีราคาที่ไม่สูงมากนัก
***เพิ่มเติม*** คุณต้องเข้าใจก่อนว่า เซนเซอร์กล้อง กับ พิกเซล มันแยกกัน กล้องที่มีเซนเซอร์ APS-C สมมุติว่ามันมีความละเอียด 20 ล้านพิกเซล เปรียบเป็น “สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีช่องอยู่ทั้งหมด 20 ล้านช่อง” เทียบกับกล้องของมือถือทั้งในฝั่ง Android และ IOS ที่ส่วนใหญ่มักใช้เซนเซอร์ 1/2.55″ ซึ่งมันมีขนาดที่เล็กกว่ามาก เปรียบเป็น “สี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ในนั้นมีช่องอยู่ทั้งหมด 20 ล้านช่อง เช่นกัน” สิ่งที่ต่างกันเลยคือ ขนาดของช่อง แม้มีจำนวนเท่ากัน แต่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มีขนาดช่องที่ใหญ่กว่า มันก็หมายถึงว่า มันจะหน้าที่จัดการกับแสงได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ ทำให้ภาพที่ได้ มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งหากเรานำภาพจากกล้องทั้งสอง มาเปรียบเทียบกัน ในรูปภาพขนาดเล็กเราจะแทบไม่เห็นความแตกต่างเลย แต่ถ้าเราได้ขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ความแตกต่างของภาพทั้งสองก็จะมีมากขึ้นค่ะ และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้กล้องมือถือ ยังไม่สามารถที่จะนำมาทดแทนกล้องโปรได้
3. ช่องมองภาพ และหน้าจอแสดงผล
สำหรับ ช่องมองภาพ (Viewfinder) ถือเป็นอีกส่วนที่สำคัญ กล้องมิลเลอร์เลสบางรุ่นไม่มีช่องมองภาพมาให้ ข้อดีคือมันช่วยให้กล้องเล็กลง แต่ข้อเสียคือ หากคุณใช้งานในที่แสงจ้า คุณจะใช้งานได้ลำบากมาก เนื่องจากแสงแดด ทำให้คุณมองเห็นภาพบนหน้าจอได้ไม่ชัด ซึ่งส่งผลให้คุณจัดแสงในภาพได้ยากยิ่งขึ้นค่ะ ในส่วนหน้าจอแสดงผลหากคุณชอบการถ่ายแบบเซลฟี่ก็ให้มองหารุ่นที่สามารถพับหน้าจอได้ มันสามารถช่วยให้คุณมองเห็นและจัดตำแหน่งของภาพได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ในกล้องรุ่นใหม่บางรุ่นมาพร้อมหน้าจอทัชสกรีนแล้ว ซึ่งก็ช่วยให้สะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นปัญหาค่ะ เพราะกล้องทุกรุ่นมีการจัดตำแหน่งของปุ่มให้มาเป็นอย่างดี โดยจะอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่ายอยู่แล้ว
4. การยศาสตร์ (การออกแบบ ขนาด และน้ำหนัก)

ในขั้นตอนการเลือกซื้อ ข้อนี้คุณอาจจะรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ แต่เมื่อถึงเวลาที่ใช้งานจริง ๆ มันมีผลต่อคุณเป็นอย่างมากค่ะ เพราะฉะนั้นอย่ามองข้าม ! เนื่องจากในการถ่ายภาพคุณต้องถือกล้อง และยกกล้องขึ้นมาเพื่อถ่ายภาพอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากกล้องที่คุณเลือกมีน้ำหนัก หรือขนาดที่ไม่เหมาะสมกับคุณ แน่นอนคุณก็จะใช้งานได้ไม่นาน เพราะแขนคุณอาจจะล้าได้ ดังนั้นเราขอแนะนำว่า ถ้าหากมีโอกาสลองไปหาเครื่องจริงมาถือดูก่อน บางรุ่นแม้จะมีน้ำหนักมาก แต่การออกแบบก็ช่วยสร้างความสมดุลได้ ทำให้รู้สึกไม่หนักมาก ซึ่งส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณค่ะ
5. คุณสมบัติอื่น ๆ
5.1) เมาท์เลนส์ (Lens Mount) : ก็คือ ขั้วของเลนส์และกล้องนั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของกล้องรุ่นที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้เท่านั้น โดยแต่ละแบรนด์ก็จะใช้เลนส์ที่ไม่เหมือนกันค่ะ ส่วนใหญ่จะต่างกันที่สลักล็อกเลนส์ กับตัวกล้อง รวมไปถึงหน้าสัมผัสที่ใช้ในการควบคุมด้วย ทำให้ในอดีตเราไม่สามารถใช้เลนส์ข้ามแบรนด์ได้ แต่ปัจจุบันมีอะแดปเตอร์สำหรับแปลงสลักช่วยให้คุณสามารถใช้งานเลนส์ข้ามค่ายได้ แต่ก็จะมีปัญหาการใช้ฟังก์ชันบางอย่าง
5.2) โหมดการใช้งาน : กล้องทุกตัวมีโหมดต่าง ๆ ให้เลือกใช้งานมากมาย ซึ่งสำหรับมือใหม่โหมดการใช้งานมันค่อนข้างสำคัญค่ะ อาทิเช่น โหมดถ่ายภาพวิว โหมดถ่ายภาพคน โหมดถ่ายดอกไม้ และอื่น ๆ ซึ่งกล้องแต่ละตัวก็มีโหมดที่เด่น ๆ ต่างกัน สามารถเลือกตามแนวทางการถ่ายภาพของคุณได้ค่ะ ซึ่งโหมดต่าง ๆ มีไว้ก็ไม่เสียหาย
5.3) การบันทึกวิดีโอ : กล้องแต่ละรุ่นก็จะมีความสามารถในการบันทึกวิดีโอที่ต่างกัน ซึ่งถ้าหากคุณต้องการถ่ายเป็นวิดีโอด้วย ก็อย่าลืมพิจารณาในข้อนี้ด้วยนะคะ
5.4) การเชื่อมต่อ : กล้องรุ่นใหม่ ๆ มักจะมาพร้อมกับ Wi-Fi หรือ Bluetooth ซึ่งการเชื่อมต่อไร้สายจะช่วยให้คุณถ่ายโอนภาพต่าง ๆ ได้สะดวก และง่ายดายมากยิ่งขึ้น สามารถเชื่อมต่อกับ โทรศัพท์, แล็ปท็อป, Macbook และอื่น ๆ เพื่อส่งไฟล์ได้ทันที คุณสามารถนำภาพไปเก็บไว้ใน ฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ หรือฮาร์ดดิสก์แบบพกพาได้ง่าย ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องความจุใน SD Card จะเต็ม และคุณก็ไม่ต้องพก SD Card Reader อีกต่อไปค่ะ
แน่นอนเรารู้ดีว่าสิ่งที่มือใหม่ทุก ๆ คนกำลังมองหาใน กล้องถ่ายรูป ก็คือ กล้องดีไซน์สวย ๆ เน้นใช้งานง่าย ๆ สามารถนำมาใช้พัฒนาทักษะการถ่ายภาพได้ และที่สำคัญต้องราคาต้องไม่แรง และนี่ก็คือ คุณสมบัติหลักที่เราใช้คัดเลือกกล้องทุกรุ่นมาในวันนี้ค่ะ ส่วนรุ่นไหนจะดี ไม่ดี สวย ไม่สวย รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ว่าคุ้มหรือไม่ ? สิ่งเหล่านี้คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวเองค่ะ
เอาล่ะค่ะทุกคน ก่อนที่จะไปดูบทสรุปกัน เราอยากให้คุณได้อ่านรีวิวแบบคร่าว ๆ ของกล้องแต่ละรุ่นที่เราได้รวบรวมมา ซึ่งข้อมูลทั้งหมดรวบรวมมาจากผู้ใช้งานจริงแล้วเรานำมาสรุปแบบสั้น ๆ ให้คุณได้อ่านกันแบบเข้าใจง่าย ๆ เพื่อที่คุณจะได้รู้ใจตัวเองก่อนว่า จริง ๆ แล้ว คุณเหมาะกับกล้องแบบไหน ? จากนั้นค่อยไปดูบทสรุปของเราว่าตรงกันกับใจคุณรึป่าว 🙂
Canon EOS M50 Mark II (EF-M15-45mm f/3.5-6.3 IS STM) กล้องมิลเลอร์เลส สาย Vlogger

ราคา 24,990 บาท*
Canon EOS M50 Mark II กล้องมิลเลอร์เลส ซีรีส์ EOS-M รุ่นยอดนิยม ที่ต่อยอดมาจากกล้อง EOS M50 กล้องที่ออกแบบมาเพื่อมือใหม่โดยเฉพาะ ซึ่งรุ่นใหม่ได้มีการปรับปรุงข้อเสียต่าง ๆ และอัดสเปกที่ดีกว่าเดิมมาให้ เริ่มต้นด้วยเซ็นเซอร์ APS-C ความละเอียด 24.1MP ที่มีจุดเด่นด้านคอนทราสต์ที่ดีและให้สีสันที่เป็นธรรมชาติ ทำงานกับระบบโฟกัส Eye Detection AF ที่แม่นยำ พร้อมชิป DIGIC 8 ที่มีทั้ง ความเร็ว และความแม่นยำ โดยอัพเกรดจากรุ่นก่อนพอสมควรเลย ช่วยให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น แถมยังบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 4K พร้อมมีระบบกันสั่นในตัว และรองรับการถ่ายวิดีโอแนวตั้งผ่านกล้องได้เลย และยังใช้เป็นกล้อง Live Stream ได้ด้วย

ทั้งหมดนี้คือฟังก์ชันเด่น ๆ ที่ทำให้กล้อง EOS M50 Mark II เป็นกล้องที่ตอบโจทย์ผู้ใช้สายวิดีโอคอนเทนต์ และสายวิดีโอล็อกเกอร์มากที่สุดค่ะ ซึ่งด้วยความครบเครื่อง บวกกับราคาที่เข้าถึงง่าย มันจึงเหมาะกับการเป็นกล้องตัวแรกให้กับมือใหม่ และยังช่วยเพิ่มสะดวกสบายให้ช่างภาพมืออาชีพได้ด้วย ด้วยขนาดที่กะทัดรัด คุณจึงใส่กระเป๋าไว้ใช้เป็นกล้องสำรองได้สบาย ๆ ค่ะ
อ่านรีวิวฉบับเต็มจากเราได้ที่: รีวิว Canon EOS M50 Mark II กล้อง Vlog ที่มีฟังก์ชันครบ จบในตัวเดียว
เซนเซอร์ | 24.1MP APS-C CMOS |
---|---|
เมาท์เลนส์ | EF-M15-45mm f/3.5-6.3 IS STM |
ชิปประมวลผล | DIGIC 8 |
ระบบโฟกัส | Dual Pixel CMOS AF พร้อม Eye Detect AF |
การถ่ายภาพ | 10 ภาพ/วินาที (One-Shot AF) |
การถ่ายวิดีโอ | 4K 24p |
การเชื่อมต่อ | Micro-USB / Wi-Fi / Bluetooth |
อายุแบตเตอรี่ | สูงสุด 305 ภาพ |
น้ำหนัก | 517 g |
ปีที่เปิดตัว | 2020 |
Sony Camera A6400 Kit 16-50 mm.

ราคา 29,990 บาท*
Sony A6400 เป็นกล้อง Mirrorless จากในซีรี่ส์ A6xxx Series ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ค่ะ ซึ่งถึงแม้มันจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ถือว่า เป็นตัวเลือกที่ดี สำหรับมือใหม่ที่คิดจะจริงจังด้านการถ่ายภาพ โดยรุ่นนี้มีจุดเด่นที่ตัวบอดี้ขนาดเล็กกะทัดรัด และน้ำหนักเบาสุด ๆ ช่วยให้ถือถ่ายภาพนาน ๆ ได้ แถมพกพาติดตัวได้สะดวก ปุ่มต่าง ๆ จัดอยู่ในตำแหน่งที่ดี ใช้งานง่าย รับภาพด้วยเซ็นเซอร์ APS-C ความละเอียด 24.2MP ช่วยมอบสีสัน และไดนามิกเรนจ์ที่ยอดเยี่ยม ระบบออโต้โฟกัสใช้จุดตรวจจับคอนทราสต์ 425 จุด ซึ่ง Sony บอกว่า นี่คือระบบโฟกัสที่เร็วเป็นอันดับต้น ๆ โดยเป็นรองแค่รุ่นพี่อย่าง A6600 เท่านั้น
อีกทั้งยังมีการติดตามแบบเรียลไทม์ เพื่อการโฟกัสที่มีคุณภาพ ในระยะสั้นจะใช้อัลกอริทึมในการตรวจจับรูปแบบ เพื่อจดจำวัตถุ และเปลี่ยนจากการติดตามวัตถุ ไปเป็นการตรวจจับดวงตาได้อย่างราบรื่นและแม่นยำ ช่วยให้การโฟกัสมีความต่อเนื่องมากขึ้น สำหรับด้านหลังมีช่องมองภาพ กำลังขยาย x0.7 ช่วยให้จัดองค์ประกอบภาพได้ง่าย พร้อมกับหน้าจอทัชสกรีน ขนาด 3.0 นิ้ว ที่พับมาเซลฟี่ได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้นค่ะ ใครที่เป็น Blogger หรือ Youtuber เจ้า A6400 เหมาะสุด ๆ ค่ะ
ข้อควรพิจารณา
- ไม่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัว (มีเฉพาะที่ตัวเลนส์)
- เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019
เซนเซอร์ | 24.2MP Exmor CMOS (APS-C) |
---|---|
เมาท์เลนส์ | Sony E Mount |
ชิปประมวลผล | N/a |
ระบบโฟกัส | Fast Hybrid AF (phase detection AF/contrast detection AF) |
การถ่ายภาพ | 11 FPS |
การถ่ายวิดีโอ | 4K 30p (ไม่จำกัด) |
การเชื่อมต่อ | Micro USB / Wi-Fi / NFC / Bluetooth / Type-D HDMI / Jack 3.5mm |
อายุแบตเตอรี่ |
|
น้ำหนัก | 403 g |
ปีที่เปิดตัว | 2019 |
Canon EOS 200D Mark II (EF-S 18-55mm f/4-5.6 IS STM)

ราคา 26,900 บาท*
Canon EOS 200D เป็นกล้อง DSLR รุ่นยอดนิยม ซึ่งมาในดีไซน์ที่สวยงามตามสไตล์ DSLR เน้นความคุ้มค่า ด้วยการใช้งานในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ตัวกล้องใช้เซ็นเซอร์ APS-C ความละเอียด 24.2MP คู่กับชิป DIGIC 8 ที่มีความเร็ว และมีเทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF ช่วยให้คุณโฟกัสได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาในการบันทึกวิดีโอด้วย โดยเป็นระบบโฟกัสอัตโนมัติ 9 จุด เหมือนรุ่นเก่า ๆ พร้อมทั้งมี DPAF และโฟกัสจับดวงตาอัตโนมัติ ทำให้เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลมาก ๆ ครับ และการโฟกัส Live View นั้นก็ทำได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน มีช่องมองภาพแบบออปติคัล ครอบคลุมเฟรมถึง 95% ด้านหลังมีหน้าจอสัมผัส แบบปรับมุมได้ 3.0 นิ้ว ผ่านการเคลือบ Clear View II ซึ่งจะช่วยลดแสงสะท้อน ช่วยให้ใช้งานกลางแจ้งได้ดีขึ้น
ในด้านวิดีโอรุ่นนี้สามารถบันทึกวิดีโอสูงสุดถึง 4K Ultra HD 24p เลยทีเดียว มาพร้อมเอาต์พุต HDMI สามารถนำไปสตรีมมิงแบบสดได้ และนับเป็นครั้งแรกกับการนำฟีเจอร์ปรับผิวเรียบเนียนและครีเอทีฟ มาใส่ไว้ในกล้อง EOS DLSR ซึ่งสามารถช่วยให้คุณได้เอฟเฟกต์ตามที่ต้องการง่าย ๆ และถ่ายภาพเซลฟี่ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเชื่อมต่อกับกล้องได้ง่าย ๆ ผ่านบลูธูท หรือจะส่งภาพถ่ายไปยังมือถือของคุณ ผ่าน Wi-Fi ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว
จุดเด่น
- ถือเป็นกล้อง DLSR ที่มีขนาดเล็ก เบา พร้อมการออกแบบที่ช่วยให้จับได้ถนัดมือ
- เป็นกล้อง DSLR ที่มาพร้อมวิดีโอ 4K ในราคาถูกที่สุด
- หน้าจอ LCD มีการตอบสนองที่ดีมาก รวดเร็ว และแม่นยำ และระบบควบคุมแบบสัมผัสก็ใช้งานได้ดี
- กล้องสามารถสร้างไฟล์ JPEG ที่มีคุณภาพ ส่งตรงมาถึงคุณ
- มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สูงมาก ๆ สูงสุดถึง 1,070 ภาพต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
ข้อควรพิจารณา
- มีระบบออโต้โฟกัสเพียงแค่ 9 จุด
- ถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 5 fps เท่านั้น
- การบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K มีการครอบตัดออกไปมากพอสมควร
เซนเซอร์ | 24.1MP APS-C CMOS |
---|---|
เมาท์เลนส์ | EF and EF-S mount |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi & Bluetooth |
ภาพ / วิดีโอ | 5 fps / 4K (ครอบตัด) |
อายุแบตเตอรี่ | สูงสุด 1,070 ภาพ |
หน้าจอทัชสกรีน | |
น้ำหนัก | 449 g. |
การรับประกัน | 1 ปี |
Canon EOS 1500D Kit (EF S18-55 IS II)

ราคา 18,589 บาท*
Canon EOS 1500D กล้อง DSLR ที่เหมาะกับมือใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานการถ่ายภาพมาก่อนเลย เริ่มตั้งแต่ขนาดตัวกล้องที่เล็ก และเบา ช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างถนัด ใช้เซ็นเซอร์ APS-C CMOS ความละเอียด 24.1MP ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ตัวเดียวกับที่อยู่ในกล้องระดับสูง ประมวลผลภาพด้วยชิป DIGIC 4+ ซึ่งโดดเด่นเรื่องความรวดเร็ว ด้านหลังมาพร้อมช่องมองภาพ แบบออปติคอล ช่วยให้คุณเห็นรายละเอียดภาพทั้งหมด และจัดตำแหน่งภาพได้ง่ายขึ้น และหน้าจอ LCD ขนาด 3.0 นิ้ว ที่แสดงผลได้อย่างคมชัด ในส่วนการถ่ายภาพรุ่นนี้จะใช้ระบบออโต้โฟกัส 9 จุด พร้อม Cross-Type Sensors ทำให้สามารถโฟกัสได้อย่างแม่นยำและมีระบบ AI Servo AF ช่วยรักษาการโฟกัสให้สม่ำเสมอด้วย
นอกจากนี้ตำแหน่งปุ่มต่าง ๆ ถูกจัดวางในตำแหน่งที่ดีเยี่ยม เป็นมิตรกับผู้ใช้มาก ๆ ครับ แถมยังมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีกว่ากล้องมิเรอร์เลสหลาย ๆ รุ่นในราคานี้ด้วย และยังสามารถใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น เลนส์ EF/EF-S ปืนแฟลช และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ อีกมากมาย ถือเป็นข้อได้เปรียบหลักของกล้อง DSLR ครับ
จุดเด่น
- กล้อง DSLR ราคาประหยัด เหมาะมากสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้น
- ตำแหน่งปุ่มต่าง ๆ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้การควบคุมทำได้ง่าย
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ค่อนข้างสูง
ข้อควรพิจารณา
- มีระบบออโต้โฟกัสเพียงแค่ 9 จุด
- บันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 1080p และถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุด 3fps เท่านั้น
- หน้าจอไม่สามารถปรับเอียงได้ และไม่รองรับการสัมผัส
เซนเซอร์ | APS-C CMOS |
---|---|
เมาท์เลนส์ | Canon EF/EF-S |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi & NFC |
ภาพ / วิดีโอ | 3fps / 1080p |
อายุแบตเตอรี่ | สูงสุด 500 ภาพ |
หน้าจอทัชสกรีน | |
น้ำหนัก | 475 g. |
การรับประกัน | 1 ปี |
Fujifilm X-A7 Kit 15-45 mm.

ราคา 16,599 บาท*
Fujifilm X-A7 กล้องมิเรอร์เลส ที่ได้รับความยอดนิยมสูงมาก ๆ ด้วยหน้าตาที่เหมือนกล้องดิจิตอล ดูเรียบง่าย เล็ก กะทัดรัด แถมยังมีหลายสีให้เลือก ทำให้มันเหมาะกับมือใหม่มาก ๆ ค่ะ มีครบทั้ง ความสวยงาม และการใช้งานที่ง่ายดาย เนื่องจากปุ่มต่าง ๆ จัดวางมาเป็นอย่างดี ดูเป็นมิตรกับผู้ใช้มาก ๆ โดยรุ่นนี้มาพร้อมเซ็นเซอร์ APS-C ความละเอียด 24.2MP ที่รับแสงได้ดี ถ่ายภาพกลางคืนได้ไม่ปัญหา ทำงานคู่กับระบบออโต้โฟกัสอัตโนมัติแบบไฮบริด ที่มี 425 จุด พร้อมมี Face Detection และ Eye AF ที่จับโฟกัสได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วมาก ๆ นอกจากนี้ยังมีโหมดถ่ายรูปอัตโนมัติ AI ที่ให้ภาพสวย ๆ ได้ง่ายมาก ๆ โดยไม่ว่าใครก็ถ่ายออกมาสวยค่ะ
สำหรับรุ่นนี้ใช้ถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุด 6 ภาพ/วินาที และบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30p เลยทีเดียว แต่จะบันทึกต่อเนื่องได้แค่ 15 นาที เท่านั้นนะคะ แต่ถ้าบันทึกที่ Full HD จะบันทึกได้นาน 30 นาทีค่ะ ส่วนด้านหลังมีจอสัมผัสที่พับได้ 3.5 นิ้ว ที่คมชัด ให้สีสันตรง ไม่ผิดเพี้ยน แต่ไม่มีช่องมองภาพมาให้นะคะ นอกจากนี้ Fujifilm ยังโดดเด่นเรื่องโหมดการใช้งานด้วย โดยเฉพาะโหมดบิ้วตี้ที่ช่วยมอบสีสันเป็นธรรมชาติ สาว ๆ น่าจะชอบกันนะคะ แถมมีเชื่อมต่อไร้สาย และมีสายครบเลย มีเลนส์คิทที่อเนกประสงค์ และมี Clean HDMI ไว้ Live Streaming ด้วย สำหรับ X-A7 ที่มาแทน X-A5 ซึ่งถึงแม้ว่า มันจะเปิดตัวมานานแล้ว แต่ถ้าเทียบกับราคาในปี 2023 นี้ จะพบว่า มันคุ้มค่าสุด ๆ โดยเฉพาะกับมือใหม่
เซนเซอร์ | 24.2MP APS-C CMOS |
---|---|
เมาท์เลนส์ | X Kit 15-45 mm. |
ชิปประมวลผล | X |
ระบบโฟกัส | Face / Eye detection AF |
การถ่ายภาพ | 6 FPS |
การถ่ายวิดีโอ | 4K 30p (สูงสุด 15 นาที) |
การเชื่อมต่อ | USB-C / Wi-Fi / Bluetooth / Type D HDMI / 2.5 mm 3-pole mini jack |
อายุแบตเตอรี่ |
|
น้ำหนัก | 320 g |
ปีที่เปิดตัว | 2019 |
Nikon Z30 Mirrorless Camera Kit 16-50 mm. Lens

ราคา 25,900 บาท*
ปีก่อน ๆ เราได้เลือก Nikon Z50 มา แต่ในปี 2023 นี้ มันหาซื้อมือหนึ่งแทบไม่ได้แล้ว เนืองจากมันมีรุ่นใหม่อย่าง Nikon Z30 ที่เปิดตัวออกมาในปี 2022 โดยเป็นกล้องมิเรอร์เลส รุ่นเล็กสุดในซีรีส์ Z ที่มีราคาประหยัดที่สุด แต่มาพร้อมฟังก์ชันส่วนใหญ่ของ Z50 เลย ทั้ง เซ็นเซอร์ DX (APS-C) มีความละเอียด 20.9MP พร้อมชิปฯ Expeed 6 ที่เด่นในการรวมแสง ให้ภาพที่คมชัด สีสันสดใสแม่นยำ แม้ถ่ายในที่แสงน้อย ส่วนออโต้โฟกัสก็ใช้เป็น Hybrid AF พร้อม Eye-Detection AF ที่จับดวงตาได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ซึ่งชิป และโฟกัสได้ยกมาจากรุ่นพี่ Z6 / Z7 เลย
โดยสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุด 11 ภาพ/วินาที ส่วนการบันทึกวิดีโอยังไม่มีระบบกันสั่นมาให้เหมือนเดิม แต่จะสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30fps แบบต่อเนื่องได้ ซึ่ง Z50 บันทึกต่อเนื่องได้แค่ 30 นาที เท่านั้น ดังนั้นเหมาะมากกับสายวิดีโอครีเอเตอร์ หากิมบอลดี ๆ มาใช้คู่กันสักตัว ก็จบเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีการปรับจอสัมผัสให้เล็กลงเหลือ 3 นิ้ว และออกแบบให้พับออกด้านข้างแทน เพื่อแก้ปัญหาจากรุ่นเดิม ที่เมื่อใช้กิมบอล หรือขาตั้ง จะไม่สามารถพับจอลงได้ และก็ได้ตัดช่องมองภาพออกไป ทำให้มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบาลงค่ะ ซึ่งถ้าเทียบกันระหว่าง Z30 กับ Z50 รุ่นใหม่จะคุ้มค่ากว่ามากค่ะ
(รีวิวปี 2022) Nikon Z50 Mirrorless Camera Kit 16-50 mm. Lens
![]() |
Nikon Z50 กล้องมิเรอร์เลส ซีรีส์ Z รุ่นเริ่มต้น ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2019 และเป็นรุ่นแรกของค่ายที่ใช้เซ็นเซอร์ DX (APS-C) ในตัวกล้องตัวเล็ก มีความละเอียด 20.9MP ใช้ชิปฯ Expeed 6 ที่รวมแสงได้ดี ช่วยจับภาพที่คมชัด สีสันแม่นยำ ส่วนออโต้โฟกัส ใช้ Hybrid AF และ Eye-Detection AF ช่วยจับดวงตาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งชิปและโฟกัสยกมาจากรุ่นพี่อย่าง Z6 และ Z7 เลย คุณภาพสูงแน่นอนค่ะ โดยใช้ถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุดถึง 11 ภาพ/วินาที และบันทึกวิดีโอได้สูงสุด 4K 30fps มาพร้อมแอปฯ สำหรับการใช้งานที่สะดวกขึ้น แถมยังใช้ Live Stream ได้ด้วย ส่วนด้านหลัง ก็มีหน้าจอสัมผัส 3.2 นิ้ว แบบพับลง ใช้ถ่ายเซลฟี่ได้ พร้อมช่องมองภาพที่ชัดเจน ไว้ใช้ในที่แสงจ้า |
เซนเซอร์ | 20.9MP DX CMOS (APS-C) |
---|---|
เมาท์เลนส์ | Z mount Kit 16-50 mm. |
ชิปประมวลผล | Expeed 6 |
ระบบโฟกัส | Hybrid phase-detection/ contrast AF พร้อม Eye Detection AF |
การถ่ายภาพ | 11 FPS |
การถ่ายวิดีโอ | 4K 30p (ไม่จำกัด) |
การเชื่อมต่อ | USB-C / Wi-Fi / Bluetooth / Type D HDMI / Jack 3.5 mm |
อายุแบตเตอรี่ |
|
น้ำหนัก | 350 g |
ปีที่เปิดตัว | 2022 |
Panasonic Lumix GX9 kit 12-32 mm.

ราคา 31,990 บาท*
Panasonic Lumix GX9 กล้อง Mirrorless ประสิทธิภาพสูง ซึ่งมาในดีไซน์ที่เรียบง่าย โดดเด่นด้วยขนาดที่เล็กและเบา ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีช่องมองภาพแบบ EVF ซึ่งถูกออกแบบให้ปรับองศาในการมอง และพับเก็บได้ ทำให้พกพาได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้านหลังมีหน้าจอ LCD ทัชสกรีน ขนาด 3 นิ้ว ช่วยให้คุณใช้งานไง่ายขึ้น ในด้านการทำงานรุ่นนี้ใช้เซ็นเซอร์ Four Thirds ความละเอียด 20.3 MP แม้จะเป็นเซ็นเซอร์ที่ไม่ใหญ่ แต่ก็ตอบโจทย์สำหรับกล้องที่เน้นพกพา ด้านหลังมีการออกแบบมาเป็นอย่างดี ปุ่มกดอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แต่อาจจะค่อนข้างเล็ก ทำให้กดได้ค่อนข้างยาก มีฟังก์ชันการใช้งานครบ ช่วยให้ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมมีระบบกันสั่นไหวในตัว 4 สต็อป และการโฟกัสแบบ Contrast detect และ DFD Focus พร้อมจุดถึง 49 จุด ช่วยให้คุณสนุกไปกับการถ่ายภาพมากยิ่งขึ้น ในด้านวิดีโอรุ่นนี้มาพร้อมโหมดวิดีโอ และภาพถ่ายแบบ 4K มันจึงช่วยให้คุณสามารถที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างมีคุณภาพ ด้วยเหตุนี้เองกล้องรุ่นนี้จึงเป็นที่นิยมสำหรับอาชีพ Vloggers ทั้งหลายค่ะ
จุดเด่น
- ตัวกล้องมีดีไซน์เรียบง่าย ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ช่วยให้พกพาได้ง่ายยิ่งขึ้น
- หน้าจอสัมผัส ขนาด 3 นิ้ว แบบพลิกได้ ที่ทำงานได้อย่างลื่นไหล ตอบสนองไว
- บันทึกวิดีโอคุณภาพสูงสุดระดับ 4K และมาพร้อมโหมดภาพถ่าย 4K
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัว 4 สต็อป ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง
- ระบบโฟกัสที่ใช้เทคโนโลยี Depth From Defocus (DFD) ทำให้มีการโฟกัสที่รวดเร็วในโหมด Single AF
- Micro Four Thirds Mount มีเลนส์ราคาประหยัดหลายร้อยตัวให้มือใหม่ได้เลือกไปใช้งาน
ข้อควรพิจารณา
- แป้นหมุน และปุ่มกดต่าง ๆ สำหรับควบคุมการทำงานที่ด้านหลัง ค่อนข้างจะแออัดเกินไป ทำให้กดค่อนข้างยาก แต่ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับคนที่มีมือเล็ก ๆ
- มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างสั้น เพียง 250 ภาพ เท่านั้น
เซนเซอร์ | 20.3MP Four Thirds Live MOS |
---|---|
เลนส์เมาท์ | Micro Four Thirds |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi & Bluetooth |
ภาพ / วีดีโอ | 9fps / 4K |
อายุแบตเตอรี่ | สูงสุด 250 ภาพ |
หน้าจอทัชสกรีน | |
น้ำหนัก | 450 g |
การรับประกัน | 2 ปี |
Canon Camera EOS 90D kit 18-55 mm.

ราคา 41,900 บาท*
Canon EOS 90D กล้อง DSLR สเปกสูงที่มือใหม่สามารถนำมาฝึกฝนทักษะในการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีคุณสมบัติพื้นฐานในการถ่ายรูปครบถ้วน แถมยังสามารถต่อยอดซื้ออุปกรณ์เสริมได้ในภายหลังอีกด้วย ทำให้มันรองรับการใช้งานในระยะยาวได้สบาย ๆ มาพร้อมดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย มีปุ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ครบครัน และตำแหน่งของปุ่มต่าง ๆ อยู่ในจุดที่ลงตัว ช่วยให้ใช้งานได้อย่างสะดวก ตัวบอดี้ก็มีขนาดกะทัดรัด และน้ำหนักเบา มีบาลานซ์ที่ดีเยียม ช่วยให้ถือได้ง่าย ถนัดมือ
EOS 90D ใช้เซ็นเซอร์ APS-C ความละเอียด 32.5MP ซึ่งพัฒนาขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ทำให้มีความละเอียดสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ ในปัจจุบัน ทำงานคู่กับชิป Digic 8 ช่วยให้การประมวลผลทำได้ดีขึ้น มีทั้งความเร็ว และความแม่นยำ พร้อมใช้เทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF ที่มีออโต้โฟกัส มากถึง 45 จุด เมื่อถ่ายภาพผ่านช่องมองภาพ จะมีออโต้โฟกัสถึง 143 จุด (เลือกแบบอัตโนมัติ) และ 5,481 จุด (เลือกแบบแมนนวล) ร่วมด้วยระบบตรวจจับดวงตาอัตโนมัติ ซึ่งช่วยมอบความอิสระในการถ่ายภาพ ด้านหลังมาพร้อมหน้าจอสัมผัส 3 นิ้ว ที่ปรับมุมหน้าจอได้ ในส่วนการถ่ายภาพนิ่งและการบันทึกวิดีโอต่างก็มาพร้อมคุณสมบัติต่างๆ ที่เพียบพร้อม ถือเป็นรุ่นที่เหมาะกับทั้งมือใหม่ และมือโปรเลย บวกกับความที่รุ่นนี้เป็นกล้องรุ่นยอดนิยม ทำให้สื่อการสอน การตั้งค่าในการใช้งาน และอื่น ๆ หาได้ไม่ยาก
จุดเด่น
- ดีไซน์การออกแบบทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ด้ามจับเว้าลึก ช่วยให้จับถือได้อย่างถนัดมือ
- ปุ่มต่าง ๆ ถูกจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้ง่ายต่อการควบคุม
- เซ็นเซอร์ APS-C CMOS ความละเอียดสูงเป็นอับดับต้น ๆ ของกล้องทั้งหมดในตลาดปัจจุบัน
- มีระบบออโต้โฟกัสมีประสิทธิภาพสูง
- การภาพและการบันทึกวิดีโอ ทำได้อย่างดีเยี่ยม มีฟังก์ชันมากมายคอยช่วยเหลือ
- การบันทึกวิดีโอในระดับ 4K/30p ไม่มีการครอปตัดเลย ช่วยให้คุณได้คุณภาพของ 4K แบบเต็ม ๆ
- มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุดถึง 1,300 ภาพต่อการชาร์จ 1 ครั้ง รองรับการใช้งานทั้งวันได้อย่างสบาย
ข้อควรพิจารณา
- ระดับการลดสัญญาณรบกวนของไฟล์ JPEG เริ่มต้นยังทำได้ไม่ดีพอ
- รูปแบบวิดีโอจำกัดแค่ MP4
เซนเซอร์ | 32.5MP APS-C CMOS |
---|---|
เมาท์เลนส์ | EF/EF-S |
การเชื่อมต่อ | Wifi & Bluetooth |
ภาพ / วิดีโอ | 11fps / 4K 30p,25p |
อายุแบตเตอรี่ | สูงสุด 1,300 ภาพ |
หน้าจอทัชสกรีน | |
น้ำหนัก | 701 g. |
การรับประกัน | 1 ปี |
Olympus OM-D E-M10 Mark IV Kit 14-42 mm.

ราคา 24,490 บาท*
Olympus OM-D E-M10 Mark IV กล้องมิเรอร์เลสซีรี่ส์ E-M10 รุ่นยอดนิยมของค่าย โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ดูสุดคลาสสิค เป็นเอกลักษณ์ ปรับ Grip ใหม่เล็กน้อย ช่วยให้จับถือเข้ามือยิ่งขึ้น พร้อมอัพเกรดสเปกใหม่ ใช้เซ็นเซอร์ 4/3 Live MOS ความละเอียด 20.3MP ที่มีการยกมาจากรุ่นพี่ EM5 Mark III ช่วยมอบภาพที่มีความละเอียดที่สูง มีคุณภาพไฟล์ที่ดีขึ้น แถมยังทำให้ขนาดตัวกล้อง เลนส์ต่าง ๆ และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ขนาดเล็ก และน้ำหนักเบาลงด้วย ใน ส่วนออโต้โฟกัส High-speed imager AF และ EYE AF ก็มีการพัฒนาใหม่ เพื่อให้ติดตามได้รวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวนี้ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 15FPS และถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30p ค่ะ
ซึ่งมาพร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัวแบบห้าแกน (IBIS) ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับที่อยู่ในซีรีส์ E-M1 กล้องเรือธงที่ได้รับรางวัลของโอลิมปัส ซึ่งก็ทำงานดีมาก ๆ สามารถลากสปีดชัตเตอร์ 3-4 วินาที สบาย ๆ ค่ะ ถ่ายเส้นไฟถนน สายน้ำตกพริ้ว ๆ ได้ง่าย ๆ เลย ด้านหลังมีจอสัมผัสขนาด 3 นิ้ว ที่สามารถพลิกหน้าจอมาถ่ายเซลฟี่ได้ พร้อมกับช่องมองภาพสำหรับใช้ถ่ายในที่ที่มีแสงมาก ๆ หากคุณเป็นมือใหม่ที่ต้องการเรียนรู้เพื่อจะก้าวไปอีกขั้นของการถ่ายภาพ นี่ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมค่ะ
เซนเซอร์ | 20.3MP Micro Four Thirds MOS Sensor |
---|---|
เมาท์เลนส์ | Micro Four Thirds Mount |
ชิปประมวลผล | N/a |
ระบบโฟกัส | High-speed imager AF พร้อม EYE AF |
การถ่ายภาพ | 15 FPS |
การถ่ายวิดีโอ | 4K 30p (สูงสุด 29 นาที) |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi & Bluetooth |
อายุแบตเตอรี่ |
|
น้ำหนัก | 383 g |
ปีที่เปิดตัว | 2020 |
Nikon D5600 Kit AF-P 18-55 mm.

ราคา 30,900 บาท*
Nikon D5600 ถือเป็นรุ่นที่ออกมาทดแทนรุ่น Nikon D3500 ซึ่งได้ทำการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ออกไป และคงข้อดีเอาไว้ ทำให้รุ่นนี้มีดีไซน์ ขนาด และน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน โดยความต่างก็คือ รุ่นนี้จะมีการตัดโหมด Guide ออกไป ทำให้มันเหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์มาบ้างแล้ว และอยากพัฒนาทักษะของตัวเองเพิ่มขึ้น โดยใช้เซ็นเซอร์ CMOS APS-C ความละเอียด 24.2MP พร้อมระบบออปติคอลโลว์พาสฟิลเตอร์ ซึ่งทำให้ภาพมีคุณภาพที่ดีขึ้น แสดงผลบนหน้าจอแบบสัมผัส LCD ขนาด 3.2 นิ้ว มอบภาพที่คมชัด พร้อมทั้งสามารถพับหน้าจอได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
ด้านหลังมีช่องมองภาพแบบออปติคัล ครอบคลุมพื้นที่ 95% ของภาพ ส่วนระบบโฟกัสอัตโนมัติ มีทั้งหมดถึง 39 จุด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโฟกัสอัตโนมัติแบบรอบด้าน ครอบคลุมทั่วทั้งเฟรมได้ดีขึ้น ทำให้รุ่นนี้มีทั้งความเร็ว และความสม่ำเสมอกว่าตัวเดิม และมีการออโต้โฟกัสแบบ Live view ช่วยให้ใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น สำหรับรุ่นนี้ประสิทธิภาพโดยรวมถือว่ายอดเยี่ยมมาก และในส่วนของอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ และตัวเลือกเลนส์ก็มีอยู่มากมาย รองรับทักษะของคุณที่จะเพิ่มขึ้น ถือเป็นตัวเลือกที่ดีถ้าคุณพร้อมที่จะเรียนรู้เทคนิคขั้นที่สูงขึ้น
จุดเด่น
- ตัวกล้องมีขนาดเล็กมาก ๆ เมื่อเทียบกับ DSLR ทั่ว ๆ ไป และออกแบบมาอย่างดี ทำให้ใช้งานได้ง่ายมาก ๆ
- ช่วยมอบคุณภาพของภาพถ่ายที่ยอดเยี่ยม
- ตำแหน่งปุ่มต่าง ๆ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้มีการควบคุมที่ค่อนข้างง่าย จับถนัดมือ
- มีระบบออโต้โฟกัสมีประสิทธิภาพสูง
- หน้าจอสัมผัสมีความคมชัดสูง ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
ข้อควรพิจารณา
- บันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 1080p เท่านั้น
- การโฟกัส Live View ค่อนข้างทำได้ช้า
- ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบฟังก์ชันกับคู่แข่งค่ายอื่น ๆ
เซนเซอร์ | 24.2MP DX (APS-C) CMOS |
---|---|
เมาท์เลนส์ | Nikon F (DX) |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi, NFC, Bluetooth |
ภาพ / วิดีโอ | 5fps / 1080p |
อายุแบตเตอรี่ | สูงสุด 820 ภาพ |
หน้าจอทัชสกรีน | |
น้ำหนัก | 465 g. |
การรับประกัน | 1 ปี |
Fujifilm X-T200 Kit with 15-45 mm.

ราคา 23,200 บาท*
Fujifilm X-T200 เป็นกล้องมิลเลอร์เลสแบบไฮบริดในระดับเริ่มต้นที่ประสบความสำเร็จกว่า X-T100 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้ามาก โดยมันยังคงมุ่งเน้นให้เป็นกล้องที่มีราคาประหยัด มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาสะดวก และมีหน้าตาในสไตล์คลาสสิกที่ดูเท่ เจาะกลุ่มผู้ใช้มือใหม่โดยเฉพาะค่ะ มีการอัพเกรดกลายส่วน โดยใช้เซ็นเซอร์ APS-C ความละเอียด 24.2MP ที่มีการออกแบบใหม่ โดยไม่มีฟิลเตอร์ออปติคอลโลว์พาส ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่โดดเด่นเหนือกว่า X-T100 มอบภาพมีความคมชัดยิ่งขึ้น พร้อมกับมีรายละเอียดและคอนทราสต์ที่กว้าง มีระบบ AF แบบไฮบริด ซึ่งมีจุดตรวจจับเฟส แบบเซ็นเซอร์ 425 จุด เพื่อช่วยให้คุณโฟกัสไปที่สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการตรวจจับใบหน้าและดวงตานั้นก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม ในด้านการบันทึกวิดิโอรุ่นนี้ทำได้ดีไม่แพ้กัน โดยสามารถบันทึกวิดีโอสูงสุดที่ระดับ 4K 30p อีกทั้งยังสามารถถ่ายภาพวิดีโอ HDR ได้ด้วย และมีความสามารถในการตัดต่อวิดีโอในกล้องด้วย แสดงผลบนหน้าจอสัมผัสขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งมอบภาพที่คมชัด พร้อมช่องมองภาพ 2.36 ล้านจุด ช่วยให้คุณมองเห็นได้ชัดขึ้น ถือเป็นกล้องในกลุ่มระดับเริ่มต้น ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น
จุดเด่น
- ตัวกล้องราคาประหยัด มาในดีไซน์ย้อนยุค ขนาดกะทัดรัด แถมน้ำหนักเบา
- หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 3.5 นิ้ว 2.78 ล้านจุด และช่องมองภาพ 2.36 ล้านจุด มอบภาพที่คมชัด สีสันสดใส
- ออโต้โฟกัสแบบไฮบริดเฟส และคอนทราสต์ 425 จุด มอบประสิทธิภาพการโฟกัสอัตโนมัติที่ไว้วางใจได้
ข้อควรพิจารณา
- จอยสติ๊กไม่ได้ถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่ดี เมื่อใช้ช่องมองภาพ ทำให้ควบคุมได้ยาก
- มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างต่ำ เพียง 270 ภาพ เท่านั้น
เซนเซอร์ | 24.2MP APS-C CMOS |
---|---|
เมาท์เลนส์ | FUJIFILM X mount |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi, Bluetooth |
ภาพ / วิดีโอ | 8fps / 4K,30p |
อายุแบตเตอรี่ | สูงสุด 270 ภาพ |
หน้าจอทัชสกรีน | |
น้ำหนัก | 370 g |
การรับประกัน | 1 ปี |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
ตารางเปรียบเทียบ รีวิว 11 กล้องถ่ายรูป ที่ดีที่สุด สำหรับมือใหม่ ปี 2023 | ||||
---|---|---|---|---|
ยี่ห้อ/รุ่นสินค้า | คุณสมบัติ | ดูเพิ่มเติม | ||
Canon EOS M50 Mark II (EF-M15-45mm f/3.5-6.3 IS STM) กล้องมิลเลอร์เลส สาย Vlogger |
| |||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
|
บทสรุปในการเลือกซื้อ กล้องถ่ายภาพ ให้เหมาะกับคุณ !
สิ่งที่คุณควรพิจารณาเป็นอันดับแรกเมื่อต้องเลือก กล้องถ่ายรูป นั่นก็คือ ความต้องการในการใช้งานค่ะ รวมถึงการเลือกจากงบประมาณที่เรามีด้วย ก็อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่า กล้องแต่ละตัว มันมีจุดเด่นที่ต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณเลือกรุ่นที่เหมาะสม มันก็จะช่วยให้ทำได้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนการกำหนดงบประมาณ มันก็จะช่วยทำให้เรามีตัวเลือกลดน้อยลง ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และสุดท้ายที่เราอยากให้คุณนำมาพิจารณาด้วยก็คือ แบรนด์ และฟังก์ชันพิเศษที่คุณต้องการ ในเรื่องของแบรนด์ ถ้าเป็นแบรนด์ชั้นนำ แน่นอนค่ะว่า อย่างแรกเราสามารถมั่นใจในคุณภาพได้ และที่สำคัญมันก็มีอุปกรณ์เสริมมากมายให้เราได้นำมาใช้งาน ส่วนฟังก์ชันพิเศษก็เลือกตามที่คุณต้องการได้เลย เราไม่สามารถตอบคุณได้ว่า อันไหนดี หรือไม่ดี คุณต้องตัดสินเองค่ะ และนี่ก็คือ กล้องรุ่นที่เราคิดว่ามันคุ้มค่าที่สุดและเหมาะสำหรับความต้องการในแบบต่าง ๆ ดังนี้
1. กล้องที่ดีที่สุด สำหรับผู้ที่มีงบประมาณไม่สูงมากนัก
หากคุณมีงบประมาณจำกัด และอยากจะถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป ไม่ได้เน้นใช้งานเทคนิค หรือการเล่นแสงเงาอะไรมากนัก ขอแนะนำเป็นกล้อง Mirrorless รุ่นเริ่มต้นที่มีฟังก์ชันพื้นฐานครบครัน อย่าง Fujifilm X-A7, Fujifilm X-T200 และ Canon EOS M50 II ได้ ซึ่งมีฟังก์ชันคุ้มค่า คุ้มราคามาก ๆ แต่ถ้าต้องการที่จะศึกษาการถ่ายภาพอย่างจริงจัง ควรเลือกกล้อง DSLR อย่าง Canon EOS 1500D ค่ะ นี่เป็นอีกตัวเลือก ที่น่าสนใจเช่นกัน แม้ราคาจะสูงขึ้นมาหน่อยแต่ก็คุ้มค่าค่ะ
![]() | Canon EOS 1500D Kit (EF S18-55 IS II) | |
![]() | Fujifilm X-A7 Kit 15-45 mm. | |
![]() | Fujifilm X-T200 Kit with 15-45 mm. | |
![]() | Canon EOS M50 Mark II (EF-M15-45mm f/3.5-6.3 IS STM) กล้องมิลเลอร์เลส สาย Vlogger |
2. กล้องที่ดีที่สุด สำหรับคนที่เน้นความสะดวกในการพกพาเป็นหลัก
ถือคุณชื่นชอบการเดินทางไปท่องเที่ยว และต้องการกล้องที่สะดวกในการพกพา เราขอแนะนำเป็นกล้อง Mirrorless ที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา มีฟังก์ชันพื้นฐานครบครัน ตอบโจทย์ทั้งภาพนิ่งและวิดีโออย่าง Panasonic Lumix GX9, Sony Camera A6400 และ Nikon Z50 แต่ถ้าต้องการจะศึกษาการถ่ายภาพอย่างจริงจังด้วยควรเลือกกล้อง DSLR อย่าง Canon EOS 200D Mark II ที่มีบอดี้เล็กกว่ากล้อง DSLR ทั่ว ๆ ไป
![]() | Canon EOS 200D Mark II (EF-S 18-55mm f/4-5.6 IS STM) | |
![]() | Sony Camera A6400 Kit 16-50 mm. | |
![]() | Panasonic Lumix GX9 kit 12-32 mm. | |
![]() | Nikon Z30 Mirrorless Camera Kit 16-50 mm. Lens |
3. กล้องที่ดีที่สุด สำหรับผู้ที่หลงรักในกล้องคลาสสิค
เราขอแนะนำเป็น Olympus OM-D E-M10 Mark IV ค่ะ หรือไม่ก็ Fujifilm X-T200 ก็ได้ ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมมายาวนาน เน้นสไตล์คลาสสิค แต่ผสานมาด้วยการใช้งานที่ง่ายขึ้น
บทสรุปกล้องตัวไหนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เริ่มเล่นกล้อง ?
เป็นคำถามที่ตอบยากมากเหมือนกันนะคะ เนื่องจากตอนนี้มันมีหลากหลายแบรนด์ที่ผลิตกล้องออกมาได้ดีไม่แพ้กัน แต่หากคุณเป็นมือใหม่ในวงการการถ่ายภาพเราขอแนะนำเป็น Nikon D5600 และ Canon EOS M50 Mark II ซึ่งทั้งคู่ ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ หากคุณอยากจะจริงจังในด้านการถ่ายภาพ การเริ่มจากกล้อง DSLR มันจะเป็นพื้นฐานให้กับคุณได้ดีกว่าค่ะ ถ้าคุณเล่นกล้อง DSLR ได้ กล้องประเภทอื่น ๆ จะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที และเหตุผลที่เรายกให้สองรุ่นนี้ก็คือ ตัวบอดี้ไม่ได้ใหญ่ และหนักจนเกินไป เมนูการใช้งาน อินเตอร์เฟสต่าง ๆ ดูเป็นมิตรกับผู้ใช้ และนอกจากนั้นกล้องทั้งสองตัวนี้ยังมาจากแบรนด์ชั้นนำ ฉะนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่า มันจะไม่มีอะไรสอนคุณ เพราะทั้งคู่ยังมีเลนส์ และอุปกรณ์เสริมอีกนับร้อยนับพันให้คุณได้เลือกเล่นค่ะ
เคล็ดลับการถ่ายภาพที่สำคัญ สำหรับมือใหม่ !
การที่มีกล้องระดับท๊อปอยู่ในมือแต่ใช้งานไม่เป็น ภาพที่ได้มันก็จะไม่ต่างไปจากกล้องทั่ว ๆ ไปค่ะ แต่กลับกันหากกล้องธรรมดา ตกไปอยู่ในมือช่างภาพมืออาชีพ ภาพที่ได้กลับสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นไม่ว่าในมือคุณจะถือกล้องอะไรอยู่ก็ตาม แต่หากมีเทคนิคดี ๆ คุณก็สามารถที่จะสร้างภาพที่สมบูรณ์แบบออกมาได้ค่ะ และนี่ก็คือ 20 เคล็ดลับการถ่ายภาพที่สำคัญ ที่คุณต้องรู้ค่ะ !
1. เรียนรู้ การถือกล้อง อย่างถูกต้อง
อาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่มีช่างภาพมือใหม่หลาย ๆ คน ถือกล้องไม่ถูกต้อง ซึ่งทำให้คุณขาดบาลานซ์ ไม่นิ่ง เป็นสาเหตุส่งผลให้กล้องสั่น และภาพที่คุณถ่ายก็จะเบลอ ฉะนั้นอันดับแรกเลย เมื่อมีกล้องคุณต้องฝึกถือให้มั่นคงก่อน โดยคุณควรถือกล้องด้วยมือทั้งสองข้างเสมอ จับด้านขวาของกล้องด้วยมือขวา และวางมือซ้ายไว้ใต้เลนส์ เพื่อรองรับน้ำหนักของกล้อง ช่วยเพิ่มความมั่นคง หากกล้องของคุณมีช่องมองภาพ ให้คุณมองผ่านช่องมองภาพ มันจะทำให้คุณถือได้ง่าย และมั่นคงขึ้นค่ะ นอกจากนี้หากคุณต้องการความมั่นคงเพิ่มขึ้น คุณสามารถพิงเสาหรือคุกเข่าลงได้ แต่ถ้าไม่มีตัวช่วยท่าทางการยืนที่กว้างขึ้นก็ช่วยได้เช่นกันค่ะ
2. รู้จัก RAW หรือไฟล์ดิบของกล้อง
ภาพสวย ๆ ที่คุณเห็นจากช่างมืออาชีพ เกือบทุกภาพล้วนผ่านการปรับแต่งมาจากซอฟต์แวร์แทบทั้งสิ้น เพื่อให้ได้ภาพที่มันสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะเราไม่สามารถจะกำหนดแสงสี หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ของภาพทั้งหมดได้ ดังนั้นการตกแต่งภาพจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด และเพื่อให้การตกแต่งภาพออกมาสมบูรณ์แบบคุณต้องรู้จักการใช้ไฟล์ดิบของกล้องค่ะ
RAW* เป็นสกุลไฟล์รูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกันกับ JPEG* ที่เรารู้จักกันดีค่ะ แต่ RAW* จะมีความโดดเด่นกว่าตรงที่ มันจะทำการบันทึกข้อมูลทั้งหมดของภาพที่ได้จากเซ็นเซอร์กล้องโดยที่ไม่มีการบีบอัดหรือถูกย่อแบบ JPEG* ซึ่งมันทำให้เราได้ไฟล์ภาพที่มีคุณภาพสูงเต็มประสิทธิภาพของกล้อง ช่วยให้คุณสามารถนำภาพมาปรับแต่งและแก้ไขต่อได้ โดยที่ภาพไม่เสียหาย แต่มันก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกันค่ะ อย่างแรกเลยขนาดไฟล์ภาพจะใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจทำให้กินพื้นที่หน่วยความจำมากยิ่งขึ้น และอีกอย่างหนึ่งก็คือ RAW* มันเป็นไฟล์ดิบของกล้อง มันไม่ใช่ไฟล์รูปภาพที่อุปกรณ์อื่น ๆ รู้จัก ฉะนั้นคุณจะไม่สามารถเปิดไฟล์ในโปรแกรมดูภาพทั่วไปได้ ทุกภาพที่คุณบันทึกเป็น RAW* คุณจะต้องใช้ซอฟต์แวร์ เพื่อแก้ไขภาพ และบันทึกไฟล์ใหม่ออกมาค่ะ
3. เรียนรู้การตั้งค่าสิ่งต่าง ๆ
การตั้งค่าของกล้องมีรายละเอียดมากมาย และคุณจะต้องรู้ความหมายของค่าต่าง ๆ เหล่านั้น ซึ่งคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็ได้ค่ะ รู้แต่สิ่งที่สำคัญก็เพียงพอแล้ว เพราะการตั้งค่าบางอย่างแม้แต่ช่างภาพที่มีประสบการณ์สูง ๆ บางคน ยังไม่รู้เลย โดยการที่คุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับการตั้งค่าต่าง ๆ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ออกจากโหมด Auto ก่อน เพราะหากคุณใช้โหมดอัตโนมัติคุณจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะกล้องจะทำทุก ๆ อย่างแทนคุณ ฉะนั้นถ้าหากคุณอยากพัฒนาขึ้นคุณก็ต้องฝึกใช้โหมดธรรมดาให้เป็นค่ะ ในช่วงแรก ๆ อาจจะสับสน ภาพที่ถ่ายออกมา อาจจะมีมืดหรือมีสว่างไปบ้าง มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อคุณผ่านช่วงแรกไปได้แล้ว คุณจะเข้าใจการถ่ายภาพมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ
4. ทำความเข้าใจ “สามเหลี่ยมการเปิดรับแสง”
สำหรับคำว่า “สามเหลี่ยมการเปิดรับแสง” นั้น มันหมายถึงองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ ของการถ่ายภาพ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการจัดองค์ประกอบของภาพ จะมีการตั้งค่าหลัก 3 อย่าง ซึ่งมีผลต่อการรับแสงประกอบด้วย ISO, รูรับแสง และความเร็วชัตเตอร์ เมื่อคุณถ่ายภาพในโหมดแมนนวลคุณจำเป็นจะต้องปรับสมดุลทั้ง 3 สิ่งนี้ เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม
4.1) ISO : เป็นการควบคุมความไวแสงของกล้อง ซึ่งถ้าเรา ตั้งค่า ISO ต่ำ กล้องก็จะมีความไวต่อแสงน้อยลง แต่ถ้าหากเรา ตั้งค่า ISO สูง กล้องก็จะไวต่อแสงมากขึ้น นอกจากนั้นคุณภาพของภาพจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อ ISO เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคุณอาจจะเห็นได้จากจุดรบกวนที่เกิดขึ้นบนภาพมากขึ้น โดยปกติแล้วการตั้งค่า ISO ที่ 100 ถึง 200 มันจะเหมาะกับการถ่ายภาพกลางแจ้ง แต่ถ้าหากคุณต้องการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อยหรือตอนกลางคืน คุณก็ต้องใช้ค่า ISO ที่สูงขึ้น อาจจะ 400 ถึง 800 หรือสูงกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแสง
คำแนะนำ ถ้า มีแสงมาก ให้คุณ ปรับ ISO ต่ำ แต่ถ้า มีแสงน้อย ให้คุณ ปรับ ISO สูง
4.2) รูรับแสง : เป็นช่องที่อยู่ในเลนส์ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่ผ่านเข้ามายังเซ็นเซอร์ของกล้อง ตลอดจนระยะชัดลึก หรือพื้นที่รอบจุดโฟกัสของภาพ รูรับแสงกว้าง (ค่า f ที่ต่ำ) ช่วยให้แสงสามารถผ่านเข้ามาได้มากขึ้นแต่ทำให้มีระยะชัดลึกแคบลง (ฉากหลังละลาย) ในขณะที่ รูรับแสงแคบ (ค่า f ที่สูง) ช่วยให้แสงสามารถผ่านเข้ามาได้น้อยลง แต่ระยะชัดลึกจะกว้างขึ้น (ฉากหลังคมชัด)
คำแนะนำ หากคุณต้องการถ่ายภาพ หน้าชัดหลังเบลอ คุณต้อง ปรับค่า f ให้ต่ำ แต่ถ้าจะให้ ทุกส่วนของภาพมีความคมชัด คุณต้อง ปรับค่า f ใหสูง ค่ะ
4.3) ความเร็วชัตเตอร์ : มีหน้าที่ควบคุมระยะเวลาที่ชัตเตอร์เปิดตอนที่คุณกดถ่ายภาพ ซึ่งยิ่งชัตเตอร์ถูกเปิดนานเท่าไหร่ แสงก็จะยิ่งสามารถผ่านไปหาเซ็นเซอร์ได้มากขึ้นเท่านั้น สำหรับความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วนั้น สามารถใช้ถ่ายวัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว ๆ ให้ภาพออกมามีความคมชัดได้ เนื่องจากพอกดชัตเตอร์ปุ๊บ มันก็เก็บภาพเลย แต่กลับกัน การใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่นานขึ้น ทำให้วัตถุที่เคลื่อนไหวนั้นเบลอ เนื่องจากมีการรับแสงอยู่ตลอดเวลาจนกว่ากล้องจะเก็บภาพ
คำแนะนำ คุณเคยเห็น ภาพที่แสงไฟจากรถวิ่งเป็นเส้นบนถนน กันไหมค่ะ ? ช่างภาพมืออาชีพก็ใช้เทคนิคการปรับค่าในส่วนนี้ โดยการ ปรับความเร็วชัตเตอร์ให้นานขึ้น เพื่อให้กล้องรับแสงจากรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมาและใช้ขาตั้งกล้องเป็นตัวช่วย เนื่องจากมันต้องทำให้กล้องอยู่นิ่งที่สุด มิเช่นนั้นภาพอาจเบลอได้
![]() | ขาตั้งกล้อง Andoer สำหรับกล้อง DSLR/Mirrorless | |
![]() | ขาตั้งกล้อง THaiLee Tripod 3110 | |
![]() | ขาตั้งกล้อง Andoer สำหรับ CA-Non SO-NY Ni-Kon กล้อง DSLR สำหรับสมาร์ทโฟน | |
![]() | ขาตั้งกล้อง Manfrotto PIXI Plus Tripod Mini |
5. เล่นกับ รูรับแสง (Aperture)
“รูรับแสง” หรือ “ค่า f” มีหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่ผ่านเข้ามายังเซ็นเซอร์ อย่างที่เราได้อธิบายแล้ว โดยปกติการถ่ายภาพของคนทั่วไป ส่วนใหญ่ก็จะเน้นการถ่ายภาพบุคคล และการถ่ายภาพวิวเท่านั้น ซึ่งถ้าคุณรู้จักการเล่นกับ ค่ารูรับแสงมันจะทำให้การถ่ายภาพบุคคล และการถ่ายภาพวิวออกมามีความพิเศษมากขึ้น
5.1) การทำให้แบบเด่นออกมาจากภาพ : เมื่อถ่ายภาพระยะใกล้ คุณควรทำให้แบบ เป็นจุดสนใจหลักของภาพ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ ดอกไม้ หรือวัตถุใด ๆ ก็แล้วแต่ ซึ่งสิ่งที่คุณต้องทำคือ ใช้รูรับแสงที่กว้าง (ปรับ f ลง) ซึ่งวิธีนี้จะทำให้วัตถุของคุณคมชัดในขณะที่ฉากหลังมีความเบลอเกิดขึ้น โดยจะให้เบลอมากหรือน้อยก็อยู่ที่ “ค่า f”
5.2) การถ่ายภาพทิวทัศน์ : เทคนิคคือคุณต้องเก็บรายละเอียดทั้งหมดให้ได้ ซึ่งการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่ดีต้องใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป เนื่องจากทุกอย่างตั้งแต่หินที่อยู่ด้านหน้าเรา ไปจนถึงภูเขาลูกที่ซึ่งอยู่ไกลสุดในฉาก ทุกส่วนควรอยู่ในโฟกัสที่คมชัด ดังนั้นทุกครั้งที่คุณต้องการให้องค์ประกอบทั้งหมดดูคมชัด สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ใช้รูรับแสงที่แคบ (ปรับ f ขึ้น)
6. เรียนรู้การใช้ โหมด A และโหมด S
หากใครที่รู้สึกท้อ รู้สึกสับสนจากการใช้ โหมด M หรือโหมดแมนนวล ให้ลองเปลี่บนมาใช้ โหมด Aperture Priority Mode (A หรือ Av) และ โหมด Shutter Priority Mode (S หรือ Tv) ก่อนได้ค่ะ โดยทั้งสองโหมดนี้เป็นสองตัวเลือกที่มีประโยชน์มาก ซึ่งมีอยู่ในกล้องแทบทุกรุ่น ซึ่งมันสามารถช่วยให้คุณควบคุมได้มากกว่าโหมดออโต้ แต่มีความซับซ้อนน้อยกว่าโหมดแมนนวลค่ะ ช่วยให้คุณใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น
6.1) โหมด A หรือ Av ช่วยให้คุณสามารถเลือกรูรับแสงที่คุณต้องการใช้ได้ จากนั้นกล้องจะปรับความเร็วชัตเตอร์ให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ เช่น หากคุณกำลังจะถ่ายภาพบุคคล และต้องการจะเบลอฉากหลัง คุณสามารถปรับรูรับแสงให้กว้าง แล้วปล่อยให้กล้องไปปรับความเร็วชัตเตอร์ให้เอง คุณก็จะได้ภาพที่สมบูรณ์แบบแล้วค่ะ
6.2) โหมด S หรือ Tv ช่วยให้คุณได้เลือกความเร็วชัตเตอร์ที่คุณต้องการใช้ จากนั้นกล้องก็จะเลือกรูรับแสงให้คุณอัตโนมัติ เช่น หากคุณต้องการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วให้ชัดเจน โหมดนี้คุณสามารถเลือกความเร็วของชัตเตอร์ให้สูงได้ และตัวกล้องจะไปเลือกรูรับแสงที่เหมาะสมให้คุณเองค่ะ
7. เรียนรู้การปรับ สมดุลสีขาว (White Balance)
ไวต์บาลานซ์ สามารถช่วยลดความเพี้ยนของสี ทำให้คุณจับภาพสีได้อย่างแม่นยำ ตรงกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น ใช้แก้ปัญหาเวลาที่คุณถ่ายภาพในสถานที่ที่มีแสงสีอื่น แล้วมันมาทำให้สีในภาพของคุณเพี้ยน เช่น ถ่ายภาพจากห้องที่มีหลอดไฟสีเหลือง ซึ่งถ้าคุณไม่ได้ปรับสมดุลสีขาว ภาพที่ได้ทุกภาพก็จะออกไปในโทนสีเหลือง รวมถึงสีทุกอย่างที่อยู่ในภาพก็จะออกสีเหลืองด้วย มันก็จริงอยู่ที่คุณสามารถแก้ไขไวต์บาลานซ์ในภายหลังได้ ซึ่งแน่นอนถ้ามันมีอยู่แค่ไม่กี่ภาพ ก็คงไม่เป็นไรค่ะ แต่ทุกคนถ่ายภาพครั้งนึงอย่างน้อยต้องมีเป็นร้อยภาพ ซึ่งถ้าต้องมานั่งปรับนั่งแก้กันที่ละภาพมันก็คงเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ๆ ฉะนั้นมันจะเป็นการดีกว่าถ้าคุณปรับให้มันถูกต้องซะตั้งแต่ในกล้อง ซึ่งในกล้องแต่ละรุ่นก็จะมีการตั้งค่า ไวต์บาลานซ์ที่ต่างกันฉะนั้นคุณสามารถดูได้จากคู่มือค่ะ
8. เรียนรู้การอ่าน ฮิสโตแกรม (Histogram)
หากคุณต้องการทราบว่า ภาพนั้นมีแสงตรงตามที่คุณต้องการหรือไม่ ? เราขอเตือนว่า คุณไม่สามารถเชื่อภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอ LCD ของกล้องได้ เนื่องจากแสงที่อยู่ภายนอกอาจทำให้ภาพดูสว่างหรือมืดไปกว่าความเป็นจริง ก็เหมือนกับตอนที่เราใช้สมาร์ทโฟนกลางแจ้งนั่นแหละค่ะ มันจะทำให้เรามองเห็นได้ยากขึ้น ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับใช้ในการตรวจสอบการเปิดรับแสงอย่างแม่นยำก็คือการใช้ฮิสโตแกรมของกล้อง ซึ่งจะเป็นกราฟเล็ก ๆ ที่แสดงถัดจากภาพของคุณ
แม้การเรียนรู้ที่จะตีความกราฟฮิสโตแกรมจะใช้เวลาและต้องฝึกฝนมากพอสมควร แต่คำอธิบายสั้น ๆ ของมัน ช่วยให้คุณรู้ข้อมูลเกี่ยวกับช่วงของแสงที่มีอยู่ในภาพได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งมันมีประโยชน์สำหรับการถ่ายภาพของคุณ โดยการอ่านในเบื้องต้นคือ หากกราฟเทไปทางด้านซ้าย มันแสดงถึง สีดำหรือเงา หมายถึง ภาพของคุณมืด ซึ่งคุณอาจจะเปิดรับแสงน้อยเกินไป แต่ถ้าหากกราฟเทไปทางด้านขวา แสดงถึง สีขาว หรือแสง หมายถึง ภาพของคุณสว่าง คุณอาจจะเปิดรับแสงมากเกินไป ซึ่งคุณสามารถไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมต่อได้ เพราะการถ่ายภาพในแต่ละแนว ก็จะมีกราฟที่เหมาะสมอยู่ สิ่งเหล่านี้มันจะช่วยให้คุณสามารถถ่ายภาพได้ดีขึ้นค่ะ
9. เล่นกับมุมมองของภาพ
เมื่อคุณอ่านมาถึงข้อนี้ มันก็หมายความว่า คุณพอที่จะรู้เรื่องการตั้งค่าต่าง ๆ ของกล้องไปบ้างแล้ว ซึ่งการตั้งค่าเหล่านี้มันจะช่วยให้คุณสามารถปรับค่ากล้องของคุณให้เหมาะสมกับสภาพแสงได้ ทำให้คุณสามารถถ่ายภาพโดยที่มีแสงตามที่คุณต้องการ สิ่งต่อมาที่คุณต้องมีคือ การสร้างสรรค์ภาพถ่าย ซึ่งคุณจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น ลองใช้มุมมองใหม่ ๆ ถึงแม้จะถ่ายจากฉากเดียวกัน แต่เมื่อคุณเปลี่ยนมุมมองภาพที่ได้อาจดูแตกต่างกันมาก ฉะนั้นคุณสามารถลองถ่ายในมุมอื่น ๆ ได้ เช่น ด้านบน ด้านล่าง หรือด้านข้าง เป็นต้น จริงอยู่ค่ะว่า ไม่ใช่ทุกมุมที่จะใช้ได้กับทุกภาพ แต่คุณก็จะไม่มีทางรู้เลยหากคุณไม่ทดลองก่อน อย่างเช่น การถ่ายภาพเด็ก ๆ หากคุณยืนถ่าย ในภาพก็จะมีแต่เด็กแล้วก็พื้น แต่หากคุณลองเปลี่ยน ลงไปถ่ายในระดับเดียวกับเด็ก ภาพที่ได้ก็จะมีเด็ก กับฉากหลังที่สวยงามค่ะ
10. ทำความเข้าใจ “กฎสามส่วน (Rule of Third)”
“กฎสามส่วน” ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า รูปภาพจะน่าสนใจกว่า และจะมีความสมดุลมากขึ้น เมื่อวัตถุไม่ได้อยู่กึ่งกลาง ส่วนการนำมาปรับใช้ก็ง่าย ๆ ค่ะ ให้คุณลองวาดตาราง 9 ช่อง (เหมือนเกม XO) ใช้เส้นแนวตั้ง 2 เส้น และเส้นแนวนอน 2 เส้น มันก็จะได้ 9 ช่องเท่า ๆ กัน คุณจะพบกับจุดที่เส้นลากไปตัดกันทั้งหมด 4 จุด หากคุณจะทำตามกฎสามส่วนนี้ แทนที่คุณจะวางวัตถุไว้ตรงกลางของภาพ ก็ให้เปลี่ยนมาวางไว้ที่จุดตัดจุดใดจุดหนึ่งแทนค่ะ ซึ่งกฏนี้จะทำให้ภาพของคุณ มีสมดุลมากขึ้นค่ะ ในปัจจุบันกล้องรุ่นใหม่ ๆ เกือบทุกรุ่น มาพร้อมฟังก์ชัน กริด (Grid) ซึ่งคุณสามารถเปิดใช้งานได้ ซึ่งมันจะช่วยให้คุณจัดวางตำแหน่งได้มากขึ้นค่ะ
คำแนะนำ แน่นอนค่ะว่า การถ่ายภาพมันเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน ฉะนั้นคุณไม่จำเป็นที่จะต้องเคร่งในกฏตลอดเวลา แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มมองข้ามกฎนี้ไป สิ่งสำคัญก็คือ คุณต้องเข้าใจการจัดวางภาพก่อนและต้องนึกถึงจุดที่คุณต้องการเน้นอย่างมีสตินะคะ
11. ดวงตา ควรอยู่ในโฟกัสเสมอ
ดวงตา สามารถสื่อสารกับผู้ที่ได้รับชมภาพได้ และมักเป็นจุดแรกที่ผู้ชมภาพจะไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพระยะใกล้ เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ ดวงตาของตัวแบบ ควรเป็นจุดโฟกัสหลักในภาพของคุณเพื่อให้ดวงตาของแบบดูดีและมีความคมชัด
คำแนะนำ ให้คุณเลือกจุดโฟกัสจุดเดียวและเล็งไปที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่งของแบบ เมื่อโฟกัสดวงตาแรกแล้ว ก็ให้คุณกดปุ่มชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่ง จากนั้นขยับกล้องเล็กน้อยเพื่อจัดองค์ประกอบภาพใหม่ และรวมดวงตาทั้งสองไว้ด้วยกัน และถ้าจะให้ภาพดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น คุณต้องให้ดวงตาของแบบ ส่งอารมณ์ที่คุณต้องการออกมาให้มากที่สุดค่ะ
12. ให้ความสนใจกับพื้นหลัง
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว พื้นหลังของภาพมันควรเรียบง่าย และไม่ดูเกะกะมากเกินไป เพื่อที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ที่ได้ชมภาพไปจากแบบของภาพ ดังนั้นการเลือกพื้นหลังที่มีสีอ่อน ๆ ดูไม่โดดเด่นเกินไป มันมักเป็นทางเลือกที่ดีที่จะทำให้สิ่งที่คุณต้องการเด่นออกมาจากภาพ ซึ่งถ้าหากพื้นหลังไม่เป็นตามต้องการคุณก็แค่ขยับตัวแบบ หรือเปลี่ยนมุมของคุณ แต่ถ้าไม่ได้ผลอีก คุณต้องบดบังฉากหลังโดยใช้รูรับแสงที่กว้างขึ้นและเข้าไปใกล้ ๆ แบบของคุณให้มากขึ้น แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ทำได้ให้พยายามเลือกฉากหลังที่มีสีเป็นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณวางแบบไว้ที่ด้านข้างของภาพและมองเห็นพื้นหลังได้ชัดเจน เพื่อที่แบบจะไม่ถูกกลืนหายไป
13. ช่วงเวลา เช้า และ เย็น
การจัดแสง สามารถเป็นได้ทั้งการสร้าง และการทำลายค่ะ ฉะนั้นสิ่งที่คุณควรทำก็คือ การฝึกจัดแสง โดยในช่วงเช้าตรู่และในช่วงเย็นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกถ่ายภาพ เนื่องจากดวงอาทิตย์จะอยู่ต่ำกว่าท้องฟ้า ซึ่งทำให้คุณได้แสงที่นุ่มนวล และอุ่นขึ้น จัดแสงได้ง่าย ซึ่งในการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ในช่วงนี้ หลาย ๆ คน มักจะเรียกว่า “ชั่วโมงทอง” ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะถ่ายภาพทิวทัศน์ ภาพบุคคล หรือภาพอื่น ๆ การที่คุณใช้แสงอ่อน ๆ ในตอนเช้า หรือตอนเย็น ก็สามารถทำให้ภาพถ่ายของคุณดูปลอดโปร่งด้วยแสงสีเรืองรอง บวกกับเงาที่ทอดยาวอยู่ด้านหลังทำให้ภาพดูมีมิติมากขึ้นค่ะ และแน่นอนว่าชั่วโมงทองไม่ใช่ช่วงเวลาเดียว ที่คุณจะได้ภาพถ่ายกลางแจ้งที่ดี แต่ชั่วโมงทองมันสามารถทำให้การถ่ายภาพสวย ๆ นั้นง่ายขึ้น มันจึงเหมาะสำหรับมือใหม่ค่ะ
14. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ แสง
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนที่สำคัญที่สุดของการถ่ายภาพก็คือ แสง หากคุณมีการจัดแสงที่ดี คุณก็จะได้รูปที่ดีออกมาเช่นกัน แต่อะไรคือแสงหรือความสว่างที่ดี? แน่นอนค่ะว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นหรือตกเพียงอย่างเดียว การจัดที่เหมาะสม มันช่วยสร้างความสมดุลระหว่างความเข้มแสงของแบบกับพื้นหลัง คุณต้องดูทิศทางของแสงให้ออกและรู้จักการใช้แสงจากธรรมชาติให้เป็น หลาย ๆ คนน่าจะเคยถ่ายภาพย้อนแสงกันมาบ้างแล้ว ซึ่งก็น่าจะทราบกันดีว่าภาพออกมามันเป็นยังไง การแก้ปัญหาก็ง่าย ๆ ค่ะ ก็คือ เปลี่ยนมุมในการถ่ายภาพ เพราะมือใหม่ไม่ควรไม่สู้กับแดดค่ะ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอีกมากมายที่คุณสามารถใช้ประโยชน์จากแสงแดดเหล่านี้ค่ะ
คำแนะนำ เทคนิคที่ง่ายที่สุดเลย ก็คือ พยายามเล็งให้แสงแดดตกมาสะท้อนกับเส้นผมของแบบเล็กน้อยค่ะ ซึ่งแสงแดดที่ตกกระทบกับเส้นผม มันจะทำให้เส้นผมดูเปล่งประกายค่ะ ส่งผลให้แบบดูเด่นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คุณสามารถปรับมุมมองในการถ่ายภาพได้ด้วย ทางที่ดีลองหลาย ๆ มุมค่ะ บางทีคุณอาจจะเจอสิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้
15. พยายามเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด
ต่อจากข้อ 14 ค่ะ การยืนถ่ายรูปอยู่กับที่มันไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย ใช่ค่ะในจุดนั้นรูปแรกคุณอาจจะถ่ายออกมาได้สวยมาก ๆ แต่รูปที่ถ่ายต่อ ๆ มา มันก็จะเหมือนกันหมด การถ่ายภาพที่ดีคุณต้องเคลื่อนไหวไปเรื่อย ๆ ค่ะ เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า จุดไหนที่มันมีแสงลงตัว หรือจุดไหนที่แบบดูดีที่สุด นอกจากคุณจะได้ลองด้วยกล้องของคุณเอง การย้ายตำแหน่งการยืน บวกกับการเปลี่ยนมุมกล้องมันจะช่วยให้คุณได้ภาพที่สมบูรณ์ได้ไม่ยากค่ะ
16. พูดคุยกับช่างภาพคนอื่น ๆ
การพบปะกับช่างภาพคนอื่น ๆ หรือการได้พูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์มากกว่านั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งสามารถช่วยให้คุณได้การเรียนรู้และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนทางลัดไปสู่จุดที่เขายืนอยู่ เหตุผลก็เนื่องจากคนที่มีประสบการณ์สูง ๆ เขาได้ลองผิดลองถูกมาหมดแล้ว มีเทคนิคเยอะแยะเต็มไปหมด หากคุณโชคดี คุณก็จะได้สนุกไปกับการแบ่งปันเคล็ดลับและเทคนิคกับช่างภาพคนอื่น ๆ ซึ่งเมื่อคุณได้รับคำแนะนำต่าง ๆ มา คุณก็สามารถนำเทคนิคเหล่านั้นมาทดลอง ปรับใช้ รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เพื่อให้มันเหมาะกับคุณมากขึ้นค่ะ
17. แก้ไขจุดอ่อนของคุณ
ในเรื่องของการถ่ายภาพมันมีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่คุณจำเป็นจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันโดยเฉพาะ ซึ่งถ้าหากคุณไม่เข้าใจในเรื่องใดเรื่องนึง มันอาจจะส่งผลให้คุณทำพลาดมาตั้งแต่ต้นเลยก็ได้ค่ะ ดังนั้นหากเรื่องไหน คุณยังไม่แม่นพอ และยังเข้าใจแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยู่ คุณก็สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมต่อได้ ซึ่งในปัจจุบันมีความรู้มากมายคอยอยู่ที่ปลายนิ้วของคุณค่ะ
18. สำรองรูปภาพของคุณ
ช่างภาพมืออาชีพ มักจะมีการสำรองรูปภาพเอาไว้เสมอ นั่นก็เป็นเพราะป้องกันรูปภาพต่าง ๆ ที่สำคัญ สูญหายไป ซึ่งบางภาพคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้ถ่ายอีกแล้ว ฉะนั้นอย่าเสี่ยงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณ เนื่องจากว่าคุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละครั้งที่คุณไปถ่ายรูป มือใหม่หลาย ๆ คน มักจะเก็บภาพทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ ทริปไว้ในกล้อง กะว่าถ้าพื้นที่ไม่เต็มก็ไม่จัดการ นี้เป็นวฺิธีที่ผิดมาก เพราะถ้าหากว่ากล้องหายภาพทั้งหมดที่คุณเก็บไว้ก็จะหายไปกับกล้องด้วย
20. ทำความสะอาดกล้องของคุณอยู่เสมอ
หลาย ๆ คนพกพากล้องติดตัวไปถ่ายรูปด้วยทุกที่ ทั้งเข้าไปตั้งแคมป์ เดิมป่า เที่ยวเกาะ เที่ยวทะเล เที่ยวน้ำตก และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยที่ไม่เคยไม่เคยคิดจะทำความสะอาดเลนส์กล้องเลยหรือบางคนยังไม่เคยแกะเลนส์ออกจากตัวกล้องเลยด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้มันส่งผลต่อการถ่ายภาพของคุณด้วย เพราะในบางครั้งหน้าเลนส์คุณอาจจะสกปรกอยู่ โดยที่คุณไม่รู้ตัว และแน่นอนมันทำให้ภาพที่คุณถ่ายออกมามีคราบมั่ว และที่สำคัญมันแก้ไขอะไรแทบไม่ได้ด้วย:P ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำก็คือ ทำความสะอาดเลนส์กล้องของคุณด้วย น้ำยาทำความสะอาดเลนส์ และผ้าไมโครไฟเบอร์ อย่างน้อย ๆ ก็สัปดาห์ละครั้งค่ะ เพื่อความใสแจ๋วของภาพค่าาาาาาาาา
![]() | ผ้าเช็ดทำความสะอาดเลนส์อเนกประสงค์ 15x18 cm (ผ้าเช็ดแว่น ผ้าเช็ดแว่นตา ผ้าเช็ดเลนส์ ผ้าเช็ดนาฬิกา) | |
![]() | Quickwipe FUKi FUKi ผ้าเช็ดเลนส์ แว่นตา นาฬิกา หน้าจอโทรศัพท์ 20 แผ่น | |
![]() | ผ้าไมโครไฟเบอร์ ผ้าเช็ดความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์ เช็ดแว่นตา 15x18 cm (10ผืน) | |
![]() | ETC ผ้าชามัวร์หนังแกะแท้ ผ้าเช็ดความสะอาดหน้าจอ (แว่นตา โทรศัพท์ โน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์) 90x60 cm |