หากเอ่ยถึงเรื่องของกลิ่นที่ช่วยสร้างความมั่นใจและช่วยสร้างเสน่ห์ที่น่าดึงดูด หลาย ๆ คนก็คงจะเดาได้ไม่ยากเลยค่ะว่าวันนี้เราจะมารีวิวน้ำหอมกันอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากว่าใครที่เคยได้ติดตามบทความรีวิวบนเว็บไซต์ของเราก็น่าจะพอทราบกันดีว่าเราเคยได้รีวิวน้ำหอมไปหลายต่อหลายแบรนด์แล้วค่ะ อาทิเช่น น้ำหอม Tom Ford, น้ำหอม Gucci, น้ำหอม Jo Malone, น้ำหอม Bvlgari, น้ำหอม Dolce & Gabbana, น้ำหอม Chloe, น้ำหอม Armani, น้ำหอม Dior, น้ำหอม Versace รวมไปถึงน้ำหอม Chanel และอีกมากมาย
แต่เรากลับยังไม่เคยได้รีวิวน้ำหอมแบรนด์ไทยกันแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง ดังนั้นวันนี้เราก็เลยถือโอกาสมารีวิว 10 น้ำหอมแบรนด์ไทยที่มาพร้อมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเรื่องของคุณภาพนั้นก็จัดว่าดีงามไม่แพ้แบรนด์นอกเลยทีเดียว แถมในเรื่องราคาเองก็ค่อนข้างที่จะเป็นมิตรอีกด้วย เอาเป็นว่าถ้าหากพร้อมกันเลยก็ขอเริ่มต้นการรีวิวน้ำหอมแบรนด์ไทย ณ บัดนี้….
น้ำหอมแบรนด์ไทย เลือกแบรนด์ไหนดี ?
- น้ำหอมผู้หญิงกลิ่นหวานหอมสดชื่น สามารถใช้งานได้ทุกวัน: น้ำหอม LAB Parfumo
- น้ำหอมผู้ชายกลิ่นคล้ายกับแบรนด์ดัง ปรุงพิเศษเพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทยมากที่สุด: น้ำหอม MITH Blue Wood
- น้ำหอมกลิ่นเซ็กซี่ เสริมเสน่ห์ได้ดี สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย: Madame Fin มาดามฟิน รุ่นคลาสสิค
- น้ำหอมแนวสปอร์ต เหมาะสำหรับช่วงกลางวันมากที่สุด ใช้งานได้ทุกเพศทุกวัย: น้ำหอม PUNN PARFUM Energetic
- น้ำหอมผู้ชายแนวสะอาดสดชื่น เหมาะสำหรับใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ: น้ำหอม artepolé - Eau de Gleam
- น้ำหอมจากไม้หอมและดอกไม้สีขาว มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์: น้ำหอม Journal The Legacy Parfum (Signature)
เคล็ดลับในการเลือกน้ำหอม
การเลือกซื้อน้ำหอมถือเป็นขั้นตอนที่ละเอียดมาก ๆ ค่ะ ดังนั้นแล้วในส่วนนี้จำเป็นต้องใช้ความพิถีพิถันในการเลือกค่ะ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ด้านล่างนี้ก็จะเป็นเคล็ดลับในการเลือกน้ำหอมที่ช่วยให้คุณเลือกซื้อน้ำหอมได้ง่ายและตอบโจทย์การใช้งานได้มากขึ้น
1. ประเภทกลิ่นของน้ำหอม

ก่อนที่จะไปถึงเรื่องของโน้ตน้ำหอมนั้นก็มาดูกันที่เรื่องของประเภทกลิ่นกันก่อนเลยค่ะ ซึ่งวิธีการจำแนกเหล่านี้จะช่วยทำให้กลิ่นของน้ำหอมเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและเพื่อให้ได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น แล้วนอกจากนี้มันก็ยังช่วยทำให้เราตัดสินใจได้ค่ะว่าจะต้องเลือกซื้อกลิ่นอะไรถึงตอบโจทย์ความต้องการของตัวคุณเองมากที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกลิ่นน้ำหอมจะถูกจำแนกออกเป็น 4 ตระกูลหลัก ๆ ซึ่งก็ได้แก่
1.1 Floral
สำหรับตระกูลแรกก็คือกลิ่น floral ซึ่งก็จะเป็นตระกูลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างกว้าง โดยเราจะพบในน้ำหอมของผู้หญิงเสียส่วนใหญ่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในน้ำหอมผู้ชายจะไม่มีกลิ่นในตระกูลนี้ผสมอยู่นะคะ ตระกูล floral จะให้กลิ่นที่หอมหวานตั้งแต่กลิ่นหวานที่เบาบางไปจนถึงความหวานที่เข้มข้นและซับซ้อนมากขึ้น โดยในตระกูลนี้ก็จะถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่มย่อย ได้แก่
![]() |
|
1.2 Oriental / Amber
สำหรับตระกูล Oriental หรือ Amber ก็จะเป็นตระกูลที่มาพร้อมกลิ่นที่เข้มข้นอย่างกลิ่นของเครื่องเทศและสมุนไพร ดังนั้นตระกูลนี้จึงให้ความรู้สึกที่ซาบซ่ายั่วยวนและอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความหอมหวานทำให้กลิ่นจึงนุ่มนวลขึ้นค่ะ กลุ่มย่อยในตระกูลนี้มีทั้งหมด 3 กลุ่มค่ะ
![]() |
|
1.3 Woody
ตระกูล Woody จะเป็นตระกูลที่ให้กลิ่นที่อบอุ่นด้วยกลิ่นหอมไม้ ๆ อะไรทำนองนั้นค่ะ แต่ในบางครั้งถ้าหากเข้มเกินไปก็อาจจะทำให้มันขมเอาได้ ดังนั้นจึงได้มีการนำมาผสมผสานกับกลิ่นที่ให้ความสดชื่นอย่างกลิ่นดอกไม้หรือกลิ่นซิตรัส ฉะนั้นแล้วสำหรับกลิ่นในตระกูลนี้จึงให้ทั้งความอบอุ่น ความน่าค้นหาและน่าหลงใหล
![]() |
|
1.4 Fresh
สุดท้ายก็คือตระกูล Fresh ซึ่งจะพบเจอได้บ่อยในน้ำหอมผู้ชายค่ะ โดยตระกูลนี้ค่อนข้างจะโดดเด่นในเรื่องกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสะอาดและสดชื่นเป็นหลัก แล้วก็อาจจะมีการนำไปผสมกับกลิ่นเครื่องเทศบ้างเพื่อที่จะให้กลิ่นนั้นมีความโดดเด่นมากขึ้น
![]() |
|
2. โน้ตน้ำหอม
- Top Notes หรืออาจจะเรียกว่า Headnotes ก็ได้ค่ะ โดยโน้ตตัวนี้จะเป็นกลิ่นที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากฉีดน้ำหอม แต่มักจะระเหยอย่างรวดเร็วภายใน 5-15 นาที เนื่องจากโมเลกุลจะมีขนาดเล็กและเบา ตัวนี้ถือว่าเป็นโน้ตเปิดทางที่จะนำคุณไปสู่โน้ตความหอมตัวต่อไปค่ะ
- Heart Notes หรือ Middle Notes จะเป็นโน้ตที่เป็นเหมือนกับหัวใจของน้ำหอมหรือเป็นกลิ่นหลักซึ่งจะปรากฏขึ้นในช่วง 20-60 นาที
- Base Notes จะเป็นโน้ตที่ติดทนนานมากกว่า 6 ชม.และจะเป็นกลิ่นสุดท้ายที่ติดอยู่กับเรานั่นเอง
การทราบถึงโน้ตน้ำหอมนั้นจะทำให้เราทราบดีค่ะว่ากลิ่นของน้ำหอมนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เพราะหลายต่อหลายครั้งที่หลายคนอาจจะไม่ชอบกลิ่น Top Notes หรือกลิ่นแรกแต่อาจจะมาหลงเสน่ห์กับกลิ่น Heart Notes ๆ ก็เป็นได้ แล้วอีกอย่างเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกลิ่นก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ดังนั้นแล้วการทราบถึงโน้ตน้ำหอมจะทำให้เราทราบค่ะว่าน้ำหอมตัวนี้นั้นเหมาะสำหรับการใช้งานของคุณหรือไม่ เข้ากับบุคคลิกของคุณมากน้อยขนาดไหน หรืออาจจะบอกได้ถึงขนาดที่ว่าน้ำหอมที่มีกลิ่นประมาณนี้จะต้องฉีดตอนไหนถึงจะดีที่สุด อะไรทำนองนี้เลยทีเดียวค่ะ

3. ความเข้มข้นของน้ำหอม
นอกจากเรื่องของกลิ่นที่จะแตกต่างกันแล้ว จริง ๆ แล้วความเข้มข้นของน้ำหอมแต่ละขวดก็จะแตกต่างกันออกไปเช่นกัน โดยความเข้มข้นที่สูงก็จะมีน้ำมันน้ำหอมที่มากและมีปริมาณแอลกอฮอล์น้อย ติดทนนานหลายชั่วโมงเลยค่ะ แต่ในส่วนของราคาก็จะสูงตามขึ้นไปด้วย

- Parfum จะเป็นตัวที่มีความเข้มข้นสูงสุดคือจะอยู่ที่ประมาณ 20-40% ทำให้มันสามารถติดทนนานประมาณ 6-8 ชม.เลยทีเดียว แต่แน่นอนค่ะว่าราคานี่ก็จะค่อนข้างแพงกว่าแบบอื่น ๆ
- Eau de Parfum (EDP) จะมีความเข้มข้นรองลงมาคืออยู่ที่ 15-20% โดยระยะเวลาการติดทนนานนั้นจะอยู่ที่ราว ๆ 4-5 ชม. โดยจะเป็นระดับความเข้มข้นที่นิยมใช้กันมากเนื่องจากมันค่อนข้างที่จะติดทนพอสมควร แถมราคาเองก็ไม่ได้สูงลิ่วจนเกินไป
- Eau de toilette (EDT) มีระดับความเข้มข้นอยู่ที่ 5-15% แน่นอนค่ะว่าราคาก็จะถูกว่าตัวก่อนหน้านี้ ทำให้นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเข้มข้นที่เรามักจะพบเห็นได้บ่อยเช่นกัน สำหรับระยะเวลาในการใช้งานก็จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ชม.
- Eau de cologne (EDC) ก็จะมีความเข้มข้นที่น้อยลงมาจากตัวก่อนหน้านี้ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 2-4% เท่านั้น ซึ่งปริมาณของแอลกอฮอล์จะก็ค่อนข้างสูงก็ทำให้กลิ่นของน้ำหอมประเภทนี้ติดทนานแค่ประมาณ 2 ชม.
- Eau Fraiche ก็จะติดทนนานในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับ Eau de cologne (EDC) เลยค่ะ แล้วก็ยังมีความเข้มข้นที่น้อยกว่าด้วยนั่นประมาณ 1-3% เท่านั้น แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือตัวนี้จะไม่ได้มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่มากแต่ส่วนประกอบส่วนใหญ่จะเป็นน้ำนั่นเองค่ะ
น้ำหอม JD Perfume

ราคา 590 บาท*
มาต่อกันที่อีกหนึ่งตัวที่ก็ต้องถือว่าราคาไม่ได้แรงมากเช่นกันค่ะกับ JD Perfume กลิ่น Gold in the dark ซึ่งหลัก ๆ แล้วกลิ่นก็จะเป็นกลิ่นที่เหมาะสำหรับการใช้งานของทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายค่ะ เพราะว่าในส่วนผสมของตัวน้ำหอมนั้นจะมีทั้งความหอมที่มาจากดอกไม้และความหอมเท่มีสไตล์จากกลิ่นไม้ด้วยนั่นเองค่ะ ซึ่งต้องบอกเลยค่ะทั้งสองกลิ่นหลัก ๆ นั้นผสมผสานกันได้อย่างลงตัวในสัดส่วนที่พอเหมาะ นั่นคือไม่ได้หวานและก็ไม่ได้เป็นกลิ่นที่ดูเป็นผู้ชายมากจนเกินไปถือว่ากลาง ๆ กำลังพอสวยเลยค่ะ
นอกจากนี้แล้วกลิ่นน้ำหอมตัวนี้เองก็ยังเป็นกลิ่นที่หอมหรูหรา สุขุมนุ่มลึก แล้วก็ยังผสานด้วยความรู้สึกลึกลับนิด ๆ หากว่าเป็นสาว ๆ ใช้งานก็น่าจะให้ลุคที่ดูทะมัดทะแมงและเท่ไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ และที่ชอบอีกอย่างก็คือขวดน้ำหอมคือสวยงามมากค่ะทุกคน ดูแข็งแรงและดูแพงเกินราคาไปเยอะเลยทีเดียว เอาเป็นว่าสำหรับใครที่ต้องการน้ำหอมที่ไม่ฉุน ไม่หวานเกินไป แถมมาในราคาที่ทุกคนจ่ายไหวก็ต้องลองเลยค่ะ
ข้อดี
- สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
- ขวดน้ำหอมสวยงามและแข็งแรง
- กลิ่นน้ำหอมเข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อนเกินไป
กลิ่น | Gold in the dark |
---|---|
ประเภท | EDP |
ปริมาณ | 30 มล. |
Top Notes | Saffron, Bergamot |
Middle Notes | Lavender, Jasmine |
Base Notes | Tonka Bean, Woody Amber, Moss, Frankincense |
เหมาะสำหรับ | ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย |
น้ำหอม MITH Blue Wood

ราคา 599 บาท*
น้ำหอม MITH Blue Wood ขวดนี้นั้นเป็นน้ำหอมที่มาจากคอลเลกชัน 2022 ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาโดย Hamid Merati-Kashani ซึ่งก็จะเป็นนักปรุงน้ำหอมที่มีชื่อเสียงอีกคนนึงนั่นเองละค่ะ โดยกลิ่น Blue Wood นั้นจะเป็นกลิ่นที่กระแสมาแรงมาก ๆ จนตอนนี้ที่เรารีวิวนั้นขนาด 60 มล. ก็ได้หมดไปแล้วเรียบร้อย ดังนั้นที่เห็นนี้ก็จะเป็นประมาณ 10 มล.นะคะ ความพิเศษของกลิ่นนี้ก็คือมันจะเป็นกลิ่นที่ช่วยส่งลุคที่ดูลึกลับ เท่ และมีความ bad boy เล็ก ๆ ให้กับคุณผู้ชายนั่นเองค่ะ
โดยกลิ่นของน้ำหอมตัวนี้จะเป็นกลิ่นที่เข้ม มีความหวานซาบซ่าและสดชื่นมาก ๆ ค่ะ ซึ่งเจ้าน้ำหอมตัวนี้ว่ากันว่ามาพร้อมกับกลิ่นที่คล้ายกับน้ำหอมนิชแบรนด์ขวดแพง ๆ เลยทีเดียว และที่สำคัญคือเค้ายังใช้คนปรุงคนเดียวกันด้วยนะคะ ส่วนความแตกต่างของ MITH และน้ำหอมตัวดังนั้นก็คือเรื่องของการใช้งานค่ะ เพราะว่าทาง MITH ได้ตั้งใจให้เจ้า Blue Wood นั้นสามารถใช้งานได้จริงในสภาพอากาศของไทยได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วนอกจากจะใช้งานตอนค่ำ ดินเนอร์ หรือปาร์ตี้แล้วนั้นน้ำหอมขวดนี้ก็ยังสามารถใช้งานในช่วงเวลากลางวันได้ด้วยค่ะ
ข้อดี
- กลิ่นค่อนข้างติดทนนาน
- กลิ่นเหมาะสำหรับการใช้งานกับสภาพอากาศในเมืองไทย
- ด้วยการปรุงที่พิเศษทำให้สามารถฉีดได้ทุกช่วงเวลา
กลิ่น | Blue Wood |
---|---|
ประเภท | EDP |
ปริมาณ | 10 มล. |
Top Notes | Lavender, Bergamot, Pink Grapefruit, Bitter Orange, Black pepper, Cypress |
Middle Notes | Geranium, Violet, Lilac, Jasmine |
Base Notes | Guaic Wood, Patchouli, Sandalwood, Vanillin |
เหมาะสำหรับ | ผู้ชาย |
Madame Fin มาดามฟิน รุ่นคลาสสิค

ราคา 630 บาท*
สำหรับน้ำหอมฟินก็คงจะเป็นที่น้ำหอมที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินหรือเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้วนะคะ โดยกลิ่นที่เราเลือกมานี้ก็เป็นกลิ่นที่ค่อนข้างที่จะเป็นกลิ่นหอมแนวเซ็กซี่ขยี้ใจอย่าง Fin in Black ซึ่งจะเป็นกลิ่นที่ออกแนว Woody Spicy ที่ให้ความรู้สึกที่ลึกลับน่าค้นหาแล้วก็ยังมาพร้อมกับส่วนประกอบที่ช่วยให้คุณสาวเองดูเซ็กซี่ซาบซ่าร้อนแรงมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ ซึ่ง Fin in Black ก็เป็นกลิ่นที่ติดอยู่ในลำดับกลิ่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์ด้วยนะคะ เพราะว่ากลิ่นนี่นอกจากจะเหมาะสำหรับคุณสาว ๆ เองแล้วมันก็ยังจะใช้งานได้กับคุณผู้ชายเช่นกัน เพราะอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นค่ะว่ากลิ่นนี้จะเป็นกลิ่นที่ออกแนวเซ็กซี่และดูน่าค้นหา ฉะนั้นแล้วในเรื่องของความหวานแหววจนเกินไปนั้นไม่มีแน่นอนค่ะ
ข้อดี
- เป็นกลิ่นที่ออกแบบมาให้พอดีทำให้สามารถใช้งานได้ทุกเพศทุกวัย
- กลิ่นฟุ้งกระจายตัวได้ดี
กลิ่น | Fin in Black |
---|---|
ประเภท | EDP |
ปริมาณ | 30 มล. |
Top Notes | ไม่ระบุ |
Middle Notes | ไม่ระบุ |
Base Notes | ไม่ระบุ |
เหมาะสำหรับ | ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย |
น้ำหอม Prem Natural Collection

ราคา 790 บาท*
สำหรับน้ำหอมแบรนด์แรกนี้ก็คือแบรนด์ Prem หรือเปรมนั่นเองค่ะ โดยแบรนด์นี้นอกจากจะมีน้ำหอมแล้วนั้นพวกน้ำมันหอมระเหยเองก็ถือว่าได้รับความนิยมสูงมาก ๆ เช่นกันค่ะ และกลิ่นของน้ำหอมที่เราเลือกมาวันนี้ก็คือกลิ่น Blossom จากคอลเลกชัน Natural ค่ะ สำหรับกลิ่นนี้ก็จะเป็นกลิ่นอบอวลของหมู่มวลดอกไม้ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านเบา ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็จะค่อย ๆ ลอยมาแตะจมูกอย่างไรอย่างนั้นเลยค่ะ
โดยโน้ตแรกก็จะเปิดมาด้วยกลิ่นที่หอมสดชื่น แล้วก็ตามมาด้วยกลิ่นของดอกไฮยาซินธ์และกระดังงาที่มีกลิ่นที่หอมหวานที่ค่อนข้างที่ลึกล้ำ มีกลิ่นของความหอมละมุนอ่อน ๆ จึงไม่ได้เป็นกลิ่นที่เลี่ยนมากค่ะ และโน้ตสุดท้ายก็จะเป็นโน้ตของชะมดและวานิลลาซึ่งจะช่วยคงความหวานในสไตล์ผู้หญิงได้นานขึ้นค่ะ สำหรับน้ำหอมขวดนี้ก็มาในราคาที่ไม่ได้สูงมาก ส่วนเรื่องของการใช้งานเองก็ถือว่าเหมาะสมกับราคาเลยค่ะ แล้วนอกจากนี้เค้าก็ยังมีกลิ่นในคอลเลกชันเดียวกันให้เลือกอีกมากมายเลยด้วยนะคะ
ข้อดี
- ราคาไม่แพง
- ในคอลเลกชันเดียวกันมีหลายกลิ่นให้เลือก
- กลิ่นไม่ได้หวานจนเกินไป
กลิ่น | Blossom |
---|---|
ประเภท | ไม่ระบุ |
ปริมาณ | 50 มล. |
Top Notes | มะกรูด, กุหลาบ |
Middle Notes | ไฮยาชินธ์, กระดังงา |
Base Notes | ชะมด, วานิลลา |
เหมาะสำหรับ | ผู้หญิง |
น้ำหอม PUNN PARFUM Energetic

ราคา 1,115 บาท*
สำหรับหนุ่ม ๆ หรือสาว ๆ คนไหนก็ตามที่กำลังตามหาน้ำหอมแนวสปอร์ตที่ให้กลิ่นที่หอมและมาในราคาไปแพงอย่างพันต้น ๆ เราก็ขอแนะนำให้รู้จักกับ PUNN PARFUM ซึ่งก็เป็นแบรนดที่ทำน้ำหอมตัวนี้ออกมาได้น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว สำหรับภาพรวมนั้นมันก็จะเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกที่สดชื่น มีชีวิตชีวาและเป็นกลิ่นที่หอมสะอาด เข้าถึงง่าย และใช้งานได้ง่าย ๆ แต่ที่สำคัญเลยคือกลิ่นนี้ยังเหมาะสำหรับการใช้งานในช่วงหน้าร้อนมาก ๆ เลยละค่ะ
โดยกลิ่นแรกนั้นก็จะเปิดตัวมาพร้อมกับกลิ่นที่มีความเบาบางแต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่สดชื่นเหมือนกับกำลังเดินอยู่ที่ทะเลอย่างไรอย่างนั้นเลยค่ะ แถมกลิ่นก็ยังช่วยเพิ่มความรู้สึกเฟรชเย็นสบาย แล้วก็ยังซ้อนด้วยกลิ่นหอมแบบเปรี้ยวจี๊ดนิด ๆ ด้วยค่ะ ต่อมาก็คือ Heart Notes ซึ่งก็จะเป็นกลิ่นมีทั้งความหอมสดชื่นที่มีเสน่ห์และให้ความหรูหราเหนือระดับได้ดี และสุดท้ายก็คือกลิ่นของความเขียวขจีชุ่มชื้นของป่าไม้ซึ่งก็ถือเป็นกลิ่นที่เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพอากาศบ้านเราเช่นกันค่ะ สำหรับกลิ่น Energetic จาก PUNN ก็ถือเป็นกลิ่นที่น่าลงทุนค่ะเพราะว่าสามารถนำมาใช้งานได้ทุกวัน แล้วยิ่งช่วงไหนที่เหงื่อออกเยอะน้ำหอมก็จะยิ่งฟุ้งกระจายตัวได้ดีมาก ๆ เลยค่ะ
ข้อดี
- เป็นกลิ่นที่เหมาะสำหรับการใช้งานในหน้าร้อน
- เป็นกลิ่นในแนวที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานของผู้หญิงด้วยเช่นกัน
- สามารถใช้งานได้ทุกวัน
- เหมาะสำหรับใช้ขณะเล่นกีฬากลางแจ้ง
ข้อควรพิจารณา
- น้ำหอมเหมาะสำหรับการใช้งานในช่วงกลางวันมากกว่าช่วงกลางคืน
กลิ่น | Energetic |
---|---|
ประเภท | EDP |
ปริมาณ | 30 มล. |
Top Notes | Sea Notes, Green Mandarin, Cardamom |
Middle Notes | Rosemary, Elemi gum, Balsam Fir, Cypress, Lavender Extract |
Base Notes | Iso E super, Vetiver, Cedar, Patchouli |
เหมาะสำหรับ | ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย |
น้ำหอม artepolé - Eau de Gleam

ราคา 1,278 บาท*
artepolé หรืออาเตโพเล่เป็นแบรนด์ไทยที่ปรุงน้ำหอมด้วยคอนเซปต์ที่ว่าความไม่สมบูรณ์แบบคือความสมบูรณ์แบบที่สุดนั่นเองค่ะ ดังนั้นนอกจากจะเรื่องของแนวคิดจะเฉียบคมและแหวกแนวแล้วนั้น ตัวน้ำหอมเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกันค่ะ อย่างกลิ่น Eau de Gleam เองก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งก่อนที่จะไปเจาะลึกถึงเรื่องกลิ่นนั้นก็ต้องบอกเลยว่ากลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายตัวได้ดี ไม่ฉุน ไม่เวียนหัว และที่หลาย ๆ คนค่อนข้างประทับใจนั่นก็คือกลิ่นติดทนนานหลายชั่วโมงเลยทีเดียวค่ะ
ในส่วนของกลิ่นแรกนั้นจะเปิดด้วยกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเฟรชและสดชื่นอย่างกลิ่นของมะกรูด, คลารี่เซจ, สับปะรดนั่นเองค่ะ แว้ต่อมาก็จะเป็นกลิ่นที่มาพร้อมกับความหล่อเท่อย่างกลิ่นหอมของหญ้าแฝกและตามมาด้วยกลิ่นสะอาด ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วเพื่อไม่ให้กลิ่นมันดูราบเรียบและดูไม่น่าสนใจจนเกินไปก็เลยใส่กานพลูและพริกไทยเข้ามาเพิ่มความซาบซ่าเล็กน้อยแล้วก็ปิดจบด้วยแอมเบอร์กริสและไม้จันทน์เพื่อให้กลิ่นนั้นดูมีความสุภาพและก็ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์น่าดึงดูดได้อย่างจังเลยทีเดียว
ข้อดี
- ติดทนค่อนข้างนาน
- เหมาะสำหรับการใช้งานในโอกาสที่ต้องการความเป็นทางการ
- มาในกลิ่นหอมแนวสะอาดสดชื่นที่ชัดเจน
กลิ่น | Eau de Gleam |
---|---|
ประเภท | EDP |
ปริมาณ | 65 มล. |
Top Notes | มะกรูด, คลารี่เซจ, สับปะรด, ส้มแมนดาริน |
Middle Notes | หญ้าแฝก, ซีดาร์, ดอกเจอเรเนียม, พริกไทย, กานพลู |
Base Notes | แอมเบอร์กริส, มัสค์, ไม้จันทน์, ทงก้าบีน |
เหมาะสำหรับ | ผู้ชาย |
น้ำหอมบัตเตอร์ฟลาย Butterfly Thai Perfume

ราคา 1,395 บาท*
น้ำหอมแบรนด์บัตเตอร์ฟลายเองก็ถือได้ว่าเป็นน้ำหอมแบรนด์ไทยที่ปรุงด้วยคนไทยและดีไซน์มาเพื่อคนไทยจริง ๆ เลยค่ะ โดยความพิเศษที่ไม่เหมือนใครนั่นก็คือทางแบรนด์จะปรุงน้ำหอมขึ้นมาโดยใช้ศาสตร์แห่งกลิ่นของไทยนั่นเองค่ะ โดยกลิ่นที่เลือกมาแนะนำนั้นก็คือกลิ่นไม้กฤษณากำยานซึ่งก็เป็นกลิ่นที่ขายดีเป็นอันดับที่ 1 และยังเป็นกลิ่นที่หลาย ๆ คนต่างก็ติดใจกันเป็นอย่างมากค่ะ ภาพรวมของกลิ่นนี้ก็คือจะเป็นกลิ่นที่มีความหวานละมุนละไม หวานนุ่มนวล กลิ่นไม่แรงจนเกินไป แล้วก็ให้ความรู้สึกสดชื่นเบา ๆ
โดยไม้กฤษณากำยานนั้นทางแบรนด์ก็ได้รับแรงบันดาลใจมากจากดอกพุดที่เป็นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นอับอวลกระจายตัวได้ดี และอีกหนึ่งกลิ่นก็จะเป็นกลิ่นของยางไม้หอมกำยานจากธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อจับมารวมกันกลิ่นที่ได้จึงหอมแบบบรรยายไม่ถูกและกลิ่นหอมที่ว่านี้ก็เป็นกลิ่นที่มีแค่แบรนด์ไทยแบรนด์นี้เท่านั้นนะคะ ดังนั้นแล้วหากจะบอกว่ากลิ่นไม้กฤษณากำยานเป็นกลิ่นที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ Butterfly Thai Perfume เลยก็คงไม่แปลกอะไรใช่ไหมละคะ…
ข้อดี
- กลิ่นมีความเป็นเอกลักษณ์
- กลิ่นติดทนค่อนข้างนาน
- กลิ่นไม่ฉุนจมูก
กลิ่น | ไม้กฤษณากำยาน |
---|---|
ประเภท | ไม่ระบุ |
ปริมาณ | 60 มล. |
Top Notes | ดอกพุด , ดอกปีบ, ซ่อนกลิ่น |
Middle Notes | แอมเบอร์, หญ้าฝรั่น |
Base Notes | กฤษณา, กำยาน, กำยานแขก, ชะมดเช็ด |
เหมาะสำหรับ | ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย |
น้ำหอม LAB Parfumo

ราคา 1,890 บาท*
LAB Parfumo นอกจากจะเป็นคนที่พัฒนาน้ำหอมแล้วนั้น เค้าก็ยังเป็นผู้ผลิตน้ำหอมเองด้วยค่ะ โดยกลิ่นที่เราเลือกมานี้ก็คือกลิ่น La Belle ในขวดใสพร้อมกับน้ำหอมสีชมพูสวยงาม ซึ่งกลิ่นนี้ก็ต้องบอกเลยว่าน่าจะเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่มีบุคลิกร่าเริงสดใสมาก ๆ เลยทีเดียวค่ะเพราะกลิ่นน้ำหอมตัวนี้จะมีความหวานละมุนแต่ถ้าหวานอย่างเดียวก็คงจะเลี่ยนและดูไม่น่าสนใจใช่ไหมละคะ ดังนั้นแล้วทางแบรนด์ก็เลยได้เปลี่ยนให้เป็นความหวานที่มีความซับซ้อนขึ้นทำให้มันช่วยเพิ่มเสน่ห์ที่น่าดึงดูดให้กับคุณสาว ๆ ได้มากขึ้นตามไปด้วย
สำหรับ Top Notes นั้นจะเป็นกลิ่นที่มาในแนว Fruity ที่มาพร้อมกับความหวานของดอกไม้เบา ๆ อันนี้นอกจากจะหวานแล้วก็ยังเท่และมีรสนิยมนั่นเองค่ะ ตามมาด้วยโน้ตที่ 2 ที่จะอัดแน่นไปด้วยกลิ่นของหอมสดชื่น และปิดท้ายด้วยกลิ่นของ Amber และ White Musk ที่ให้ความหอมในแบบธรรมชาติที่มาพร้อมกับกลิ่นที่สะอาด หอมเบา ๆ หอมแบบผู้ดี ดังนั้นสำหรับน้ำหอมตัวนี้เรามองมองว่านอกจากคุณสาว ๆ จะฉีดตอนไปทำงานแล้วนั้น ในวันสบาย ๆ หรือในทุก ๆ วันก็สามารถหยิบตัวนี้มาใช้งานได้เลยค่ะ
ข้อดี
- กลิ่นไม่ได้หวานจนเลี่ยนชวนให้ปวดหัว
- เป็นกลิ่นที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน
- กระจายตัวดีและติดทนค่อนข้างนาน
กลิ่น | La Belle |
---|---|
ประเภท | EDP |
ปริมาณ | 50 มล. |
Top Notes | Cucumber, Blackberry, Grapefruit, Green Apple, Ginger, Freesia, Jasmine, Iris, Incense Notes |
Middle Notes | Patchouli, Myrrh, Amberwood, Vetiver, Lily of the Valley, Rosewood, Magnolia |
Base Notes | Ambroxan, Patchouli, Amber, Leather, Sandalwood, Cedarwood, Iso E Super, Ambergris, Civet, Musk |
เหมาะสำหรับ | ผู้หญิง |
Scentery น้ำหอม Signature Collection

ราคา 2,490 บาท*
มาต่อกันที่อีกหนึ่งแบรนด์ค่ะที่หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาก็พอสมควรกับแบรนด์ Scentery ที่มาพร้อมกับการดีไซน์และคอนเซปต์ที่โดดเด่น ซึ่งกลิ่นที่เราคิดว่าน่าจะถูกใจใครหลาย ๆ คนนั่นก็คือ Isla de Mykonos ซึ่งจะเป็นกลิ่นที่บ่งบอกถึงความสดชื่นเป็นอิสระ โดยได้รับแรงบันดาลใจในการรังสรรค์น้ำหอมตัวนี้มาจากเกาะไมโคนอสที่ตั้งอยู่ที่ประเทศกรีซนั่นเองค่ะ
โดย Top Notes ของตัวนี้จะเริ่มต้นด้วยกลิ่นซีตรัสที่ให้ความสดชื่นและเป็นซีตรัสจากกลุ่มของเบอร์กามอตและมะนาวนั่นเอง ซึ่งกลิ่นแรงนี่ก็ค่อนข้างที่จะโดดเด่นเลยทีเดียวค่ะ แต่ก็ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้มันกลายเป็นกลิ่นที่หอมฉุนเกินไปก็ได้มีการจับมารวมกับกลิ่นของดอก Myrtle เพื่อช่วยเพิ่มความหวานละมุนลงไปเล็กน้อย ต่อท้ายด้วยกลิ่นของมะลิและปิดจบด้วยกลิ่นของความรู้สึกอบอุ่นที่ให้ความรู้สึกสบายตัว ผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกันยังไม่ละทิ้งจากความหรูหราด้วยนั่นเองค่ะ ซึ่งตัวนี้ก็ถือเป็นกลิ่นที่เหมาะสำหรับผู้ชายมาก ๆ แถมยิ่งถ้าหากว่าใช้งานในช่วงหน้าร้อนหรือในวันพักผ่อนสบาย ๆ ก็ยิ่งเหมาะมาก ๆ เลยละค่ะ
ข้อดี
- สามารถใช้งานได้นานด้วยปริมาณที่ค่อนข้างมาก
- การใช้งานเหมาะกับสภาพอากาศในเมืองไทย
- ติดทนค่อนข้างดี
ข้อควรพิจารณา
- กลิ่นอาจจะเหมาะหรือสามารถตอบโจทย์การใช้งานของผู้ชายได้ดีกว่า
กลิ่น | Isla De Mykonos |
---|---|
ประเภท | EDP |
ปริมาณ | 100 มล. |
Top Notes | Bergamot, Lemon, Myrtle |
Middle Notes | Jasmin |
Base Notes | Cedarwood |
เหมาะสำหรับ | ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย |
น้ำหอม Journal The Legacy Parfum (Signature)

ราคา 2,600 บาท*
และสำหรับน้ำหอมตัวสุดท้ายจากแบรนด์ไทยที่เราเลือกมาวันนี้ถึงแม้ว่าจะมีราคาที่สูงกว่าทุกตัวที่กล่าวมาทั้งหมดแต่ก็ต้องยอมรับเลยค่ะว่ากลิ่นนั้นไม่เหมือนใครอย่างแน่นอนกับกลิ่นที่มีชื่อว่า The Legacy ซึ่งก็จะเป็นกลิ่นที่มีส่วนผสมหลักจากน้ำมันมะพร้าวแล้วก็มีการใช้แอลกอฮอล์ที่ได้จากน้ำตาลอ้อยด้วยค่ะ แล้วนอกจากนี้ก็ยังมีการใช้น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวน้ำหอมด้วยเช่นกัน อาทิเช่น ไม้กฤษณา, กำยาน, หญ้าฝรั่น และ Frankincense ซึ่งทั้งหมดนอกจากจะให้กลิ่นที่หอมอบอวลรัญจวนใจแล้วนั้นมันก็ยังปลอดภัยต่อการใช้งานด้วยค่ะ
ความพิเศษอีกอย่างของแบรนด์นี้เลยก็คือวิธีการปรุงน้ำหอมที่จะใช้การปรุงแบบดั้งเดิมและเลือกใช้สูตรพิเศษ ดังนั้นแล้วสำหรับกลิ่นนี้ก็ต้องยกให้เป็นกลิ่นซิกเนเจอร์ของแบรนด์เลยนั่นเองค่ะ โดยภาพรวมแล้วนั้นน้ำหอมขวดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งขวดที่ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับคุณสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี แถมยังมาพร้อมกับกลิ่นที่หอมแบบผู้ใหญ่ ไม่ฉุน และติดทนอีกด้วยค่ะ
ข้อดี
- กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
- มีส่วนผสมจากธรรมชาติทำให้ส่วนผสมจากแอลกอฮอล์และสารเคมีสังเคราะห์มีน้อย
- กลิ่นติดทน
ข้อควรพิจารณา
- น้ำหอมมีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าวจึงไม่แนะนำให้ฉีดลงบนเสื้อผ้า
กลิ่น | The Legacy |
---|---|
ประเภท | EDT |
ปริมาณ | 50 มล |
Top Notes | Gardenia, Indian Cork Tree, Tuberose |
Middle Notes | Amber, Saffron |
Base Notes | Agarwood, Benzoin, Saffron, Frankincense |
เหมาะสำหรับ | ผู้หญิง |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
ตารางเปรียบเทียบ รีวิว น้ำหอมแบรนด์ไทย แบรนด์ไหน หอม ติดทนนานที่สุด ปี 2023 | ||||
---|---|---|---|---|
ยี่ห้อ/รุ่นสินค้า | คุณสมบัติ | ดูเพิ่มเติม | ||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
|
วิธีการใช้น้ำหอมที่ถูกต้อง
1. ห้ามถูน้ำหอมเด็ดขาด
เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจผิดว่าการถูน้ำหอมกับผิวจะทำให้น้ำหอมกระจายตัวได้ดีขึ้น ซึ่งความจริงแล้วตรงกันข้ามกันทุกอย่างเลยค่ะ เพราะการถูน้ำหอมจะทำให้โน้ตของน้ำหอมจางและระเหยไปในที่สุด แนะนำให้ตบเบา ๆ ได้ค่ะแต่ห้ามถูเด็ดขาด
3. ฉีดตรงจุดชีพจรต่าง ๆ
การฉีดน้ำหอมควรเน้นที่จุดชีพจรค่ะ ไม่ว่าจะเป็น บริเวณข้อมือ, ข้อพับแขน หรือซอกคอ เพราะว่าจุดต่าง ๆ เหล่านี้เป็นจุดที่อุ่น เนื่องจากว่าร่างกายจะปล่อยความร้อนออกมานั่นเองซึ่งนี่ก็เลยถือเป็นการช่วยไปกระจายกลิ่นของน้ำหอมได้ดียิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ

4. ใช้น้ำหอมหลังจากอาบน้ำ
การใช้น้ำหอมตอนไหนไม่มีผิดและไม่มีถูกค่ะ แต่ถ้าหากต้องการให้น้ำหอมติดทนนานมากขึ้นก็แนะนำว่าเป็นหลังอาบน้ำเลยค่ะ เพราะว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ร่างกายสามารถดูดซับน้ำหอมได้ดีทำให้น้ำหอมหอมนานขึ้น แต่ในขั้นตอนนี้ก็อย่าเช็ดตัวให้แห้งก่อนนะคะ
4. ควรทาโลชั่นก่อนฉีดน้ำหอม
หลังจากที่อาบน้ำและเช็ดตัวเสร็จแล้วเรียบร้อยก็อย่าลืมเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวกันด้วยนะคะ เพราะถ้าหากว่าเราฉีดน้ำหอมลงบนผิวที่แห้งมาก ๆ ตัวน้ำหอมก็จะระเหยไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ใช้นั้นเราขอแนะนำเป็นโลชั่นบำรุงผิวกายสูตรปราศจากน้ำหอมจะดีกว่านะคะ เพราะมิฉะนั้นแล้วกลิ่นของโลชั่นอาจจะทำให้กลิ่นของน้ำหอมเพี้ยนได้เลยทีเดียว

5. ฉีดน้ำหอมลงบนเสื้อผ้า
นอกจากจะฉีดที่ผิวตามจุดต่าง ๆ ที่เราได้แนะนำไปแล้ว คราวนี้ก็อย่าลืมนำมาใช้งานกับเสื้อผ้าด้วยนะคะ เพราะนี่จะทำให้กลิ่นหอมนานมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ดีค่ะกลิ่นที่ติดอยู่บนเสื้อผ้านั้นอาจจะแตกต่างไปจากกลิ่นที่อยู่บนร่างกายเล็กน้อย รวมถึงหากคุณต้องการใช้วิธีนี้แนะนำว่าไม่ควรฉีดลงบนเนื้อผ้าบางชนิดอย่างเช่น ผ้าไหม เพราะมันมีโอกาสที่จะเกิดคราบน้ำหอมได้ค่ะ สำหรับวิธีการฉีดก็อาจจะฉีดไว้ในภายในเสื้อได้ค่ะ
บทสรุปส่งท้าย
น้ำหอมแบรนด์ไทยเองก็ถือเป็นแบรนด์ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ เพราะว่าแบรนด์ต่าง ๆ เหล่านี้ต่างก็ได้มีการคิดค้นกลิ่นของน้ำหอมออกมาได้อย่างพิถีพิถัน จนสุดท้ายก็ได้มาซึ่งน้ำหอมที่ให้กลิ่นเฉพาะตัวและสามารถที่จะตอบโจทย์การใช้งานของคนไทยได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสภาพอากาศที่ร้อนจัดนั่นเองค่ะ และอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นค่ะว่าราคาของน้ำหอมแบรนด์ไทยนั้นไม่ได้สูงมากจนเกินไป ดังนั้นทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและที่สำคัญเลยคือมันยังเป็นน้ำหอมที่คุณสามารถหาซื้อได้อย่างสะดวก ดังนั้นแล้วเราก็ขอฝากน้ำหอมแบรนด์ไทยทั้ง 10 แบรนด์ในวันนี้ รวมถึงอีกหลาย ๆ แบรนด์ที่อาจจะไม่ได้หยิบมารีวิวกันด้วยนะคะ เพราะจริง ๆ แล้วน้ำหอมแบรนด์ไทยเราเองก็หอมและมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมไม่แพ้แบรนด์ดัง ๆ หลาย ๆ แบรนด์เลยค่ะ