สำหรับในประเทศไทยแล้วการเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนยามเหงาถือเป็นเรื่องที่นิยมกันเป็นอย่างมาก สัตว์เลี้ยงยอดฮิตตลอดกาลก็คงหนีไม่พ้นน้องหมา, น้องแมว, หนูแฮมเตอร์, กระต่าย, นก, เม่นแคระ หรืออาจจะเป็นปลาสวยงามกันใช่ไหมคะ เพราะโดยเฉพาะน้องหมาพันธุ์เล็กหรือแมวขนยาวเนี่ยเรียกว่าเป็นตัวเลือกยอดนิยมสุด ๆ ด้วยหน้าตาที่น่ารัก ขี้อ้อน และความฉลาดเป็นกรด ทำให้ใคร ๆ ก็ต่างหลงรักเจ้าสี่ขาพวกนี้
แต่ก็มีสัตว์บางประเภทนะคะที่กำลังเป็นกระแสและนิยมเลี้ยงกันอยู่ตอนนี้ นั่นก็คือ สัตว์ Exotic (Exotic Pet) นั่นเองค่ะ ชื่อก็บอกตรงตัวอยู่แล้วนะคะว่า Exotic ก็คือสัตว์แปลกนั่นเองค่ะ สัตว์ Exotic สามารถจำแนกได้เป็น กลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง, กลุ่มสัตว์ปีก, กลุ่มปลาแปลก, กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน สำหรับวันนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับสัตว์ Exotic ในกลุ่มสัตว์เลี้อยคลานกันค่ะ หลายคนคงเดาออกกันแล้วใช่ไหมคะว่าคือสัตว์อะไร ใช่แล้วค่ะ น้องงู นั่นเอง
ตอนนี้กระแสการเลี้ยงน้องงูกำลังมาแรงเลยค่ะ ถึงแม้จะเป็นสัตว์ที่หลาย ๆ คนกลัว อาจเพราะมีรูปร่างน่ากลัว หรือเพราะงูจัดเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรง แต่ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงรักเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตาโต สีสวยตัวนี้ เพราะไม่ใช่งูทุกสายพันธุ์นะคะที่มีพิษ อย่างงูที่นิยมเลี้ยงในบ้านเราเนี่ย ก็ไม่มีพิษที่เป็นอันตรายแน่นอนค่ะ
งูสายพันธุ์ไหนที่เหมาะกับเรา
หากใครที่มีความคิดริเริ่มอยากจะเลี้ยงน้องงูแล้วล่ะก็ ควรจะศึกษานิสัยและลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละสายพันธุ์กันก่อนค่ะ ถึงแม้จะเป็นงูเหมือนกัน แต่หากคนละสายพันธุ์กัน นิสัยก็จะต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยค่ะ เช่น งูบอลไพธ่อน (Ball Python) เป็นงูที่เรียบร้อย ไม่ดุ เชื่อง เมื่อตกใจจะขดตัวเป็นกลม ๆ เหมือนลูกฟุตบอล หรืองูคอร์น (Corn Snake) จะเป็นงูที่มีสีสันสดใส ไม่ดุ เลื้อยไว กินเก่ง ดังนั้นหากใครชอบแบบไหนก็ศึกษาข้อมูลของพันธุ์นั้น ๆ ให้ดีด้วยนะคะ
ขนาดลำตัวของงู
ขนาดลำตัวของงู สำคัญมากค่ะในการเลี้ยง เพราะบางคนชอบงูขนาดเล็ก บางคนชอบขนาดใหญ่แบบจับเต็มไม้เต็มมือ โดยงูจะมีขนาดลำตัวตั้งแต่เท่านิ้วก้อยไปจนถึงเท่าแขนของเราเลยค่ะ ส่วนความยาวนั้นก็จะมีตั้งแต่ 1.2 เมตรถึง 10 เมตรเลยค่ะ หากใครมีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ ก็ควรเลือกสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กนะคะ เพราะถึงเเม้น้องงูไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เลี้ยงเยอะ แต่การให้อยู่ในพื้นที่กว้างนั้นทำให้น้องลดความเครียดลงได้ค่ะ
อายุขัยของน้องงู
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรตระหนักก่อนเลี้ยงงูก็คือ งูเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน ตั้งแต่ 6 – 30 ปี ในบางสายพันธุ์อาจอายุได้ถึง 60 ปีเลยค่ะ ดังนั้นหากนำมาเลี้ยงแล้วต้องดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี หากเป็นคนเบื่อง่ายไม่ขอแนะนำให้เลี้ยงนะคะ เพราะงูเลี้ยงไม่สามารถนำไปปล่อยป่าได้ เนื่องจากไม่มีสัญชาติญาณในการหาอาหาร จะทำให้น้องงูตายในที่สุดค่ะ
อาหารที่ใช้เลี้ยงงู
อาหารที่ใช้เลี้ยงงูคือหนูไมค์หรือหนูแรทนี่ล่ะค่ะ เพราะหนูเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าทางอาหารเพียงพอแล้วสำหรับน้องู ไม่จำเป็นต้องให้อาหารอื่นทดแทนแล้วค่ะ และสิ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนชอบเลี้ยงงูนั่นก็คือ ไม่ต้องคอยให้อาหารทุกวัน เพราะงูจะกินอาหารเพียงแค่ 1 – 2 ครั้ง/สัปดาห์ เท่านั้น แต่หากใครทำใจให้หนูเป็น ๆ ไม่ลง เดี๋ยวนี้ร้านขายงูมีหนูแช่แข็งจำหน่ายค่ะ เวลาจะนำมาให้น้องงู เพียงแค่นำหนูมาใส่ถุงแล้วนำไปอุ่น อย่าให้น้ำโดนหนูโดยตรงนะคะ เพราะงูจะไม่กิน จากนั้นใช้ที่คีบคีบหนูแล้วไปแกว่งหน้าน้องงู น้องก็จะเข้ามากินแล้วล่ะค่ะ ย้ำนะคะว่าต้องใช้ที่คีบ เพราะหากใช้มือเปล่าจับหนูอาจทำให้กลิ่นหนูติดมือเรา แล้วน้องงูอาจมากัดเราเพราะเข้าใจผิดได้ค่ะ
3 โรคที่มักพบในงู
- งูติดเชื้อ โรคนี้ถือเป็นโรคที่พบได้มากที่สุดในกลุ่มผู้เลี้ยงงูเลยค่ะ เกิดทางการให้หนูที่มีโรค ไม่สะอาด เมื่องูกินเข้าไปเชื้อโรคก็จะเข้าไปในงูโดยตรง โดยโรคนี้ทำให้น้องงูของเราตายไวที่สุดในบรรดาโรคอื่น ๆ เลยค่ะ ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อหนูจากแหล่งที่น่าเชื่อถือว่าสดและสะอาด เพื่อความปลอดภัยของน้องงูนะคะ
- โรคพยาธิในงู การถ่ายพยาธิในงูเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องทำเมื่อซื้อน้องงูมาเลี้ยงเลยค่ะ หลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็น แต่จริง ๆ แล้วหากเราไม่ทำการถ่ายพยาธิ ก็จะทำให้งูของเราป่วยได้ค่ะ โดยการถ่ายพยาธิให้ได้ผล ควรทำตั้งแต่รับน้องมาเลี้ยงประมาณ 1 เดือน และทำการถ่ายพยาธิทุก ๆ 2 สัปดาห์ เป็นเวลา 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็สามารถทำการถ่ายพยาธิปีละครั้งได้ค่ะ
- โรคทางเดินอาหาร เราไม่ควรให้อาหารงูบ่อยเกินไปค่ะ เพราะอาจทำให้เป็นโรคทางเดินอาหารได้ โดยการย่อยอาหารของงูจะเริ่มจากปาก จากนั้นจะค่อย ๆ ดันเข้าไปในกระเพาะ แล้วปล่อยน้ำย่อยออกมาเพื่อย่อยอาหาร อาหารที่ย่อยไม่หมดก็จากถูกถ่ายออกมาทางทวารหนักค่ะ ดังนั้นไม่ควรให้อาหารงูกินสุ่มสี่สุ่มห้านะคะ น้องจะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ ค่ะ
อุปกรณ์ในการเลี้ยงงู
อุปกรณ์ในการเลี้ยงงู ถือเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ ดังนั้นการเลือกอุปกรณ์แต่ละชนิด เราต้องคำนึงถึงลักษณะ และขนาดของน้องงูด้วยนะคะ จะได้เหมาะสมกับน้องงูของเราค่ะ
ถ้วยใส่น้ำทำจากเซรามิก หลากสี หลายขนาด

ราคา 15 บาท*
ถ้วยใส่น้ำทำจากเซรามิก สีขาวล้วน

ราคา 30 บาท*
Hide Box กล่องพลาสติกซ่อนตัวสำหรับงู ให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย

ราคา 45 บาท*
Hide Box หรือกล่องซ่อนตัว สำหรับน้องงูเป็นสิ่งที่จำเป็นนะคะ เพราะเวลาที่เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เขาจะเข้าไปอยู่ในกล่อง ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น และลดความเครียดได้ค่ะ
สำหรับกล่องซ่อนตัวอันนี้ เป็นกล่องทึบ สีดำ เรียบหรู เหมาะสำหรับการให้น้องงูเข้าไปหลบตัว ทำจากพลาสติกหนา มีขนาด S, L ราคาถูก เหมาะสำหรับงูทุกสายพันธุ์ค่ะ ดังนั้นหากใครไม่ซีเรียสเรื่องความสวยงาม กล่องซ่อนตัวสีดำชิ้นนี้ก็ถือว่าใช้งานได้สบายเลยค่ะ
ถ้ำซ่อนตัวสำหรับงู สีเหมือนหินจริง ของตกแต่งตู้สัตว์เลื้อยคลาน

ราคา 65 บาท*
ที่คีบให้อาหารทำจากสแตนเลส ที่ให้อาหารสัตว์

ราคา 95 บาท*
ขี้เลื่อย Aspen Shaving สำหรับปูรองพื้น ขนาด 10 ลิตร

ราคา 105 บาท*
กล่องพลาสติกสำหรับใส่งู และสัตว์เลื้อยคลาน มีช่องระบายอากาศ

ราคา 129 บาท*
ขี้เลื่อย Aspen Snake Bedding สำหรับปูรองพื้นงูโดยเฉพาะ ขนาด 500 กรัม

ราคา 180 บาท*
กล่องอะคริลิกใสสำหรับใส่งู ทำเป็นคอนโดเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็กได้

ราคา 335 บาท*
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
โรงพยาบาลสำหรับสัตว์ Exotic
อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นหากเราคิดจะเลี้ยงสัตว์ Exotic โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องงูนะคะ เราต้องศึกษาโรงพยาบาลที่รับรักษาสัตว์ Exotic เพราะในกรณีที่น้องงูของเราเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาเราจะได้รู้ว่ามีที่ไหนบ้างที่รับรักษา และควรเลือกที่ใกล้บ้านเพื่อที่จะนำน้องงูของเราไปรักษาได้ทันท่วงทีค่ะ เพราะหากเราไม่ได้ศึกษาเลยเนี่ย เวลาที่น้องงูป่วยกระทันทัน โรงพยาบาลสัตว์บางแห่งอาจไม่รับรักษานะคะ