คนเราทุกคนต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต, อยากที่จะเป็นคนที่คิดบวกตลอดเวลา, อยากที่จะมีความสุขกับงาน กับคนรอบข้าง และกับตัวเอง, อยากที่จะเป็นคนเก่ง, อยากที่จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ และยังมีอีกหลาย ๆ ความปรารถนามากมายที่คุณต้องการ
แต่กว่าที่จะได้ลิ้มรสชาติของความสำเร็จสมดั่งใจหวังมันก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมานับครั้งไม่ถ้วน แถมในบางครั้งบางคราเราอาจจะหลงทางกว่าจะมาถึงจุดหมายก็เสียเวลาชีวิตไปไม่ใช่น้อย ๆ เลยทีเดียว จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญและควรโฟกัสให้มากที่สุดก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกลแต่เป็นตัวเราเองต่างหากค่ะ
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นมาเพราะตัวของเราเองทั้งสิ้น หากเรารู้ว่าเรามีจุดเด่นด้านไหน จุดด้อยของเราคืออะไร ต้องพัฒนาด้านไหน ต้องแก้ไขจุดไหน หรือจะต้องปรับในส่วนไหน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เองค่ะเมื่อมันค่อย ๆ ดีขึ้นมันก็จะกลายเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จและความสุขในชีวิต

ในวันนี้เราเลยอยากจะชวนเพื่อน ๆ มาร่วมกันพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ ผ่านหนังสือพัฒนาตัวเองทั้ง 10 เล่มด้านล่างนี้ เอาเป็นว่าช่วงนี้ใครที่กำลังรู้สึกแย่ หลงทาง เหงา และอาจจะรู้สึกเบื่อ ๆ ก็ลองหยิบหนังสือเหล่านี้มาอ่านดูนะคะ รับรองได้ว่าฟิลกู๊ดสุด ๆ แถมยังได้เสริมพลังบวกในตัวคุณเองอีกด้วยนะคะ
หนังสือพัฒนาตัวเอง เหมาะสำหรับคุณมากที่สุด
- หนังสือแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น กระชับ อ่านง่าย เนื้อหาไม่เยอะ: Who Moved My Cheese? ใครเอาเนยแข็งของฉันไป
- หนังสือสำหรับผู้ที่ต้องการบริหารเวลา เลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง: Eat That Frog! กินกบตัวนั้นซะ!
- หนังสือที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาตัวเองโดยเริ่มตันจากการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย: Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น
- หนังสือที่สร้างเสริมสร้างความสุขในชีวิต อ่านง่ายในสไตล์ของนิ้วกลม: ทักษะความสุข
- หนังสือที่ช่วยพัฒนาเรื่องของความคิด: 12 RULES FOR LIFE :12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต
- หนังสือที่ช่วยพัฒนาเรื่องของทักษะการพูด: อย่าเป็นคนเก่งที่คุยไม่เป็น
หนังสือพัฒนาตัวเอง คืออะไร ?
สำหรับใครที่อ่านหนังสือเป็นประจำหรือเข้าไปที่ร้านขายหนังสือบ่อย ๆ ก็จะทราบดีค่ะว่าหนังสือจะมีการจัดแบ่งเอาไว้ในหมวดหมู่ต่าง ๆ มากมายหลายหมวดหมู่ด้วยกัน อาทิเช่น นิยาย, หนังสือสำหรับเด็ก, หนังสือวาย ยูริ, วรรณกรรม, การบริหารธุรกิจ และอีกมากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือหนังสือพัฒนาตัวเองนั่นเองค่ะ
หนังสือพัฒนาตัวเองเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อแนะนำผู้อ่านเกี่ยวกับการแก้ปัญหาส่วนตัว การปรับปรุง แก้ไข้ หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันหนังสือประเภทนี้ได้มีการตีพิมพ์ออกมาให้ผู้อ่านได้เลือกหยิบมาอ่านกันหลายแง่ด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านความคิด อารมณ์ การใช้ชีวิต การพูด และอีกหลาย ๆ ด้านด้วยกันค่ะ
ข้อดีของการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง
จากที่เราได้เกริ่นไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ว่าหนังสือพัฒนาตัวเองกลายมาเป็นหนังสือที่เป็นที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นและดูเหมือนจะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดีเลยด้วยซึ่งต่อจากนี้เราก็มาดูสาเหตุซึ่งก็คือข้อดีที่ได้จากหนังสือเล่มนี้กันบ้าง โดยด้านล่างนี้ก็จะเป็นข้อดีทั้งหมดจากการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองนั่นเองค่ะ

1. ช่วยเสริมพลังบวก
เมื่อคุณได้อ่านหนังสือพัฒนาตัวเองที่ช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจทุก ๆ วัน คุณและสมองของคุณก็จะท่วมท้นไปด้วยคำพูดในเชิงบวกและแนวคิดที่จากการอ่านหนังสือเล่มนั้นเต็ม ๆ เลยค่ะซึ่งนี่ก็จะช่วยยกระดับจิตใจและช่วยเสริมพลังบวกในตัวของคุณให้มากยิ่งขึ้นได้ค่ะ
2. ได้รับแรงบันดาลใจ
หนังสือที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนเองจำนวนมากมักจะมาพร้อมกับแบบฝึกหัดและคำแนะนำที่มีประโยชน์ สามารถนำไปปรับใช้งานได้จริง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั่นก็คือมันยังเป็นเหมือนแรงบันดาลใจที่ช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวคุณเองได้สำเร็จได้ง่ายขึ้นค่ะ
3. ทำลายขีดจำกัดของคุณเอง
หากจะบอกว่าข้อดีอีกอย่างที่ได้จากการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองนั่นก็คือการที่ได้ทำลายกำแพงขีดความของตัวคุณเองนั้นก็คงไม่ผิดอะไร เพราะคำพูดจากหนังสือเหล่านี้นอกจากจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในแต่ละวันได้ดีแล้วนั้น มันก็ช่วยกระตุ้นให้เราได้ทำอะไรใหม่ ๆ ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ไปในที่ที่คุณไม่เคยไป ได้สัมผัสกับสิ่งที่คุณไม่เคยมีมาก่อนและนี่ก็คือวิธีที่ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นและดีขึ้นได้ค่ะ
Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น

ราคา 256 บาท*
สำหรับหนังสือเล่มแรกนี้ถือเป็นเล่มที่หลาย ๆ คนแนะนำว่าต้องอ่านค่ะ เพราะนอกจากจะการันตีจากนักอ่านในไทยแล้วนั้นหนังสือเล่นนี้ยังได้รับการันตีจากการครองตำแหน่ง New York Times Bestseller ด้วยเช่นกันค่ะ โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือคุณ James Clear ที่เป็นทั้งนักเขียน นักพูดผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างนิสัยซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะเป็นการพูดถึงเส้นทางที่จะนำคุณไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จด้วยการรู้จักปรับและเปลี่ยนนิสัยเล็ก ๆ เพียง 1% ต่อวันเท่านั้นซึ่งมันก็ดูเหมือนจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กมาก ๆ ใช่ไหมละคะแต่เปล่าเลย มันกลับมีประสิทธิภาพมากกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ๆ เลยอีก
ในหนังสือเล่มนี้ก็จะใช้ภาษาที่น่าอ่านค่ะ เข้าใจง่าย มีการดึงเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องบ้างเล็กน้อย เนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้นอกจากจะช่วยเสริมสร้างพลังบวกและเป็นแรงบันดาลใจให้ทุก ๆ คนได้แล้วก็ยังสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงอีกด้วยค่ะ
เกี่ยวกับ | การพัฒนานิสัยด้วยการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ |
---|---|
เขียนโดย | James Clear |
แปลโดย | ประพาฬรัตน์ ยงมานิตชัย |
จำนวน | 328 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
Thinking, Fast and Slow คิด, เร็วและช้า

ราคา 676 บาท*
เล่มต่อมาก็จะเป็นหนังสือที่ถูกแนะนำโดยหลาย ๆ คนรวมถึงคุณชัชชาติ ผู้ว่าที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีด้วยเช่นกันค่ะ สำหรับหนังสือเล่มนี้ก็จะเป็นการพูดถึงระบบความคิดของมนุษย์เราที่มีอยู่ 2 ระบบ นั่นก็คือการคิดเร็วและการคิดช้าซึ่งทั้งสองต่างก็มีผลต่อการตัดสินใจของคนเราทั้งหมด
โดยหนังสือเล่มนี้จะเป็นเหมือนไกด์ไลน์ที่ช่วยให้เรารู้จักกลั่นกรองคำพูด วิธีคิด และช่วยในเรื่องของการตัดสินใจหรือตัดสินอะไรสักอย่างด้วยเหตุและผล โดยจะใช้ระบบการคิดช้าและคิดเร็วมาผสมกันอย่างลงตัว ไม่เอนเอียงไปทางระบบใดระบบหนึ่งมากเกินไป
สำหรับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือ Daniel Kahneman ซึ่งเป็นทั้งนักคิดและนักจิตวิทยารางวัลโนเบล ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยค่ะที่หนังสือเล่มนี้จะกลายเป็นอีกเล่มที่ควรค่าแก่การอ่านยิ่งนัก แต่ขอแอบกระซิบนิดนึงค่ะว่าหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างหนาเลยทีเดียว อาจจะต้องใช้เวลาและความตั้งใจสักเล็กน้อย แต่อ่านจบปุ๊บคุณจะได้เข้าใจกระบวนการทำงานของสมองและความคิดของตัวคุณมากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ
เกี่ยวกับ | การคิด 2 แบบที่มีผลต่อมนุษย์ |
---|---|
เขียนโดย | Daniel Kahneman |
แปลโดย | จารุจรรย์ คงมีสุข |
จำนวน | 808 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
Miracle Morning ทุกสิ่งในชีวิตจะดีขึ้น เมื่อตื่นเช้า

ราคา 175 บาท*
หนังสือเล่มนี้ก็คงเดาได้ไม่ยากเลยใช่ไหมละคะ แน่นอนค่ะว่าเนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับอะไรไปไม่ได้นอกจากการตื่นเช้านั่นเองค่ะ ในเล่มนี้ก็จะเป็นการพูดถึงเคล็ด (ไม่) ลับในการเปลี่ยนแปลงตัวเองในช่วงเช้าเพื่อให้เป็นเช้าที่ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำพูดนี่กันมาบ้างแล้วที่ว่า ‘วันทั้งวันจะเป็นเช่นไรนั้นมันก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้เวลาในช่วงเช้าอย่างไร’ ซึ่งก็เป็นคำพูดที่จริงที่สุดเลยค่ะ สำหรับหนังสือเล่มนี้นะคะถือว่าเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ชอบตื่นสายหรือคนที่ตื่นเช้าอยู่แล้วแต่อยากที่จะตื่นเช้ามากขึ้นนั่นเองค่ะ
หนังสืออ่านค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อน มีการวางเนื้อหาที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่หนักมาก อ่านแล้วรู้เบาสมอง ได้พลังบวกเต็มเปี่ยมจนถึงขนาดว่าอยากจะตื่นนอนในเช้าวันต่อไปให้เร็วขึ้นอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียวค่ะ สำหรับหนังสือเล่มนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเล่มที่น่าสนใจ ไม่หนามาก แถมราคาก็ดีอีกด้วยค่ะ
เกี่ยวกับ | การประสบความสำเร็จด้วยการตื่นเช้าและเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ดี |
---|---|
เขียนโดย | Hal Elrod |
แปลโดย | เสรี อู่ธาราสวัสดิ์ |
จำนวน | 224 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
Eat That Frog! กินกบตัวนั้นซะ!

ราคา 133 บาท*
Eat That Frog! หรือที่มีชื่อภาษาไทยว่า ‘กินกบตัวนั้นซะ!’ คือหนังสือที่หลัก ๆ แล้วจะพูดถึงเรื่องของการบริหารเวลาเป็นหลัก โดยกบที่ปรากฏอยู่ในชื่อหนังสือก็ไม่ได้หมายถึงกบจริง ๆ เสียอย่างใด แต่กลับหมายถึงงานยาก ๆ นั่นเองค่ะ งานที่ทำแล้วรู้สึกเครียด งานใหญ่ งานที่สูบพลังออกไปเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นกบซึ่งจะตัวเล็กหรือใหญ่ก็จะขึ้นอยู่กับงานนั้น ๆ ค่ะ
ในเล่มนี้ผู้เขียนจะให้เรากินกบตัวที่เป็นงานยากและสำคัญก่อนเสมอ นอกจากนี้ก็ยังพูดถึงการเลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง การรู้จักจัดลำดับความสำคัญ และอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งสรุปได้ทั้งหมดคือ 21 วิธีด้วยกันที่จะทำให้คุณใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่เฉพาะกับเรื่องของการทำงานเท่านั้น แต่เรากลับมองว่าสิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ยังสามารถนำไปปรับใช้ได้หลาย ๆ ด้านเลยทีเดียว
หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนโดย Brian Tracy ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักคิด นักพูด และนักเขียนชื่อดังแล้วก็ยังมีผลงานที่เด่น ๆ อยู่หลายเล่มด้วยกันค่ะ แต่เล่มนี้ดูเหมือนจะเป็นเล่มที่เป็นที่พูดถึงค่อนข้างมาก เพราะน่าจะตอบโจทย์ของคนส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี แถมเนื้อหาก็กระชับ ไม่ยืดเยื้อ อ่านง่ายมีตัวอย่างประกอบให้พอหอมปากหอมคอ เนื้อหาทั้งเล่มก็ร้อยกว่าหน้าเท่านั้นเองค่ะซึ่งถือว่าไม่ได้เยอะเกินไป น่าอ่านมาก ๆ เลยค่ะทุกคน
เกี่ยวกับ | การหยุดนิสัยผัดวันประกันพรุ่งและการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ |
---|---|
เขียนโดย | Brian Tracy |
แปลโดย | พรเลิศ อิฐฐ์ |
จำนวน | 160 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
Who Moved My Cheese? ใครเอาเนยแข็งของฉันไป

ราคา 165 บาท*
พอพูดถึงหนังสือที่มีเนื้อหาไม่เยอะมากและใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายอีกหนึ่งเล่มก็ต้องยกให้เล่มนี้เลยค่ะ Who Moved My Cheese? ใครเอาเนยแข็งของฉันไป? เป็นหนังสือที่ยอดขายกว่า 35 ล้านเล่ม และถูกนำไปแปลแล้วกว่า 44 ภาษาเลยทีเดียว
โดยผู้เขียนนั้นตั้งใจที่จะเปรียบเนยแข็งที่อยู่ในเรื่องนี้ ให้เป็นเหมือนสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันหรือแสวงหา ส่วนเขาวงกตก็คือสถานที่หรือสถานการณ์ที่เราเข้าไปเพื่อหาเนยแข็ง ที่จะดำเนินเรื่องผ่านตัวละคร 4 ตัว ได้แก่ สนิฟฟ์และสเกอร์รีซึ่งจะเป็นหนู ส่วนเฮมและฮอว์ก็คือคนแคระ โดยทั้ง 4 ตัวละครนั้นจะมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เรื่องก็จะดำเนินไปเรื่อย ๆ ค่ะโดยในแต่ละช่วงแต่ละตอนก็จะมีสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งนี่เองค่ะที่จะมาลิงค์กับสถานการณ์จริงในปัจจุบันที่คนเราจะต้องปรับตัวให้ชินกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นเราก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยน เรียนรู้ และเริ่มใหม่ นอกจากข้อคิดจากเรื่องนี้จะใช้ได้กับชีวิตจริงแล้วนั้น ก็ยังนำไปปรับใช้ในด้านอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน เนื้อหาไม่น่าเบื่อเลยค่ะ เหมือนกับเรากำลังนั่งอ่านนิทานเด็ก ๆ มากกว่า แต่ถ้าเป็นงั้นจริงมันก็คงจะเป็นนิทานเด็ก ๆ เล่มที่พิเศษสุด ๆ เลยค่ะเพราะว่ามันแฝงไปด้วยข้อคิดที่ดีมาก ๆ นั่นเอง
เกี่ยวกับ | การพัฒนาตัวเองให้คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลง |
---|---|
เขียนโดย | Spencer Johnson, M.D. |
แปลโดย | ประภากร บรรพบุตร |
จำนวน | 104 หน้า |
ปก | ปกแข็ง |
เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข

ราคา 191 บาท*
หลาย ๆ ครั้งเราถูกปลูกฝังมาว่าจะต้องเป็นคนดีอย่างนั้น คนดีอย่างนี้ แต่สำหรับหนังสือเล่มนี้กลับบอกว่าให้เรา ‘เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข’ เอ๊ะ! มันยังไงกันละเนี่ย ก่อนอื่นก็ต้องขอออกตัวก่อนว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้ทุกคนเลิกทำดีแล้วกลายมาเป็นคนไม่ดีนะคะทุกคน แต่ผู้เขียนตั้งใจจะบอกว่าให้เลิกเป็นคนดีในสายตาคนอื่น แล้วกลับมาค่ะ…กลับมาเป็นตัวของตัวเอง กลับมาเป็นเราในเวอร์ชันที่เป็นเราจริง ๆ ไม่ใช่เพียงเพราะอยากได้รับการยอมรับจากผู้อื่นเพียงเท่านั้นค่ะ
หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นหนังสือที่ช่วยดึงให้เรากลับมารักและยอมรับตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะทำตามใจตัวเองแล้วจะใช้ชีวิตอย่างมีอิสระและมีความสุข ซึ่งถ้าหากว่าช่วงนี้ใครที่ลองสำรวจแล้วพบว่ารู้สึกเหมือนสูญเสียความเป็นตัวเองไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยหนังสือเล่มนี้ก็ถือว่าเหมาะสำหรับคุณมาก ๆ อีกทั้งสไตล์การเขียนของนักเขียนท่านนี้เองก็น่าสนใจมาก ๆ ค่ะ มีการแบ่งหมวดหมู่ที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และเนื้อก็ชัดเจนดูจริงใจ ถือเป็นหนังสือที่มาจากนักเขียนญี่ปุ่นที่ค่อนข้างแหวกแนวดีเลยทีเดียวค่ะ
เกี่ยวกับ | การกลับมาเป็นตัวของตัวเองโดยที่ไม่ฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่เป็นตัวเอง |
---|---|
เขียนโดย | Tokio Godo |
แปลโดย | อาคิรา รัตนาภิรัต |
จำนวน | 182 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
Mindset ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

ราคา 229 บาท*
หนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของกรอบความคิดเพื่อเอาชนะโชคชะตานั่นเองค่ะ ซึ่งหลัก ๆ แล้วกรอบความคิดของคนเราก็จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ Growth mindset ก็คือกรอบความคิดที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้ดีขึ้นได้ กับแบบที่ 2 คือ Fixed Mindset ซึ่งก็จะแตกต่างกับแบบแรกโดยสิ้นเชิง โดยแบบนี้จะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ มีกรอบที่ค่อนข้างแคบและจำกัด ซึ่งในเนื้อหาจะชวนคุณได้ปรับและเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น พร้อมกับมีกรณีศึกษามาให้เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นด้วยค่ะ
ผลงานการเขียนหนังเล่มนี้จะเป็นของ Carol S. Dweckn ซึ่งก็เป็นนักจิตวิทยาชื่อดังจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ดังนั้นแล้วเนื้อจึงมีความเข้มข้นมากพอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็อ่านแล้วเข้าใจง่าย พร้อมกับมีการสรุปถึงสิ่งที่กล่าวไปอย่างสั้น ๆ เพื่อให้เข้าใจถ่องแท้มากขึ้นด้วยค่ะ
เกี่ยวกับ | การเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดหรือ mindset |
---|---|
เขียนโดย | Carol S. Dweckn |
แปลโดย | พรรณี ชูจิรวงศ์ |
จำนวน | 360 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
12 RULES FOR LIFE :12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต

ราคา 328 บาท*
Jordan B. Peterson ผู้ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาชื่อดังและศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโทรอนโตและฮาร์วาร์ด อีกทั้งยังเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอกฎอันทรงพลังที่มีผลต่อชีวิต ซึ่งเมื่อเข้าใจและนำไปปรับใช้ก็จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ง่าย ๆ เลยค่ะ กฎที่ว่านี้ผู้เขียนได้สรุปมาทั้งหมด 12 ข้อที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ตั้งแต่วันนี้และตลอดชีวิตเลยทีเดียวค่ะ
แต่ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้นั้นก็คือการนำเสนอที่ไม่ได้สื่อสารแบบตรงไปตรงมามากนัก ซึ่งถ้าหากดูจากหัวข้อใหญ่ของกฎแต่ละข้อก็อาจจะมีงง ๆ บ้างเล็กน้อย อย่างกฎที่ว่า “หยุดเพื่อลูบแมวที่คุณพบเจอตามถนนบ้าง” ซึ่งเป็นกฎข้อที่ 12 อาจจะฟังดูแล้วก็เอ๋..มันยังไงกันนะ จริง ๆ แล้วกฎข้อนี้ผู้เขียนต้องการจะสื่อให้เราได้เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มีความสุขกับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างแม้ในช่วงเวลานั้นคุณอาจจะอยู่ในวังวนของปัญหาที่ยากที่จะแก้ไขหรือช่วงเวลาในชีวิตตอนนั้นอาจจะสับสนวุ่นวาย อย่างน้อยระหว่างทางก็หยุดเพื่อลูบหัวแมวบ้างก็ยังดี นอกจากกฎข้อนี้แล้วก็มีอีกหลาย ๆ ข้อเลยค่ะซึ่งเป็นกฎง่าย ๆ ที่จะช่วยยกระดับความคิดและชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้จริง ๆ อยากจะแนะนำมาก ๆ ค่ะ
เกี่ยวกับ | กฎอันทรงพลัง 12 ข้อที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต |
---|---|
เขียนโดย | Jordan B. Peterson |
แปลโดย | ธีร์ ทิพกฤต |
จำนวน | 476 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
ทักษะความสุข

ราคา 328 บาท*
ใครที่ชื่นชอบผลงานของพี่เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือที่รู้จักกันในนามปากกาว่า ‘นิ้วกลม’ วันนี้ต้องห้ามพลาดเลยเด็ดขาดเพราะเรามีหนังสือของพี่เอ๋มาฝากทุกคนกันด้วยค่ะ โดยหนังสือเล่มนี้ก็คือ ‘ทักษะความสุข’ แต่ก่อนที่เราจะไปโฟกัสเนื้อหานั้นขอนอกเรื่องนิดนึงนะคะ อยากบอกเลยว่าภาพหน้าปกหนังสือน่ารักมาก ๆ เลยค่ะ แถมพลิกกลับมาด้านหลังเองก็ยิ่งว้าว เห็นแล้วรู้สึกอยากจะหยิบขึ้นมาอ่านทันทีทันใดเลยทีเดียว ในหนังสือเล่มนี้ก็จะเป็นการชี้ให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถสร้างขึ้นเองได้จากการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ นั่นเองค่ะ
ทักษะความสุขเป็นหนังสือที่มาจากพอดแคสต์ ‘ความสุขโดยสังเกต’ ของพี่เอ๋เองนั่นแหละค่ะแต่จะเป็นการหยิบมาขัดเกลาและร้อยเรียงใหม่เล็กน้อยเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น สื่อสารได้ตรง เห็นภาพ และสามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างความสุขได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะฝึกฝนทักษะของความสุขแล้วไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ก็ขอให้เริ่มต้นด้วยการหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านแล้วกันนะคะ…
เกี่ยวกับ | การสร้างความสุขในชีวิต |
---|---|
เขียนโดย | นิ้วกลม |
แปลโดย | ไม่ระบุ |
จำนวน | 424 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
อย่าเป็นคนเก่งที่คุยไม่เป็น

ราคา 183 บาท*
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงหนังสือเล่มสุดท้ายของเราในวันนี้กันแล้วค่ะ โดยเล่มนี้จะเป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของการพูดทั้งหมด โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการโฟกัสไปที่การพูดให้เป็น พูดอย่างไรคู่สนทนาไว้ใจ คล้อยตาม และทำให้บทสนทนานั้นลื่นไหลยิ่งขึ้นด้วยทักษะคุยเล่นที่ไม่ไร้สาระ
ซึ่งนี่ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงกับการพูดในที่ทำงานและชีวิตประจำวันอย่างแน่นอนค่ะ เพียงแต่ต้องฝึกฝนและต้องใช้เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเทคนิคที่ว่านี้ก็ได้ถูกรวบรวมเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ เนื้อหาในหนังสือไม่เยอะเกินไปและก็ไม่น้อยเกินไป ส่วนการเรียบเรียงที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เข้าใจง่าย และไม่เวิ่นเว้อ และที่สำคัญมาก ๆ เลยก็คือเนื้อหาสามารถหยิบนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาการพูดของคุณได้ทันที ถ้าหากไม่เชื่อก็ลองหยิบเล่มนี้มาอ่านดูสิค่ะ 🙂
เกี่ยวกับ | การพัฒนาทักษะด้านการพูด |
---|---|
เขียนโดย | Tadashi Yasuda |
แปลโดย | ช่อลดา เจียมวิจักษณ์ |
จำนวน | 232 หน้า |
ปก | ปกอ่อน |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
เทคนิคในการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพ
หนังสือพัฒนาตัวเองนั้นมีเนื้อหาและมีรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างออกไปจากหนังสือการ์ตูน หนังสือเรียน หรือหนังสือทั่ว ๆ ไปมากพอสมควร ดังนั้นแล้ววิธีการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดจำเป็นต้องใช้เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. อ่านหนังสือช้า ๆ
การอ่านหนังสือเร็วอาจใช้ไม่ได้ผลกับหนังสือประเภทนี้เท่าไหร่นัก ทางที่ดีคือคุณจะต้องอ่านช้า ๆ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงสารที่ผู้เขียนต้องการส่งออกไปยังผู้อ่านนั่นเองค่ะ หนังสือประเภทนี้คุณอาจต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และค่อย ๆ ซึมซับไปทีละเล็กทีละน้อยมันก็จะเป็นประโยชน์กับคุณมากขึ้นค่ะ

2. อ่านซ้ำ
ในบางครั้งคุณอาจจะต้องอ่านหนังสือหน้าใดหน้าหนึ่งหรือย่อหน้าเดียวซ้ำ ๆ หลายครั้งเพื่อทำความเข้าใจให้ดีขึ้น เพราะบ่อยครั้งการอ่านย่อหน้าเดิมหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ที่คุณจะไม่มีวันได้รับจากการอ่านเพียงครั้งเดียวนั่นเองค่ะ ไม่เชื่อก็ลองดูได้นะคะ อิอิ
3. ทำความเข้าใจ
ในบางครั้งใช่ว่าเราจะเข้าในทุกคำหรือทุกประโยคที่นักเขียนต้องการที่จะสื่อเสมอไป ฉะนั้นแล้วในส่วนนี้ก็จะมีอยู่ 2 เทคนิคค่ะที่สามารถนำไปใช้ได้
- หยุดอ่านและทำความเข้าใจ : เป็นเทคนิคที่คุณต้องหยุดอ่านเนื้อหาในหนังสือสักพัก จากนั้นก็ค่อย ๆ คิดตามในส่วนที่ไม่ชัดเจนหรือไม่เข้าใจ
- อ่านต่อเพื่อหาคำตอบ : เทคนิคที่ 2 นี้ก็จะแนะนำให้คุณอ่านต่อไปอีกหนึ่งหรือสองหน้า แล้วกลับไปที่ส่วนที่คุณไม่เข้าใจอีกครั้ง เพราะค่อนข้างเป็นไปได้ค่ะว่าสิ่งที่คุณไม่เข้าใจนั้นจะชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่อ่านเพิ่มเติมไปอีกเล็กน้อยนั่นเองค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วบางครั้งคำตอบหรือคำอธิบายอาจจะอยู่ในหน้าถัดไปก็เป็นได้ ฉะนั้นแล้วลองนำเทคนิคนี้ไปใช้ดูนะคะ
4. กำหนดเป้าหมาย
ในขณะที่คุณกำลังอ่านหนังสือ แนะนำว่าให้นึกถึงชีวิต ความสำเร็จ หรือสิ่งที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงแก้ไข และคุณจะนำคำแนะนำที่ได้มาจากหนังสือนี้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตอย่างไรได้บ้าง
5. ต้องอดทน
การอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองก็เท่ากับว่าคุณกำลังเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และคุณก็กำลังจะพัฒนาชีวิตของคุณให้ดียิ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน ซึ่งในส่วนนี้อาจต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วคุณต้องอดทน หากคุณอ่านมากเกินไป คุณอาจรู้สึกว่าเนื้อหาค่อนข้างหนักหรือเข้มข้นเกินไปได้ ฉะนั้นแล้วแนะนำให้ไปอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปนะคะ

6. จดบันทึก
สำหรับเทคนิคนี้ถือเป็นเทคนิคที่คนเก่ง ๆ หลาย ๆ คนนิยมใช้กันมากเลยก็คือการจดบันทึกขณะอ่าน ซึ่งมันอาจจะเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ คำแนะนำที่คุณต้องการปฏิบัติตาม หรือเนื้อหาอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ถ้าหากคุณอ่านโดยที่ไม่จดบันทึก คุณก็อาจลืมข้อมูลข้อมูลนั้น ๆ ได้ค่ะ แต่ถ้าหากไม่ชอบจดบันทึกก็อาจจะมีการไฮไลท์ส่วนสำคัญในหนังสือหรือจะสรุปสั้น ๆ ในหนังสือเลยก็ได้เช่นกัน
เทคนิคต่าง ๆ ที่เราได้ให้ข้างต้นถือว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นค่ะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวคุณเองต่างหากที่จะต้องรู้จักนำไปปรับใช้จริง ๆ ในชีวิตประจำวัน การทำงาน และด้านอื่น ๆ ดังนั้นแล้วเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ดียิ่งขึ้นก็อย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้กันด้วยนะคะทุกคน สำหรับวันนี้เราก็ต้องขอตัวลากันไปก่อนแล้วกลับมาเจอะเจอกันใหม่ในบทความถัดไปนะคะ สวัสดีค่ะ