เราทุกคนทราบดีว่าสมาร์ทวอทช์เป็นนาฬิกาที่ทำได้มากกว่าบอกเวลา มันสามารถติดตามสุขภาพตลอดจนผลจากการออกกำลังกายของคุณ นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อทำหน้าที่แจ้งเตือนและเข้าถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
โดยสมาร์ทวอทช์ที่เราได้รวบรวมมาวันนี้จะเป็นรุ่นที่มีสเปคดีสุดในแต่ละยี่ห้อ ไม่มีการจำกัดงบประมาณเหมือนบทความที่ผ่านมา (สมาร์ทวอทช์ราคาไม่เกิน 5,000 บาท, สมาร์ทวอทช์ราคาไม่เกิน 2,000 บาท หรือสมาร์ทวอทช์ราคาไม่เกิน 1,000 บาท) ดังนั้นใครที่กำลังมองหาสมาร์ทวอทช์สำหรับใช้ในระยะยาวจะต้องถูกใจบทความนี้อย่างแน่นอนจ้า
อย่างไรก็ตาม…สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ล่าสุดก็มีออกมาให้เราได้เห็นอยู่เรื่อย ๆ จนอาจทำให้คุณรู้สึกตามกระแสไม่ทัน บวกประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้รีวิวบทความสมาร์ทวอทช์มานับครั้งไม่ถ้วน วันนี้เราจะมาแนะนำสมาร์ทวอทช์รุ่นที่ดีสุดพรีเมียม มีสเปคสูง ในปี 2023 กันค่ะ ขอบอกก่อนว่าบางรุ่นที่เราแนะนำอาจจะเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นเก่า แต่ก็ยังคงเป็นรุ่นที่ยังมีคุณภาพค่ะ บอกเลยว่าข้อมูลแน่นจากประสบการณ์โดยตรง!!!
สมาร์ทวอทช์ระดับพรีเมียม สเปกสูง ยี่ห้อไหนดี (Apple, Garmin, Samsung, Google, Fitbit)?
- Apple Watch Ultra สมาร์ทวอทช์ดีที่สุดสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง
- Garmin Fēnix 7 Solar Series สมาร์ทวอทช์
- Samsung Galaxy Watch 5 สมาร์ทวอทช์ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ Android
- Fitbit Sense 2 สมาร์ทวอทช์ช่วยจัดการความเครียดที่ดีที่สุด
- Google Pixel Watch สมาร์ทวอทช์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์ Pixel
![]() Apple Watch Ultra สมาร์ทวอทช์ดีที่สุดสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง | ![]() Garmin Fēnix 7 Solar Series สมาร์ทวอทช์ | ![]() Samsung Galaxy Watch 5 สมาร์ทวอทช์ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ Android | ![]() Fitbit Sense 2 สมาร์ทวอทช์ช่วยจัดการความเครียดที่ดีที่สุด | ![]() Google Pixel Watch สมาร์ทวอทช์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์ Pixel |
สมาร์ทวอทช์ในระดับพรีเมียม ดีกว่า สมาร์ทวอทช์ราคาประหยัดอย่างไร ?
ราคาสมาร์ทวอทช์ที่มีฟังก์ชันครบโดยทั่วไปมีราคามากกว่า 5,000 บาทอย่างแน่นอน (หลายแบรนด์อาจเริ่มต้นที่ 10,000 บาทด้วยซ้ำ) เมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์ราคาประหยัดแล้ว อุปกรณ์ที่มีราคาแพงกว่าเหล่านี้จะมีคุณสมบัติด้านการสื่อสาร เพลง และฟิตเนสขั้นสูงที่ดีกว่าค่ะ อีกทั้งสมาร์ทวอทช์ในระดับพรีเมียมมักจะรวมสิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น การติดตามด้วย GPS ในตัว มีพื้นที่สำหรับเก็บเพลง และ Near Field Communication (NFC) ที่สมาร์ทวอทช์ราคาประหยัดทั่วไปไม่มี
NFC คือ อะไร ?
สมาร์ทวอทช์หลายรุ่นมี NFC ให้คุณชำระเงินได้โดยไม่ต้องใช้กระเป๋าเงิน หลังจากบันทึกข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแล้ว คุณสามารถถือสมาร์ทวอทช์ไปที่เครื่องอ่าน NFC เพื่อชำระค่ากาแฟระหว่างทางกลับบ้านหลังจากวิ่งได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามโปรดทราบว่าสมาร์ทวอทช์แต่ละเรือนใช้ระบบการชำระเงินที่แตกต่างกัน อาทิเช่น Apple Watch ใช้ Apple Pay, ส่วนสมาร์ทวอทช์ที่ใช้ Wear OS จะต้องใช้ระบบ Google Pay, สมาร์ทวอทช์ Samsung ใช้ Samsung Pay เป็นต้น

Apple Pay เป็นหนึ่งในระบบการชำระเงิน NFC ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยจะรองรับธนาคารและบัตรเครดิตหลายแห่งใน 72 ประเทศทั่วโลก ในขณะที่ Samsung และ Google Pay ใช้งานได้ในภูมิภาคที่น้อยกว่า สิ่งสำคัญคือคุณต้องทราบว่าการรองรับการชำระเงิน NFC ทั้งสองจะแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์ ดั่งเช่นระบบของ Samsung และ Google
Apple Watch Series 8 สมาร์ทวอทช์โดยรวมที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ราคา 15,900 บาท*
ด้วยคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่ทาง Apple เพิ่มเข้ามาทำให้ Apple Watch Series 8 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ทนทาน กันน้ำ กันฝุ่น และกันรอยขีดข่วนได้ดี นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติการตรวจจับการชนแบบใหม่ ซึ่งจะตรวจจับตำแหน่งที่ผู้สวมใส่ประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรงและโทรแจ้งเตือนฉุกเฉินได้ทันที มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิร่างกายจากทางผิวหนัง (เป็นเซ็นเซอร์แบบใหม่) รวมถึงคุณสมบัติการติดตามสุขภาพหลายอย่างที่จำเป็นต่อการดูแลสุขภาพร่างกาย ดังนั้นจึงทำให้ Apple Watch 8 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้คนส่วนใหญ่

Apple Watch Series 8 ดูคล้ายกับ Apple Watch Series 7 ทุกประการแต่มีการปรับปรุงด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่โดดเด่นขึ้น การอัปเกรดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ Series 8 คือความสามารถในการวัดและติดตามการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร่างกายของคุณในขณะที่คุณนอนหลับ หากคุณมีรอบเดือน Series 8 สามารถใช้ข้อมูลอุณหภูมิร่างกายนี้เพื่อประเมินวันที่ตกไข่ครั้งล่าสุดของคุณได้ด้วย ในด้านความปลอดภัย Series 8 สามารถตรวจจับได้ว่าคุณประสบอุบัติเหตุรถชนหรือไม่ และจะขอความช่วยเหลือโดยอัตโนมัติ โดยคุณสามารถเลือกตัวเรือนได้ 2 ขนาดคือ 41 มิลลิเมตร (เล็ก) หรือ 45 มิลลิเมตร (ใหญ่)
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
![]() |
Apple Watch Series 8 เทียบกับ UltraUltra จะเน้นการใช้งานสำหรับสายลุยนักผจญภัยที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้งหรือไปยังสถานที่เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เนื่องจากนี้ Ultra ยังมี GPS สำหรับการติดตามตำแหน่งที่ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น มาพร้อมกับไซเรนฉุกเฉินที่ขอความช่วยเหลือได้แม้ว่าจะอยู่ในจุดอับสัญญาณ ในส่วนของการใช้งานกลางแจ้งก็มีการเพิ่มความสว่างของหน้าจอได้สูงถึง 2,000 nits นอกจากนี้วัสดุของ Ultra ยังออกแบบมาให้ทนทานและมีดีไซน์ที่แตกต่างจาก Apple Watch รุ่นอื่น ๆ อีกทั้งยังเพิ่มปุ่ม Action ที่ตั้งโปรแกรมได้ด้วย |
![]() |
Apple Watch Series 8 เทียบกับ SE รุ่น 2ในขณะที่ Watch SE ไม่มีแผงหน้าจอสำหรับแสดงผลตลอดเวลาและยังไม่มีเซ็นเซอร์สุขภาพขั้นสูงบางตัว แต่คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ทาง Apple คิดค้นมานั้นจะมีอยู่ทั้งหมดใน Watch SE ไม่ว่าจะเป็น อุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรง, การตรวจจับการล้ม, การแจ้งเตือนสุขภาพหัวใจ หรือ SOS ฉุกเฉิน ดังนั้น Watch SE จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีอายุ รวมถึงยังเหมาะสำหรับกลุ่มคนที่มีงบประมาณกลาง ๆ อีกด้วย |
![]() |
Apple Watch Series 8 เทียบกับ Series 7ไม่มีความแตกต่างมากมายระหว่าง Series 8 และ Series 7 การออกแบบส่วนใหญ่แทบจะเหมือนกันมาก ๆ ในขณะที่ Series 8 ทำงานบนชิป S8 ที่ใหม่กว่า ช่วยให้ใช้งานได้นานขึ้นเล็กน้อย ( 2-3 ชั่วโมง) |
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | iOS |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | watchOS |
อายุแบตเตอรี่ | 18 ชั่วโมง |
Samsung Galaxy Watch 5 สมาร์ทวอทช์ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ Android

ราคา 9,989 บาท*
Galaxy Watch 5 จากแบรนด์ Samsung ได้มีการอัปเดตครั้งใหญ่ด้วยการออกแบบที่ทนทานมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่ารุ่นก่อน ๆ นอกจากนี้ยังมีอัลกอริทึมการออกกำลังกายขั้นสูงและเทคโนโลยีติดตามการนอนหลับที่ดีมาก ทำให้เป็นสมาร์ทวอทช์ที่เข้ากันได้กับ Android ที่ดีที่สุดในขณะนี้
แฟน ๆ สมาร์ทวอทช์ของ Samsung อาจรู้สึกไม่ชอบที่ Watch 5 และ Watch 5 Pro ไม่มีกรอบที่หมุนได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีในสมาร์ทวอทช์รุ่นเก่า ๆ ของ Samsung แต่อย่างไรก็ตาม Watch 5 ทั้งสองรุ่นมีกรอบดิจิทัลที่ใช้งานได้ซึ่งติดตั้งอยู่ในหน้าจอ แม้ว่ามันจะหมุนไม่ได้ แต่มันจะช่วยทำให้คุณใช้งานง่ายขึ้นเพียงแค่เลื่อนนิ้วไปตามขอบด้านนอกของจอแสดงผลเท่านั้น สำหรับคนที่สงสัยว่ารุ่นนี้แข็งแรงทนทานมากกว่ารุ่นก่อนอย่างไร ? นั่นเป็นเพราะว่า Watch 5 เป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นแรกของ Samsung ที่มีการติดตั้งกระจกแซฟไฟร์ใช้สำหรับป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอ ซึ่งบริษัทเคลมว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่ารุ่น Watch 4 ถึง 1.6 เท่า จะช่วยลดการเกิดรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

ในด้านฮาร์ดแวร์ภายในนั้น Watch 5 จะมีโปรเซสเซอร์ หน่วยความจำ และสเป็คสตอเรจแบบเดียวกับรุ่น Watch 4 แต่มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น โดย Watch 5 รุ่นเล็กขนาด 40 มม. มีแบตเตอรี่ 284mAh และรุ่นใหญ่ขนาด 44 มม. มี 410mAh ตามลำดับ อีกหนึ่งการอัปเกรดที่น่าสนใจที่สุดใน Watch 5 คือการเพิ่มเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิผิวหนังเข้ามา แต่น่าเสียดายที่ในขณะที่เขียนบทความนี้ ยังไม่มีฟีเจอร์วัดอุณหภูมิผิวหนังมาให้เราได้ทดสอบ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถรีวิวคุณสมบัตินี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามทาง Samsung ได้ระบุว่ากำลังทำงานร่วมกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และอาจจะปล่อยฟีเจอร์นี้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2023
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
![]() |
Galaxy Watch 5 เทียบกับ Galaxy Watch 5 ProGalaxy Watch 5 Pro ซึ่งมีตัวเรือนเป็นไทเทเนียมที่ทนทานกว่า มาพร้อมกับจอแสดงผลที่ติดตั้งกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ที่แข็งแรงกว่ารุ่นธรรมดาทั่วไป และยังมีอายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานมากกว่าด้วย โดยรวมแล้วคุณสมบัติการนำทาง GPS จะเหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งโดยเฉพาะเลยค่ะ เรียกว่า Galaxy Watch 5 Pro เน้นการใช้งานกลางแจ้งที่สมบุกสมบันจริง ๆ ค่ะ แต่น่าเสียดายที่รุ่น Pro มีให้เลือกขนาดเดียวเท่านั้น (ไม่มีขนาดเล็กให้เลือก) |
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | Android |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | Wear OS |
อายุแบตเตอรี่ | 50 ชั่วโมง |
Apple Watch SE (2022) แอปเปิ้ลวอชราคาไม่แพง ที่ดีที่สุด

ราคา 9,900 บาท*
Apple Watch SE รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นตัวเลือก Apple Watch ราคาประหยัดที่สุด มีคุณสมบัติหลักของ Apple Watch เช่น การตรวจจับการชน การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การตรวจจับการล้ม และการติดตามกิจกรรมต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างอิสระสำหรับการโทรและส่งข้อความ เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับแฟนคลับ Apple ที่มีงบจำกัด ด้วยโปรเซสเซอร์ที่เร็วขึ้น อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น และราคาที่ถูกกว่ารุ่นก่อนหน้า ทำให้ Apple Watch SE รุ่นที่ 2 กลายมาเป็น Choice ที่ยอดเยี่ยมสำหรับ Apple Watch ราคาประหยัดเมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 8
สำหรับใครที่เป็นแฟนคลับของ Apple Watch จะทราบดีว่า SE เป็นสมาร์ทวอทช์จาก Apple ที่มีราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์มากที่สุดแล้ว หากคุณใช้ iPhone อยู่ด้วย แต่ก็ไม่อยากซื้อ Apple Watch ที่มีราคาแพงหูฉี่ เราขอแนะนำเป็นรุ่น SE เลยจ้าา
SE เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ที่มาในขนาด 40 มม. (เล็ก/กลาง) หรือ 44 มม. (ใหญ่) แม้ว่าจะดูเหมือนกับรุ่นก่อน แต่กลับมาในราคาต่ำกว่า รวมถึงได้เปลี่ยนมาใช้โปรเซสเซอร์ที่เร็วขึ้น มีการเพิ่มเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบใหม่สำหรับการตรวจจับการชน และปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานมากขึ้นกว่าเดิม
แต่อย่างไรก็ตามในราคาที่ถูกกว่าเช่นนี้ทำให้ SE ขาดคุณสมบัติบางอย่างที่มีใน Series 8 แต่กลับไม่มีใน SE อาทิเช่น จอแสดงผลที่เปิดตลอดเวลา, เซ็นเซอร์สำหรับออกซิเจนในเลือด (SpO2), คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) และการอ่านค่าอุณหภูมิร่างกาย
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
![]() |
Apple Watch SE เทียบกับ Apple Watch Series 8สำหรับ Apple Watch Series 8 ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น บวกกับอายุแบตเตอรี่และยังมีเครื่องมือติดตามสุขภาพขั้นสูงจึงทำให้ Series 8 เป็นตัวเลือกอับดับต้น ๆ ที่เราอยากแนะนำจริง ๆ ค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่นเชื่อมต่อกับ iPhone ได้อย่างสะดวกสบาย และมีระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยที่ดี มาในราคาที่ถูกกว่า เหมาะกับผู้ที่เริ่มใช้สมาร์ทวอทช์เป็นครั้งแรก เราขอแนะนำเป็น SE รุ่นที่ 2 ค่ะ |
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | iOS |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | watchOS |
อายุแบตเตอรี่ | 18 ชั่วโมง |
Fitbit Versa 3 สมาร์ทวอทช์อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีที่สุด

ราคา 6,990 บาท*
นอกเหนือจากคุณสมบัติด้านสุขภาพและการตรวจจับผลการออกกำลังกายที่มีฟังก์ชันมากมายแล้ว Fitbit รุ่นท็อปตัวนี้ยังมี GPS ในตัวที่สามารถใช้ติดตามความเร็ว ระยะทาง และเส้นทางการวิ่ง การเดินป่า หรือขี่จักรยานของคุณได้อย่างแม่นยำ มีการสนับสนุน Google Assistant และ Alexa มาพร้อมกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 6 วัน และความสามารถในการชาร์จเร็วอีกด้วย
แม้ว่า Fitbit Versa 3 จะไม่มีเซ็นเซอร์หรือการติดตามที่หลากหลายหากเทียบกับ Fitbit Sense ที่ราคาแพงกว่า (มาก ๆ) แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของการใช้งานโดยรวมถือว่า Versa 3 เป็นนาฬิกาเพื่อสุขภาพและเน้นการออกกำลังกายเป็นหลัก ทั้งยังเป็น Choice ที่ดีที่สุดสำหรับสมาร์ทวอทช์ในราคาย่อมเยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ระบบ Android
เพราะว่ามี GPS ในตัวทำให้คุณสามารถดูอัตราจำนวนก้าวและระยะทางแบบเรียลไทม์ระหว่างการวิ่งกลางแจ้ง ปั่นจักรยาน เดินป่า และปีนเขาได้โดยไม่ต้องนำสมาร์ทโฟนติดตัวไปด้วย นี่เป็นการอัปเดตที่ดีมาก ๆ เมื่อเทียบกับ Versa 2 ที่ไม่มี GPS มาให้ และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกชอบในรุ่น Versa 3 คือมันชาร์จได้เร็วแรงทันใจสุด ๆ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมงในการชาร์จแบตให้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้นจากสเปกข้อมูลที่ระบุว่าสามารถอยู่ได้นานถึง 6 วัน นั่นหมายความว่า Versa 3 ใช้เวลาชาร์จเพียง 12 นาทีต่ออายุการใช้งานแบต 24 ชั่วโมงเองค่ะ 😲 โดยส่วนตัวแล้วเรารู้สึกประทับใจมากกับอายุแบตเตอรรี่ที่ดีเช่นนี้มาก ๆ เมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่น ๆ ที่แพงกว่า แม้ว่าผลลัพธ์ของผู้ใช้งานแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป เพราะจะอยู่ขึ้นกับไลฟ์สไตล์และการตั้งค่า แต่จากการทดสอบเปิดหน้าจอแสดงผลตลอดเวลาใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบว่า Versa 3 มีแบตเหลืออยู่ถึง 79 เปอร์เซ็นต์ และหลังจากใช้งาน 48 ชั่วโมง แบตก็ลดลงเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
![]() |
Fitbit Versa 3 เทียบกับ Fitbit SenseSense สามารถวัดอุณหภูมิร่างกายของคุณในตอนกลางคืนได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ไม่มีใน Versa 3 |
![]() |
Fitbit Versa 3 เทียบกับ Apple Watch SEหากคุณใช้ iPhone อยู่แล้ว เราขอแนะนำให้คุณพิจารณา Apple Watch SE เนื่องจากมีแอปฯ ให้ดาวน์โหลดได้หลากหลายกว่ามาก สามารถรองรับการโทรและส่งข้อความได้ดีกว่า รวมถึงคุณสมบัติด้านสุขภาพและความปลอดภัยครอบคลุม ซึ่งคุณจะไม่ได้รับใน Versa 3 อย่างแน่นอน |
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | Android, iOS |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | Fitbit OS |
อายุแบตเตอรี่ | 6 วัน |
Apple Watch Ultra สมาร์ทวอทช์ดีที่สุดสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง

ราคา 31,900 บาท*
แม้ว่า Ultra อาจจะดูใหญ่เทอะทะและมีราคาแพงมากเกินไป แต่ Ultra กลับเป็นสมาร์ทวอทช์ที่สมบุกสมบันมากที่สุดในรีวิวของเราวันนี้ เหมาะสำหรับคนที่รักกิจกรรมกลางแจ้ง ชอบการผจญภัย เป็นสายลุย ๆ มีอายุการใช้งานสูงสุด 36-60 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดย Ultra จะมาพร้อมกับคุณสมบัติ GPS ที่ดีมาก ๆ เพื่อติดตามจำนวนก้าวของคุณ และสามารถระบุพิกัดได้อย่างแม่นยำ ทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยเมื่อต้องไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
Ultra เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ดีพร้อมในทุก ๆ ด้าน ด้วยการออกแบบโครงสร้างที่ทนทานมากกว่าเดิม มาพร้อมกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน (มาก ๆ) รวมถึงจอแสดงผลที่ใหญ่และสว่างขึ้น นอกจากนี้ยังมีไมโครโฟนสามตัวที่จะคอยจับเสียงของคุณในสภาพลมแรงและระบบลำโพงที่ดังกว่ารุ่นไหน ๆ อย่างเห็นได้ชัด การอัปเกรดอื่น ๆ ของ Ultra ที่น่าสนใจไม่หมดเพียงเท่านี้แต่ยังมีระบบ GPS ความถี่คู่เพื่อความแม่นยำยิ่งขึ้น และปุ่ม Action ที่ช่วยให้คุณใช้งานสะดวกได้อย่างสะดวก มาพร้อมกับไซเรนฉุกเฉินในตัวที่ระดับเสียง 86 เดซิเบล สามารถส่งเสียงได้นานหลายชั่วโมง

Ultra แตกต่างจากสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่นๆ ของ Apple ตรงที่มีการติดตั้งกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทนทานกว่ารุ่นไหน ๆ แต่กลับให้ผลลัพธ์หน้าจอที่เรียบแบนมาก ๆ เมื่อเทียบกับ Series 8 ที่กระจกทรงโดมมีความโค้งมนมากว่า นอกจากกระจกแล้ว Ultra ยังได้รับการปกป้องตรงขอบด้วยไทเทเนียม ทำให้มีความไวต่อการขีดข่วนตามขอบน้อยกว่า

สำหรับตัวผู้เขียน ไม่ได้มีโอกาสทดสอบ Ultra จริง ๆ เนื่องจากราคาที่สูงเกินไป แต่หากดูจากสเปกและคุณสมบัติต่าง ๆ แล้ว ก็พอจะทราบได้ว่าทาง Apple ไม่ได้ปล่อย Ultra มาเพื่อแข่งกับแบรนด์สมาร์ทวอทช์ทั่วไป แต่เป้าหมายของ Ultra คือการนักผจญภัยกลางแจ้งโดยเฉพาะ ซึ่งดูเหมือนต้องการชี้ปลายดาบไปทางแบรนด์ Coros, Garmin หรือ Polar เสียมากกว่า
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
![]() |
Apple Watch Ultra เทียบกับ Series 8สำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน Series 8 ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเรา เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสะดวกสบายและสามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ในขณะที่ Ultra เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่าหากคุณชอบการผจญภัย ถึงแม้ว่าจะมีราคาแพงมากก็ตาม |
สำหรับคนที่ต้องการให้เราเปรียบเทียบกับแบรนด์ที่เน้นกิจกรรมกลางแจ้งอย่าง Coros, Garmin และ Polar นั้น ต้องเรียนตามตรงว่าบริษัทของเรามีความซื่อสัตย์ต่อผู้อ่านมากพอ เราไม่สามารถให้คำแนะนำในการเปรียบเทียบระหว่างแบรนด์เหล่านี้ได้เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ให้ทดสอบค่ะ 😭
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | iOS |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | watchOS |
อายุแบตเตอรี่ | 36 ชั่วโมง |
Fitbit Sense 2 สมาร์ทวอทช์ช่วยจัดการความเครียดที่ดีที่สุด

ราคา 9,790 บาท*
Fitbit Sense 2 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่เน้นเรื่องสุขภาพที่ทันสมัยที่สุดของ Fitbit (ในขณะนี้) โดยทางแบรนด์พยายามให้ความสำคัญกับการจัดการความเครียด ด้วยการตรวจจับและติดตามอารมณ์ของผู้สวมใส่อยู่ตลอด (สามารถปิดใช้งานคุณสมบัตินี้ในแอปได้หากต้องการ + ปิดการแจ้งเตือนความเครียดอัตโนมัติในเวลากลางคืน เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับของคุณ) ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา รวมถึงพนักงานออฟฟิศที่มีความเครียดสะสม อีกทั้ง Fitbit ยังได้มีการปรับปรุงหน้าจอสัมผัสที่ตอบสนองไวขึ้น รวมถึงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานมากขึ้น
คุณจะเห็นได้ว่า Fitbit Sense 2 ได้ปรับลดราคารุ่นนี้ให้ถูกลงจากรุ่นแรก โดยพวกเขาได้ทำการลดความสามารถภายในแอปฯ ไปหลายตัว เพื่อที่จะให้ Sense 2 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีราคาย่อมเยาที่โดดเด่นในเรื่องสุขภาพ โดยปกติแล้วจากรุ่นแรกที่เปิดตัวเมื่อ 2020 ก็มีเซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณ EDA เพื่อใช้ติดตามการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียดมาให้ด้วย แต่การกลับมาครั้งนี้ทางแบรนด์ได้เพิ่มเซ็นเซอร์ Body Response ตัวใหม่ที่ใช้สำหรับวัด EDA อย่างต่อเนื่องแบบตลอดทั้งวัน พร้อมกับมีการแจ้งเตือนหากพบว่าคุณมีความเครียดที่สูงมากเกินไป Fitbit Sense 2 จะให้คุณประเมินตัวเองว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร (เครียด, ผิดหวัง, กังวล, เศร้า, สงบ, พอใจ, มีความสุข หรือตื่นเต้น) และจะเสนอคำแนะนำต่าง ๆ เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายขึ้น พร้อมกับสรุปข้อมูลให้เป็นรายสัปดาห์
หมายเหตุ : Fitbit Sense 2 ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความเครียดเชิงบวกและเชิงลบได้
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
![]() |
Fitbit Sense 2 เทียบกับ Fitbit Versa 4หลาย ๆ คนอาจคิดว่า Versa 4 น่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า Sense 2 เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าหลายบาท แม้ว่า Versa 4 จะมีฟังก์ชันหลัก ๆ ที่น่าสนใจอย่างเช่นการวัดอัตราการหายใจ ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวหนัง แต่มันก็ยังขาดเครื่องมือติดตามสุขภาพบางอย่างที่มีอยู่ใน Sense 2 รวมถึง EDA Scan ด้วย หากคุณเพิ่มเงินขึ้นอีกนิดด้วยการซื้อ Sense 2 แทน คุณจะได้คุณสมบัติพิเศษเพิ่มเข้ามา อาทิเช่น เซ็นเซอร์ ECG สำหรับการประเมินจังหวะการเต้นของหัวใจและเซ็นเซอร์ cEDA รวมถึงเครื่องมือขั้นสูงเพื่อช่วยให้คุณจัดการกับความเครียด |
Fitbit Sense 2 เทียบกับกับรุ่นอื่น ๆ / แบรนด์อื่น ๆ
Fitbit Sense 2 จะไม่แจ้งเตือนคุณที่ข้อมือเมื่อตรวจพบการออกกำลังกาย แต่มันจะบันทึกสถิติของคุณไว้ในแอปฯเท่านั้น ต่างจาก Apple Watch และ Samsung Galaxy Watch ที่จะแจ้งให้คุณทราบแบบเรียลไทม์ทันทีเมื่อตรวจพบการออกกำลังกาย และแสดงสถิติของคุณสำหรับเซสชันนั้นบนหน้าปัดนาฬิกาให้เห็นเลย ดังนั้นสำหรับใครที่จัดอยู่ในสายออกกำลังกายและต้องการซื้อสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่น ๆ ของ Fitbit เราแนะนำเป็น Fitbit Charge 5 , Fitbit Luxe , Fitbit Inspire 3 หรือ Fitbit Ace 3 สมาร์ทวอทช์เหล่านี้เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการออกกำลังกายเฉพาะเลยค่ะ
จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Fitbit Sense 2 เมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย เช่น Apple Watch Series 8, Pixel Watch หรือ Samsung Galaxy Watch 5 ก็คืออายุการใช้งานแบตเตอรี่ จากที่เราได้ยกให้ Fitbit Versa 3 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีอายุแบตเตอรี่ที่ดีที่สุด บอกเลยว่าจริง ๆ แล้ว Sense 2 เองก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน เพราะสามารถใช้งานได้นานถึง 5 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ในขณะที่ Pixel Watch ใช้งานได้ประมาณ 24 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ส่วน Galaxy Watch 5 และ Apple Watch Series 8 สามารถใช้งานได้ประมาณ 30 ชั่วโมงต่อการชาร์จในโหมดใช้งานปกติ
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | Android, iOS |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | Fitbit OS |
อายุแบตเตอรี่ | 5 วัน |
Garmin Venu 2 สมาร์ทวอทช์ฟิตเนสที่ดีที่สุด

ราคา 13,690 บาท*
เราค่อนข้างช่างใจอยู่นานว่าจะลง Garmin Venu 2 ในรีวิวบทความนี้ดีไหม ? เนื่องจากเป็นรุ่นที่ผลิตออกมานานแล้ว (2021) แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคา คุณสมบัติต่าง ๆ ทำให้เราไม่สามารถทิ้ง Garmin Venu 2 ได้จริง ๆ ค่ะ Venu 2 เป็นทางเลือกที่น่าสนใจหากคุณคำนึงถึงสุขภาพและการออกกำลังกายเป็นหลัก เพราะไม่เพียงแต่เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ดีไซน์น่าดึงดูด แต่ทาง Garmin ได้มีการนำเสนอคุณสมบัติด้านสุขภาพและการออกกำลังกายขั้นสูงจำนวนมาก รวมถึงเครื่องมือไลฟ์สไตล์ที่เป็นประโยชน์ เช่น การชำระเงินผ่านมือถือ พื้นที่เก็บเพลงในตัวเครื่อง (มากถึง 650 เพลง) และรองรับหูฟังบลูทูธในตัว
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | Android, iOS |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | Proprietary |
อายุแบตเตอรี่ | 6 วัน |
Google Pixel Watch สมาร์ทวอทช์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์ Pixel

ราคา 17,500 บาท*
Google Pixel Watch เป็นสมาร์ทวอทช์ Android เรือนแรกที่มีคุณสมบัติ Fitbit ในตัว มันมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานตลอดทั้งวันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังเป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีแอป GoogleHome เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมภายในบ้านของคุณ นอกจากนี้มันยังสามารถเล่นเพลง ติดตามกิจกรรมออกกำลังกาย และรับการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการออกแบบที่ไม่เหมือนใครและคุณสมบัติการจับคู่ระหว่าง Wear OS ของ Google กับ Fitbit ตัวติดตามฟิตเนสโดยเฉพาะที่พวกเราคุ้นเคย ทำให้ Google Pixel Watch เป็นหนึ่งในสมาร์ทวอทช์ที่เข้ากันได้กับมือถือ Android ทุกรุ่น
ทำความเข้าใจกับ Pixel Watch, Fitbits และ Galaxy Watch
หลาย ๆ ท่านในที่นี้อาจรู้สึกสับสนว่าทำไม Pixel Watch ถึงมีการรวมมือกับ Fitbit ได้ ทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่ต่างก็จำหน่ายสมาร์ทวอทช์เหมือนกัน เราต้องขอบอกก่อนว่าซอฟต์แวร์ Wear OS ของ Google ได้ถูกนำไปใช้งานบนสมาร์ทวอทช์จากแบรนด์ดัง มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Fossil, Michael Kors, Montblanc, Samsung และ Skagen แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ค่ายยักษ์ใหญ่ร่วมมือกันสร้างสมาร์ทวอทช์ที่ครอบคลุมที่สุด โดยการใช้ Wear OS 3.5 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์สมาร์ทวอทช์เวอร์ชันล่าสุดของ Google Pixel Watch
ซึ่งคู่แข่งที่สูสีที่สุดของ Google Pixel Watch ก็คือ Samsung Galaxy Watch 5 แม้ว่าทาง Samsung จะมีซอฟต์แวร์ของตัวเองอยู่บ้างแต่เทคโนโลยีบางอย่างก็ยังต้องพึ่งพาระบบของ Google ทำให้สมาร์ทวอทช์ของ Samsung จำเป็นต้องใช้ Wear OS ในการทำงาน จึงส่งผลให้ Galaxy Watch 5 สามารถใช้งานร่วมกับโทรศัพท์ Android ได้เกือบทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม Samsung ที่มีค่ายมือถือของตัวเองอยู่แล้วก็คงอยากจะผูกขาดกับแบรนด์ของตัวเอง (ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร) ทำให้ Galaxy Watch 5 มีข้อจำกัดบางอย่างในการใช้งาน เช่น การวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) จะใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือ Samsung เท่านั้น (ฟังก์ชันนี้ใช้ร่วมกับโทรศัพท์ Android แบรนด์อื่นไม่ได้)
ต่างจาก Google Pixel Watch ที่ไม่มีข้อกำจัดใด ๆ เนื่องจากพวกเขาได้ร่วมมือกับ Fitbit ที่เป็นบริษัทผลิตเทคโนโลยีการสวมใส่อุปกรณ์แบบไร้สายชื่อดัง ทำให้ Google Pixel Watch สามารถจับคู่กับโทรศัพท์ Android ได้ทั้งหมดไม่จำเป็นต้องใช้มือถือ Pixel เท่านั้น
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | Android |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | Wear OS |
อายุแบตเตอรี่ | 1 วัน |
Garmin Fēnix 7 Solar Series สมาร์ทวอทช์

ราคา 33,990 บาท*
Garmin Fēnix 7 Series มีหน้าจอสัมผัส ไฟฉาย LED หลายจุดแบบแฮนด์ฟรี และ Garmin ยังได้มีการอัปเกรดครั้งใหญ่ "การโต้ตอบของสมาร์ทวอทช์รายวันและการนำทางแผนที่" มาพร้อมกับคุณสมบัติพื้นฐานของแบรนด์ Garmin ที่ควรมีมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย, ตัววัดประสิทธิภาพ, เซ็นเซอร์สุขภาพ และการประเมินความสมบูรณ์ของร่างกาย
แน่นอนว่ารุ่นนี้จะต้องเน้นเรื่องแผนที่การระบุพิกัดตำแหน่งเป็นหลัก นอกจากนี้ Garmin Fēnix 7 Series รุ่นนี้ยังใช้พลังงานแสงอาทิตย์อีกด้วยนะคะ ซึ่งเป็นรุ่นที่สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานถึง 5 สัปดาห์ในโหมดสมาร์ทวอทช์ และนานถึง 5 วันในโหมด GPS
Fenix 7 เป็นนาฬิกามัลติสปอร์ตที่ล้ำสมัยที่สุดของ Garmin มีฟังก์ชันการฝึกซ้อมรูปแบบใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้นักกีฬากลุ่มต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้โดยเฉพาะ
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | Android, iOS |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | Proprietary |
อายุแบตเตอรี่ | 5 สัปดาห์ / 5 วันเปิด GPS |
Garmin Vivoactive 4 สมาร์ทวอทช์ฟิตเนสระดับไฮเอนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด

ราคา 9,990 บาท*
Garmin Vivoactive 4 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ใช้เทคโนโลยี Pulse Ox ของ Garmin เพื่อติดตามระดับพลังงาน, การหายใจ, รอบเดือน, ความเครียด, การนอนหลับ, อัตราการเต้นของหัวใจ และอื่น ๆ สามารถสตรีมเพลงที่ดาวน์โหลดจาก Spotify และ Amazon Music ได้ รวมถึงคุณจะได้รับการแจ้งเตือนได้เหมือนสมาร์ทโฟนทุกอย่าง สมาร์ทวอทช์ Garmin นี้มีแอปกีฬาในร่มและ GPS ที่โหลดไว้ล่วงหน้ามากกว่า 20 แอปฯ หากคุณต้องการเทรนเนอร์ส่วนตัวที่พกพาไปไหนมาไหนกับคุณได้ทุกที่ เราขอแนะนำ Garmin Vivoactive 4 เลยค่ะ
หากคุณกำลังมองหาตัวติดตามฟิตเนสที่มีความสมดุลระหว่างรูปแบบและการทำงาน Garmin Vivoactive 4 ควรเป็นหนึ่งในสมาร์ทวอทช์อันดับแรก ๆ ที่คุณต้องพิจารณา เนื่องจากทาง Garmin เป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องตัวติดตามฟิตเนส, GPS, การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แถมยังเป็นสมาร์ทวอทช์ไฮบริดที่มีคุณสมบัติครบครัน มาพร้อมกับการออกแบบที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ มีแอปฯ กีฬาที่โหลดไว้ล่วงหน้ามากมาย พื้นที่สำหรับจัดเก็บเพลงในเครื่อง (มากถึง 500 เพลง) และรองรับหูฟังบลูทูธ
นอกจากนี้ Garmin Vivoactive 4 ยังต่างจากรุ่นก่อนตรงที่ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจของคุณแบบออปติกขณะว่ายน้ำอีกด้วยนะคะ อีกทั้งยังมีการต่อยอดพัฒนาจากรุ่นก่อนด้วยการเพิ่มแอนิเมชั่นการออกกำลังกายบนหน้าจอ แม้ว่า Garmin จะเป็นนาฬิกาที่ ดูค่อนข้างมันแพงไปหน่อย แต่เชื่อเราเถอะค่ะว่า Garmin สามารถให้คุณค่ามหาศาลในการใช้งานกับราคาที่เสียไปอย่างแน่นอน
ข้อดี
|
ข้อควรพิจารณา
|
![]() |
Garmin Vivoactive 4 เทียบกับ Vivoactive 4Sในแง่ของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ Garmin ระบุไว้ว่า Vivoactive 4 ใช้งานได้นานถึง 8 วันในโหมดสมาร์ทวอทช์ และ 6 ชั่วโมงในโหมด GPS หรือ 18 ชั่วโมงในโหมด GPS โดยไม่มีเพลง ส่วน Vivoactive 4S มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่โดยประมาณสูงสุด 7 วันในโหมดสมาร์ทวอทช์ และ 5 ชั่วโมงในโหมด GPS หรือ 15 ชั่วโมงในโหมด GPS โดยไม่มีเพลง |
ใช้กับสมาร์ทโฟนระบบ | Android, iOS |
---|---|
ระบบปฏิบัติการนาฬิกา | Proprietary |
อายุแบตเตอรี่ | 8 วัน / 6 ชั่วโมงเปิด GPS |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
วิธีเลือกซื้อ Smart Watches สุดพรีเมียม และสิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนซื้อ
1. เลือกนาฬิกาที่เหมาะกับโทรศัพท์ของคุณ
“Apple Watch หากคุณต้องการใช้งานทุกฟังก์ชัน คุณจำเป็นต้องใช้งานกับ iPhone เท่านั้น ในขณะที่อุปกรณ์ Wear OS ใช้งานได้ดีกับทั้ง iOS และ Android”
อย่างที่ทราบกันดีว่าสมาร์ทโฟนในปัจจุบันนี้มีระบบปฏิบัติการสองรูปแบบ คือใช้ระบบ iOS หรือระบบ Android ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณควรพิจารณาหากจะซื้อสมาร์ทวอทช์คือความเข้ากันได้ของมือถือที่คุณใช้อยู่ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ผลิตมือถือแต่ละเจ้ามักจะผูกขาดกับสมาร์ทวอทช์ของตน อาทิเช่น

Apple Watch ทุกรุ่น ใช้ระบบปฏิบัติการของ Apple และมันก็ใช้งานได้ดีกับอุปกรณ์ iOS เท่านั้น หากคุณใช้โทรศัพท์ในระบบ Android หรือกำลังวางแผนที่จะซื้อมือถือ Android เครื่องใหม่ เราอยากให้คุณพิจารณาให้ดีว่าจำเป็นต้องซื้อ Apple Watch จริง ๆ ไหม ? เนื่องจากมันใช้กับมือถือระบบอื่นได้ไม่ดีเลย (หลาย ๆ ฟังก์ชันสำคัญจะขาดหายไป หากไม่ได้ใช้ iPhone ไม่แนะนำให้ซื้อ Apple Watch ค่ะ)
นอกจากนี้ Apple Watch รุ่นล่าสุดอย่าง Series 8, Ultra หรือ Watch SE (2022) ก็ต้องจับคู่กับ iPhone 8 ขึ้นไปหรือ iPhone ที่ใช้ระบบปฏิบัติ iOS 16 ขึ้นไปเท่านั้นอีกด้วย

ส่วนใครที่อยากใช้ Galaxy Watch 5 ของ Samsung แค่คุณมีมือถือระบบ Android อย่างเดียวก็ไม่สามารถใช้รุ่นใหม่นี้ได้นะคะ เพราะมันจะต้องเป็นมือถือที่ใช้ Android เวอร์ชั่น 8.0 ขึ้นไป และต้องมี RAM มากกว่า 1.5GB นอกจากนี้เราขอเตือนให้คุณทราบก่อนที่ซื้อ Galaxy Watch 5 แม้ว่ามันจะจับคู่กับโทรศัพท์ Android ที่ไม่ใช่ของ Samsung ได้ แต่แต่แต่!! คุณสมบัติบางอย่าง เช่น การวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) จะใช้งานได้กับโทรศัพท์ Samsung เท่านั้น
ในส่วนของ Google Pixel Watch จะใช้ Wear OS 3.5 และต้องทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนบน Android 8.0 (หรือใหม่กว่า) แต่ยังดีที่มันสามารถจับคู่กับโทรศัพท์ Android ค่ายอื่นได้ด้วย ไม่จำเป็นว่าต้องจับคู่กับโทรศัพท์ Pixel เท่านั้นค่ะ
ฉะนั้นก่อนที่คุณจะซื้อสมาร์ทวอทช์ เราอยากให้คุณตรวจสอบความเข้ากันได้กับสมาร์ทโฟนของคุณอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ อย่าซื้อสมาร์ทวอทช์โดยที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันจะใช้งานได้กับสมาร์ทโฟนของคุณได้
2. ความแตกต่างระหว่าง Smart Watches และ Fitness Trackers
เอาจริง ๆ แบบไม่อำเล่นเลยนะคะ เมื่อก่อนผู้เขียนก็แยก Smart Watches และ Fitness Trackers ไม่ออกค่ะ เพิ่งจะรู้ด้วยว่าทั้งคู่มีการทำงานที่ต่างกัน 😉
สำหรับสมาร์ทวอทช์นั้นเราคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายเพราะว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในบทความนี้อยู่แล้ว แต่สำหรับ Fitness Trackers นั้นก็คืออุปกรณ์ติดตามที่คล้ายกับสมาร์ทวอทช์มาก ๆ แต่จะมีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักเบากว่า สวมได้ใส่สบายกว่า ซึ่ง Fitness Trackers จะออกแบบมาให้เหมาะสำหรับใส่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะนอน อาบน้ำ หรือเล่นกีฬา

ในส่วนของฟังก์ชันการทำงานของ Fitness Trackers ก็ไม่ได้ต่างจากสมาร์ทวอทช์สักเท่าไหร่ มันสามารถตรวจวัดข้อมูลทางสุขภาพและติดตามผลการออกกำลังกายได้เหมือนกันหมด แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือความสามารถในการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน (ที่สมาร์ทวอทช์ทำได้ดีกว่า) รวมถึงสมาร์ทวอทช์จะมี GPS มาให้ในตัวด้วย (น้อยมาก ๆ ที่ Fitness Trackers จะมี GPS) ดังนั้นสมาร์ทวอทช์จึงสามารถติดตามการออกกำลังกายกลางแจ้งของคุณได้โดยที่ไม่ต้องพกโทรศัพท์มือถือไปให้หนักเลยค่ะ

หากคุณอยากลงทุนในระยะยาวเราแนะนำให้ซื้อสมาร์ทวอทช์เพราะสามารถตอบโจทย์มากกว่า แม้ว่าสมาร์ทวอทช์จะมีราคาที่สูงมากเมื่อเทียบกับ Fitness Trackers แต่มันสามารถใช้งานได้อย่างครอบคลุมและทำได้ทุกอย่างเหมือน Fitness Trackers ทุกประการ (เผลอ ๆ คุณสมบัติในบางตัวของสมาร์ทวอทช์อาจดีกว่าด้วยนะคะ)
3. อายุแบตเตอรี่
อย่าลืมให้ความสำคัญกับอายุแบตเตอรี่ของสมาร์ทวอทช์ในรุ่นที่คุณสนใจด้วยนะคะ หลาย ๆ คนพลาดในจุดนี้กันเยอะมาก เพราะมัวแต่ไปดูคุณสมบัติพิเศษหรือการดีไซน์ออกแบบ จนลืมไปว่าการใช้งานสมาร์ทวอทช์จริง ๆ ที่ต้องชาร์จแบตทุกวันนั้นมันค่อนข้างจะน่าเบื่อ (โดยเฉพาะคนที่ต้องการซื้อมาเพื่อติดตามการนอนหลับ) 🥱 😵💫 หากคุณไม่อยากเสียเวลาไปกับการชาร์จแบต เราขอแนะนำให้เลือกความจุแบตเตอรี่ในขนาดที่สูงไว้ก่อนเลยนะคะ แต่โปรดทราบว่ายิ่งความจุสูง ขนาดหรือน้ำหนักของสมาร์ทวอทช์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกสวมใส่สมาร์ทวอทช์ไม่สบายข้อมือได้ค่ะ
นอกจากนี้สมาร์ทวอทช์ส่วนใหญ่ที่มีหน้าจอสีคมชัดสวยงาม ก็มักจะใช้งานได้ประมาณ 1-2 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (และบางครั้งอาจน้อยกว่า 1 วันด้วยซ้ำ) และสมาร์ทวอทช์ที่มีความสามารถด้านเสียงจะใช้งานได้ไม่นานเมื่อคุณใช้มันแทนโทรศัพท์ของคุณ อาทิเช่น Apple Watch จะใช้งานได้ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งก็ต้องเข้าใจ ณ จุดนี้ด้วย เพราะว่าการใช้งานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
4. สายนาฬิกาที่ถอดเปลี่ยนได้

สำหรับข้อนี้ก็ถือว่าเป็นจุดสำคัญ หากคุณเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่หลากหลาย สมาร์ทวอทช์ที่สามารถถอดเปลี่ยนสายได้จะเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนกลุ่มนี้ ลองนึกภาพว่าคุณจะต้องไปปีนเขาแต่สายนาฬิกาของคุณกลับเป็นโลหะสีทองสุดแวววาวดูซิค่ะ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นรอยขีดข่วนได้ง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย หรือหากวันไหนคุณจำเป็นต้องไปงานเลี้ยงสำคัญแต่สมาร์ทวอทช์ที่คุณใส่ทุกวันเป็นแนวสปอร์ตแบบลุย ๆ ทำให้ลุคโดยรวมของคุณดูขัดแย้งกัน ฉะนั้นการมีสายนาฬิกาที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ตามโอกาสที่ใช้งานเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาค่ะ และจุดที่สำคัญคือมันจะต้องถอดง่าย รวมถึงมีสายสำรองให้เลือกซื้อหลากหลายด้วยนะคะ
6. การป้องกันรอยขีดข่วน
ปัจจุบันนี้มีหลายแบรนด์มาก ๆ ที่เลือกนำเสนอจุดเด่นอย่างกระจกแซฟไฟร์ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ามันคืออะไร ? หลาย ๆ เว็บรีวิวเพียงแค่บอกว่ารุ่นนี้มีการติดตั้งกระจกแซฟไฟร์ซึ่งทำให้คุณรู้สึกว่ามันเป็นพิเศษกว่ารุ่นอื่น ๆ แต่พวกเขาไม่ได้บอกว่ากระจกแซฟไฟร์แท้จริงแล้วไม่ใช่กระจก แต่เป็นเซรามิกที่เลียนแบบความโปร่งใสของกระจกและให้ความทนทานมากกว่า อาทิเช่น Samsung Galaxy Watch และ Apple Watch จะใช้แซฟไฟร์กลาส

อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีเพียงแต่แซฟไฟร์กลาสเท่านั้นน่าสนใจแต่ถ้าคุณมีงบที่กำจัดลงมาการเลือกกอริลลากลาสเองก็เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ใช้ป้องกันรอยขีดข่วนที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน เพียงแต่ในด้านการทนทานต่อการขีดข่วนอาจน้อยกว่าแซฟไฟร์กลาส แต่ในทางกลับกันกอริลลากลาสจะทนต่อแรงแทกที่รุนแรงได้ดีกว่า นั่นหมายความว่าแซฟไฟร์กลาสอาจแตกหักง่ายกว่าหากเจอการกระแทกที่แรงเกินไป ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ กอริลลากลาส คือ Google Pixel Watch และ Vivoactive 4
ดังนั้นหากคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่ระมัดระวังหรือไม่ค่อยรักษาสิ่งของเราแนะนำให้เลือกสมาร์ทวอทช์ที่ใช้แซฟไฟร์กลาสค่ะ แม้ว่ามันจะไม่ทนต่อแรงกระแทกที่รุนแรง แต่ในแง่ของการใช้งานในชีวิตประจำวันโอกาสที่เกิดรอยขีดข่วนมีมากกว่าที่การกระจกจะแตกหัก ในทางกลับกัน หากคุณเป็นคนที่ทะนุถนอมสิ่งของเป็นพิเศษ การเลือกกอริลลากลาสก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะว่ามันมีราคาที่ถูกกว่า สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้เช่นกัน (แต่น้อยกว่าแซฟไฟร์กลาส)
สรุปส่งท้าย
สมาร์ทวอทช์ที่เราได้ทดสอบไปนั้นล้วนแต่มีความยอดเยี่ยมในแบบของมันเอง เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าตัวไหนดีที่สุด เนื่องจากเทคโนโลยีของแต่ละแบรนด์ก็มีจุดเด่นที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น Apple, Samsung, Garmin, Amazfit หรือ Fitbit เองก็ตาม

สิ่งที่ผู้ใช้อย่างพวกเราจะได้รับจากการแข่งขันเหล่านี้คือ การผลักดันความสามารถของสมาร์ทวอทช์ที่แต่ละแบรนด์ผลิตออกมาให้ดียิ่งขึ้น อาทิเช่น ในช่วงปี 2022-2023 นี้ Apple Watch Series 8 และ Samsung Galaxy Watch 5 ดูเหมือนจะเป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีลูกเล่นโดดเด่นมากที่สุด หรือหากคุณต้องการคุณสมบัติการวิเคราะห์ผลออกกกำลังกายขั้นสูง Garmin เป็นจะแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายมากกว่ารุ่นอื่น ๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 3 จะครองตำแหน่งผู้ชนะตลอดไป บางทีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เราอาจจะได้เห็นสมาร์ทวอทช์ที่พัฒนาคุณสมบัติได้มากขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะซื้อสมาร์ทวอทช์รุ่นไหนก็อย่าลืมจุดสำคัญที่แท้จริงของการใช้สมาร์ทวอทช์ นั่นคือ สมาร์ทวอทช์สามารถช่วยคุณประหยัดเวลาและรักษาสุขภาพของคุณให้ดีขึ้นได้ แม้ว่าปัจจุบันนี้สมาร์ทวอทช์จะมีคุณสมบัติและการออกแบบที่แตกต่างกันไปเพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ แต่สิ่งที่ต้องมีในสมาร์ทวอทช์หลัก ๆ คือ Matrix Fitness อาทิเช่น เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือจะเป็นความสามารถในการระบุตำแหน่งจาก GPS รวมถึงสามารถทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมให้กับโทรศัพท์ของคุณได้

อย่าลืมว่าการที่คุณจะซื้อสมาร์ทวอทช์มาใส่นั้นมันต่างจากนาฬิกาบอกเวลาทั่วไป การออกแบบของสมาร์ทวอทช์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดทุกปี และคุณก็ไม่ได้มีงบมากพอที่จะซื้อรุ่นใหม่ได้ตลอด ดังนั้นขอให้คุณมั่นใจแล้วว่าสมาร์ทวอทช์รุ่นนี้เป็นรุ่นที่คุณต้องการซื้อจริง ๆ
และก่อนจากกัน โปรดทราบว่าสมาร์ทวอทช์ยังคงเป็นแกดเจ็ตที่ช่วยทำให้การใช้ชีวิตของเรานั้นสะดวกมากขึ้น แน่นอนว่าต่อให้ในปีหน้าจะมีรุ่นใหม่ ๆ ออกมา แต่บทความรีวิวสมาร์ทวอทช์ของเว็บไซต์เราไม่ได้เน้นรุ่นใหม่ล่าสุด ดังนั้นคุณอาจจะยังเจอสมาร์ทวอทช์บางรุ่นที่เก่าแล้ว (แต่ยังมีคุณภาพ) ในเนื้อหาบทความนี้ได้ค่ะ