วิธีใช้ Moka Pot ครั้งแรก และเคล็ดลับการชงกาแฟสดให้อร่อย

ในช่วงสถานการณ์การระบาดของ Covid – 19 แบบนี้ทำเอาคอกาแฟหลายคนต้องแอบบ่นเบา ๆ เพราะไม่สามารถออกไปจิบกาแฟที่ร้านคาเฟ่เจ้าประจำได้ตามปกติ ด้วยเหตุนี้เอง จึงสังเกตได้ว่าในช่วงนี้เครื่องชงกาแฟสำหรับใช้ในบ้านนั้นมียอดขายที่พุ่งสูงมากกว่าปกติ ทั้งเครื่องชงกาแฟ French Press, เครื่องชงกาแฟแบบ Drip, เครื่องชงกาแฟแคปซูล พร้อมด้วยแคปซูลกาแฟรสชาติต่าง ๆ ไปจนถึงเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ (Espresso Machine) ที่คอกาแฟบางคนลงทุนซื้อมาตั้งไว้ที่บ้าน เพื่อชงกาแฟดื่มแบบไม่อั้น แบบที่ไม่ต้องง้อร้านคาเฟ่อีกต่อไป

บทความในวันนี้เราจึงจะขอชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งเครื่องชงกาแฟที่คอกาแฟรุ่นเก๋า และคอกาแฟมือสมัครเล่นควรมีติดบ้านไว้ นั่นก็คือ ‘หม้อ Moka Pot’ หรือที่ได้รับฉายาว่าหม้อต้มกาแฟในตำนานนั่นเอง

สินค้าลดราคาในช้อปปี้ & ลาซาด้า - ดีลดี เบสท์รีวิวเลือกให้สินค้าลดราคาในช้อปปี้ & ลาซาด้า - ดีลดี เบสท์รีวิวเลือกให้สินค้าลดราคาในช้อปปี้ & ลาซาด้า - ดีลดี เบสท์รีวิวเลือกให้

เจ้าหม้อต้มกาแฟ Moka Pot ตัวนี้เป็นอุปกรณ์การชงกาแฟที่มีมานานแล้วค่ะ แต่ยังได้รับความนิยม และเป็นที่รู้จักมาจนถึงปัจจุบัน เพราะถือว่าเป็นประสิทธิภาพที่ดีงามเกือบจะเทียบเท่าเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ (Espresso Machine) ที่เห็นกันบ่อย ๆ ในร้านกาแฟเลยทีเดียว

ซึ่งในบทความนี้นอกจากจะมีคำแนะนำ และวิธีการใช้เจ้าหม้อ Moka Pot อย่างละเอียดแล้ว เราก็ยังมีทริคดี ๆ ในการชงกาแฟสดให้หอมอร่อยถูกใจ และวีดีโอสอนชงกาแฟด้วยหม้อ Moka Pot มาฝากกันอีกด้วย ถ้ารู้อย่างนี้แล้วก็อย่ารอช้า รีบตามเรามาสู่สาระดี ๆ ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

วีดีโอสอนวิธีชงกาแฟด้วย Moka Pot

ประวัติความเป็นมาของหม้อ Moka Pot

Moka pot เป็นอุปกรณ์การชงกาแฟที่มีมาตั้งแต่โบราณของชาวอิตาลี ซึ่งได้ถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1933 โดย ‘Alfonso Bialetti’ ที่ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสากรรมอลูมิเนียม ได้นำวัสดุอลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา แต่นำความร้อนได้ดี มาออกแบบ และผลิตเป็นหม้อต้มกาแฟ Moka pot ภายใต้ชื่อ ‘Moka Express’ โดยบริษัท Bialetti Industries เพื่อตอบสนองต่อความนิยมในการดื่มกาแฟของผู้คนในสมัยนั้น และยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถทำกาแฟดื่มเองได้ง่าย ๆ ราวกับยกยกเอาคาเฟ่มาไว้ที่บ้าน จึงทำให้ Moka pot กลายมาเป็นอุปกรณ์คู่ครัวที่ทุกครัวเรือนในประเทศอิตาลีต้องมี ซึ่งหน้าตาของเจ้า Moka Pot ในยุคแรกก็ไม่ได้มีหน้าตาที่แตกต่างกับในปัจจุบันมากนัก คือจะมีรูปทรงเป็นรูป 8 เหลี่ยมทั้งด้านบน และด้านล่าง ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของ Moka Pot ที่มีมาถึงทุกวันนี้เลยล่ะค่ะ

หม้อ Moka Pot
หม้อ Moka Pot

ในอดีตหลังจากที่ Moka Pot ได้ถูกเปิดตัวขึ้นก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงไปทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป มีการผลิตขายกันเป็นล่ำเป็นสันนอกจากแบรนด์ดั้งเดิมอย่าง Bialetti แล้วก็ยังมีแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมาย ก่อนจะแผ่ขยายความนิยมไปสู่ทวีปอเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชียในเวลาต่อมา Moka Pot ยังคงได้รับความนิยมต่อมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีการผลิตเครื่องชงกาแฟหลากหลายรูปแบบที่ใช้งานง่ายและสะดวกกว่า Moka Pot จึงทำให้ Moka pot ได้รับความนิยมน้อยลงนับจากศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา

แต่ถึงอย่างนั้น Moka Pot ก็ไม่เคยหายไป และในปัจจุบัน Moka Pot หม้อต้มกาแฟในตำนานก็ได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งจากคอกาแฟหลาย ๆ ท่าน ที่ชื่นชอบกลิ่นหอมกรุ่น และรสชาติเข้มข้นของกาแฟ รวมถึงกรรมวิธีการชงกาแฟแบบโฮมเมด ที่คุณสามารถคัดสรรเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงควบคุมการชงกาแฟได้ด้วยตนเอง ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้ทำให้ Moka Pot ไม่เคยหายไปจากวงการกาแฟ และยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ค่ะ

ส่วนประกอบของ Moka Pot

ส่วนประกอบของ Moka Pot
ส่วนประกอบของ Moka Pot
  1. เหยือกกาแฟ : ส่วนบนสุดของหม้อ Moka Pot จะเป็นส่วนสำหรับรองรับน้ำกาแฟที่ไหลออกมา เรียกว่า ‘เหยือกกาแฟ’ หรือหม้อต้มกาแฟส่วนบน (Upper Part) มักทำมาจากวัสดุอลูมิเนียมที่ทนต่อความร้อน
  2. หูจับ หรือด้ามจับ : เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถยกตัวหม้อ Moka Pot เพื่อรินกาแฟเสิร์ฟได้โดยง่าย มักทำมาจากวัสดุที่ไม่นำความร้อน เช่น ไม้ หรือพลาสติกที่ทนความร้อน
  3. เกลียวปิดระหว่างเหยือกกาแฟ และหม้อน้ำ : โดยปกติแล้วหม้อ Moka Pot จะสามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วน คือหม้อส่วนบน และหม้อส่วนล่าง โดยมีเกลียวหมุนตรงกลางที่สามารถหมุนเข้าออกได้ เพื่อแยกทั้งสองส่วนออกจากกัน นอกจากนี้การใช้ระบบแบบเกลียวยังช่วยป้องกันไม่ให้น้ำรั่วซึมจากแรงดันภายในหม้อได้ดีอีกด้วย
  4. กรวยใส่ผงกาแฟ ในส่วนนี้จะเป็นส่วนสำหรับใส่กาแฟที่บดเรียบร้อยแล้ว มีลักษณะเป็นรูปกรวยที่มีตรงก้นเป็นท่อ เพื่อให้น้ำเดือดดันผ่านผงกาแฟขึ้นสู่เหยือกกาแฟ
  5. เซฟตี้วาล์ว (Safety Valve) : วาล์วตัวนี้จะถูกติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของหม้อน้ำ ทำหน้าที่คอยควบคุมแรงดันภายในหม้อน้ำให้มีแรงดันที่เหมาะสม อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในการกะระดับการเติมน้ำเปล่าลงในหม้อน้ำอีกด้วย
  6. หม้อน้ำ : ในส่วนล่างสุดของหม้อ Moka Pot นี้จะเรียกว่า ‘หม้อน้ำ’ หรือหม้อต้มกาแฟส่วนล่าง (Heater) เป็นภาชนะสำหรับใส่น้ำเปล่าเพื่อใช่ในการชงกาแฟ ซึ่งในส่วนนี้มักจะทำมาจากวัสดุที่นำความร้อนได้ดี

ชงกาแฟสดด้วย Moka Pot ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง

  1. หม้อต้มกาแฟ Moka Pot : เลือกหม้อ Moka Pot ที่มีขนาดเหมาะสมกับปริมาณเครื่องดื่มที่ต้องการ
  2. เตาแก๊ส หรือเตาไฟฟ้าขนาดเล็ก : ตรวจสอบให้ดีว่าหม้อ Moka Pot ของคุณใช้งานกับเตาชนิดใดได้บ้าง
  3. เมล็ดกาแฟคั่ว หรือเมล็ดกาแฟคั่วบด : เลือกเมล็ดกาแฟคั่วบดในระดับการคั่ว รวมถึงกลิ่น และรสที่ชอบ โดยคุณสามารถเลือกเมล็ดกาแฟคั่วแบบเต็มเมล็ด หรือเมล็ดกาแฟคั่วบดสำเร็จก็ได้ แต่การเลือกเมล็ดกาแฟคั่วแบบเต็มเมล็ดมาบดทานแก้วต่อแก้ว จะให้รสสัมผัส และกลิ่นที่สดใหม่กว่า
  4. น้ำเปล่า : โดยปกติแล้วการชวกาแฟด้วยหม้อ Moka Pot สามารถใช้น้ำเปล่าที่มีอุณหภูมิห้อง แต่เราขอแนะนำให้คุณเลือกน้ำเปล่าบริสุทธิ์ที่ไม่มีรสกร่อยในการชงกาแฟ เพื่อไม่ให้รสของกาแฟเปลี่ยน
  5. เครื่องบดเมล็ดกาแฟ หรือ grinder (มีหรือไม่มีก็ได้) : หากไม่มีสามารถใช้เมล็ดกาแฟคั่วบดสำเร็จได้ แต่การนำเมล็ดกาแฟมาบดเองจะได้สัมผัสของกลิ่น และรสที่สดใหม่มากกว่า
  6. แทมเปอร์กดกาแฟ (มีหรือไม่มีก็ได้) : เป็นอุปกรณ์ที่จะมี หรือไม่มีก็ได้ แต่การกดหน้าผงเมล็ดกาแฟด้วยแทมเปอร์หลังจากใส่ลงไปในตะแกรงแล้ว จะทำให้น้ำกาแฟที่ได้เกิดตะกอนกาแฟน้อย และได้ครีม่า (ฟองครีม)ในปริมาณที่มากขึ้น
  7. เครื่องชั่งดิจิตอล (มีหรือไม่มีก็ได้) : เป็นอุปกรณ์อีกชิ้นที่จะมี หรือไม่มีก็ได้ ซึ่งสามารถตวงเมล็ดคร่าว ๆ ด้วยการใช้ตัวตะแกรงฟิลเตอร์ของหม้อ Moka Pot แต่การใช่เครื่องชั่งดิจิตอลจะทำให้คุณได้สูตรกาแฟที่เป๊ะยิ่งขึ้น

ขั้นตอนการเตรียมเมล็ดกาแฟในการใช้ Moka pot

1. การเลือกเมล็ดกาแฟ

โดยปกติแล้วผู้ใช้ Moka Pot นิยมที่จะใช้เมล็ดกาแฟคั่วกลาง ไปจนถึงคั่วเข้มในการชงกาแฟ เพราะหม้อ Moka Pot สามารถดึงเอากลิ่นหอมของกาแฟ และรสเข้ม ๆ ของเมล็ดกาแฟคั่วออกมาได้ดี แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบดื่มกาแฟที่มีรสเข้มมาก การใช้การแฟคั่วอ่อนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ผิด ดังนั้นการเลือกเมล็ดกาแฟที่จะใช้ จึงขึ้นอยู่กับรสนิยม และสไตล์การทานกาแฟของแต่ละคน นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกใช้ได้ทั้งกาแฟคั่วแบบเต็มเมล็ด หรือกาแฟคั่วบดสำเร็จก็ได้ โดยการเลือกแบบบดสำเร็จจะช่วยประหยัดเวลาในการเตรียมเมล็ดกาแฟ แต่การเลือกแบบเต็มเมล็ดมาบดเองก็จะทำให้รส และกลิ่นของกาแฟที่ได้มีความเข้มข้น และหอมมากกว่าค่ะ

ระดับการบด เมล็ดกาแฟ
ระดับการบด เมล็ดกาแฟ

2. การเตรียมเครื่องบดเมล็ดกาแฟ

หากเมล็ดกาแฟที่คุณเลือก เป็นเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ผ่านการบดให้เป็นผง ให้คุณเตรียมเครื่องบดเมล็ดกาแฟในแบบที่คุณถนัด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบดเมล็ดกาแฟแบบมือหมุน หรือเครื่องบดเมล็ดกาแฟอัตโนมัติ หลังจากนั้นให้คุณเซ็ตค่าความละเอียดในการบดให้อยู่ในเกณฑ์บดละเอียด แต่ไม่ละเอียดเท่าการบดสำหรับใช้กับเครื่องชงกาแฟ Espresso Machine ที่ละเอียดจนเนียนเป็นแทบผงแป้ง ซึ่งเครื่องบดเมล็ดกาแฟแต่ละเครื่องก็จะมีการตั้งค่าในระดับที่ต่างกัน แนะนำให้คุณบดเมล็ดกาแฟให้อยู่ในระดับกึ่งกลางระหว่างละเอียดที่สุด กับละเอียดปานกลางก็ถือว่าใช้ได้ค่ะ

ขั้นตอนการชงกาแฟด้วย Moka Pot

การชงกาแฟด้วย Moka Pot เป็นวิธีสกัดน้ำกาแฟที่อาศัยแค่แรงดันจากการเดือดของน้ำ ที่มีเพียง 1.5 บาร์เท่านั้น แต่ Moka Pot ก็เป็นอุปกรณ์กาแฟที่สามารถชงกาแฟให้ได้รสชาติกาแฟที่หนักแน่น และเข้มข้น ซึ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับการชงกาแฟด้วยเครื่อง Espresso Machine เลยทีเดียว ดังนั้น ในหัวข้อนี้เราจึงมีวิธีการใช้งานเจ้า Moka Pot ในขั้นพื้นฐานมาแนะนำให้กับคุณกันค่ะ

หม้อต้มกาแฟ Moka Pot ใช้อย่างไร

  • เรามาเริ่มขั้นตอนแรกกันที่การเตรียมเมล็ดกาแฟ ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะใช้เมล็ดกาแฟ 6 กรัมต่อปริมาณ 1 Cup ดังนั้นคุณสามารถเอาปริมาณเมล็ดกาแฟ 6 กรัมไปคูณกับจำนวน Cup ของหม้อ Moka Pot ของคุณได้เลย เช่น หากหม้อ Moka Pot ของคุณมีปริมาณ 2 Cup ก็จะใช้เมล็ดกาแฟ 12 กรัม หรือถ้าหากคุณไม่มีเครื่องชั่งดิจิตอล คุณก็สามารถใช้กรวยใส่ผงกาแฟในการตวงเมล็ดกาแฟได้คร่าว ๆ เช่นกัน โดยให้คุณใส่เมล็ดกาแฟลงไปจนพูนจากตัวกรวยเล็กน้อย เพื่อทดแทนในส่วนของช่องว่างระหว่างเมล็ดกาแฟภายในกรวยค่ะ
  • นำเมล็ดกาแฟที่ชั่ง หรือตวงเรียบร้อยแล้วมาใส่ลงในเครื่องบดเมล็ดกาแฟ แล้วตั้งค่าการบดให้มีความละเอียดอยู่ระหว่างละเอียดที่สุด และละเอียดปานกลาง
  • เมื่อบดเมล็ดกาแฟเรียบร้อยแล้ว ให้นำผงเมล็ดกาแฟที่ได้มาใส่ลงไปในกรวยใส่ผงกาแฟจนเต็ม จากนั้นเกลี่ยให้ผิวหน้าของผงกาแฟเรียบโดยใช้การปาด หรือกดด้วยแทมป์เปอร์ ซึ่งการกดด้วยแทมป์เปอร์นั้นจะช่วยอัดผงกาแฟให้แน่น และเป็นก้อนมากขึ้น ทำให้น้ำกาแฟที่ได้มีตะกอนกาแฟน้อยลง และยังสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของครีม่า หรือชั้นฟองครีมบนน้ำกาแฟได้อีกด้วย
การทำงานของ Moka Pot
การทำงานของ Moka Pot
  • เติมน้ำเปล่าลงไปในส่วนล่างล่างสุดของหม้อ Moka Pot หรือที่เรียกว่าหม้อน้ำ โดยเติมน้ำเปล่าให้มีปริมาณไม่เกินตัวเซฟตี้วาล์ว (Safety Valve) ที่มีลักษณะเป็นปุ่มวาล์วเล็ก ๆ ในส่วนกลางหม้อ หรือถ้าหากคุณอยากได้น้ำกาแฟสกัดที่มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น แนะนำให้คุณเติมน้ำเปล่าให้อยู่ในระดับระหว่างก้นหม้อน้ำ และตัวเซฟตี้วาล์วค่ะ
  • เมื่อเติมน้ำเรียบร้อยแล้วให้นำกรวยใส่ผงกาแฟที่บรรจุผงเมล็ดกาแฟเรียบร้อยแล้วมาวางลงบนหม้อน้ำ จากนั้นนำส่วนบนสุดที่มีหูจับของหม้อ Moka Pot หรือที่เรียกว่าเหยือกกาแฟมาประกอบเข้าด้วยกัน ตรวจสอบให้เรียบร้อยว่าส่วนของเกลียวถูกบิดอย่างตรงล็อค และแน่นดีแล้ว เพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ำร้อนจากแรงดันภายในหม้อ
  • หลังจากประกอบตัวหม้อ Moka Pot เรียบร้อยแล้ว ให้นำไปตั้งบนเตาไฟโดยใช้ไฟปานกลางในการต้ม แต่สำหรับคนที่ใช้เตาไฟฟ้าที่มีกำลังไฟน้อย อาจปรับระดับความร้อนไปที่ระดับสูงสุดเลยก็ได้ หลังจากนั้นรอประมาณ 4 – 6 นาที น้ำกาแฟก็จะเริ่มไหลออกมาจากท่อส่งกาแฟจากแรงดันความร้อนภายในหม้อน้ำออกมาสู่เหยือกกาแฟ เมื่อปริมาณของกาแฟออกมาจนถึงระดับของจะงอยหม้อต้มด้านในก็ให้ยกหม้อ Moka Pot ออกจากเตาได้
  • รอจนกาแฟหยุดไหลออกมาจากท่อส่งกาแฟ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กาแฟที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงกับการใช้ Espresso Machine แล้วล่ะค่ะ

เคล็ดไม่ลับของการชงกาแฟด้วย Moka Pot

  • หากคุณอยากย่นระยะเวลาการชงกาแฟ แนะนำให้คุณใส่น้ำเปล่าที่มีอุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส แทนน้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง เพื่อช่วยย่นระยะเวลาการรอน้ำเดือด นอกจากนี้ยังทำให้ผงกาแฟไม่โดนความร้อนนานเกินไป จึงสามารถช่วยลดกลิ่นไหม้ และรสขมของกาแฟลงได้ค่ะ
  • คุณสามารถเปิดฝาของหม้อ Moka Pot ได้ตลอดเวลาขณะต้มกาแฟ เพื่อสังเกตการไหลของน้ำกาแฟ
  • หากคุณอยากได้ปริมาณครีม่าที่เพิ่มมากขึ้น ทริคเล็ก ๆ ที่คุณควรรู้คือ ในขณะที่กาแฟไหลออกมาจากท่อส่งกาแฟจนเกือบหมดจะมีจังหวะที่น้ำกาแฟดูมีสีใสขึ้นเล็กน้อย หรือมีจังหวะการไหลที่ขาดช่วง ให้คุณยกกาแฟออกมาจากเตาทันที เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณสามารถรีดครีม่าออกมาได้ในปริมาณมากกว่าปกติค่ะ
  • หลังจากต้มกาแฟเสร็จแล้วควรเทเสิร์ฟทันที เพื่อให้ได้กลิ่นหอมกรุ่น และรสชาติที่เข้มข้นสมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้การทิ้งกาแฟเอาไว้ในหม้อ Moka Pot ก็อาจจะทำให้กาแฟที่ได้มีรสขมขึ้น เพราะกาแฟยังได้รับความร้อนที่ยังเหลือในตัวหม้อค่ะ

วิธีการเลือกซื้อ Moka Pot แบบไหนยี่ห้อไหนดีที่สุด

1 เลือกซื้อตามขนาดความจุของหม้อน้ำ (Cup)

ข้อแรกที่คุณควรคำนึงถึงในการซื้อหม้อ Moka Pot ก็คือขนาดความจุของหม้อน้ำ ที่มักจะระบุหน่วยเป็น Cup หรือ ถ้วย โดยหม้อ Moka Pot แต่ละรุ่นก็จะมีระบุจำนวน Cup ที่แตกต่างกันออกไปตามขนาดของหม้อ ซึ่งถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟแบบดับเบิ้ลช็อตในตอนเช้า หรือมีจำนวนคนที่จะดื่มกาแฟเป็นจำนวนมากต่อครั้ง แนะนำให้คุณมองหาหม้อ Moka Pot ที่มีขนาด 6 Cup ขึ้นไป เพื่อให้เพียงพอต่อปริมาณที่ดื่มต่อหนึ่งรอบการใช้งาน หรือถ้าหากคุณอาศัยอยู่คนเดียว และไม่ได้ดื่มกาแฟในปริมาณมากแนะนำให้มองหาหม้อ Moka Pot ที่มีขนาด 2 – 4 Cup ก็เพียงพอแล้วค่ะ

2 เลือกหม้อ Moka Pot ที่ผลิตมาจากวัสดุที่มีคุณภาพ

แม้ว่าโดยปกติแล้วตัวหม้อ Moka Pot จะมีวัสดุหลักที่ทำมาจากอลูมิเนียมที่ทนความร้อน และนำความร้อนได้ดี แต่วัสดุในส่วนอื่น ๆ อย่างเช่นหูจับมักจะทำมาจากวัสดุที่ไม่นำความร้อน เพื่อให้สามารถจับรินลงแก้วได้ง่าย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทำมาจากไม้ หรือพลาสติกคุณภาพดีที่ทนความร้อนได้ แต่สำหรับหม้อ Moka Pot ที่มีราคาถูกบางรุ่นอาจจะใช้วัสดุพลาสติกธรรมดาในส่วนของหูจับ ซึ่งไม่มีคุณสมบัติทนความร้อน ปัญหาที่พกเสมอก็คือตัวหูจับมักจะละลาย หรือถูกเผาไหม้ขณะใช้งาน ดังนั้นคุณจึงควรตรวจสอบให้ดีว่าหม้อ Moka Pot ที่คุณซื้อมาผลิตมาจากวัสดุที่มีคุณภาพค่ะ

3 ตรวจสอบหม้อ Moka Pot ว่าใช้งานกับเตาประเภทใดได้บ้าง

ประเภทของเตา

หม้อ Moka Pot เป็นอุปกรณ์การชงกาแฟที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ต้องใช้ความร้อนในการชงกาแฟ ดังนั้นหม้อ Moka Pot จึงจำเป็นจะต้องใช้งานควบคู่กับเตาแก๊ส หรือเตาไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันหม้อ Moka Pot ในบางรุ่นยังถูกพัฒนาให้สามารถใช้งานร่วมกับเตาแม่เหล็กไฟฟ้าได้อีกด้วย ดังนั้นควรจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าหม้อ Moka Pot ของคุณสามารถใช้งานร่วมับเตาแบบใดได้บ้างค่ะ

4 เลือกหม้อ Moka Pot ในดีไซน์ที่ชอบ

นอกจากรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายแล้ว Moka Pot ในปัจจุบันยังถูกดีไซน์รูปลักษณ์ให้ดูหลากหลาย และสวยงามขึ้นอีกด้วย ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มักจะออกแบบหม้อ Moka Pot ที่ดูสวยงาม และเป็นเอกลักษณ์ในแบบของแต่ละแบรนด์ที่มีอยู่หลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง สีสัน หรือลวดลาย รวมไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน ทำให้หม้อ Moka Pot นอกจากจะเป็นอุปกรณ์ชงกาแฟแล้ว คุณก็ยังสามารถเลือกหม้อ Moka Pot ในสไตล์ที่คุณชื่นชอบ เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งภายในห้องพักผ่อน ให้ได้บรรยากาศแบบร้านคาเฟ่ได้อีกด้วยค่ะ

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคน หวังว่าทุกคนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการใช้หม้อ Moka Pot และทริดเด็ด ๆ ในการชงกาแฟให้หอมอร่อยนำไปปรับใช้กันนะคะ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการชงกาแฟสดนั้นก็นับเป็นศาสตร์ และศิลป์อีกอย่างหนึ่งที่ต้องใช้การฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ

แต่หากการชงกาแฟด้วยหม้อ Moka Pot ในครั้งแรกของคุณออกมาไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ก็อย่าเพิ่งถอดใจ หมั่นฝึกฝนการใช้หม้อ Moka Pot บ่อย ๆ ก็จะเริ่มเข้ามือจนเกิดความถนัด และชงได้ดีขึ้นเองค่ะ ก่อนจะจากกันวันนี้ก็ขออวยพรให้นักชงกาแฟมือใหม่ และมือเก๋าทุกท่านได้ดื่มด่ำกับกาแฟหอมกรุ่นจากฝีมือตัวเองกันทุกคนนะคะ สำหรับวันนี้ก็ขอตัวลาไปก่อน สวัสดีค่ะ~

Yok Arisa

Yok Arisa

Hi there, I am Arisa. I graduated from Faculty of Humanities and Social Sciences. I'm a cat slave and fall in love with Japanese culture. Hope you guys enjoy my writings.

Next Post