ผ่านพ้นกันไปแล้วครับกับ Apple Event ในปี 2022 สำหรับงาน “Far out 2022” ซึ่งเป็นงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของแอปเปิ้ล โดยไฮไลท์ของงานในครั้งนี้ก็คือ การเปิดตัว iPhone 14 Series ที่ได้กระแสตอบรับดีมาก ๆ และอีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่หลาย ๆ คนตั้งตารอคอยรุ่นใหม่มานานก็คือ Apple Watch ซึ่งในครั้งนี้ ได้เปิดตัวออกมาถึง 3 รุ่น 3 สไตล์ครับ ทั้งสองมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่อย่าง iOS 16 และ watchOS 9 ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาขึ้นมาใหม่ อัดแน่นด้วยฟีเจอร์มากมาย ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และมอบประสบการณ์การใช้งานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนครับ
โดยในวันนี้ เราขอมาพูดถึง หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด นั่นก็คือ Apple Watch Ultra แอปเปิ้ลวอทช์ตัวท๊อป ที่มาในดีไซน์ใหม่ ถูกออกแบบ และสร้างขึ้นมา โดยเน้นการใช้งานที่สมบุกสมบัน มีความแข็งแกร่ง และทนทานสูง พร้อมให้คุณลุยกับกิจกรรมสุดเอ็กซ์ตรีมที่มากกว่าปกติ เพื่อให้คุณสามารถก้าวข้ามทุกขีดจำกัดได้ง่ายดาย ซึ่งเป็นไปตามกระแสข่าวลือก่อนหน้านี้แทบทั้งหมดครับ ดังนั้นเดี๋ยววันนี้ เราขอพาทุกคนมาดูรายละเอียดต่าง ๆ ของเจ้า Watch Ultra กันครับว่า มันมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ? และเหมาะกับคุณหรือไม่ ?
Apple Watch Ultra สมาร์ทวอทช์ สำหรับสายเอ็กซ์ตรีม
Apple Watch Ultra นับเป็นรุ่นที่ท๊อปที่สุดของ Apple ณ เวลานี้ครับ มาพร้อมกับตัวเรือนไทเทเนียม ขนาดใหญ่ 49 มม. โดยขอบของหน้าปัด ใช้ผลึกแซฟไฟร์ สร้างให้นูนขึ้นมาห่อหุ้มส่วนขอบหน้าปัดเอาไว้ เพื่อปกป้องขอบของหน้าปัด ที่นับเป็นจุดที่มีโอกาสถูกกระแทก และแตกได้ง่ายที่สุด ส่วนหน้าจอแสดงผลแบบไร้ขอบมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความละเอียดสูง พร้อมมอบภาพสุดคมชัด สีสันสดใส โดยมีความสว่างที่สูงถึง 2,000 นิต ซึ่งสว่างกว่า Apple Watch ทุก ๆ รุ่นที่ผ่านมาถึง 2 เท่า

ส่วนหน้าปัดนาฬิกาเวย์ไฟน์เดอร์นั้นก็ได้รับการออกแบบมาเพื่อจอภาพโดยเฉพาะครับ เน้นขนาดที่ใหญ่ขึ้น โดยมีเข็มทิศมารวมเป็นส่วนหนึ่งในหน้าปัด รวมไปถึงพื้นที่สำหรับใส่กลไกในหน้าปัดได้สูงสุดถึง 8 แบบ อีกทั้งด้านข้างตัวเรือนยังมีการเพิ่มปุ่มที่ให้เราปรับแต่งได้ ทำให้สามารถเรียกใช้คุณสมบัติที่เราชื่นชอบได้ง่าย ๆ แค่การกดในครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้น Watch Ultra รุ่นนี้ยังมาพร้อมสายนาฬิกา Apple แบบใหม่ถึง 3 แบบ 3 สไตล์ ครับ ได้แก่ Trail Loop, Alpine Loop และ Ocean Band ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนมีดีไซน์เป็นแบบเฉพาะตัวครับ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยคงความแน่น กระชับ และให้สัมผัสที่สวมใส่สบายที่สุด
แถมรุ่นนี้ยังมีแบตเตอรี่ที่อึดสุด ๆ อีกด้วย โดยมันสามารถใช้งานได้นานที่สุดแล้วครับ ถ้าเทียบ Apple Watch ทุก ๆ รุ่นที่เคยมีมา ซึ่งถ้าใช้งานแบบปกติ มันจะสามารถใช้งานได้นาน 36 ชั่วโมง แต่ถ้าเราใช้ร่วมกับโหมดประหยัดพลังงานที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ มันจะช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานสูงสุดถึง 60 ชั่วโมง เลยทีเดียวครับ ทำให้เหมาะมาก ๆ กับกิจกรรมที่กินเวลาหลายวัน
ดีไซน์การออกแบบที่โดดเด่น และวัสดุที่แข็งแกร่ง ของ Apple Watch Ultra

ตัวเรือนของ Apple Watch Ultra ใช้วัสดุหลักเป็นไทเทเนียม เกรดเดียวกับที่ใช้ในอวกาศ โดยถือเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติตามที่ทุกคนต้องการครับคือ มีความแข็งแกร่ง และทนต่อการกระแทก การกัดกร่อน แต่กลับมีน้ำหนักเบา ช่วยให้สวมใส่สบาย โดยตัวเรือนกันน้ำได้ที่ระดับ WR100 และรับรองมาตรฐาน EN13319 (มาตรฐานความลึกของนักดำน้ำ ในระดับสากล) ทำให้นอกจากจะใส่ว่ายน้ำได้แล้ว รุ่นนี้ยังใส่ดำน้ำสกูบา ได้ที่ระดับความลึกถึง 40 เมตร เลยทีเดียวครับ และยังทนฝุ่นได้ที่ระดับ IP6X โดยรุ่นนี้ผ่านการทดสอบ MIL-STD 810H7 ช่วยให้รองรับการใช้งานแบบสมบุกสมบันมาก ๆ ไม่ว่าจะลุยน้ำหรือลุยทะเลทราย คุณก็จะผ่านได้อย่างง่ายดายครับ

ในขณะที่ด้านข้างตัวเรือนมีปุ่มการทำงานที่เพิ่มมาใหม่ 1 ปุ่ม ซึ่งจะช่วยให้อิสระในการใช้งานกับผู้ใช้เป็นอย่างมากครับ ในการที่จะปรับแต่ง เพื่อเรียกใช้ฟีเจอร์ที่เราต้องการใช้งานบ่อย ๆ อย่างง่ายดายและรวดเร็ว อาทิเช่น การออกกำลังกายแบบต่าง ๆ, เข็มทิศ, การติดตามการเดิน, การติดตามสุขภาพ และอื่น ๆ ตามที่เราต้องการ

และเนื่องจาก Apple Watch Ultra ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่สมบุกสมบัน และมีโอกาสที่คุณจำเป็นต้องใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย มันจึงมาพร้อมไมโครโฟน 3 ตัว ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียง ในขณะพูดคุยโทรศัพท์ให้ดีขึ้น พร้อมด้วยอัลกอริทึมบีมฟอร์มมิ่ง แบบปรับตามสภาวะที่ใช้ไมโครโฟน เพื่อจับเสียงพูดของเรา ไปพร้อม ๆ กับลดเสียงรอบ ๆ ข้าง ช่วยให้เสียงมีความชัดเจนมากขึ้น และเมื่ออยู่ในที่ที่มีลมแรง Watch Ultra ก็จะใช้อัลกอริทึม เข้ามาช่วยลดเสียงรบกวนจากลมเช่นกัน ดังนั้นคุณจะไม่พลาดทุก ๆ การสื่อสารเลย ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมไหนก็ตาม
สายนาฬิกาใหม่ ที่เกิดมาเพื่อกิจกรรมเอาท์ดอร์โดยเฉพาะ

นอกจากตัวเรือนของ Apple Watch Ultra ที่แข็งแกร่ง และคงทนแล้ว สายนาฬิการุ่นนี้ ก็ได้รับการออกแบบมาใหม่เช่นกันครับ โดยจะมีให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย สาย Trail Loop ที่เน้นความทนทาน สวมใส่สบาย, สาย Alpine Loop ที่เน้นความกระชับ และสุดท้ายสาย Ocean Band ที่เน้นกีฬาทางน้ำและการดำน้ำลึกโดยเฉพาะ
|
สาย Trail Loop นับเป็นสายแอปเปิ้ลวอทช์ ที่เบาบางที่สุด ช่วยให้สวมใส่สบายมากขึ้น ทำให้เหมาะกับนักวิ่ง และนักกีฬา ที่จริงจังและต้องการพัฒนาร่างกาย ตัวสายผลิตจากผ้าถัก ที่ทั้ง นุ่ม และยืดหยุ่น ทำให้รัดแน่นพอดี, มีน้ำหนักเบา ทำให้สวมใส่สบาย พร้อมมีแถบดึงที่ออกแบบมาให้คุณปรับได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
|
|
สาย Alpine Loop เป็นสายที่เน้นความแข็งแรง ทนทานสูง โดยถูกออกแบบมาเพื่อนักผจญภัย และสำรวจโดยเฉพาะครับ ซึ่งถักทอรวมผ้า 2 ชั้น เป็นชิ้นเดียวกันแบบไม่มีรอยตะเข็บ ในขณะที่ตัวห่วงคล้อง จะมีเส้นใยสอดแทรกอยู่ทั่ว ช่วยเพิ่มความคงทนและยืดหยุ่นครับ ส่งผลให้คุณปรับสายได้ง่าย และคล้องเข้ากับตัวยึดที่เป็นตะขอรูปตัว G ได้แน่นกระชับ
|
|
สาย Ocean Band เป็นสายที่ถูกออกแบบมา เพื่อให้เหมาะกับกีฬาทางน้ำสุดเอ็กซ์ตรีม และการดำน้ำลึกโดยเฉพาะครับ มาพร้อมกับตัวล็อคที่เป็นไทเทเนียม คู่กับห่วงสปริงที่มีความทนทาน แถมยังใส่ง่าย และตัวสายที่ทำจากยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์ ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้รัดเข้ารูปได้แน่นและกระชับ นอกจากนี้มันยังมีปลายสายแบบยาวพิเศษ ให้เลือกซื้อเพิ่ม เพื่อรองรับการใส่ทับเว็ทสูท
|
หน้าจอที่แข็งแกร่ง ขนาดใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น แบบติดตลอด

ส่วนหน้าปัดนาฬิกาของ Apple Watch Ultra จะขอบเรือนที่ถูกยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยครับ โดยใช้ผลึกแซฟไฟร์ แบบเรียบ สร้างขึ้นมาล้อมรอบขอบของหน้าจอเอาไว้ โดยจะหนากว่า และแข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อน ๆ มาก เพราะส่วนนี้มีโอกาสเกิดการกระแทกสูงที่สุด ส่วนข้างตัวเรื่อนรุ่นนี้มีการเพิ่มปุ่ม Digital Crown ที่เราสามารถปรับแต่งเองได้ ส่งผลให้เรียกใช้ฟังก์ชันที่เราใช้บ่อย ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยตัวปุ่มจะถูกทำให้ใหญ่ และยกสูงจากตัวเรือนเล็กน้อยเช่นกันครับ ทำให้กดได้ง่าย แม้ว่าเราจะใส่ถุงมืออยู่ก็ตาม

โดยหน้าปัดมาพร้อมจอพาแนล Retina แบบติดตลอด ที่มีความละเอียด 502 × 410 pixels และมีอัตราส่วนความละเอียดต่อตารางนิ้วอยู่ที่ ~338 ppi ช่วยให้ภาพที่คมชัด บวกกับพื้นที่หน้าจอที่มากกว่า Apple Watch SE ถึงเกือบ 27% ส่งผลให้มันใช้งานได้ง่าย แสดงผลข้อมูลได้อย่างครบถ้วน และที่สำคัญจอของ Watch Ultra ยังมีความสว่างสูงถึง 2,000 นิต เลยทีเดียวครับ ซึ่งสว่างกว่า Apple Watch รุ่นก่อน ๆ ถึง 2 เท่า ช่วยให้การใช้งานกลางแจ้งไม่มีปัญหาเลยครับ ยังคงอ่านได้ง่ายถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดท้าทาย
โหมดกีฬาและการออกกำลังกาย ที่พัฒนาโดยใช้นักกีฬาระดับแนวหน้า

สำหรับ Apple Watch Ultra นับเป็นอุปกรณ์ระดับมืออาชีพครับ ที่ถูกออกแบบมาสำหรับนักกีฬาหรือคนที่ต้องการดูแลสุขภาพอย่างจริง ๆ จัง ๆ โดยเฉพาะครับ ซึ่งนอกจากอุปกรณ์ภายในและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ จะมีประสิทธิภาพสูงแล้ว รุ่นนี้ยังขับเคลื่อนด้วย watchOS 9 ซึ่งอย่างที่เรารู้กันครับว่า มันมาพร้อมการวัดค่าระดับสูงใหม่ ๆ โดยเฉพาะในการวิ่งอย่าง ความยาวก้าว ระยะเวลาที่สัมผัสพื้น การกระเด้งตัวในแนวดิ่ง และพลังงานในการวิ่ง เป็นต้น
พร้อมกับมีการเก็บข้อมูลการออกกำลังกายใหม่ ๆ อีกเพียบครับ เช่น เซ็กเมนต์ สปลิท และระดับความสูง ซึ่งจะมีการแสดงค่าวัดที่สำคัญ ๆ ให้คุณเห็นได้ง่าย ๆ บนจอที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ Apple Watch Ultra เป็นเพียงรุ่นเดียวที่สามารถแสดงค่าที่มันวัดได้ ได้ถึง 6 ค่า พร้อม ๆ กัน นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันต่าง ๆ มากมายที่ให้คุณสามารถยกระดับการฝึกซ้อมของตัวเองให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น อาทิเช่น อัตราการเต้นของหัวใจ, การออกกำลังกายที่กำหนดเอง, ตัววัดเวลาเฉลี่ย และเส้นทางการแข่งขัน โดยจะพร้อมให้ใช้งานภายในปีนี้ ส่วนปุ่มที่เพิ่มเข้ามา ผู้ใช้สามารถกำหนดฟังก์ชันได้ครับ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

แต่สำหรับใครที่เป็นนักไตรกีฬา หรือทวิกีฬา ที่จะต้องมีการว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน และวิ่งแบบต่อเนื่องกัน Watch Ultra ก็มีการพัฒนาโหมดออกกำลังกายแบบมัลติสปอร์ตใหม่ มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้รุ่นนี้สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของเรา แล้วสลับในระหว่างการออกกำลังกายแต่ละอย่างได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลามาปรับด้วยตัวเอง นอกจากนี้ Watch Ultra ยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ที่มีอายุการใช้งานได้นานพอสำหรับแข่งขันไตรกีฬาแบบต่อเนื่องจนจบได้ โดย Apple ระบุว่า สามารถว่ายน้ำได้ ~4 กม. ต่อด้วยขี่จักรยาน ~180 กม. และก็วิ่งฟูลมาราธอนได้อีกถึง ~42 กม. ครับ ดังนั้นการแข่งขันรายการใหญ่ ๆ มันรองรับได้สบาย ๆ และสิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างของรุ่นนี้ก็คือ ระบบ GPS แบบ 2 คลื่นความถี่ ที่ทั้ง รวดเร็ว และแม่นยำ
GPS สองคลื่นความถี่ที่ระบุตำแหน่งได้ตรงที่สุด ในตลาด

ตั้งแต่มี Apple Watch มา จนถึงปัจจุบัน Apple Watch Ultra เป็นรุ่นแรกครับ ที่มาพร้อมระบบ GPS แบบสองคลื่นความถี่ ที่มีประสิทธิภาพสูงมีทั้งความเร็ว และความแม่นยำที่สูง โดยจะเป็นการรวม GPS ในย่าน L1 และย่านความถี่ตัวล่าสุด อย่าง L5 มาทำงานร่วมกันครับ พร้อมทั้งมีการใช้อัลกอริทึมที่พัฒนามาใหม่ เพื่อนำมาระบุตำแหน่ง ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ Watch Ultra มีระบบ GPS ที่แม่นยำและเที่ยงตรงที่สุด เท่าที่เคยมีมาใน Apple Watch รุ่นก่อน ๆ ครับ และสามารถที่จะแสดงได้ทั้ง ระยะทาง, เวลาเฉลี่ยต่อระยะทาง และเส้นข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญ สำหรับการฝึกซ้อม และการแข่งขัน ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง และแม่นยำที่สุดครับ
แอปฯ เข็มทิศ Compass ใหม่ ที่มี Waypoints, Backtrack และอื่น ๆ

นอกจาก Apple Watch Ultra จะมี จอภาพที่ใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น อยู่บนตัวเรือนที่แข็งแกร่ง จนส่งผลให้รุ่นนี้ กลายเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะกับนักเดินทาง ชาวแบ็คแพ็คเกอร์ หรือนักผจญภัย ที่หลงไหลในการเดินทางไปหาสภาพแวดล้อมที่หลากหลายแล้ว ใน watchOS 9 ยังมีแอปฯ เข็มทิศ (Compass) ที่พัฒนามาใหม่ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ไป 3 อย่าง คือ Waypoints, Views และ Backtrack ซึ่งจะดึงข้อมูลขึ้นมาแสดงได้มากขึ้นโดยจะเป็น 3 มุมมองที่แตกต่างกัน และยังแสดงผลในแบบผสมกันได้ด้วย และเมื่อคุณหมุนปุ่ม Digital crown คุณจะเห็นข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก ทั้ง ละติจูด, ลองจิจูด, ระดับความสูง และรวมถึงความชัน ซึ่งเป็นประโยชน์มาก ๆ สำหรับนักเดินทาง

ดังนั้นใครที่เป็นนักเดินทางแบบแบ็คแพ็คตัวยง หรือผู้ที่หลงไหลในการทำกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ คุณจะหลงรัก แอปฯ เข็มทิศ (Compass) ที่อัปเกรดใหม่ใน WatchOS 9 อย่างแน่นอนครับ เพราะคุณสามารถเข้าถึง Compass Waypoint ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว และสามารถปักหมุดตำแหน่งของคุณเพิ่มไปได้เรื่อย ๆ พร้อมแสดงทิศทาง และระยะทางจากจุดก่อนหน้ามาให้ด้วย ซึ่งในการเก็บตำแหน่งนอกจากจะช่วยไม่ให้คุณหลงแล้ว ยังช่วยให้หน่วยฉุกเฉินเข้ามาค้นหา และช่วยเหลือคุณได้ง่ายขึ้นด้วย
นอกจากนี้ด้วยการใช้ข้อมูล GPS ที่ถูกต้อง และตรงที่สุด คุณจะสามารถใช้คุณลักษณะ Backtrack ใหม่ได้ โดยตั้งแต่ที่คุณเริ่มต้นการเดินทางด้วยการปีนเขา, ตั้งแคมป์, เดินป่า หรือแม้กระทั่งหลงออกนอกเส้นทาง ฟังก์ชัน Backtrack จะสร้างเส้นทางให้คุณโดยอัตโนมัติครับ ตามลำดับเวลาของจุดอ้างอิงทั้งหมด ซึ่งหากคุณหลงทางและต้องย้อนรอยเส้นทาง เพื่อกลับไปยังแคมป์ ฟังก์ชันจะให้คำแนะนำทีละขั้นตอนอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้คุณสามารถกลับถึงแคมป์ หรือบ้านได้อย่างปลอดภัย
แอปฯ Oceanic+ พร้อมเซ็นเซอร์วัดความลึก และอุณหภูมิของน้ำ สำหรับผู้ที่หลงไหนในกีฬาทางน้ำ

นอกจากความสมบุกสมบันต่าง ๆ แล้ว Apple Watch Ultra ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อกีฬาทางน้ำ รวมถึงกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมต่าง ๆ อย่างเช่น เซิร์ฟ เวคบอร์ด หรือการดำน้ำสกูบาที่ดำได้ถึงความลึก 40 เมตร เลยทีเดียว ด้วยแอป Oceanic+ ใหม่ โดยได้รับการรับรอง WR100 จึงพร้อมสำหรับการผจญภัยในโลกใต้น้ำมาก ๆ ครับ นอกจากนี้ก็ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน EN13319 ด้วย ซึ่งเป็นมาตรฐานความลึกของนักดำน้ำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเป็นตัววัดความลึกที่นักดำน้ำลึกทั่วโลกไว้ใจ
โดย Apple Watch Ultra จะมาพร้อมแอปฯ ความลึกที่ใช้ประโยชน์จากตัววัดความลึกที่พัฒนามาใหม่ และยังออกแบบมาให้มีอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่ายมากขึ้น เพียงแค่เหลือบมอง คุณก็สามารถดูได้ทั้ง เวลา, ความลึกปัจจุบัน, อุณหภูมิน้ำ, ระยะเวลาใต้น้ำ รวมไปถึงความลึกสูงสุดที่คุณลงไปถึง โดย

ได้รับการพัฒนาร่วมกับ Huish outdoors ผู้นำในด้านอุปกรณ์สำหรับการดำน้ำลึกที่ล้ำสมัยที่สุด ทำให้แอป Oceanic+ สามารถเปลี่ยน Watch Ultra ให้กลายเป็นไดฟ์คอมฯ มากความสามารถได้ ซึ่งใช้อัลกอริทึม การลดความกดของ Bühlmann และยังมาพร้อมการวางแผนการดำน้ำ การค่าวัดการดำน้ำที่อ่านได้ง่าย การเตือนทางภาพ และการสั่น ระยะเวลาที่จะไม่ติดดีคอมเพรสชั่น การเปลี่ยนระดับขึ้น รวมไปถึงคำแนะนำเกี่ยวกับเซฟตี้สต็อปต่าง ๆ ครับ
การตรวจจับการชน และการหกล้มที่รุนแรง พร้อมแจ้งเหตุฉุกเฉินอัตโนมัติ

แน่นอนเราทราบกันอยู่แล้วครับว่า Apple ได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้เป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะเห็นได้จากการที่ Apple Watch หลาย ๆ รุ่น ก่อนหน้านี้ ได้ใส่ฟีเจอร์ตรวจจับการหกล้ม ให้มาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ในปีนี้ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของ แอปเปิ้ลทั้งหมดที่ได้เปิดตัวออกมาทั้ง iPhone 14 Series ทุกรุ่น, Apple Watch Series 8, Apple Watch SE และ Apple Watch Ultra ทาง Apple ได้เพิ่มคุณสมบัติด้านความปลอดภัยใหม่มาให้ด้วย โดยเรียกว่า Crash Detection เป็นการตรวจจับการชนในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง
โดยทาง Apple ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาไจโรสโคป 3 แกน และเซ็นเซอร์ตรวจวัดความเร่ง g-force เพื่อให้รองรับแรงได้สูงขึ้น ทำให้เซ็นเซอร์ตัวนี้สามารถตรวจจับแรง g ได้สูงสุดถึง 256 g เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวที่มีความรุนแรงได้ นอกจากนี้ถ้าหากเซ็นเซอร์ตรวจพบว่า มีอุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้น หรือคุณหกล้มอย่างรุนแรง ที่บนหน้าจอของ iPhone หรือ Apple Watch จะมีการแจ้งเตือนไปพร้อม ๆ กับการสั่นครับ

ถ้าหากคุณยังมีสติอยู่ คุณสามารถเลือกกดแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือกดปิดการแจ้งเตือนได้ แต่ถ้าคุณหมดสติไป และไม่มีการตอบรับภายใน 20 วินาที ระบบจะทำการแจ้งเหตุไปที่กู้ภัย หรือหน่วยบริการฉุกเฉินที่อยู่ในระแวกใกล้เคียงโดยอัตโนมัติ พร้อมกับมีการแชร์โลเคชันไปให้ผู้รับแจ้ง เพื่อให้มาช่วยเหลือเราในทันที อีกทั้งเรายังสามารถใส่รายชื่อผู้ติดต่อและ Medical ID ของ Apple เราไว้ได้ เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น มันก็จะแจ้งข้อความ และตำส่งแหน่งไปยังรายชื่อผู้ติดต่อที่เราใส่เอาไว้ ส่วนบนหน้าจออุปกรณ์ก็จะมีการโชว์ Medical ID ที่เราใส่เอาไว้ ทำให้ผู้ที่มาช่วยเหลือทราบข้อมูลข้อมูลด้านสุขภาพที่สำคัญเกี่ยวกับตัวคุณได้
โดยข้อมูล Medical ID จะมีทั้ง กรุ๊ปเลือด, ประวัติการรักษา, บันทึกทางการแพทย์, เงื่อนไข, การแพ้ต่าง ๆ และอื่น ๆ คุณต้องเปิดแอปฯ Health บนมือถือของคุณ จากนั้นไปกรอกรายละเอียด Medical ID ทั้งหมดเอาไว้ แล้วซิงค์กับ Apple Watch Ultra ของคุณ ซึ่งมันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่จำเป็นต้องไปใส่ข้อมูลไว้ แต่มันสามารถช่วยชีวิตคุณได้จริง ๆ หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์
เสียงไซเรนฉุกเฉิน (SOS) เพื่อขอความช่วยเหลือ

ก็อย่างที่บอกไปในตอนต้นครับว่า Apple Watch Ultra นั้น ถูกออกแบบมาเพื่อกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ โดยเฉพาะ เพื่อรองรับความต้องการของคนที่เป็นสายลุยและชอบทำกิจกรรมสุดเอ็กซ์ตรีม ดังนั้นคุณสามารถสวมใส่นาฬิกาเรือนนี้ ไปทำกิจกรรมผจญภัยสุดท้าทายได้ ไม่ว่าจะเป็น การเดินป่า, การแคมป์ปิ้ง, การปั่นจักรยานทางไกล, การปีนเขา ฯลฯ ซึ่งทาง Apple เองก็รู้ดีครับว่า กิจกรรมแนวนี้มีอันตรายมากมาย อาทิเช่น อุบัติเหตุ การได้รับบาดเจ็บจนไปต่อไม่ไหว หรือเกิดพลัดหลงกับกลุ่มเพื่อน ๆ ฉะนั้น Apple จึงได้ใส่ เสียงไซเรนฉุกเฉิน (SOS) มาให้ เพื่อให้คุณใช้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือในเหตุการณ์ฉุกเฉินครับ
โดย Apple Watch Ultra ได้มีการอัปเกรดลำโพงในตัวใหม่เข้าไป ช่วยให้สามารถขับเสียงได้ดังเกือบ 86 เดซิเบล เลยทีเดียว ดังนั้นคนที่กำลังค้นหาคุณอยู่จะได้ยินเสียงไซเรนนี้อย่างแน่นอนครับ ซึ่งเสียงไซเรนฉุกเฉิน จะมีเสียง 2 รูปแบบ ที่ไม่ซ้ำกันครับ โดยจะดังสลับกันไปเรื่อย ๆ ช่วยให้ได้ยินได้ง่ายขึ้น ซึ่งทาง Apple ก็บอกว่า ฟีเจอร์นี้สามารถส่งสัญญาณเสียงให้ดังต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง (หากจำเป็นจริง ๆ) อีกทั้งยังสามารถได้ยินจากระยะไกลกว่า 180 เมตร เลยทีเดียว (ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วย) ส่วนวิธีใช้ก็ง่าย ๆ ครับ เพียงแค่คุณกด ปุ่มแอ็คชัน ที่อยู่ข้าง ๆ ตัวเรือนค้างไว้ ไซเรนก็จะถูกเปิดใช้งานทันที
มีคุณสมบัติอีกมากมายที่น่าสนใจ

อย่างที่เราพูดเสมอครับว่า Apple Watch Ultra มึครบทุกคุณสมบัติ ทั้ง ด้านการเชื่อมต่อ กิจกรรม การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ส่งผลให้ Apple Watch เป็นสมาร์ทวอทช์ยอดนิยม ที่ขายดีที่สุดในโลก มีตั้งแต่การติดตามการเต้นของหัวใจ และแอปฯ ECG และแอปฯ Blood Oxygen จนถึงวงแหวนกิจกรรม และแอปทำสมาธิ พร้อมด้วยคุณสมบัติอื่น ๆ ทั้งในด้าน สุขภาพ ความปลอดภัย และการนำทาง ส่วนเรื่องคุณภาพ และความแม่นยำ ทุก ๆ คนก็น่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีความสามารถสุดล้ำ ที่ปรับปรุงมาใหม่ ในการติดตามค่าอุณหภูมิที่ให้ข้อมูลด้านสุขภาพของผู้หญิงในเชิงลึกอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูการคาดคะเนช่วงไข่ตกจากข้อมูลย้อนหลัง รวมถึงรอบประจำเดือนด้วย โดยเป็นการใช้ประโยชน์จากความสามารถใหม่ ๆ เหล่านี้ เพื่อช่วยในเรื่องการวางแผนครอบครัว นอกจากนั้น watchOS 9 ยังสามารถแสดงถึงความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้ของรอบเดือน โดยอาจเป็นอาการบ่งชี้ ปัญหาด้านสุขภาพบางอย่างก็ได้ครับ และยังสามารถตรวจจับเหตุรถชนอย่างรุนแรง Crash Detection ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ใหม่ และอัลกอริทึมแบบรวมเซ็นเซอร์ที่ล้ำสมัย พร้อมโทรแจ้งหน่วยบริการฉุกเฉิน หากพวกเขาไม่ตอบสนอง เป็นต้น
สำหรับ Apple Watch Ultra มีการเปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 31,900 บาท ครับ โดยในประเทศไทยเปิดให้สั่งจองแล้วตอนนี้ และจะเริ่มทยอยส่งมอบให้กับลูกค้า ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2022 เป็นต้นไปครับ หากใครกำลังมองหาอุปกรณ์ดูแลสุขภาพในระดับสูง และต้องการพัฒนาร่างกายแบบมืออาชีพ รุ่นนี้เหมาะมาก ๆ ครับ ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างแน่นอน
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Apple : www.apple.com – Apple Watch Ultra