สิ้นสุดกันไปแล้วกับการเปิดตัวโฉมหน้า Macbook Pro 2021 รุ่นล่าสุดของ Apple ที่บอกเลยว่าครั้งนี้เค้าไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงที่เยอะมาก ๆ สำหรับใครที่รอจะซื้อ Macbook เครื่องใหม่อยู่นั้นก็เรียกว่าคุ้มค่ากับการรอคอยจริง ๆ ค่ะ เพราะได้มีการอัพเดทจากชิป M1 รุ่นแรก มาใช้เป็นชิป M1 Pro และ M1 Max ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ Apple เคยสร้างมา ทำให้ Macbook Pro 2021 มีประสิทธิภาพสูงที่สุดและสามารถประหยัดพลังงานได้ดีกว่ารุ่นอื่น ๆ
แน่นอนว่า Macbook Pro 2021 ไม่ได้มีแค่สเปกภายในเครื่องที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ด้วยรูปลักษณ์อะลูมิเนียมแบบใหม่ที่สวยสะดุดตา บวกกับการออกแบบฟีเจอร์ใหม่ ๆ และคุณสมบัติอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้มันกลายเป็น MacBook Pro รุ่นที่น่าจับจองเป็นเจ้าของมากที่สุดในขณะนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งจะมีอะไรเด็ด ๆ บ้างนั้น ต้องตามมาดูกันเลยค่ะ!!
ชิป Apple M1 (ในปี 2020) คืออะไร ?

ชิป Apple Silicon หรือ M1 เป็นชิปรุ่นแรกที่ออกแบบโดย Apple หากเพื่อน ๆ ยังจำได้เมื่อปี 2020 ทาง Apple ได้เปิดตัวชิป M1 ที่เป็นการปฏิวัติวงการระบบของ Mac ครั้งสำคัญ ทำให้กลายเป็นกระแสฮือฮากันพักใหญ่ เพราะเป็นการใช้ระบบคอมแบบ System on Chip (SoC) ที่รวบรวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดไว้ในชิปเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ซึ่งภายในชิป M1 จะอัดแน่นไปด้วยหน่วยประมวลต่าง ๆ หลายตัวและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมาย อาทิเช่น
- การใช้คอร์ CPU แบบ 8-core ที่มีการแบ่งหน้าที่การทำงานอย่างชัดเจน โดย 4 คอร์แรกใช้สำหรับงานประมวลผลหนัก ๆ และอีก 4 คอร์ที่เหลือจะใช้สำหรับการประหยัดพลังงาน จึงทำให้ชิป M1 มีประสิทธิภาพของ CPU เร็วกว่ารุ่นอื่น ๆ ถึง 3.5 เท่า และยังมีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานเป็นเลิศอีกด้วยเพราะสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้นกว่า Mac รุ่นก่อน ๆ 2 เท่า ดังนั้นผู้ใช้ชิป M1 จึงสามารถทำงานเอกสาร, ท่องเว็บไซต์, รวมถึงชมรับชม VDO ได้นานขึ้นโดยไม่ต้องรีบชาร์จแบตระหว่างวันเลยค่ะ
- มีประสิทธิภาพของ GPU ที่ใช้ประมวลผลด้านกราฟิกได้เร็วขึ้นถึง 6 เท่า ไม่ว่าจะเป็นงานสตรีม VDO 4K หรือการสร้างภาพจากแบบจำลองฉาก 3D ที่ซับซ้อน รวมถึงในชิป M1 ยังมีความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงถึง 2.6 เทราฟลอป ทำให้มันเหมาะสำหรับงานสายกราฟิกที่สามารถใช้งานได้อย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด
- มีการฝั่ง RAM ในชิป M1 ทำให้ CPU และ GPU สามารถเข้าถึงหน่วยความ RAM และเรียกใช้งานได้เร็วขึ้น
ซึ่งจากที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้ชิป M1 เป็นเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่สุดของ Apple เลยก็ว่าได้ ทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่า Macbook ที่ใช้ CPU ของ Intel® อีกด้วย (เมื่อเทียบกับสเปกที่ดีขึ้น) ซึ่งในปีนั้นทาง Apple ก็ได้ใส่ชิป M1 เข้าไปใน Macbook Air กับ Macbook Pro ขนาด 13 นิ้วเท่านั้นค่ะ โดยยังได้ตั้งเป้าหมายภายในระยะ 2 ปีหลังจากนี้ จะบอกลา CPU ของ Intel® และหันมาใช้ชิปประมวลของตัวเองทั้งหมด
ข้อมูลจากประสบการณ์การใช้ Macbook ชิป M1 : ใครที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเสียงพัดลมระบายความร้อนใน MacBook Air รุ่นเก่าที่ดังมาก ๆ คุณจะไม่ได้พบเสียงเหล่านี้ใน Macbook Air M1 อย่างแน่นอนค่ะ เนื่องจากไม่ได้มีการติดตั้งพัดลมมาให้ เหตุเพราะตัวชิปไม่ได้สร้างความร้อนอะไรมากมายขนาดนั้นค่ะ แต่สำหรับ Macbook Pro 13 นิ้ว M1 นั้นยังมีการติดตั้งพัดลมมาให้อยู่เช่นเดิมนะคะ เพราะลักษณะการใช้งานของ Macbook Pro จะเน้นการประมวลที่หนักกว่า จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เครื่องจะมีโอกาสร้อนได้ค่ะ สำหรับการรันแอปพลิเคชัน โปรแกรม หรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้พัฒนามาให้รองรับชิป M1 ก็ไม่ใช่ปัญหาที่คุณต้องกังวล เพราะทาง Apple ได้เล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ตั้งแต่แรกและได้มีการแปลง Code ให้สามารถรันโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ บนชิป M1 ได้อัตโนมัติโดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยค่ะ
ชิป M1 Pro และ M1 Max (ในปี 2021) มีอะไรใหม่ ๆ บ้าง ?
แน่นอนว่าในปี 2021 ทาง Apple ก็ได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจากชิป M1 ด้วยการพัฒนาชิปรุ่นใหม่ออกมา 2 ตัวคือ M1 Pro และ M1 Max โดยครั้งนี้จะเป็นการนำมาใช้กับ MacBook Pro 2021 ตัวใหม่ 2 รุ่น ที่มีขนาดจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิม คือรุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว เป็นการเปิดตัวตามรอย iMac รุ่น 24 นิ้วเมื่อเดือนมีนาคมและ iPhone 13 กับ Apple Watch Series 7 เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2021 ที่ผ่านมา
ซึ่ง M1 Pro และ M1 Max ยังคงรูปแบบ System on Chip (SoC) ที่รวบรวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดไว้ในชิปเพียงชิ้นเดียวเช่นเดิมค่ะ โดยการกลับมาครั้งนี้ได้ยกระดับ Apple Silicon ไปอีกขั้น เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าชิป M1 Pro และ M1 Max จะมีอะไรเด็ด ๆ ที่ต่างจาก M1 รุ่นแรกกันบ้าง ?

สรุป CPU โดยรวม ตัว CPU ที่ใช้ประมวลผลกลางในชิป M1 Pro และชิป M1 Max เร็วขึ้น 1.7 เท่า และยังใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 70% (โดยตัวเลขเหล่านี้มาจากการเทียบกับชิป M1 รุ่นแรก) |
M1 Pro มีจำนวนคอร์ CPU สูงสุด 10-core โดยแบ่งเป็น 8 คอร์สำหรับเน้นการประมวลผลหนัก ๆ และอีก 2 คอร์เน้นการใช้งานแบบประหยัดพลังงาน |
M1 Max ใช้คอร์ CPU 10-core โดยการแบ่งหน้าที่ของคอร์จะเหมือนของ M1 Pro ทุกประการ ซึ่งจะประมวลผลได้เร็วขึ้น แต่จะใช้พลังงานจริง ๆ เพียง 1 ใน 10 เท่านั้น |
สรุป GPU โดยรวม ตัว GPU ที่ใช้ประมวลผลด้านกราฟิกในชิป M1 Pro เร็วกว่าชิป M1 ถึง 2 เท่า และในชิป M1 Max เร็วกว่าชิป M1 ถึง 4 เท่า |
M1 Pro มีการเพิ่มคอร์ GPU สูงถึง 16 คอร์ ส่งผลให้ทำงานด้านกราฟิกรวดเร็วยิ่งขึ้น ใช้พลังงานน้อยกว่าแล็ปท็อป PC ที่มี GPU แบบแยกถึง 70% |
M1 Max สิ่งที่ทำให้ M1 Max ต่างจาก M1 Pro คือความสามารถด้านกราฟิกที่ล้ำหน้า เพราะมีการเพิ่มคอร์ GPU สูงถึง 32 คอร์ เรียกว่าใช้พลังงานน้อยลง 40% เมื่อเทียบกับแล็ปท็อป PC รุ่น Hi End ตัวโปรบางรุ่นอีกค่ะ |
สรุป หน่วยความจำแบบรวม มีการเพิ่มหน่วยความจำแบบรวม (RAM) ที่สูงขึ้นทั้งใน M1 Pro และ M1 Max ซึ่งยิ่งมี RAM มากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็สามารถใช้งานแอปฯ ต่าง ๆ ได้พร้อมกันมากขึ้น ทั้งยังช่วยรองรับการทำงานที่เน้นกราฟิกหนัก ๆ , สร้างฉาก 3D หรืองานพัฒนาเกมได้สบายหายห่วง |
M1 Pro สามารถปรับแต่งได้สูงสุด 32GB |
M1 Max สามารถปรับแต่งได้สูงสุด 64GB |
สรุป Memory Bandwidth มี Memory Bandwidth ที่สูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่ง Memory Bandwidth ก็เปรียบเสมือนถนนที่ใช้รับส่งข้อมูล ยิ่งมีขนาดสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ส่งข้อมูลได้ไหลลื่นรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น |
M1 Pro มี Memory Bandwidth สูงสุดถึง 200GB/s |
M1 Max มี Memory Bandwidth สูงสุดถึง 400GB/s |
สรุป การเข้ารหัสและถอดรหัส รองรับการเข้ารหัสและถอดรหัส Codec ไม่ว่าจะเป็น H.264, HEVC หรือ ProRes ซึ่งสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ใช้พลังงานเพียงนิดเดียวเท่านั้น |
M1 Pro มีเอนจิ้นสำหรับการ |
M1 Max M1 Max จะเข้ารหัสวิดีโอได้เร็วขึ้นเพราะมีเอนจิ้นสำหรับการเข้ารหัสวิดีโอจำนวน 2 ตัว และยังมีเอนจิ้นสำหรับการเข้ารหัสและถอดรหัสของ ProRes อีก 2 ตัว จึงรองรับการทำงานแบบหลายสตรีมได้ดีกว่าแบบ M1 Pro ถึง 2 เท่า สามารถเล่นวิดีโอ ProRes ระดับ 8K ได้สูงสุด 7 สตรีม |
เอาละคะ จบเรื่องความสามารถพิเศษของเจ้าชิป M1 Pro และ M1 Max พอหอมปากหอมคอกันแล้วนะคะ ทั้งนี้เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็พอจะมีชิปตัวโปรดในใจกันบ้างแล้ว ซึ่งคุณสามารถปรับแต่งเป็นชิป M1 Pro หรือ M1 Max มาใส่ใน MacBook Pro ขนาดไหนก็ได้ระหว่างรุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว
ต่อมาเรามาดูคุณสมบัติด้านอื่น ๆ กันบ้างดีกว่าค่ะ ว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจ ชวนให้คุณอยากเสียเงินในบัญชีได้บ้าง 🙂
MacBook Pro 2021 มีอะไรเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงบ้าง ?
มีจอภาพที่ดีที่สุด พร้อมกับขอบจอที่แคบลง
Liquid Retina XDR คือจอภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโน้ตบุ๊กขณะนี้ เพราะมี Mini-LED 10,000 ดวง, มีความสว่างต่อเนื่อง 1,000 นิต, ความสว่างสูงสุด 1,600 นิต, อัตราส่วนคอนทราสต์ 1,000,000:1 และแสดงเฉดสีได้ถึง 1,000,000,000 สี ทำให้มันเป็นจอภาพที่มีความเนียนละเอียดที่น่าทึ่ง ช่วยให้การทำงานเกี่ยวกับการตัดต่อวีดีโอ, ตัดต่อรูปภาพ, การเข้าชมเว็บเพจอื่น ๆ รวมจนถึงการเล่นเกม ให้ภาพออกมาดูสวยสมจริงมากขึ้น สามารถปรับโทนสีจอภาพได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ ซึ่งยังคงเน้นการประหยัดพลังงานด้วยการใช้ ProMotion ที่จะคอยปรับอัตราการรีเฟรชสูงถึง 120Hz ให้อัตโนมัติเพื่อสร้างความรู้สึกลื่นไหลสำหรับสายตาของมนุษย์และช่วยประหยัดแบตเตอรีให้มากขึ้น เพราะอัตราการรีเฟรชจะขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่คุณรับชม ขอแอบกระซิบอีกหน่อยว่า 120Hz เป็นตัวเลขที่เพิ่งมีใน MacBook เป็นครั้งแรกด้วยค่ะ เนื่องจากเดิมทีเทคโนโลยี ProMotion จะมีแค่ใน iPad Pro เท่านั้น
นอกจากนี้คุณจะพบว่าหน้าจอของ MacBook Pro รุ่นใหม่ มีการออกแบบขอบของจอให้แคบลง 24% โดยมีขนาดเพียง 3.5 มม. เท่านั้น ทำให้คุณได้พื้นที่หน้าจอสำหรับแสดงผลที่กว้างขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ โดยจะต้องแลกมากับรอยบากด้านบนสุดตรงส่วนกล้องแบบเดียวกับใน iPhone เลยค่ะ แม้ว่ามันอาจจะดูขัดหูขัดตาไปนิด แต่เพื่อจอที่กว้างขึ้นก็พอจะมองข้ามไปได้ค่ะ
รุ่น 14 นิ้ว
|
รุ่น 16 นิ้ว
|
แบตเตอรี่ที่อึดกว่าเดิม
ในส่วนของเรื่องแบตเตอรี่นั้นก็ได้มีการปรับปรุงใหม่ให้ทนทานมากขึ้น จากชิป M1 ทำไว้ได้ดีอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็ปรับให้ดีขึ้นไปอีก เพราะถึงแม้ว่าชิป M1 Pro หรือ M1 Max จะแรงขึ้นมากแต่มันก็ยังคงคอนเซ็ปท์ประหยัดแบตได้เป็นอย่างดี โดยครั้งนี้สามารถใช้งานนอกสถานที่โดยไม่ต้องชาร์จแบตได้ตลอดทั้งวัน อ้างอิงจากผ่านการทดสอบด้วยการรับชมวิดีโออย่างต่อเนื่อง สรุปได้ดังนี้ค่ะ
รุ่น 14 นิ้ว
|
รุ่น 16 นิ้ว
|
สเปกเครื่องที่ทดสอบ : ชิป M1 Pro, CPU แบบ 8‑core, GPU แบบ 14‑core, RAM ขนาด 16GB และ SSD ความจุ 512GB
การระบายความร้อนที่ดีขึ้น
มีการอัพเดทระบบควบคุมความร้อนที่ล้ำสมัยกว่าเดิมให้สามารถถ่ายเทอากาศได้มากขึ้น 50% โดยที่ไม่มีเสียงพัดลมมาคอยรบกวนขณะทำงานอย่างที่เคย เพราะจะใช้ความแรงและความเร็วของพัดลมที่ต่ำกว่าปกติค่ะ อันที่จริงแล้วตัวพัดลมที่ใส่มานั้นแทบจะไม่ได้ใช้งานเลยด้วยซ้ำเพราะด้วยชิปประมวลผลของ Apple หรือ Apple Silicon เป็นชิปที่ประหยัดพลังงานอยู่แล้วค่ะ
ความจุของ SSD ที่สูงขึ้น
สามารถปรับเพิ่มความจุได้สูงสุด 8TB ทำให้มีความเร็วในการอ่านข้อมูลที่ยอดเยี่ยม คิดเป็นประมาณ 7.4GB ต่อวินาที ทำให้คุณสามารถเปิดวิดีโอระดับ 8K หรือโปรแกรมหนัก ๆ ขึ้นมาได้ภายในพริบตาเท่านั้น
คุณภาพกล้องดีขึ้น เหมาะสำหรับสาย Online meetings
ใครที่ต้องทำงานทางไกล ไม่สามารถเดินทางเข้าออฟฟิศได้บ่อย ๆ คุณจะต้องชอบสิ่งนี้ค่ะ เพราะทาง Apple ได้มีการอัพเดทความละเอียดของกล้องให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ด้วยการใช้กล้อง HD ที่ความละเอียด 1080p โดยใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างขึ้นด้วย ทำให้กล้องสามารถใช้งานได้ดีแม้จะอยู่ในที่แสงน้อยก็ตาม มาพร้อมกับตัวไมโครโฟนคุณภาพระดับ Studio ถึง 3 ตัว ที่จะช่วยลดเสียงรบกวนไปถึง 60% เพื่อให้เสียงของคุณยังคงดังชัดเจนอยู่ตลอด รับรองว่าภาพลักษณ์ในการประชุมของคุณจะดูเป็นมืออาชีพมากกว่าที่เคย
คุณภาพเสียงดีขึ้น เหมาะสำหรับสายดูหนัง-ฟังเพลง
ในส่วนของลำโพงนั้นสามารถสร้างมิติเสียงแบบ 3 มิติได้รอบทิศทาง มีการปรับปรุงเสียงให้ใสและหนักแน่นขึ้น เพราะมีการใช้ระบบเสียงลำโพงสูงสุด 6 ตัว รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ Spatial Audio ที่เมื่อใช้พร้อมกับจอภาพ Liquid Retina XDR สุดเจ๋งก็เรียกว่าเป็นโรงภาพยนตร์ฉบับพกพาเลยค่ะ
มีช่องให้เสียบกับอุปกรณ์หลากหลาย (พอร์ต)
โดยปกติแล้วการเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านพอร์ตของ MacBook จะต้องมีตัวแปลงสัญญาณพอร์ตอยู่เสมอ แต่สำหรับ MacBook Pro 2021 ได้เปลี่ยนรูปแบบของพอร์ตให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยครั้งนี้จะมีทั้ง Thunderbolt 4 (3 พอร์ต), ช่องต่อหูฟัง 3.5 มม.(1 พอร์ต), การชาร์จด้วย MagSafe 3 (1 พอร์ต), ตัวอ่านการ์ด SDXC (1 พอร์ต) และการเชื่อมต่อทีวีหรือจอภาพด้วย HDMI (1 พอร์ต) ทำให้คุณสามารถต่อจอภายนอก อย่างเช่น PRO Display XDR ได้พร้อมกันหลายจอ โดยหากคุณใช้ชิป M1 Pro จะเชื่อมจอ PRO Display XDR ได้ 2 จอ และหากใช้ชิป M1 Max ก็สามารถรองรับจอภาพภายนอกได้สูงถึง 4 จอเลยค่ะ โดยจะแบ่งเป็น PRO Display XDR 3 จอ และ ทีวี 4K อีก 1 จอ
กลับมาใช้พอร์ตชาร์จไฟแบบเดิมอีกครั้ง
สืบเนื่องจากหัวข้อก่อนหน้านี้ทำให้เราค้นพบว่าทาง Apple ได้กลับมาใช้พอร์ตชาร์จแบบ MagSafe อีกครั้ง หลังที่ยกเลิกการใช้ไปตั้งแต่ปี 2015 เรียกว่าเป็นการ come back ที่สาวก Mac รอคอยมาเนิ่นนานมาก ๆ โดยครั้งนี้จะใช้ MagSafe ที่สามารถรองรับการชาร์จเร็ว (Fast Charge )ได้ด้วย โดยจะสามารถชาร์จไฟได้ 50% ภายในเวลา 30 นาทีเท่านั้น
ซึ่งข้อดีที่พบได้จากประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียนมองว่าสายชาร์จแบบ MagSafe เป็นอะไรที่ถูกจริตคนซุ่มซ่ามอย่างเรามากที่สุด เพราะในกรณีที่เราสะดุดสายชาร์จแบบไม่ตั้งใจมันจะหลุดออกได้อย่างง่ายดายเลยค่ะ ต่างจากพอร์ตชาร์จแบบ Type-C ที่ค่อนข้างแน่นมากหากมีการสะดุดรับรองว่าจะต้องลากลงมาทั้งเครื่องแน่นอนค่ะ
แต่หากใครที่กังวลว่าสายชาร์จแบบ MagSafe ที่ดูเหมือนหลุดง่ายเช่นนี้ แล้วมันจะชาร์จได้ไม่ดีรึเปล่า? บอกเลยว่าชาร์จได้ดีเหมือนเดิมค่ะ! เพราะจริง ๆ แล้วตัวชาร์จแบบ MagSafe จะเป็นแม่เหล็กที่ช่วยให้เชื่อมต่อกับพอร์ตได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องออกแรงเสียบหรือดึงให้ยุ่งยาก คุณสามารถใช้มือเพียงข้างเดียวหรือจะใช้แค่ปลายนิ้วสะกิด MagSafe ก็หลุดออกจากเครื่องแล้วค่ะ
คีย์บอร์ดระดับโปร
Magic Keyboard ที่มีไฟ BlackLight ในตัว และมีระยะปุ่มที่เว้นไว้อย่างถนัดมือ โดยตัว Keyboard ค่อนข้างมีแรงตอบสนองที่ดี มันเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ต้องทำงานพิมพ์เอกสารต่าง ๆ อีกทั้งยังมีปุ่มลัดคีย์บอร์ดใหม่ ๆ ที่ใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายต่อการใช้งาน
ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่า Keyboard ของ MacBook Pro 2021 มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะว่าปุ่มฟังก์ชันมาตรฐาน 12 ปุ่ม (Function Keys) แถวบนสุดได้กลับมาแล้วค่ะ และแน่นอนว่ามันส่งผลให้ตัว Touch Bar หายไปด้วย ซึ่งอันนี้ก็อยู่ที่ความชอบของแต่ละคนแล้วนะคะว่าคุณชอบแบบไหน? บางคนก็ชอบที่มี Touch Bar เพราะมันค่อนข้างใช้งานได้สะดวกเวลาพิมพ์งาน ในขณะที่บางคนก็ไม่ชอบเอาซะเลยเพราะยังไม่ชินกับการใช้ Touch Bar มากนัก หรือบางคนก็ชอบรูปลักษณ์ของ MacBook แบบเดิมที่มีความเป็นคลาสสิกในตัวมากกว่า
สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้นก็ค่อนข้างรำคาญ Touch Bar ก็ตรงที่มักเผลอไปโดนปุ่ม Siri แบบไม่ตั้งใจอยู่บ่อย ๆ ค่ะ 😀 แต่ในส่วนอื่น ๆ อย่างเช่น การปรับลดความสว่างของหน้าจอ หรือปรับลดความดังเสียงนั้น ถือว่าน้อง Touch Bar ค่อนข้างใช้งานง่ายมาก ๆ เพียงใช้นิ้วแค่รูดปื้ด ๆ ก็พอค่ะ ไม่ต้องกดปุ่มเดิมซ้ำ ๆ หลายครั้ง
ซึ่งถึงแม้ว่า Touch Bar จะหายไป แต่ทาง Apple ก็ยังคงไว้ซึ่งปุ่ม Touch ID ไว้เช่นเดิม (Touch ID คือปุ่มที่สแกนลายนิ้วมือได้) ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ไม่เอาออกไปทั้งหมด เพราะมันช่วยเรื่องความสะดวกในการปลดล็อค MacBook, การซื้อของในแอปสโตร์ หรือการยันยืนคำสั่งใด ๆ ก็ตาม โดยที่ไม่ต้องกรองรหัสให้ยุ่งยาก สำหรับตัวผู้เขียนเองมองว่าปุ่ม Touch ID เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การรักษาไว้อย่างยิ่งค่ะ ซึ่งเจ้าปุ่ม Touch ID รอบนี้ก็มีการออกแบบให้กลมกลืนกับตัว Keyboard มากขึ้น ดูเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสวยงาม โดยมีการทำวงแหวนนูน ๆ ขึ้นมาบนปุ่ม เพื่อให้ผู้ใช้รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังใช้ปุ่ม Touch ID อยู่ และยังทำให้คุณหาปุ่ม Touch ID ได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย
รูปลักษณ์ดีไซน์ที่สวยขึ้น
MacBook Pro 2021 ตัวใหม่รุ่นนี้ได้รับการออกแบบมาให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยนะคะ โดยทาง Apple ได้ใช้วัสดุอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% มาประกอบเป็นตัวเครื่อง ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยต่อสารอันตรายหลายชนิด โดยรวมแล้ว MacBook Pro ทั้ง 2 รุ่นก็มีขอบจอที่บางกว่ามากรุ่นก่อน ๆ รวมถึงจอแสดงผลแบบ Mini-LED ที่น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ รวมถึงยังปรับปรุงความคมชัดของกล้องเป็น 1080p ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี ProMotion ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ iPadPro ซึ่งจะช่วยประหยัดแบตมากขึ้นและสร้างความรู้สึกลื่นไหลต่อสายตาให้คุณไปพร้อม ๆ กัน
โดยราคาเริ่มต้นของ MacBook Pro รุ่น 14 นิ้ว จะอยู่ประมาณ 73,900 บาท และ MacBook Pro รุ่น 16 นิ้ว จะอยู่ที่ประมาณ 89,900 บาท ซึ่งคุณสามารถปรับราคาเพิ่มได้อีกตามสเปกที่คุณเลือก อาทิเช่น การเลือกชิป Apple M1 Pro หรือ M1 Max, CPU, การเพิ่ม RAM, การเพิ่ม SSD หรือการเพิ่ม GPU เป็นต้น