ทุกวันนี้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีการแข่งขันที่สูงมาก ๆ ครับ โดยเฉพาะการเข้ามาทำตลาดของแบรนด์สัญชาติจีน ที่สามารถทำราคาได้ดีกว่าค่ายรถยุโรปค่อนข้างมาก แต่ล่าสุด วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ก็ได้นำรถไฟฟ้า 100% ตัวใหม่ล่าสุดอย่าง Volvo EX30 เข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งด้วยหน้าตาสุดล้ำ ดูหล่อเหลา แถมมาในสไตล์รถยนต์ Crossover 5 ที่นั่ง ระดับพรีเมียม ขนาดเล็กที่สุดในค่าย ช่วยให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนเมืองสุด ๆ แถมยังปล่อยคาร์บอนซ์น้อยที่สุดในค่าย
ใครที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้าที่มาในสไตล์ SUV คันเล็ก ๆ และยังรู้สึกเบื่อกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน คันนี้ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลย โดย Volvo EX30 ได้เปิดตัวมาทั้งหมด 2 รุ่นย่อย และมีระบบส่งกำลัง 2 แบบให้เลือก ซึ่งเปิดราคาเริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท เท่านั้น ทำให้มันสู้กับรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนได้สบาย ๆ เลย เดี่ยวเรามาสรุปจุดเด่นต่าง ๆ ของเจ้าคันนี้กันครับว่า มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ?
ราคาอย่างเป็นทางการของ Volvo EX30
โดย วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย (Volvo Cars Thailand) ได้ออกมาเผยราคาของ Volvo EX30 รถยนต์ EV น้องเล็กสุดอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Core และรุ่น Ultra ครับ โดยในรุ่นท๊อป อย่าง Ultra จะมีระบบส่งกำลังให้เลือก 2 แบบ คือ Single Motor Extended Range และ Twin Motor Performance ซึ่งมีราคาดังต่อไปนี้
|
|
สีตัวถัง

สำหรับ Volvo EX30 Core รุ่นเริ่มต้นจะมีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 4 สี ครับ ได้แก่ สีฟ้า (Cloud Blue), สีขาว (Crystal White), สีดำ (Onyx Black) และสีเทา (Vapour Grey) มาพร้อมกับการตกแต่งภายในแบบเดียวคือ Indigo ไม่สามารถเลือกการตกแต่งภายในอีก 2 แบบที่เหลือได้

ส่วน Volvo EX30 Ultra รุ่นท๊อปทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับสีตัวถังแบบทูโทน โดยจะใช้สีตัวรถตัดกับหลังคาแมททาลิคสีดำ (Onyx Black) ทำให้ดูสปอร์ตขึ้น สำหรับสีตัวถังจะมีทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีฟ้า (Cloud Blue), สีขาว (Crystal White), สีเหลือง (Moss Yellow), สีดำ (Onyx Black) และสีเทา (Vapour Grey) และมีสีภายในห้องโดยสาร 3 สไตล์ ได้แก่ Mist, Indigo และ Breeze
ดีไซน์การออกแบบ
ดีไซน์การออกแบบของ Volvo EX30 จะมาในสไตล์เดียวกับรุ่นพี่ ๆ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้เลย ซึ่งเหมือนยกเอา Volvo EX90 รุ่นพี่ในค่ายมาย่อส่วนให้เล็กลง เน้นการออกแบบที่ล้ำสมัย โดดเด่นด้วยเส้นไฟหน้า LED ที่ดูโฉบเฉี่ยว กระจังหน้าปิดทึบ คาดกลางด้วยโลโก้ Volvo แบบใหม่ แสดงความเป็นวอลโว่อย่างชัดเจน สอดรับกับฝากระโปรงหน้าดีไซน์มน ๆ และช่องดักอากาศขนาดใหญ่ พร้อมกับเส้นสายที่ชัดเจนมาก ๆ ลากจากไฟหน้า พาดยาวด้านข้าง ไปจนถึงท้ายรถ ทำให้มันดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวขึ้น

ส่วนด้านท้ายมาพร้อมกับชุดไฟท้าย LED 2 ชั้น ซึ่งเป็นเส้นไฟแนวตั้งอยู่ที่ขอบกระจกบานท้าย และชุดไฟท้ายหลักมีดีไซน์เป็นตัว C หันหน้าหากัน เชื่อมต่อด้วยเส้นสีดำเป็นกรอบสี่เหลี่ยม พร้อมกับติด V-O-L-V-O ไว้ที่ตรงกลาง สำหรับล้อ ในรุ่น Core จะใส่ล้อ ขนาด 18 นิ้ว ลายทูโทน 5 ก้าน รัดด้วยยาง 225/55 R18 ในขณะที่รุ่น Ultra จะใส่ล้อขนาด 19 นิ้ว ลายแอโร่แบบ 5 ก้าน ใช้สีทูโทนเช่นกัน รัดด้วยยางขนาด 245/45 R19 มาให้
ภายในห้องโดยสาร
สำหรับดีไซน์การออกแบบภายในห้องโดยสารของ Volvo EX30 ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ธรรมชาติของสแกนดิเนเวีย ซึ่งจะเน้นความเรียบง่าย แต่พรีเมียม เพื่อให้มันดูสะอาดตาที่สุด พร้อมกับมีการตกแต่งด้วยสีสันแบบทูโทน การใช้วัสดุรีไซเคิลที่ต่างกัน ช่วยมอบสีสัน และสัมผัสเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดย EX30 จะมีการตกแต่งภายในมาให้คุณเลือก ทั้งหมด 3 รูปแบบ ครับ ประกอบด้วย Breeze (วันในฤดูร้อน) Indigo (ยามราตรี) และ Mist (แสงแรกยามรุ่งอรุณ) โดยรุ่น Core จะมีภายในแบบ Indigo แบบเดียว เท่านั้น ในขณะที่รุ่น Ultra จะขึ้นอยู่กับสีตัวถังว่า จะจับคู่กับการตกแต่งภายในแบบใดได้บ้าง ?

แผงแดชบอร์ดดีไซน์แบบไร้ปุ่มกด โดยบริเวณตรงกลางคอนโซลติดตั้งจอทัชสกรีน ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ที่รองรับการใช้งานทุกฟังก์ชันของตัวรถ ซึ่งให้มาเป็นพื้นฐานทั้ง 2 รุ่นย่อย แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในรุ่น Core ตัวเริ่มต้น จะถูกตัดออกไปเยอะพอควรครับ
โดยรุ่น Ultra มาพร้อมเบาะคู่หน้าไฟฟ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระ พร้อมระบบควบคุมคุณภาพอากาศภายในรถ ติดตั้งเซ็นเซอร์กะระยะหน้าและหลัง พร้อมกล้อง 360 องศา และระบบช่วยจอด Park Pilot Assist มีแท่นชาร์จไร้สาย พร้อมให้พอร์ต USB-C มาถึง 6 พอร์ต ในทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะพอร์ต USB-C แถวที่ 2 มีกำลังไฟ 60 วัตต์ เลยทีเดียว แถมยังให้ปลั๊กไฟ 12 โวลต์ มาที่ห้องเก็บของด้านหลังด้วย สำหรับสายแคมป์ปิ้ง นอกจากนี้ยังมีหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ไฟสร้างบรรยากาศที่เปลี่ยนธีมได้ และยังให้ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดระบบไฟฟ้ามาด้วย เรียกได้ว่า ครบครันเลย

สำหรับระบบเครื่องเสียง ติดตั้ง Premium Sound by Harman Kardon ขับเสียงด้วยลำโพง Soundbar แอมปลิไฟเออร์ 1040 วัตต์ ขนาดใหญ่ ที่ดีไซน์มาอย่างแนบเนียน พรอ้มลำโพง 9 ตัว ที่ถูกติดตั้งไว้ในจุดต่าง ๆ โดยทำงานคู่กับหน้าจอกลางได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อ 5G ได้ด้วย เพื่อให้แอปฯ ต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาในตัวใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Google assistant, Google Maps และ Google Play นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ไร้สายอีกด้วย
เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ และระบบนิรภัยต่าง ๆ

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Volvo ที่มีในรถทุกรุ่น คือ เทคโนโลยีสุดล้ำต่าง ๆ ครับ ซึ่งให้มาแบบครบครันทั้ง 2 รุ่นย่อยเลย ไม่ว่าจะเป็น ระบบดิสก์เบรก ABS 4 ล้อ พร้อมระบบ EBD & EBA, ระบบตรวจจับการเสียสมาธิหรืออาการง่วงของผู้ขับขี่ พร้อมกับมีการแจ้งเตือนทันที, ระบบลดความรุนแรงต่อการชน, การขับแป้นเหยียบเดียว, ระบบเตือนเวลารถออกนอกเลน, ระบบเบรกหลังมีการชน, ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน, ระบบเตือนการชน, ระบบเตือนการเปิดประตู, ระบบเตือนรถด้านท้าย และเบรกอัตโนมัติ, การเบรกอัตโนมัติเมื่อผ่านทางแยก, ระบบช่วยจอด, Lane Keeping Aid และ BLIS ระบบช่วยบังคับเลี้ยว
ส่วนรุ่น Ultra จะได้เพิ่มกระจกมองหลังและกระจกมองข้างปรับลดแสงอัตโนมัติ, ระบบช่วยเปลี่ยนเลน, ระบบช่วยจอดหน้าหลัง, ระบบ Park Pilot Assist, กล้อง 360 องศา, Oncoming Mitigation by Braking และ Run-off road Mitigation สำหรับระบบความปลอดภัยพื้นฐานต่าง ๆ จะมีทั้ง ถุงลมนิรภัย แบบปรับแรงดันอัตโนมัติ, สวิตช์ตัดการทำงานของถุงลมนิรภัยด้านผู้โดยสาร, ถุงลมนิรภัยด้านผู้ขับ ด้านข้าง และม่านนิรภัย พร้อมมีระบบล็อคป้องกันเด็ก และระบบเซ็นทรัลล็อคดึงสองครั้ง
สมรรถนะการขับขี่

Volvo EX30 มีขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าให้เลือก 2 ขนาด ครับ โดยระบบส่งกำลังมาตรฐานก็คือ มอเตอร์เดี่ยว (Single Motor Extended Range) ส่วนในรุ่น Ultra คุณสามารถจะเลือกได้ว่า จะใช้ ระบบส่งกำลังมาตรฐาน หรือระบบส่งกำลังมอเตอร์คู่ (Twin Motor Performance) ซึ่งมีส่วนต่างอยู่ที่ 1 แสนบาท ครับ โดยรายละเอียดของระบบส่งกำลังทั้ง 2 แบบ มีดังนี้
มอเตอร์เดี่ยว (Single Motor Extended Range)
0-100 กม./ชม. ภายใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. วิ่งได้ไกลสุด 480 กม. (WLTP) |
Single Motor Extended Range มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Single speed transmission มีแรงม้าสูงสุด 272 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร มอบอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 5.3 วินาที และล็อคความเร็วไว้สูงสุดถึง 180 กม./ชม. เลยทีเดียวครับ และพ่วงมาด้วยแบตเตอรี่ NCM ความจุ 69 kWh วิ่งได้สูงสุด 480 กม. (WLTP) |
มอเตอร์คู่ (Twin Motor Performance)
0-100 กม./ชม. ภายใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. วิ่งได้ไกลสุด 480 กม. (WLTP) |
Twin Motor Performance มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 2 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Single speed transmission มอบแรงม้ารวมสูงสุด 428 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 543 นิวตัน-เมตร มอบอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน เวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. เช่นกันครับ เนื่องจากถูกล๊อคความเร็วเอาไว้ และพ่วงมาด้วยแบตเตอรี่ NCM ความจุ 69 kWh เท่ากัน และจะวิ่งได้ไกลสุด 480 กม. (WLTP) ครับ |
การชาร์จไฟฟ้า

ในด้านการชาร์จก็ไม่ต้องห่วงเลยทาง Volvo มีเทคโนโลยีคอยช่วยเหลือคุณ เพื่อให้คุณชาร์จได้ดีขึ้น และรวดเร็วขึ้น ทั้ง ระบบการแจ้งเตือนการชาร์จ และการค้นหาสถานีชาร์จให้อัตโนมัติ โดยเมื่อแบตฯ เหลือ 20% ตัวรถก็จะแจ้งเตือนการชาร์จอัตโนมัติ พร้อมกับแสดงสถานีชาร์จทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงบน Google Maps ซึ่งคุณสามารถเลือกสถานีชาร์จเพื่อให้มันนำทางได้ทันที ในขณะที่คุณกำลังเดินทาง ระหว่านนี้ตัวรถจะทำการปรับสภาพแบตฯ เตรียมพร้อมสำหรับการชาร์จ โดยการเพิ่มความร้อน หรือความเย็น เพื่อให้แบตฯ มีอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการชาร์จ ซึ่งจะช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่ทำได้อย่างรวดเร็ว
โดยทั้ง 2 รุ่นย่อย 2 ขุมพลัง จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ Lithium-ion Nickel Rich (NCM) ความจุ 69 kWh เท่ากันครับ มาพร้อมกับช่องชาร์จแบบ Type 2 / CCS Combo ซึ่งจะใช้เวลาในการชาร์จพอ ๆ กัน ดังนี้
- การชาร์จ AC ด้วย EV Charger 1-Phase (7.4 kW) – ชาร์จ 0-100% ใช้เวลาประมาณ 11.5 ชั่วโมง
- การชาร์จ AC ด้วย EV Charger 3-Phase (11 kW) – ชาร์จ 0-100% ใช้เวลาประมาณ7.5 ชั่วโมง
- การชาร์จ DC ที่สถานีชาร์จเร็ว (Quick Charge 153 kW) – ชาร์จ 10-80% ใช้เวลาเพียง 26.5 นาทีฃ
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Volvo Car Thailand : www.volvocars.com