ต้องยอมรับเลยครับว่า รถกระบะสมัยใหม่ ได้รับการพัฒนามาไกลมากเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา จากเดิมรถกระบะจะเป็นรถที่เน้นใช้งาน ความสะดวกสบายแทบไม่มีเลย แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้วครับ รถกระบะได้ถูกแยกย่อยออกเป็นหลายประเภท ซึ่งกระบะที่เน้นใช้งานก็จะเป็นกระบะตอนเดียวราคาถูก ซึ่งภายในก็จะดิบ ๆ ไม่ให้อะไรเลย และกระบะแค็บ ที่ภายในจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากขึ้น โดยทั้ง 2 ประเภทนี้ ยังคงมีกระบะที่ใหญ่ ทำให้ส่วนใหญ่จะนิยมนำไปใส่ตู้ทึบ สำหรับขนของครับ และยังมีรถกระบะหนึ่งอีกประเภทที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นั่นคือ รถกระบะ 4 ประตู ยกสูง ตัวท็อปสุด รุ่นพิเศษ จนบางรุ่นแพงกว่า รถ C-Segment และบางรุ่นก็มีราคาพอ ๆ กับรถ D-segment สุดหรูเลย
แต่ถึงอย่างนั้นรถประเภทนี้ก็ยังมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ส่วนเหตุผลที่ทำให้ราคาของรถประเภทนี้แพงส่วนนึงก็เพราะได้ถูกอัปเกรดให้ดีที่สุดในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะภายในที่สะดวกสบายขึ้นเยอะมาก จนเหมือนกับนั่งบนรถเก๋งหรู ๆ มากกว่า ทำให้เป็นรถที่มีทั้ง ความแกร่ง ความแรง ความนุ่มนวล ความสะดวกสบาย และความอเนกประสงค์ เมื่อนำมาบวกกับหน้าตาที่ดูเท่ ขนาดใหญ่บึกบึน ทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกสนใจรถประเภทนี้มากขึ้นเป็นพิเศษ
วันนี้รถได้รวม รถกระบะ 4 ประตู ตัวท๊อปสุด ที่มีจำหน่ายอยู่ในปี 2023 นี้ มารีวิวสั้น ๆ ให้ทุกคนเห็นความแตกต่างของรถแต่ละรุ่นครับ
1. Ford Ranger Raptor 3.0L V6 Twin-Turbo EcoBoost 4WD 10AT ราคา 1,919,000 บาท
|
เหตุผลที่ควรซื้อ
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง
|
Ranger Raptor รถกระบะออฟโรดท๊อปสุดของ Ford ถูกพัฒนาให้เป็นกระบะพันธุ์แกร่งที่สุดในกลุ่มของ Ranger ดีไซน์มาในสไตล์อเมริกันแท้ ๆ เน้นใหญ่ สมรรถนะสูง มาพร้อมหน้าตาที่ดูแข็งแกร่งสมกับสโลแกนที่ว่า “ดุดัน ไม่เกรงใจใคร” โดยจะมี 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0L ราคา 1,769,000 บาท และรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 3.0L ราคา 1,919,000 บาท |
อ่านเพิ่มเติม
ส่วนภายในห้องโดยสารก็กว้างสุด ๆ ครับ มาในโทนสีดำตัดขอบสีแดง หุ้มวัสดุหนังแท้ และหนังสังเคราะห์ เอกลักษณ์เฉพาะใน Raptor เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ตรับสรีระ ปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบดิจิทัลสุดล้ำ หน้าปัดสี 12.4 นิ้ว หน้าจอกลางระบบสัมผัส 12 นิ้ว ที่รองรับทุกการเชื่อมต่อ ระบบเสียงจาก Bang & Olufsen ขับด้วยลำโพง 10 ตัว ติดตั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา เกียร์อัตโนมัติ E-Shifter พร้อมเบรกมือไฟฟ้า กล้อง 360 องศา ช่วยให้ขับง่ายขึ้น และยังใส่พอร์ต USB ให้มาถึง 4 จุด พร้อมแท่นชาร์จแบบไร้สาย
โดยตัวท๊อปสุดจะใช้เครื่องยนต์เบนซินตัวใหม่ 3.0L V6 เทอร์โบคู่ที่รีดม้าได้ถึง 397 ตัว แรงบิด 583 นิวตัน-เมตร ส่วนรุ่นเริ่มต้นจะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0L V4 เทอร์โบคู่ มีแรงม้า 210 ตัว แรงบิด 500 นิวตัน-เมตร โดยทั้งคู่จะเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4A-4WD ส่งกำลังด้วยเกียร์ออโตฯ 10 สปีด มาพร้อมกับให้โหมดการขับขี่ถึง 7 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดถนนลื่น, โหมดหิน, โหมดทราย, โหมดโคลน และโหมดบาฮา (สายออฟโรด) โดยรุ่น 3.0L ช่วงล่างหน้า-หลังจะใช้ระบบกันสะเทือน FOX Live Valve ขนาด 2.5 นิ้ว แบบพิเศษ แถมยังใส่ eDiff-Lock ดิฟล็อกไฟฟ้ามาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเลย ถ้าใครเป็นสายออฟโรดอยู่แล้ว ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
2. Toyota Hilux Revo GR Sport Double Cab 4×4 2.8 AT ราคา 1,324,000 บาท
|
|
เหตุผลที่ควรซื้อ
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง
|
Hilux Revo ถือเป็นรถกระบะที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในบ้านเราครับ ซึ่งถ้าสังเกตุบนท้องถนน เราจะเห็นบ่อยมาก ๆ ทั้ง รถที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ และรถสามัญประจำบ้าน ด้วยเหตุนี้ Toyota จึงเอามาอัพเกรดโดยใส่ DNA ของมอเตอร์สปอร์ตที่เรียกว่า GR Sport เข้าไปครับ ซึ่ง Hilux Revo GR Sport Double Cab จะมีอยู่ 2 รุ่น นั่นคือ รุ่น Lo-Floor 4×2 (ตัวเตี้ย) ราคา 889,000 บาท และรุ่น Hi-Floor 4×4 (ยกสูง) ราคา 1,324,000 บาท โดยใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน |
อ่านเพิ่มเติม
ถ้าเทียบกับ Revo รุ่นปกติ เจ้า Revo GR Sport จะมาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์แบบ Rocco เลย แต่มีการตกแต่งใหม่ ปรับโทนสีให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น ช่องลมด้านหน้าใส่ตัวอักษร T O Y O T A มาคู่กับสัญลักษณ์ GR สีดำ-แดง ทำให้ดูสอดรับกับชุดแต่ง GR Sport สีดำเมทัลลิกที่ติดตั้งรอบคัน เมื่อมาบวกกับพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อึด ถึก ทนอยู่แล้ว มันจึงดูลงตัวสุด ๆ ครับ ภายในก็มีการตกแต่งโทนสีดำตัดกับแดง เสริมด้วยวัสดุสี Smoke Silver และสีดำเมทัลลิค พร้อมกับมีสัญลักษณ์ GR เบาะนั่งคู่หน้าทรงแบบสปอร์ต หุ้มหนัง Suede สลับกับหนังสังเคราะห์ เป็นไฟฟ้าแค่ฝั่งคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อม Paddle Shift มาตรวัด Optitron หน้าปัด MID TFT แบบสี 4.2 นิ้ว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา พร้อมกับช่องแอร์ผู้โดยสารตอนหลัง และอีกจุดนึงที่ไม่ชอบเลยคือ จอสัมผัส 8 นิ้ว ที่ดูขัดหูขัดตามาก ๆ เมื่อเทียบกับค่ายอื่น ๆ แต่ยังดีที่มีฟังก์ชันครบ
ส่วนขุมพลังใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.8L V4 VN-Turbo รหัส 1GD-FTV รีดพละกำลังได้ 204 แรงม้า ทำแรงบิด 500 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดไดเร็คอินแจ็คชั่น คอมมอนเรล (แบบ i-ART) พร้อมมีความจุถัง 80 ลิตร รองรับน้ำมันได้สูงสุด B20 ครับ ซึ่งจุดเด่นอีกอย่างคือ อัตราการสิ้นเปลืองเครมไว้ถึง 25 กม./ล. เลยทีเดียว
3. Isuzu D-MAX V-Cross 4×4 3.0 Ddi M 4-door A/T ราคา 1,217,000 บาท
|
|
เหตุผลที่ควรซื้อ
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง
|
ทุกคนคงรู้จัก Isuzu D-MAX กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะนี่คือรถกระบะที่ทำยอดขายสูงที่สุดได้หลายสมัย ซึ่ง D-MAX V-Cross 4×4 ก็เป็นการนำกระบะขวัญใจคนไทย มาอัปเกรดใหม่ โดยการปรับโฉมใหม่ให้ดูแข็งแกร่งมากขึ้น อัปเกรดเครื่องยนต์ เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้สูงขึ้น และมีการเพิ่มความล้ำสมัย เพื่อใช้ต่อสู้ในตลาดกระบะพรีเมี่ยม ซึ่งกำลังเป็นที่ได้รับความนิยมในบ้านเรา โดยตัวถัง 4 ประตู จะมีให้เลือกอยู่ 3 รุ่นย่อยครับ ได้แก่ รุ่น 3.0 Ddi Z M/T 4 Door ราคา 1,004,000 บาท, รุ่น 3.0 Ddi ZP M/T 4 Doors ราคา 1,119,000 บาท และท๊อปสุดรุ่น 3.0 Ddi M A/T 4 Doors ราคา 1,217,000 บาท |
อ่านเพิ่มเติม
ถ้าเทียบกับ X-series หรือปิกอัพ 4 ประตู หน้าตาของ Isuzu V-Cross 4×4 MAGIC EYEs จะได้รับการตกแต่งใหม่ เพื่อให้ดูสปอร์ตดุดันขึ้น และเติมเต็มด้วยสมรรถนะออฟโรดอันทรงพลัง กระจังหน้าใหม่ดีไซน์ Double dimensions แบบทูโทนสีเทาดำ และ Black Chrome รับกับเส้นสายไฟหน้า Vision Bi-LED ที่มีไฟ Daylight ในตัว และไฟท้าย Dual-Sonic LED ทั้งยังติดตั้งชุดแต่งอื่น ๆ ที่ทั้งหมดก็ถูกดีไซน์มาเป็นสีเทาดำ ตัดกับสีตัวรถ
ในห้องโดยสารจะเน้นความกว้างขวาง และออกแบบ Usability Design เน้นความสะดวกสบาย ตกแต่งแบบ Sharp Horizontal Layers ที่มีการเล่นระดับ ช่วยให้ดูมีมิติขึ้น ส่วนต่าง ๆ มีการหุ้มหนังสังเคราะห์สีดำ เดินด้ายน้ำตาล เสริมด้วย Satin Silver และ Café Brown เบาะนั่ง Coolmax ดีไซน์กระชับมีใช้เทคโนโลยี AVEC ช่วยซับแรงสั่นสะเทือนลดอาการเมื่อย แต่จะเป็นไฟฟ้าที่คนขับเท่านั้น ปรับได้ 8 ทิศทาง ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มาครบ ทั้ง มาตรวัด Super Vision จอข้อมูลการขับขี่ (Smart MID) 4.2 นิ้ว จอสัมผัสกลาง 9 นิ้ว พร้อมกล้องถอย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมระบบกรองอากาศ และช่องแอร์ตอนหลัง
ด้านขุมพลังรุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 3.0L V4 Ddi Blue Power รหัส 4JJ3-TCX ตัวเดียวกับที่ใช้อยู่ในรุ่นปิกอัพ 4 ประตู Hi-Lander 3.0 Ddi M A/T ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมระบบ Terrain Command สามารถมอบแรงม้าได้สูงสุด 190 ตัว และแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด แบบ Rev-Tronic นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบ Eletronic Diff-Lock หรือระบบล็อกเฟืองท้ายไฟฟ้ามาให้ด้วย ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงรุ่นนี้ถังมีความจุ 75 ลิตร รองรับได้สูงสุด B20 และรุ่นนี้สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ประมาณ 13-14 กม./ลิตร ครับ
4. New Nissan Navara DC PRO-4X 7AT ราคา 1,160,000 บาท
|
|
เหตุผลที่ควรซื้อ
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง
|
Nissan Navara เป็นกระบะอีกหนึ่งรุ่นที่อยู่คู่คนไทยมานานครับ ซึ่งมันมาแทนรถตำนานอย่าง Big-M โดยซีรี่ส์ท็อปสุดในปัจจุบันก็คือ Nissan Navara PRO series ที่มาพร้อมหน้าตาอันเรียบง่ายแต่ดูคมเข้ม บวกกับตัวถังขนาดใหญ่ ช่วงล่างแน่น ทำให้ภาพรวมมันดูแข็งแกร่งสุด ๆ ครับ ใครที่กำลังมองหากระบะออฟโรดจริง ๆ เอาไปใช้บุกตลุยตามเส้นทางต่าง ๆ ที่ไม่ว่าถนนจะเป็นอย่างไร มันก็พาคุณไปได้ครับ โดยในปี 2023 นี้ Navara PRO series มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ PRO-2X ราคา 1,030,000 บาท และ PRO-4X ราคา 1,160,000 บาท เท่านั้นครับ |
อ่านเพิ่มเติม
ด้านสมรรถนะมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.3L V4 เทอร์โบคู่อินเตอร์คูลเลอร์ สามารถรีดแรงม้ามาได้สูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมดแมนนวล สำหรับตอบโจทย์ได้ทุกเส้นทาง โดยมีความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 80 ลิตร สามารถจะทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีในระดับนึงเลยอยู่ที่ประมาณ 14-15 กม./ลิตร ครับ (ไม่เป็นทางการ)
5. All-new Mitsubishi Triton Double Cab 2.4 ULTRA 6AT ราคา 1,024,000 บาท
|
|
เหตุผลที่ควรซื้อ
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง
|
มาปิดท้ายกันกับ All-new Mitsubishi Triton 2024 กระบะอีกหนึ่งรุ่นที่ทำตลาดในไทยมานาน ซึ่งรุ่นนี้เพิ่งถูกเปิดตัวออกมาสด ๆ ร้อน ๆ เลย โดยนับเป็นเจเนอเรชัน 6 แล้ว สำหรับโฉมนี้เป็นการพัฒนามาใหม่ทั้งหมดครับ เรียกว่า All-new จริง ๆ ปรับโฉมในรอบ 9 ปี เปิดตัวในไทยเป็นครั้งแรกในโลก โดย ณ วันที่เราเขียนบทความนี้รุ่นพิเศษยังไม่มีนะครับ โดยรุ่นที่แพงที่สุดจะมี 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Double Cab 2.4 PRIME 6MT เป็น 4WD ราคา 1,016,000 บาท และ Double Cab 2.4 ULTRA 6AT เป็น 2WD ราคา 1,027,000 บาท ครับ เอาไว้ถ้ามีการเปิดตัวออกมาเมื่อไหร่ เราจะมาอัพเดทกันอีกทีนะครับ |
อ่านเพิ่มเติม
อย่างที่บอกครับ All-new Triton 2024 (เจนฯ 6) มาพร้อมดีไซน์แบบปรับโฉมใหม่หมดจดเลย มีการปรับปรุงพัฒนาเฟรมตัวรถ อัพเกรดแชสซีส์ ปรับช่วงล่างให้ดียิ่งขึ้น พร้อมยัดเครื่องยนต์ขุมพลังใหม่ พร้อมสำหรับการพจญภัยไปทุก ๆ เส้นทาง ซึ่งหน้าตายังคงมีเอกลักษณ์ Dynamic Shield แต่จะเน้นเหลี่ยมมุมมากขึ้น ดูแข็ง ๆ ทือ ๆ รับกับเส้นไฟหน้า LED และไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน LED ที่มีดีไซน์เฉียบคม ดูมีมิติ ด้านท้ายติดตั้งไฟ T-shaped ทรงเหลี่ยม ๆ เหมือนกัน ภายในก็เน้นความกว้างขวาง ที่มีทัศนวิสัยเปิดให้รู้สึกปลอดโปร่ง และตกแต่งมาในโทนสีดำตัดกับโครเมี่ยม ด้วยแนวเส้นตรงที่ดูเป็นเหลี่ยมมุม สอดรับกับหน้าตาภายนอก
มีการเลือกใช้วัสดุที่พรีเมียม บุนุ่ม พร้อมหุ้มหนังแท้สลับหนังสังเคราะห์สีดำ เพื่อให้สัมผัสที่ยอดเยี่ยม เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ต โดยจะเป็นเบาะไฟฟ้าปรับได้ 8 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้าเฉพาะฝั่งผู้ขับขี่ ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็มีมาให้ทั้ง หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ 7 นิ้ว ที่ออกแบบมาให้ดูง่ายมาก ๆ จอสัมผัสกลาง 9 นิ้ว จัดวางแบบตั้ง ทำให้ดูล้ำสมัยยิ่งขึ้น พร้อมกับระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา นอกจากนี้ที่ด้านหน้ายังมีที่ชาร์จไร้สาย และช่องจ่ายไฟ DC 12V 2 ช่อง แถมยังติดตั้งช่อง USB มาทั้ง Type-C และ Type-A อย่างละ 1 ช่อง มาให้ทั้ง ตอนหน้า และตอนหลังเลย
ในด้านสมรรถนะ All-new Triton มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ Hyper Power 2.4L V4 Commonrail VG Turbo Intercooler สามารถรีดกำลังได้สูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,250-2,500 รอบ/นาที พร้อมส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งคงต้องรอดูตัวรุ่นพิเศษแล้วล่ะครับว่าจะมีเพิ่มชุดแต่งมาให้อย่างไร ? มีแรงม้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ ? และมีราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ? ไว้เราค่อยมาอัพเดทนะครับ
หากคุณต้องการรถที่มีความอเนกประสงค์ แน่นอนครับ รถกระบะ 4 ประตู ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุดครับ ด้วยความดุดัน แข็งแกร่ง สมรรถนะสูง ทำให้ลุยได้ทุกที่ทุกสถาพถนน ด้านภายในห้องโดยสารก็กว้างขวาง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกจัดเต็ม ทำให้นั่งสบายสุด ๆ สามารถเดินทางพร้อม ๆ กับครอบครัวได้ทุกที่ แถมขึ้นชื่อว่า รถกระบะ มันก็ยังสามารถจะบรรทุกได้เยอะอยู่ครับ ซึ่งด้วยความหลากหลาย ความอเนกประสงค์เหล่านี้ ทำให้รถกระบะ 4 ประตูจัดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสุด ๆ ครับ แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกรถกระบะ มีข้อเสียใหญ่ที่คุณต้องรับให้ได้ก่อนนั่นก็คือ อัตราการสิ้นเปลือง
ดังนั้นถ้าหากคุณแบกรับค่าน้ำมันไม่ไหว แนะนำให้เลือกรถประเภทอื่น จะดีกว่าครับ และถ้าใครรู้สึกว่าแพงเกินไปในแต่ละค่ายก็ยังมี 4 ประตูตัวอื่น ๆ ให้เลือกอีกครับ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Ford : www.ford.co.th
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Toyota : www.toyota.co.th
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Isuzu : www.isuzu-tis.com
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Nissan : www.nissan.co.th
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Mitsubishi : www.mitsubishi-motors.co.th