รถไฟฟ้า EV ในไทย ราคาไม่เกินล้าน มีรุ่นอะไร น่าสนใจบ้าง ปี 2023

สารบัญ

เมื่อพูดถึง รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามันมีมานานมากแล้วครับ โดยรถยนต์ไฟฟ้าในยุคแรก ๆ จะเป็นรถยนต์ไฮบริด อาทิเช่น Honda Insight และ Toyota Prius หลังจากนั้นก็มีรุ่นอื่น ๆ ที่ได้รับการพัฒนาตามออกมาเรื่อย ๆ ซึ่ง ณ เวลานั้นความนิยมก็ไม่ได้สูงครับ แต่พอมาในช่วง 10 ปีมานี้ผู้คนทั้งโลกต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน นั่นคือ ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มว่าจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับปัญหาโลกร้อนที่นับวัน ดูจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ผู้คนทั่วโลกต่างตระหนักถึงปัญหานี้ และเริ่มมองหาพลังงานทดแทน และแน่นอนครับว่า คำตอบนั้นก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า นั่นเอง

ซึ่งตลอดสิบกว่าปีมานี้เทคโนโลยีของรถ EV ถูกพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดครับ ทำให้รถ EV สามารถแทรกตัวเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในตลาดรถยนต์ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็วครับ จนทุกวันนี้เราพูดได้เต็มปากแล้วครับว่า รถ EV สามารถทดแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันได้เกือบจะสมบูรณ์แล้ว ทั้งในแง่ การขับขี่ กำลังการขับเคลื่อน ระยะทาง การชาร์จ ฯลฯ และที่สำคัญก็คือ ราคาที่ลดลงมามากแล้วเช่นกันครับ จากเดิม รถ EV จะมีราคาหลักล้านขึ้นไป แต่ในตอนนี้ รถ EV มีราคาเริ่มต้นแค่หลักแสนบาท เท่านั้นครับ แถมตอนนี้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้บางรุ่นเหลือราคาไม่ถึงล้านบาทครับ ดังนั้นวันนี้เราขอพาเพื่อน ๆ มาส่องดูตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรากันว่า มีรถ EV รุ่นไหนน่าสนใจบ้าง ? ในงบ ไม่เกิน 1 ล้านบาท !

ทำไม รถยนต์ไฟฟ้า ถึงน่าซื้อในปี 2023 นี้ ?

ถ้าเราไปดูข้อมูลของปี 2022 จะเห็นเลยว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาค Southeast Asia ซึ่งรวมถึงประเทศไทยของเรา มีการเติบโตขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับปี 2021 แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ ใน 35% นี้เป็นสัดส่วนของประเทศไทยถึง 60% ครับ นับจากการจดทะเบียนทั้งหมด โดยสูงที่สุดในภูมิภาค ทยานขึ้นไปยืนเป็นอันดับ 1 แซงหน้าประเทศอินโดนีเซียไปกว่าเท่าตัว

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรถ EV ในบ้านเรามีการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็คือ มาตรการสนับสนุนของรัฐบาล ที่เข้ามาส่งเสริมเพื่อต้องการให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลพยายามช่วยให้รถ EV มีราคาลดลงมาเหลือพอ ๆ กับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยมีการช่วยเหลือในหลาย ๆ ส่วนครับ เริ่มตั้งแต่ ให้เงินอุดหนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ตกคันละ 70,000-150,000 บาท ส่วนจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้คันละ 18,000 บาท

และคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไม รถยนต์ไฟฟ้า ถึงน่าซื้อในปี 2023 นี้ ? ก็เพราะนอกจากจะให้เงินอุดหนุนแล้ว รัฐบาลยังมีการลดภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ไฟฟ้าลงด้วยจากปกติ 8% เหลือ 2% และรถกระบะไฟฟ้ายิ่งแล้วใหญ่ครับ เหลือ 0% จนถึงปี 2025 และข้อสำคัญที่ต้องซื้อปีนี้ก็เพราะการลดภาษีนำเข้าของ รถยนต์ไฟฟ้าแบบนำเข้าทั้งคัน CBU สูงสุดถึง 40% เลยทีเดียวและลดภาษีนำเข้าส่วนประกอบของรถยตน์ไฟฟ้าอีก 9 รายการด้วย เพื่อส่งเสริมการผลิต และประกอบภายในประเทศ โดยจะมีระยะเวลาไปจนถึงปี 2023 หรือ สิ้นปีนี้ เท่านั้นครับ

รถยนต์ไฟฟ้า มีกี่ประเภท และแต่ละประเภทต่างกันยังไง ?

ทุก ๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV คืออะไร ? และมันแตกต่างกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอย่างไร ? แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดกันก็คือ ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า ครับ เนื่องจาก รถ EV บางประเภทมีหน้าตาที่ใกล้เคียงกันมาก อีกทั้งระบบขับเคลื่อนก็ต่างกันแค่เล็กน้อยเท่านั้น มันเลยทำให้ทุกคนสับสน เพราะงั้นเรามาดูความแตกต่างของรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ กันก่อนดีกว่าครับ ซึ่งปัจจุบัน รถ EV มีทั้งหมด 4 ประเภท ครับ และแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้ครับ

1. รถยนต์ไฟฟ้า แบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV)

รถยนต์ไฟฟ้า แบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV)
รถยนต์ไฟฟ้า แบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV)

สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) หากให้จำกัดความแบบง่าย ๆ มันจะเปรียบเป็น ลูกครึ่ง หรือ ลูกผสม ครับ ซึ่งจะหมายถึง ในรถคันเดียว แต่มีระบบขับเคลื่อน 2 ระบบ ได้แก่ เครื่องยนต์ (ที่ใช้น้ำมัน) และมอเตอร์ไฟฟ้า (ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า) คอยทำงานร่วมกัน โดยจะมีแบตเตอรี่ขนาดเล็กในตัว และชาร์จด้วยระบบเบรกรีเจนเนอร์เรทีฟที่นำพลังงานกลที่เกิดจากการเบรกมาเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า จากนั้นจึงส่งไปเก็บที่แบตเตอรี่ และจะจ่ายให้มอเตอร์ ทำให้รถยนต์ไฮบริดไม่ต้องเสียบปลั๊กชาร์จ

2. รถยนต์ไฟฟ้า แบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV)

รถยนต์ไฟฟ้า แบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV)
รถยนต์ไฟฟ้า แบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV)

สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) จะเป็น ลูกครึ่ง เช่นกันครับ ซึ่งมีส่วนประกอบต่าง ๆ รวมไปถึงการทำงาน แทบจะเหมือนกับ รถยนต์ HEV เลยครับ แต่จะต่างกันตรงที่ รถยนต์ประเภทนี้จะมาพร้อมแบตเตอรี่ที่มีความจุมากขึ้น และสามารถรับประจุไฟฟ้าจากภายนอกได้ พูดง่าย ๆ คือ มันชาร์จได้นั่นเองครับ ดังนั้นรถ PHEV จึงสามารถจะขับเคลื่อนด้วยกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียว ๆ ได้ไกลกว่า รถยนต์ไฮบริด อยู่พอสมควรเลย

3. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV)

รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV)
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV)

รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบครับ ซึ่งจะใช้เชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้าเพียว ๆ ไม่มีน้ำมัน ทำให้จะไม่มีการปล่อยมลพิษออกมาเลย โดยพลังงานไฟฟ้าได้มาจากเซลล์แบตเตอรี่ ขนาดใหญ่ในตัวรถ ที่มีหน้าที่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในตัวรถ โดยเราจะต้องทำการเสียบปลั๊กในการชาร์จ แทนการเติมน้ำมันครับ

4. รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle, FCEV)

รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle, FCEV)
รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle, FCEV)

รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เป็นระบบขับเคลื่อนหลัก เหมือนกับรถยนต์ BEV เลยครับ เพียงแต่ที่มาของพลังงานไฟฟ้าที่จะนำมาใช้ขับเคลื่อนนั้นต่างกัน ซึ่งรถยนต์ BEV จะเก็บพลังงานไฟฟ้าจากการชาร์จ แต่สำหรับรถยนต์ FCEV จะทำการผลิตพลังงานไฟฟ้าขึ้นมาเองครับ โดยการใช้ก๊าซไฮโดรเจนที่มีคุณสมบัติคล้ายน้ำมัน ทำให้มีวิธีการเก็บและวิธีการเติม ทำได้ง่ายและรวดเร็วเหมือนกับน้ำมันเลย

ด้วยข้อดีที่ รถยนต์ FCEV โดดเด่นกว่ารถ EV ประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะการที่มันสามารถแก้ปัญหาใหญ่ของรถ EV ได้ อย่างการชาร์จแบตเตอรี่ที่จะต้องใช้เวลานานพอสมควร เปลี่ยนมาเป็นการเติมก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งส่งผลให้รถ EV ประเภทนี้ไม่ต่างไปจากรถน้ำมันเลยครับ ดังนั้นมันจึงถูกวางให้เป็นขุมพลังงานแห่งโลกอนาคต

หมายเหตุ ในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยนะครับ ยังไม่มีการผลิตออกมาจำหน่ายแต่อย่างใด อีกทั้งในส่วนของสถานีบริการก็ยังมีน้อยมาก ๆ ด้วย ดังนั้นต่อให้มีรถยนต์ FCEV ออกมามันก็ใช้งานลำบากอยู่ดี ซึ่งก็หวังว่าการวิจัยจะสำเร็จในไม่ช้านะครับ แต่สำหรับยุคปัจจุบันเราคงต้องยกให้กับ รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ไปก่อน

ถึงแม้ว่า รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้ง 4 ประเภท นี้ จะมีลักษณะการทำงาน ระบบขับเคลื่อน และคุณสมบัติต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเดียวกันก็คือ เพื่อโลกใบนี้ของเรา ครับ ซึ่งพวกเขาต้องการที่จะให้ทุกคนลดการใช้น้ำมัน ที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิลลง รวมทั้งยังต้องการจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เป็นตัวการทำให้โลกของเราร้อนขึ้นลงด้วยครับ สำหรับวันนี้เราได้รวบรวม รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ทุกรุ่นในตลาด ที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท มารีวิว ซึ่งมันจะมีรุ่นอะไร ? และราคาเท่าไหร่บ้าง ? ตามไปดูกันได้เลยครับ


ORA Good Cat รุ่น 500KM Ultra 2022

ORA Good Cat รุ่น 500KM Ultra 2022
รูปภาพจาก gwm.co.th

ราคา 959,000 บาท*

เมื่อพูดถึงรถ EV คันเล็ก ๆ ทรงสปอร์ต น่ารัก ๆ หนึ่งในรุ่นที่ทุกคนต้องรู้จักก็คงหนีไม่พ้น เจ้าแมวน้อย อย่าง ORA Good Cat รถไฟฟ้า 100% ทรงแฮชแบค 5 ประตู รุ่นแรกจากแบรนด์ GWM ที่เป็นกระแสมากที่สุดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของบ้านเรา เนื่องจากมีให้ครบเลยครับทั้ง ด้านฟังก์ชันต่าง ๆ ความปลอดภัย และรูปลักษณ์ภายนอกสไตล์ Retro Futuristic ที่ดูโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แถมภายในก็ยังดูสปอร์ต เรียบหรูมาก ๆ โดยเจ้าแมวน้อยจะมี 4 รุ่นย่อย ซึ่งราคาใหม่หลังหักส่วนลดแล้ว รุ่นที่อยู่ในงบฯ ไม่เกินหนึ่งล้านบาทจะมีอยู่ 3 รุ่น ครับ ได้แก่ 400 TECH, 400 PRO และ 500KM Ultra (รุ่นท๊อป) แต่ส่วนตัวเราขอแนะนำให้เลือก 500KM Ultra จะคุ้มค่าที่สุดครับ

โดยรุ่นนี้ในการชาร์จหนึ่งครั้ง ถ้าชาร์จด้วยไฟบ้านจะใช้เวลาประมาณ 8-9 ชม. ในรุ่น 400KM ซึ่งวิ่งได้ไกลสุด 400 กม. ส่วนรุ่นท๊อปอีก 2 รุ่น จะใช้เวลาประมาณ 10 ชม. วิ่งได้ไกลถึง 500 กม. ครับ โดยขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์กำลังสูงที่ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร โดยทำความเร็วได้สูงสุด 152 กม./ชม. ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับข้ามจังหวัด อีกทั้งยังมีระบบกู้คืนพลังงานติดตั้งมาด้วย ซึ่งปรับได้ถึง 3 ระดับ ตามต้องการเลย ถือว่า รุ่นนี้ตอบโจทย์ทั้ง การขับขี่ในเมือง และการออกต่างจังหวัด เลยครับ หากใครสนใจรุ่นนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% 

ส่วนตัวมองว่า เจ้า ORA Good Cat คันนี้ ถึงแม้จะเปิดตัวมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังเป็นรถ BEV ที่น่าจับตามองมาก ๆ รุ่นนึงครับ ยิ่งรุ่นย่อยใหม่อย่างรุ่น GT ที่ถูกปรับให้สปอร์ตขึ้น ทำให้กระแสความนิยมของรุ่นนี้ไม่เคยตกลงไปเลย ดังนั้นใครที่มองหารถ EV ไว้ขับไปทำงานในเมือง หรือขับไปกลับจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียง รุ่นนี้ทำได้สบายครับ

ราคาทุกรุ่นย่อย หลังการปรับลดภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ไฟฟ้าลงเหลือ 2%

  • 400KM Tech ราคา 763,000 บาท (ราคาเดิม 989,000 บาท)
  • 400KM Pro ราคา 828,500 บาท (ราคาเดิม 1,059,000 บาท)
  • 500KM Ultra ราคา 959,000 บาท (ราคาเดิม 1,199,000 บาท)
  • Good Cat GT ราคา 1,286,000 บาท (ราคาเดิม 1,549,000 บาท) (รุ่นใหม่ 2023)
แรงม้าสูงสุด 143 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร
ความเร็วสูงสุด 152 กม./ชม.
ระยะทางสูงสุด 500 กม.
การชาร์จ DC ≈60 นาที (0-80%)
การชาร์จ AC ≈10 ชม.
หลังคาซันรูฟ (ไฟฟ้า)
ชาร์จไร้สาย
ความบันเทิง
  • จอสัมผัส 10.25"
  • ลำโพง 6 จุด
การเชื่อมต่อ
  • USB
  • Bluetooth
  • Apple CarPlay
  • Android Auto
เซนเซอร์กะระยะ หน้า / หลัง
กล้อง 360 องศา
ถุุงลมนิรภัย หน้า / ข้าง / ม่าน
ระบบเบรก ABS EBD/ RCTB/ AEBI
Cruise control ACC/ TJA
ระบบควบคุมรถ ESC/ TCS
เตือนการชน FCW/ RCW
เตือนมุมอับสายตา BSD/ RCTA

MG ZS EV รุ่น D 2022

MG ZS EV รุ่น D 2022
รูปภาพจาก mgcars.com

ราคา 949,000 บาท*

หนึ่งในรถ EV ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วกับรุ่น NEW MG ZS EV รถครอสส์โอเวอร์ ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ครับ จาก MG ยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน โดยตัวนี้จะเป็นรุ่น Minor change ครับ ซึ่งได้เพิ่มความจุแบตเตอรี่มามากขึ้นและได้มีการพัฒนาระบบชาร์จ ช่วยให้ชาร์จกับไฟบ้าน ทำได้เร็วขึ้น เพื่อให้มันรองรับการเดินทางได้ทั้ง ในเมือง และต่างจังหวัด ครับ แต่ในด้านหน้าตา ยังคงมีรูปลักษณ์ที่ทุกคนคุ้นเคย โดยมีความเรียบง่ายที่ผสานกับความล้ำสมัยอย่างลงตัว มีกระจังหน้า Grille-Less ที่บ่งบอกถึงความเป็นรถไฟฟ้าได้อย่างชัดเจน โคมไฟหน้า LED พร้อม DRL ดีไซน์โฉบเฉี่ยว ส่วนไฟท้าย และไฟเบรก ดวงที่ 3 ให้ไฟ LED ทั้งหมดครับ แถมยังเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น ด้วยสปอยเลอร์หลัง ราวหลังคา และล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว

ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้รุ่นนี้เป็นกระแสมาก ๆ ก็คือ ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาครับ โดยรุ่นนี้มีราคาถูกมาก ๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มาทั้ง สมรรถนะการขับขี่ และฟังก์ชันที่ใส่มาแบบจัดเต็ม โดยจะมีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่นย่อยครับ ได้แก่ รุ่น D และ X โดยรุ่นที่ยังอยู่ในงบฯ ก็คือ รุ่น D แต่ทั้ง 2 รุ่นย่อยใช้ขับเคลื่อนเดียวกันเลยคือ มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดซิงโครนัสแบบแม่เหล็กถาวร ซึ่งแรงม้ามาได้สูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ซึ่งอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาไปเพียง 8.6 วินาที เท่านั้นครับ ถือว่า ยอดเยี่ยมมาก ๆ ครับ ส่วนความจุแบตเตอรีให้มาที่ 50.3 KW-h สามารถวิ่งสูงสุดประมาณ 403 กม. ครับ ตามมาตรฐาน NEDC ส่วนใครที่ต้องการหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามาก็สามารถเพิ่มงบอีกหน่อยเพื่อไปเอารุ่น X ได้ครับ

ราคาทุกรุ่นย่อย หลังการปรับลดภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ไฟฟ้าลงเหลือ 2%

  • D ราคา 949,000 บาท
  • X ราคา 1,023,000 บาท
แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร
ความเร็วสูงสุด 174 กม./ชม.
ระยะทางสูงสุด 403 กม.
การชาร์จ DC ≈30 นาที (30-80%)
การชาร์จ AC ≈7 ชม.
หลังคาซันรูฟ (มีในรุ่น X)
ชาร์จไร้สาย
ความบันเทิง
  • จอสัมผัส 10"
  • ลำโพง 4 จุด (รุ่น D)
การเชื่อมต่อ
  • USB
  • Bluetooth
  • Apple CarPlay
  • Android Auto
เซนเซอร์กะระยะ หลัง
กล้อง 360 องศา
ถุุงลมนิรภัย หน้า / ข้าง / ม่าน
ระบบเบรก ABS EBD/ EBA/ AEB/ ESS
Cruise control ACC/ TJA
ระบบควบคุมรถ SCS/ CBC/ TCS
เตือนการชน FCW
เตือนมุมอับสายตา BSD/ RCTA

MG4 Electric รุ่น X 2022

MG4 Electric รุ่น X 2022
รูปภาพจาก mgcars.com

ราคา 869,000 บาท*

มาดู MG กันอีกสักหนึ่งรุ่นครับ กับน้องใหม่ MG4 Electric รถ BEV ขนาดคอมแพกต์ แนวครอสส์โอเวอร์ ซึ่งเป็นแฮตช์แบ็ก 5 ประตู ที่มาในดีไซน์ Avant-garde Inductive ที่เน้นความสปอร์ต ปราดเปรียว มาพร้อมกระจังหน้าที่มีดีไซน์ Shark-nosed ซึ่งสปอร์ตมาก ๆ บวกกับไฟหน้าแบบ LED Galaxy Technology Matrix คู่กับไฟ DRL ส่วนไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 ล้วนเป็นไฟ LED โดยออกแบบพาดยาวเชื่อมต่อกัน และมีการตกแต่งด้วยลาย Cygnus Symbol โดยในรุ่น X จะมีไฟ Position หลังคาแบบทูโทน พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบ 2 ชิ้น Twin Arrow Wing ให้อารมณ์สปอร์ตชั้นสุด

โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ขับพลังจากมอเตอรไฟฟ้าซิงโครนัสแบบแม่เหล็กถาวร ซึ่งมอบแรงม้าถึง 170 ตัว แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ทำความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. (ไม่เป็นทางการ) ส่วนแบตเตอรี่รุ่นนี้ให้ความจุมา 51 kW/h ครับ ซึ่งใช้เวลาชาร์จด้วยไฟบ้านธรรมดาประมาณ 8 ชม. ครึ่ง และชาร์จไวจาก 10-80% ภายในเวลาเพียง 35 นาที เท่านั้น โดยถ้าชาร์จเต็มจะวิ่งได้ไกลประมาณ 425 กม. ตามมาตรฐาน NEDC พร้อมโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ และระบบชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะขับ ด้วยระบบ KERS ที่ปรับได้ 4 ระดับ นับเป็นรถไฟฟ้าที่เหมาะกับคนเมืองมาก ๆ ครับ ด้วยหน้าตาที่สปอร์ต และมิติตัวรถที่ปราดเปรียว ให้การชับขี่ที่คล่องตัวมาก ๆ

ราคาทุกรุ่นย่อย หลังการปรับลดภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ไฟฟ้าลงเหลือ 2%

  • D ราคา 869,000 บาท
  • X ราคา 969,000 บาท
แรงม้าสูงสุด 170 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร
ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.
ระยะทางสูงสุด 425 กม.
การชาร์จ DC ≈35 นาที (10-80%)
การชาร์จ AC ≈8-9 ชม.
หลังคาซันรูฟ
ชาร์จไร้สาย (เฉพาะรุ่น X)
ความบันเทิง
  • จอสัมผัส 10.25"
  • ลำโพง 6 จุด
การเชื่อมต่อ
  • USB
  • Bluetooth
  • Apple CarPlay
  • Android Auto
เซนเซอร์กะระยะ หลัง
กล้อง 360 องศา (เฉพาะรุ่น X)
ถุุงลมนิรภัย หน้า / ข้าง / ม่าน
ระบบเบรก ABS EBD/ EBA/ AEB/ ESS
Cruise control ACC/ TJA
ระบบควบคุมรถ SCS/ CBC/ TCS
เตือนการชน FCW
เตือนมุมอับสายตา LCA/ BSD/ RCTA/ DOW/ RCW

MG EP Plus 2022

MG EP Plus 2022
รูปภาพจาก mgcars.com

ราคา 771,000 บาท*

อีกหนึ่งรุ่นของยักษ์ใหญ่จากแดนมังกรกับ MG EP Plus รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาบนตัวถัง Station Wagon แบบ 5 ที่นั่ง ซึ่งเหมาะจะเป็นรถที่ใช้ในครอบครัวมาก ๆ ครับ ด้วยการออกแบบที่ให้ท้ายรถยาวกว่าพวกแฮตช์แบ็กอย่าง ORA Good Cat หรือ MG ZS EV ทำให้รุ่นนี้สามารถจุสัมภาระได้เยอะขึ้น ในส่วนหน้าตารุ่นนี้จะดูคลีน ๆ หน่อยครับ เน้นความเรียบง่าย ทำให้เหมาะสำหรับผู้ใหญ่มากกว่า โดยมีกระจังหน้าขนาดใหญ่แบบปิดทึบ แต่มีการเล่นแสงเงาตัดกับแถบโครเมียม ทำให้ดูเหมือนพวกรถน้ำมันเลย โคมไฟหน้ามีดีไซน์เฉียบคม เป็นไฟโปรเจกเตอร์ พร้อมไฟ DRL ส่วนไฟท้าย LED มีดีไซน์ Electric Pulse ที่สอดรับกับเส้นสายตัวรถ และไฟเบรกดวงที่ 3 ก็ใช้ไฟ LED

ในส่วนสมรรถนะ รุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร ซึ่งมอบพละกำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตัน – เมตร สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 8.8 วินาทีเท่านั้น และมีการเคลมความเร็วสูงสุดไว้สูงถึง 185 กม./ชม. เลยทีเดียวครับ ฉะนั้นเรื่องการขับขี่ การเร่งแซง เวลาออกต่างจังหวัดไม่ต้องห่วงเลย รถคันนี้พาไปได้แน่นอน ในด้านแบตเตอรี่รุ่นนี้ให้ความจุที่ 50.3 kWh ครับ ซึ่งก็จะพอ ๆ กับพี่น้องในค่ายอย่าง MG ZS EV ที่ดูสปอร์ตกว่า และ MG4 Electric ที่จะเหมาะกับวัยรุ่นมากกว่า แต่ด้วยความที่รุ่นนี้ค่อนข้างใหญ่ มันจึงวิ่งได้แค่ 380 กม. เท่านั้นครับ แต่การชาร์จแบบธรรมดา จาก 0-100% จะใช้เวลาเพียง 7.15 ชม. และการชาร์จแบบเร็วจาก 0-80% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 40 นาที เท่านั้น ซึ่งก็เดินทางได้สบาย ๆ เลยครับ

ราคาทุกรุ่นย่อย หลังหักส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ

  • MG EP Plus ราคา 771,000 บาท (ราคาปกติ 998,000 บาท)
แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร
ความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม.
ระยะทางสูงสุด 380 กม.
การชาร์จ DC ≈40 นาที (0-80%)
การชาร์จ AC ≈7-8 ชม.
หลังคาซันรูฟ
ชาร์จไร้สาย
ความบันเทิง
  • จอสัมผัส 8"
  • ลำโพง 6 จุด
การเชื่อมต่อ
  • USB
  • Bluetooth
  • Apple CarPlay
เซนเซอร์กะระยะ หลัง
กล้อง 360 องศา (มีกล้องถอย)
ถุุงลมนิรภัย คู่หน้า
ระบบเบรก ABS EBD/ EBA/ ESS
Cruise control
ระบบควบคุมรถ SCS/ CBC/ TCS
เตือนการชน
เตือนมุมอับสายตา

NETA V 2022

NETA V 2022
รูปภาพจาก neta.co.th

ราคา 549,000 บาท*

ถัดมาที่น้องเล็ก ราคาสุดคุ้มกันบ้างครับ กับ NETA V รถยนต์ไฟฟ้า 100% ขนาด Compact โดยมาในตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ซึ่งถ้าเทียบมิติตัวรถก็จะเท่า ๆ กับพวก B-segment หรือ Eco car อาทิเช่น City Hatchback, Yaris หรือ Mazda 2 Hatchback ครับ พอจะเห็นภาพนะครับว่า ขนาดมันไม่ได้เล็กแบบที่เราคิดเลย สำหรับดีไซน์จะเน้นที่ความเรียบง่าย มีเส้นสายเชื่อมโยง ต่อเนื่องกัน ยาวไปจนถึงท้ายรถ โดยกระจังหน้าจะเป็นแบบปิดทึบ ที่เห็บปุ๊บเราก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ส่วนโคมไฟหน้าดีไซน์ดูพริ้วไหว สอดรับกับเส้นสาย ใช้ไฟโปรเจคเตอร์แบบอีเกิลอายเลเซอร์ พร้อมไฟ DRL แบบ LED ส่วนด้านท้ายมาในดีไซน์ที่ดูสปอร์ตขึ้น ใช้ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 เป็นไฟ LED และเสริมหล่อด้วยสปอยเลอร์หลัง

ในด้านสมรรถนะ รุ่นนี้จะเหมาะสำหรับใช้งานในเมืองมากกว่าครับ โดยขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร ที่มอบพละกำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร โดยในโหมด Sport สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 120 กม./ชม. (ไม่เป็นทางการ) ส่วนแบตเตอรี่ ให้ความจุมาที่ 38.5 kWh ครับ ซึ่งก็ถือว่า ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป สามารถขับได้ไกลสุดถึง 384 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ซึ่งก็นับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีกรุ่นนึงครับ ที่ดูน่าสนใจมาก ๆ ด้วยราคาที่ค่อนข้างประหยัด ครอบครัวไหน หรือหนุ่มโสด สาวโสดคนใด ต้องการรถยนต์ไว้ใช้งานในเมืองเป็นหลักรุ่นนี้ตอบโจทย์มาก ๆ ครับ

ราคาทุกรุ่นย่อย หลังการปรับลดภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ไฟฟ้าลงเหลือ 2%

  • NETA V ราคา 549,000 บาท
แรงม้าสูงสุด 95 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร
ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม.
ระยะทางสูงสุด 384 กม.
การชาร์จ DC ≈30 นาที (30-80%)
การชาร์จ AC ≈8-9 ชม.
หลังคาซันรูฟ
ชาร์จไร้สาย
ความบันเทิง
  • จอสัมผัส 14.6"
  • ลำโพง 6 จุด
การเชื่อมต่อ
  • USB
  • Bluetooth
  • iOS
  • Android
เซนเซอร์กะระยะ หลัง
กล้อง 360 องศา (มีกล้องถอย)
ถุุงลมนิรภัย คู่หน้า
ระบบเบรก ABS EBD
Cruise control
ระบบควบคุมรถ ESC
เตือนการชน
เตือนมุมอับสายตา

* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า

เปรียบเทียบ รถไฟฟ้า EV ในไทย ราคาไม่เกินล้าน มีรุ่นอะไร น่าสนใจบ้าง ปี 2023

ORA Good Cat รุ่น 500KM Ultra 2022
ORA Good Cat รุ่น 500KM Ultra 2022
MG ZS EV รุ่น D 2022
MG ZS EV รุ่น D 2022
MG4 Electric รุ่น X 2022
MG4 Electric รุ่น X 2022
฿959000.00*
฿949000.00*
฿869000.00*
  • แรงม้าสูงสุด:

    143 แรงม้า

  • แรงบิดสูงสุด:

    210 นิวตัน-เมตร

  • ความเร็วสูงสุด:

    152 กม./ชม.

  • ระยะทางสูงสุด:

    500 กม.

  • การชาร์จ DC:

    ≈60 นาที (0-80%)

  • การชาร์จ AC:

    ≈10 ชม.

  • หลังคาซันรูฟ:

    (ไฟฟ้า)

  • ชาร์จไร้สาย:

  • ความบันเทิง:

    • จอสัมผัส 10.25"
    • ลำโพง 6 จุด

  • การเชื่อมต่อ:

    • USB
    • Bluetooth
    • Apple CarPlay
    • Android Auto

  • เซนเซอร์กะระยะ:

    หน้า / หลัง

  • กล้อง 360 องศา :

  • ถุุงลมนิรภัย:

    หน้า / ข้าง / ม่าน

  • ระบบเบรก ABS :

    EBD/ RCTB/ AEBI

  • Cruise control:

    ACC/ TJA

  • ระบบควบคุมรถ:

    ESC/ TCS

  • เตือนการชน :

    FCW/ RCW

  • เตือนมุมอับสายตา:

    BSD/ RCTA

  • แรงม้าสูงสุด :

    177 แรงม้า

  • แรงบิดสูงสุด :

    280 นิวตัน-เมตร

  • ความเร็วสูงสุด :

    174 กม./ชม.

  • ระยะทางสูงสุด:

    403 กม.

  • การชาร์จ DC:

    ≈30 นาที (30-80%)

  • การชาร์จ AC:

    ≈7 ชม.

  • หลังคาซันรูฟ:

    (มีในรุ่น X)

  • ชาร์จไร้สาย:

  • ความบันเทิง :

    • จอสัมผัส 10"
    • ลำโพง 4 จุด (รุ่น D)

  • การเชื่อมต่อ:

    • USB
    • Bluetooth
    • Apple CarPlay
    • Android Auto

  • เซนเซอร์กะระยะ :

    หลัง

  • กล้อง 360 องศา :

  • ถุุงลมนิรภัย :

    หน้า / ข้าง / ม่าน

  • ระบบเบรก ABS :

    EBD/ EBA/ AEB/ ESS

  • Cruise control:

    ACC/ TJA

  • ระบบควบคุมรถ:

    SCS/ CBC/ TCS

  • เตือนการชน :

    FCW

  • เตือนมุมอับสายตา:

    BSD/ RCTA

  • แรงม้าสูงสุด :

    170 แรงม้า

  • แรงบิดสูงสุด :

    250 นิวตัน-เมตร

  • ความเร็วสูงสุด :

    160 กม./ชม.

  • ระยะทางสูงสุด:

    425 กม.

  • การชาร์จ DC:

    ≈35 นาที (10-80%)

  • การชาร์จ AC:

    ≈8-9 ชม.

  • หลังคาซันรูฟ:

  • ชาร์จไร้สาย:

    (เฉพาะรุ่น X)

  • ความบันเทิง :

    • จอสัมผัส 10.25"
    • ลำโพง 6 จุด
  • การเชื่อมต่อ:

    • USB
    • Bluetooth
    • Apple CarPlay
    • Android Auto

  • เซนเซอร์กะระยะ:

    หลัง

  • กล้อง 360 องศา :

    (เฉพาะรุ่น X)

  • ถุุงลมนิรภัย :

    หน้า / ข้าง / ม่าน

  • ระบบเบรก ABS :

    EBD/ EBA/ AEB/ ESS

  • Cruise control:

    ACC/ TJA

  • ระบบควบคุมรถ:

    SCS/ CBC/ TCS

  • เตือนการชน :

    FCW

  • เตือนมุมอับสายตา:

    LCA/ BSD/ RCTA/ DOW/ RCW

* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า

เปรียบเทียบ รถไฟฟ้า EV ในไทย ราคาไม่เกินล้าน มีรุ่นอะไร น่าสนใจบ้าง ปี 2023

MG EP Plus 2022
MG EP Plus 2022
NETA V 2022
NETA V 2022
฿771000.00*
฿549000.00*
  • แรงม้าสูงสุด :

    163 แรงม้า

  • แรงบิดสูงสุด :

    260 นิวตัน-เมตร

  • ความเร็วสูงสุด :

    185 กม./ชม.

  • ระยะทางสูงสุด :

    380 กม.

  • การชาร์จ DC :

    ≈40 นาที (0-80%)

  • การชาร์จ AC :

    ≈7-8 ชม.

  • หลังคาซันรูฟ :

  • ชาร์จไร้สาย :

  • ความบันเทิง :

    • จอสัมผัส 8"
    • ลำโพง 6 จุด
  • การเชื่อมต่อ :

    • USB
    • Bluetooth
    • Apple CarPlay

  • เซนเซอร์กะระยะ :

    หลัง

  • กล้อง 360 องศา :

    (มีกล้องถอย)

  • ถุุงลมนิรภัย :

    คู่หน้า

  • ระบบเบรก ABS :

    EBD/ EBA/ ESS

  • Cruise control :

  • ระบบควบคุมรถ :

    SCS/ CBC/ TCS

  • เตือนการชน :

  • เตือนมุมอับสายตา :

  • แรงม้าสูงสุด :

    95 แรงม้า

  • แรงบิดสูงสุด:

    150 นิวตัน-เมตร

  • ความเร็วสูงสุด :

    120 กม./ชม.

  • ระยะทางสูงสุด:

    384 กม.

  • การชาร์จ DC:

    ≈30 นาที (30-80%)

  • การชาร์จ AC:

    ≈8-9 ชม.

  • หลังคาซันรูฟ:

  • ชาร์จไร้สาย:

  • ความบันเทิง :

    • จอสัมผัส 14.6"
    • ลำโพง 6 จุด
  • การเชื่อมต่อ:

    • USB
    • Bluetooth
    • iOS
    • Android

  • เซนเซอร์กะระยะ :

    หลัง

  • กล้อง 360 องศา :

    (มีกล้องถอย)

  • ถุุงลมนิรภัย :

    คู่หน้า

  • ระบบเบรก ABS :

    EBD

  • Cruise control:

  • ระบบควบคุมรถ:

    ESC

  • เตือนการชน :

  • เตือนมุมอับสายตา:

* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า


ระบบความปลอดภัยในรถยนต์ ควรจะมีอะไรบ้าง ?

แน่นอนครับ ในยุคนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ มีการพัฒนาไปไกลมาก ๆ โดยเฉพาะ ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ ที่ถูกพัฒนาจนมีประสิทธิภาพสูงมาก ๆ ครับ โดยเฉพาะ Traction Control System หรือระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และการลื่นไถล ที่กูรูในวงการยานยนต์หลาย ๆ คนต่างก็แนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่า อย่าปิดเด็ดขาด ถ้าคุณยังมีทักษะการขับรถไม่มากพอ เพราะถ้าปิดระบบนี้ไป รถของคุณจะควบคุมยากขึ้นทันทีครับ ดังนั้นในการซื้อรถคันใหม่ เราจึงอยากให้คุณพิจารณาในส่วนนี้ด้วย เดี๋ยวเราขอพาไปดูกันครับว่า มีระบบความปลอดภัยในรถยนต์อะไรบ้างที่จำเป็น และแต่ละระบบคืออะไร ?

1. ถุงลมนิรภัย

แน่นอนครับว่า สิ่งที่สามารถช่วยเราได้ เมื่อเราประสบอุบัติเหตุก็คือ ถุงลมนิรภัย ครับ ซึ่งรุ่นแต่ละรุ่นก็จะให้มาต่างกันไปตาม บางรุ่นก็จะใส่มาให้แค่คู่หน้า หรือบางรุ่นก็ใส่มาให้ครบทุกด้านเลย ฉะนั้นก็อยู่ที่คุณแล้วล่ะครับว่า คุณต้องการใช้รถคันใหม่อย่างไร ? เช่น ถ้าใช้คนเดียว ขับในเมือง ความเร็วไม่สูง รถที่มีถุงลมนิรภัยคู่หน้าเพียงอย่างเดียวก็อาจจะพอแล้ว แต่ถ้าหากคุณมีผู้โดยสารหลาย ๆ คน หรือต้องเดินทางข้ามจังหวัดโดยใช้ความเร็วบ่อย ๆ ก็ควรเลือกถุุงลมนิรภัยที่มีทั้ง คู่หน้า ด้านข้าง และม่านนิรภัย จะปกป้องคุณได้ดีกว่าครับ

2. ระบบเบรก ABS

สำหรับ ระบบ ABS ทุก ๆ คนน่าจะเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆ แต่อาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ? และสำคัญอย่างไร ? โดยเบรก ABS มันคือระบบป้องกันล้อล็อก เวลาผู้ขับเหยียบเบรกกะทันหัน หรือเหยียบเบรกแรงกว่าปกติ เพราะถ้าหากล้อมีอาการล็อก รถก็จะลื่นไถล จนทำให้ควบคุมรถไม่ได้ ดังนั้นระบบ ABS จึงมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนครับ โดยในปัจจุบันส่วนใหญ่จะติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์พื้นฐานแล้ว แต่สิ่งที่ควรดูต่อก็คือ ระบบอื่น ๆ ที่ทำงานร่วมกับระบบ ABS ครับ ซึ่งรถแต่ละรุ่นจะให้มาต่างกัน โดยจะมีหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

  • EBD (Electronic Brake force Distribution) : เป็นระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ครับ ซึ่งเข้ามาช่วยปรับและกระจายแรงเบรกไปยังล้อต่าง ๆ ทั้ง ล้อหน้า และล้อหลัง เพื่อให้เกิดความสมดุล โดยระบบนี้จะทำงานร่วมกับ ระบบ ABS ครับ ช่วยให้สามารถหยุดรถได้เร็วขึ้น โดยที่ตัวรถไม่มีการอาการส่าย หรือท้ายปัด
  • AEB (Autonomous Emergency Braking) : เป็นระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ซึ่งจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุที่อยู่ด้านหน้า หากตรวจพบ ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์คันหน้า ระบบก็จะช่วยเบรกอัตโนมัติ ช่วยป้องกันเวลาคุณเผลอได้เป็นอย่างดีครับ
  • EBA (Emergency Breaking Assistant) หรือ BA (Brake Assist) : เป็นระบบเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เมื่อคุณเกิดเหยียบเบรกกะทันหัน แบบแรง ๆ ระบบจะช่วยเพิ่มแรงเบรก ที่ส่งไปยังระบบ ABS อัตโนมัติ เพื่อทำให้รถหยุดนิ่งได้เร็วขึ้นนั่นเอง ทำให้ระยะเบรกสั้นลง

3. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise control

สำหรับระบบ CCS (Cruise Control System) ก็คือ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ครับ ซึ่งเข้ามาช่วยรักษาระดับความเร็วของรถให้คงที่ โดยที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นจะต้องเหยียบคันเร่งอยู่ตลอดเวลา และในปัจจุบันระบบ Cruise control ก็มีอยู่อีกแบบนึง ก็คือ ระบบ ACC (Adaptive Cruise Control) ที่เป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ซึ่งก็จะทำงานเหมือนระบบ Cruise control ปกติเลยครับ เพียงแต่ระบบ ACC จะสามารถชะลอความเร็วลงโดยอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบรถขวางอยู่ด้านหน้า และถ้ามันตรวจไม่เจอรถขวางแล้ว ระบบก็จะทำความเร็วขึ้นไปสู่ระดับที่ผู้ขับตั้งไว้โดยอัตโนมัติ

สินค้าลดราคาในช้อปปี้ & ลาซาด้า - ดีลดี เบสท์รีวิวเลือกให้สินค้าลดราคาในช้อปปี้ & ลาซาด้า - ดีลดี เบสท์รีวิวเลือกให้สินค้าลดราคาในช้อปปี้ & ลาซาด้า - ดีลดี เบสท์รีวิวเลือกให้

4. ระบบความคุมเสถียรภาพการทรงตัว

ในอดีต ระบบความคุมเสถียรภาพการทรงตัว มักจะอยู่ในรถแพง ๆ เท่านั้นครับ แต่ในปัจจุบันนี้มันมีชื่อเรียกหลายชื่อมาก ขึ้นอยู่กับแบรนด์ที่พัฒนา แต่ทั้งหมดล้วนมีหลักการทำงานที่เหมือนกัน และมีจุดประสงค์เดียวกันก็คือ ทำหน้าที่ตรวจจับอาการเสียหลักของรถ หากตรวจพบระบบจะเข้ามาแก้อาการ โดยระบบจะสั่งเบรกไปที่ล้อใดล้อหนึ่ง เพื่อช่วยให้รถสามารถกลับมาควบคุมได้ดังนั้นระบบนี้จึงมีประโยชน์มาก ๆ ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกันคนที่ชอบขับรถเร็ว

บทส่งท้าย

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ รถยนต์ BEV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ในงบไม่เกิน 1 ล้านบาทที่เรานำมารีวิวในวันนี้ ซึ่งทั้งหมดที่เราได้คัดเลือกมารีวิว เป็นแค่บางส่วนเท่านั้นนะครับ โดยเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น ที่มองว่ามันคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด สำหรับงบไม่เกินหนึ่งล้านบาท ซึ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรา อาจจะมีอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจ บางรุ่นอาจจะเปิดตัวมาหลังที่เราเขียนไปแล้ว ไว้ยังไงเราค่อยมาอัปเดทกันเรื่อย ๆ นะครับ

Palm PN

Palm PN

I with a bachelor degree in Computer Science from Songkhla Rajabhat University. I live in Songkhla. I like to write articles about in IT products and motorcycle accessories.

Next Post