ทุกวันนี้ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรทุกอย่างก็ดูแพงไปหมด ยิ่งค่าครองชีพในแต่ละเดือน ก็เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ ดังนั้นค่าใช้จ่ายอะไรที่ประหยัดได้ คุณก็ควรจะประหยัดเอาไว้ก่อนครับ โดยเฉพาะเหล่ามนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ ที่มักจะมาลงกับ รถยนต์หมด ซึ่งแต่ละคนก็มีความจำเป็นต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน และเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ ก็คือ ความคิดที่คิดว่า ตัวเองไหว นี่แหละครับ ทำให้หลายคนคิดผิดไปซื้อรถคันเป็นล้านอย่างพวก C-Segment หรือกระบะ 4 ประตู เนื่องจากได้คำนวณมาเป็นอย่างดี หักลบค่าใช้จ่ายได้พอดีเป๊ะ แต่ส่วนใหญ่มักจะลืมคิดถึงเงินก้อน สำหรับใช้ตอนฉุกเฉิน

เพราะงั้นด้วยเศรษฐกิจแบบนี้ มันไม่มีรถประเภทใดที่เหมาะไปกว่า รถ Eco car อีกแล้ว เพราะมีราคาถูก ผ่อนสบาย ๆ ประหยัดน้ำมัน แถมเวลาขายยังไม่เจ็บเกินไปอีกด้วย เชื่อเถอะครับว่า รถแพง ๆ ไม่มีรุ่นไหนเหมาะจะนำมาขับไปทำงานทุก ๆ วันแน่นอน ถึงแม้มันจะดีกว่าในทุก ๆ ด้านก็จริง นอกจากนี้หลายคนก็อาจจะนึงถึง รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งส่วนตัวเราก็เห็นด้วยครับ แต่หากราคาแบตเตอรี่ยังสูงเหมือนทุกวันนี้ ยังไงมันก็ไม่เหมาะครับ ดังนั้นถ้าเป็นรถยนต์คันแรกแนะนำ รถ Eco Car จะดีที่สุด ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวม รถ Eco car ทุกรุ่น ในปี 2023 มาไว้ให้คุณแล้ว
รถ Eco car ที่ประหยัดน้ำมันที่สุด มีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง ?
![]() New Honda CITY VTEC TURBO 2023 | ![]() New Nissan Almera 2023 (โฉม Minorchange) | ![]() New Mazda 2 Sedan & Hatchback 2023 (โฉม Minorchange) |
![]() All New Toyota Yaris ATIV 2023 | ![]() New Honda CITY e:HEV 2023 | ![]() New Toyota Yaris 2023 |
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐาน ที่คุณควรรู้เอาไว้ครับ เพราะมันจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ได้รถที่ตรงกับความต้องการ เหมาะกับการใช้งานของคุณที่สุด ซึ่งก็อย่างที่บอกครับว่า รถทุกคันจะมีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเอง ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการทดลองขับครับ บางคนเคยขับเฉพาะรถใหญ่มา ทำให้เท้าจะหนักเวลาเหยียบเบรคหรือคันเร่ง แต่พอมาขับอีโค่คาร์แล้วรู้สึกไม่มั่นใจเลย ซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะมันมีช่วงที่สั้นกว่า เบากว่า แถมกำลังเครื่องยนต์ก็น้อยกว่าด้วย ดังนั้นต้องปรับตัวสักระยะนึง แต่พอปรับตัวได้แล้ว คุณจะรู้สึกคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเวลาขับขี่ในเมืองที่รถติดมาก ๆ และที่ต่างสุด ๆ คือ อัตราการประหยัดน้ำมัน
New Honda CITY e:HEV 2023

รุ่นย่อย | ราคา |
e:HEV SV | 769,000 บาท |
e:HEV RS | 839,000 บาท |
New Honda CITY e:HEV 2023
เรามาเริ่มต้นกับรถที่เพิ่งเปิดตัวโฉมใหม่ออกมา สด ๆ ร้อน ๆ และยังได้ชื่อว่า นี่คือรถ Eco Car ที่ประหยัดน้ำมันที่สุด ณ ขณะนี้ด้วยครับ กับ Honda CITY e:HEV 2023 ที่สามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันได้สูงสุด เฉลี่ย 27.8 กม./ลิตร แซงหน้าขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ได้แบบหล่อ ๆ สำหรับตัวนี้เป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ใหม่ โดยรุ่น e:HEV จะมาพร้อมกับรุ่นย่อยใหม่ มีให้เลือก 2 รุ่นก็คือ SV และ RS จากเดิมที่มีแค่รุ่นเดียว ทำให้รุ่นนี้น่าสนใจขึ้นมากครับ

ดีไซน์มีการปรับโฉมใหม่ในบางจุด เพิ่มความสปอร์ต โฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น ซึ่งหน้าตาทั้ง 2 รุ่น ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่รุ่น SV อาจจะดูสปอร์ตน้อยกว่ารุ่น RS อยู่นิดหน่อย แต่ก็ใส่ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว มาเท่ากัน ส่วนภายในก็ยังเน้นความสปอร์ต เรียบหรู และใส่อุปกรณ์ความสะดวกให้มาครบครันเช่นเดิม ที่เด่น ๆ เลยก็จะมี จอ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ มา พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง จอสัมผัสกลาง ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับทุกการเชื่อมต่อ แถมมี USB ให้ด้านหน้า 2 ช่อง และหลังมี Type-C อีก 2 ช่อง แถมทั้ง 2 รุ่นนี้ยังให้เบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold มาด้วย ส่วนความปลอดภัยก็แน่นอนครับ ได้ใส่ Honda Sensing แบบจัดเต็มทั้งคู่

ด้านขุมพลังจะใช้ตัวเดียวกันเลยครับ โดยมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่มอบพละกำลังสูงสุด 109 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ทำงานผสานกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC มอบกำลังสูงสุด 98 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ส่วนโหมดการขับขี่ จะให้มา 3 โหมด ได้แก่ โหมด EV Drive, โหมด Hybrid Drive และโหมด Engine Drive พร้อมกับสามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยได้ถึง 27.8 กม./ลิตร ซึ่งสูงที่สุดแล้ว ณ ขณะนี้
เครื่องยนต์ | 1,498 ซีซี. DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC |
---|---|
อัตราสิ้นเปลือง | 27.8 กม./ลิตร |
รองรับน้ำมัน | E20 / 40 ลิตร |
ระบบเกียร์ | E-CVT |
กำลังสุงสุด | 98 PS (5,600-6,400 RPM) |
แรงบิดสูงสุด | 127 N·m (4,500-5,000 RPM) |
กำลังมอเตอร์ | 109 PS (3,500-8,000 RPM) |
แรงบิดมอเตอร์ | 253 N·m (0-3,000 RPM) |
ระบบเบรก |
|
ระบบกันสะเทือน |
|
ล้อและยาง | SV / RS : 185 / 60 R16 |
วันเปิดตัว | 5 กรกฏาคม 2023 |
New Honda CITY VTEC TURBO 2023

รุ่นย่อย | ราคา |
V | 629,000 บาท |
SV | 679,000 บาท |
RS | 749,000 บาท |
New Honda CITY VTEC TURBO 2023
ใครที่ต้องการความประหยัด แต่ยังได้อารมณ์ความสปอร์ตอยู่ ต้อง New Honda CITY VTEC TURBO 2023 เท่านั้นครับ ซึ่งนี่คือรถซีดานคอมแพ็กต์ ที่ได้รับความนิยมสูงมาก ด้วยดีไซน์ที่ดูสปอร์ตสวยงาม ในขณะเดียวกันก็พร้อมประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่สูง มอบพละกำลังสูงสุดถึง 122 แรงม้า มากที่สุดในคลาส พร้อมให้การขับขี่ที่สนุกสุด ๆ โดยถึงแม้สมรรถนะจะสูง แต่มันไม่ได้ทิ้งอัตราการประหยัดน้ำมันเลย ซึ่งยังทำได้เฉลี่ย 23.8 กม./ลิตร ครับ สำหรับรุ่นไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ในรุ่น VTEC TURBO ได้มีการปรับรุ่นย่อยใหม่ ซึ่งจะเหลือแค่รุ่น V, SV และ RS ครับ

ดีไซน์ภายนอกมีการปรับปรุงรอบคัน แต่อยู่ภายใต้พื้นฐานเดิมครับ โดยรุ่น V และ SV ก็จะเน้นความพรีเมียมเรียบหรู ดูเป็นผู้ใหญ่ ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียม ใส่ล้อขนาด 15 นิ้วมา ส่วนรุ่น RS มาในดีไซน์สปอร์ตจ๋า ๆ เลย ตกแต่งด้วยสีดำเงา พร้อมล้อขนาด 16 นิ้ว และมีล้อสำรองมาให้ด้วย ซึ่งรุ่น e:HEV ถูกตัดออกไป ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายใน รุ่น V จะถูกตัดออกเยอะมาก ๆ ครับ แนะนำเป็นรุ่น SV จะคุ้มค่ากว่า หากคุณจะซื้อเป็นรถยนต์คันแรก ซึ่งมาพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT ขนาด 7 นิ้ว หน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับทุกการเชื่อมต่อ ส่วนระบบความปลอดภัย Honda Sensing ก็ใส่มาครบครัน

ในด้านขุมพลังทั้ง 3 รุ่นย่อย มาพร้อมเครื่องยนต์สเปกเดียวกันครับ ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เบนซิน ความจุ 1.0 ลิตร DOHC 3 สูบ 12 วาล์ว พ่วง VTEC TURBO จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI และส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT สามารถมอบพละกำลังสูงสุด 122 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ซึ่งแรงที่สุด ณ ขณะนี้ครับ ด้านอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง รุ่นนี้เฉลี่ย 23.8 กม./ลิตร ครับ เรียกได้ว่า ทั้งแรง ทั้งประหยัด ในคันเดียวเลย
เครื่องยนต์ | 988 ซีซี. DOHC 3 สูบ 12 วาล์ว VTEC TURBO |
---|---|
อัตราสิ้นเปลือง | 23.8 กม./ลิตร |
รองรับน้ำมัน | E20 / 40 ลิตร |
ระบบเกียร์ | CVT |
กำลังสุงสุด | 122 PS (5,500 RPM) |
แรงบิดสูงสุด | 173 N·m (2,000-4,500 RPM) |
กำลังมอเตอร์ | |
แรงบิดมอเตอร์ | |
ระบบเบรก |
|
ระบบกันสะเทือน |
|
ล้อและยาง |
|
วันเปิดตัว | 5 กรกฏาคม 2023 |
New Nissan Almera 2023 (โฉม Minorchange)

รุ่นย่อย | ราคา |
1.0L Turbo E CVT | 549,000 บาท |
1.0L Turbo EL CVT | 589,000 บาท |
1.0L Turbo V CVT | 659,000 บาท |
1.0L Turbo VL CVT | 699,000 บาท |
New Nissan Almera 2023 ดีไซน์ใหม่
New Nissan Almera 2023 คือหนึ่งในรถเก๋งคอมแพ็คที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ราคาประหยัด เนื่องด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ๆ แต่กลับมาพร้อมดีไซน์ที่ดูสปอร์ตสวยงามสุด ๆ แถมให้อุปกรณ์ต่าง ๆ มาคุ้มค่ามาก ๆ โดยตัวนี้เป็นโฉม Minorchange ใหม่แล้ว ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ เพื่อทำให้หน้าตาดูสปอร์ตยิ่งขึ้น แตกต่างไปจากรุ่นเดิม นอกจากนี้ก็มีการเพิ่มฟังก์ชัน และระบบสุดล้ำต่าง ๆ เข้ามาอีกเพียบ สำหรับโฉมนี้จะมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อยครับ ซึ่งรุ่นท๊อปสุด มีราคาแค่ 6.99 แสนบาท เท่านั้นครับ ทำให้เหมาะมากที่จะใช้เป็นรถยนต์คันแรกของครอบครัว

ซึ่งจุดที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเลยก็คือ ด้านหน้ารถครับ ซึ่งรุ่นนี้มาพร้อมกระจังหน้า V-Motion ใหม่ ที่ถูกดีไซน์ให้ดูกว้างขึ้น คาดด้วยเส้นสายโครเมียม สอดรับกับไฟหน้าที่ดูเฉียบคมอยู่แล้ว ทำให้ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ส่วนตรงกลางได้เปลี่ยนโลโก้ของ Nissan ใหม่ ซึ่งเข้ากับดีไซน์ด้านหน้าพอดีเลย ทำให้มันดูล้ำสมัยขึ้นเยอะครับ
สำหรับภายในห้องโดยสารของรุ่นนี้ยังคงเป็นรถที่มีภายในกว้างสุด ๆ อยู่ครับ ทั้งช่วงขาและศีรษะมีพื้นที่เหลือเยอะมาก ๆ ถึงแม้ว่าดีไซน์จะดูเรียบ ๆ ไปหน่อย ไม่หวือหวา แต่อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อัปเกรดมา ก็ช่วยให้ดูล้ำสมัยขึ้น อย่างจออินโฟเทนเมนท์ ระบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อไร้สายได้ทั้งหมด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ดีไซน์ท้ายตัดแบบสปอร์ต พร้อมกับมีโลโก้ Nissan ใหม่ ทำให้ในภาพรวมมันดูสปอร์ตลงตัวมาก ๆ ครับ ส่วนเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัย รุ่นนี้ได้ทำการอัพเกรดขึ้น และใส่เพิ่มมาแบบครบครันเลย

ในส่วนเครื่องยนต์ รุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน รหัส HRA0 ความจุ 1.0 ลิตร 3 สูบ 12 วาล์ว DOHC พ่วงด้วยเทอร์โบ ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ XTronic CVT พร้อม D-Step Logic มอบพละกำลังสูงสุด 100 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 152 นิวตัน-เมตร รองรับน้ำมันได้สูงสุดที่ E20 บนความจุถัง 35 ลิตร ครับ ซึ่งอัตราเร่งนับว่าค่อนข้างดีเลย ตอบสนองฉับไว เร่งแซงได้สบาย ๆ ครับ ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร ครับ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ว่าจะขับออกต่างจังหวัด หรือใช้งานในเมือง รุ่นนี้ก็คุ้มค่าสุด ๆ ครับ
เครื่องยนต์ | 1.0 ลิตร DOHC 3 สูบ 12 วาล์ว Turbo CVT |
---|---|
อัตราสิ้นเปลือง | 23.3 กม./ลิตร |
รองรับน้ำมัน | E20 / 35 ลิตร |
ระบบเกียร์ | XTronic CVT with D-Step Logic |
กำลังสุงสุด | 100 PS (5,000 RPM) |
แรงบิดสูงสุด | 152 N·m (2,400-4,000 RPM) |
กำลังมอเตอร์ | |
แรงบิดมอเตอร์ | |
ระบบเบรก |
|
ระบบกันสะเทือน |
|
ล้อและยาง |
|
วันเปิดตัว | 11 พฤษภาคม 2023 |
New Mazda 2 Sedan & Hatchback 2023 (โฉม Minorchange)

รุ่นย่อย | ราคา |
1.3 C / 1.3 C Sport | 599,000 บาท |
1.3 S / 1.3 S Sports | 680,000 บาท |
1.3 SP / 1.3 SP Sports | 730,000 บาท |
1.5 XD / 1.5 XD Sports | 720,000 บาท |
1.5 XDL / 1.5 XDL Sports | 830,000 บาท |
New Mazda2 2023 (ทั้ง Sedan และ Hatchback)
New Mazda 2 2023 ยังคงใช้ตัวถังเดิมครับ หลังจากที่ใช้มา 9 ปีแล้ว ซึ่งช่วยให้รถ Mazda2 ดูไม่เก่าเลย แถมสไตล์ Kodo Design ก็ถูกปรับนิดปรับหน่อย จนตอนนี้มันดูสปอร์ต ลงตัวสุด ๆ ครับ โดยโฉมนี้มีหน้าตาให้เลือก 2 แบบ 2 สไตล์ตอบโจทย์ ทั้งชาย และหญิง และจุดเด่นที่หลาย ๆ คนชื่นชอบคือ นิสัยของรถ ที่ขับสนุกมาก ยึดเกาะได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันที่อัดแน่นกว่าเดิม ซึ่งก็ยังเหมือนเดิมครับ ทั้งโฉม Sedan และ Hatchback จะมี 5 รุ่นย่อย แบ่งเครื่องยนต์ 2 แบบก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G ซึ่งจะมี 3 รุ่นย่อย และเครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D ที่จะมี 2 รุ่นย่อย

ส่วนดีไซน์ก็ยังคงใช้พื้นฐาน Kodo Design แต่โฉมนี้จะมี 2 สไตล์ให้เลือก คือ Sport Design ที่เน้นความสปอร์ตด้วยกระจังหน้าดีไซน์ Mesh Grille พร้อมกระจกข้าง และหลังคาสีดำ ช่วยให้ดูสปอร์ตสุด ๆ และ New Wave Design ที่จะเน้นสีสันมากกว่า แต่ยังอยู่ภายใต้หน้าตาที่ดูสปอร์ต โดยกระจังหน้าจะถูกปิดทึบสีเดียวกับตัวรถ ทำให้ดูแปลกตา บวกกับล้อลายใหม่ที่เน้นความแตกต่าง ให้อารมณ์เดียวกับรถไฟฟ้าสมัยนี้เลย โดยพื้นฐานจะมาพร้อมไฟหน้าโปรเจกเตอร์ที่มีโคมไฟดีไซน์โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น พร้อมมีปรับสูง-ต่ำ และเปิด-ปิดอัตโนมัติ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ปรับ-พับไฟฟ้า ท่อไอเสียโครเมียม ส่วนล้อรุ่นต่ำสุดให้ล้อเหล็ก 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบ ในรุ่น 1.3 S และ SP จะใช้ล้ออัลลอย 15 นิ้ว และดีเซล 2 รุ่น จะให้ล้ออัลลอย 16 นิ้ว โดยมีล้อถึง 5 ลาย

ภายในยังคงมาพร้อมดีไซน์ที่เรียบหรู ผสานกับวัสดุที่ให้สัมผัสสุดพรีเมียม ดีไซน์แบบเดียวกันในทุกรุ่นย่อย แต่จะต่างกันที่สีสันที่ใช้ อย่างใน Sport Design คอนโซลหน้า และเบาะนั่งก็จะเน้นหุ้มหนัง สลับผ้าสีดำ เดินตะเข็บตัดด้วยด้ายสีแดง และจะมีการตกแต่งด้วยวัสดุสีดำและสีแดง ตามจุดต่าง ๆ ส่วนดีไซน์ New Wave บางจุดก็ตกแต่งด้วย Bioplastic สีเดียวกับตัวรถ มอบสีสันที่สดใส โดยในรุ่นรอง 3 รุ่น จะใช้หน้าปัดเรือนไมล์ดิจิทัล ส่วนในรุ่นท๊อป 2 รุ่นจะใช้หน้าปัดแอนะล็อก พร้อมจอ Active Driving Display ส่วนอื่น ๆ จะให้มาใกล้เคียงกันครับ ทั้ง จอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้งหมด จะต่างกับแค่รุ่น C และ XD ที่จะไม่รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และไม่มีแท่นชาร์จไร้สายให้

ส่วนระบบความปลอดภัยก็มีครบเลย เช่น เบรก ABS พร้อมกระจายแรงเบรก, ระบบควบคุมขณะเข้าโค้ง และควบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบเตือนรถในมุมอับสายตา, ระบบเตือนขณะถอยหลัง, ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติด้านหน้า-หลัง และอีกมากมายครับ ซึ่งรุ่นเริ่มต้นทั้ง C และ XD จะให้มาน้อยหน่อย ส่วนอีก 3 รุ่นถือว่าคุ้มค่ามากครับ ส่วนเครื่องยนต์จะมีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่
- Skyactiv-G เครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร 4 สูบ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 93 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 123 นิวตัน-เมตร โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร
- Skyactiv-D เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เหมือนกัน ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตัน-เมตร โดยทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยสูงถึง 26.3 กม./ลิตร เลยทีเดียว
เครื่องยนต์ |
|
---|---|
อัตราสิ้นเปลือง |
|
รองรับน้ำมัน |
|
ระบบเกียร์ | Skyactiv-Drive 6 speed |
กำลังสุงสุด |
|
แรงบิดสูงสุด |
|
กำลังมอเตอร์ | |
แรงบิดมอเตอร์ | |
ระบบเบรก | 1.3 C / 1.3 S / 1.3 SP / 1.5 XD
|
ระบบกันสะเทือน | ทุกรุ่นย่อย
|
ล้อและยาง | 1.3 C / 1.3 S / 1.3 SP
|
วันเปิดตัว | 21 มิถุนายน 2023 |
All New Toyota Yaris ATIV 2023

รุ่นย่อย | ราคา |
Sport | 549,000 บาท |
Smart | 594,000 บาท |
Premium | 669,000 บาท |
Premium Luxury | 699,000 บาท |
All New Toyota Yaris ATIV 2023
สำหรับ All New Toyota Yaris ATIV ถ้านับตั้งแต่ Gen แรกเมื่อปี 2002 จนถึงปัจจุบัน มียอดขายสะสมมากถึง 3.5 ล้านคันทั่วโลกเลยล่ะครับ ซึ่งโฉมนี้ก็นับเป็น Gen 3 แล้ว โดยออกแบบมาเป็นรถยนต์ซีดานขนาดเล็ก 4 ประตู ราคาประหยัด ทำให้เหมาะมาก สำหรับซื้อมาใช้เป็นรถคันแรก จะใช้ชีวิตในเมืองก็เหมาะ ออกต่างจังหวัดก็สบาย รุ่นนี้ตอบโจทย์ได้หมดครับ แถม Toyota เองก็ขึ้นชื่อในด้านเครื่องยนต์ที่ดูแลง่ายราคาถูก อะไหล่เยอะ แถมมันยังประหยัดมาก ๆ ด้วย โดยทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร ตามมาตรฐานของ Eco car ดังนั้นการใช้งานรุ่นนี้จึงประหยัดมาก ๆ ครับ อีกทั้งราคาตัวท๊อปสุด ก็ยังไม่ถึง 7 แสนบาท

สำหรับดีไซน์จะมาในสไตล์ Fastback ที่มีโครงสร้าบแบบสปอร์ต ซึ่งจะมีหลังคาลาดยาวลงมาจนเกือบถึงท้ายรถ มันจึงดูสปอร์ต โฉบเฉี่ยวสุด ๆ และยังดูพรีเมียมขึ้น ด้วยกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ขนาดใหญ่ สีดำเงา คาดด้วยเส้นสายที่คมชัด สอดรับดูเข้ากับโคมไฟ LED ที่มีดีไซน์เฉียบคมได้อย่างลงตัว ส่วนกระจกมองข้างที่มีไฟเลี้ยวในตัว จะใช้สีเดียวกับตัวรถ แต่มันจะมีแค่รุ่น Luxury เท่านั้น ที่มาเป็นสีดำ นอกจากนั้นรุ่นนี้ยังมีการออกแบบกระจกหน้าต่างมา 3 บาน ด้วย ซึ่งเรามักจะเจอในรถยนต์ซีดานที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น ช่วยให้มันดูหรูขึ้นมาก ๆ ส่วนล้ออัลลอย ปัดเงา สีทูโทน ขนาด 16 นิ้ว มาพร้อมลายใบพัด 6 ก้าน เหมือนกันทุกรุ่นย่อยครับ

ภายในก็มีการดีไซน์ใหม่ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย และรู้สึกพรีเมียมขึ้น โดยภายในก็จะตกแต่งด้วยสีที่ต่างกัน อย่างรุ่น Smart และ Premium จะหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ และผ้าสีน้ำตาล ส่วนรุ่น Luxury จะใช้หนังแท้ และหนังสังเคราะห์สีแดง ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินเมทัลลิก
ส่วนอุปกรณ์พื้นฐานรุ่น Sport จะให้มาค่อนข้างน้อยครับ โดยจะได้มาตรวัดธรรมดา และจอกลาง แบบสัมผัส 8 นิ้วส่วนตั้งแต่รุ่น Smart ขึ้นไป จะได้หน้าจอ TFT แบบสี 7 นิ้ว พร้อมจอกลาง แบบสัมผัส 9 นิ้ว ซึ่งทุกรุ่นย่อย จะรองรับการเชื่อมต่อได้ทั้งหมดเหมือนกันครับ ส่วน 2 รุ่น ท๊อป ก็จะได้ เบรกมือไฟฟ้า, เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ทำงานคู่กับระบบกรองฝุ่น PM2.5 และมีช่องแอร์ พร้อมช่อง USB ทั้ง ด้านหน้า และด้านหลัง
All New Toyota Yaris ATIV 2023 มาพร้อมระบบความปลอดภัยที่จัดเต็ม รวมถึงเทคโนโลยี Toyota Safety Sense
ในส่วนความปลอดภัยที่มีมาในทุกรุ่นย่อย หลัก ๆ คือ ถุงลมนิรภัย 3 จุด, เบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรก, ระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบออกตัวบนทางชัน และจุดยึด ISOFIX โดยในรุ่น Smart ก็ได้กล้องถอย, กล้องติดรถยนต์, ระบบความปลอดภัยก่อนการชน, ระบบเตือนออกนอกเลน พร้อมดึงกลับอัตโนมัติ และระบบเตือนคันหน้าเคลื่อนตัวเพิ่มเข้ามาให้ส่วนอีก 2 รุ่นท๊อป จะมีระบบเตือนมุมอับสายตา, เซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง, เตือนขณะถอยรถ, ระบบปรับไฟสูงต่ำอัตโนมัติ และกล้องมองรอบคัน
ส่วนด้านสมรรถนะทุกรุ่นย่อย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เบนซิน 1.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC Dual VVT-iE ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT มอบกำลังสูงสุด 94 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร ทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร ครับ
เครื่องยนต์ | 1.2 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Dual VVT-iE |
---|---|
อัตราสิ้นเปลือง | 23.3 กม./ลิตร |
รองรับน้ำมัน | E20 / 40 ลิตร |
ระบบเกียร์ | Super CVT-i Sequential Shift 7 speed |
กำลังสุงสุด | 94 PS (6,000 RPM) |
แรงบิดสูงสุด | 110 N·m (4,400 RPM) |
กำลังมอเตอร์ | |
แรงบิดมอเตอร์ | |
ระบบเบรก | Sport / Smart
|
ระบบกันสะเทือน |
|
ล้อและยาง | ล้ออัลลอยทูโทน 195/60 R16 |
วันเปิดตัว | 9 สิงหาคม 2022 |
New Toyota Yaris 2023

รุ่นย่อย | ราคา |
Sport | 559,000 บาท |
Smart | 619,000 บาท |
Premium | 679,000 บาท |
Premium S | 694,000 บาท |
New Toyota Yaris 2023 "Open Up Your Life…เปิดโลกใหม่ได้อีกเยอะ"
อีกหนึ่งรุ่นของ Toyota ที่ทำยอดขายได้สูงมาก ๆ นั่นก็คือ New Yaris 2023 ใหม่ ที่ยังคงใช้พื้นฐานเดิม แต่ได้ปรับดีไซน์ใหม่ มาในสไตล์ Hammerhead ทำให้มันมีครบทั้ง หน้าตาที่สปอร์ต และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ ทุกความสะดวกสบาย โดยมีจุดเด่นของรุ่นที่แล้วมาให้ครบครันครับทั้ง ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย มีความนุ่มนวล อัตราการสิ้นเปลือง และการขับขี่ที่สนุก มีความคล่องตัว โฉบเฉี่ยว เหมาะมาก ๆ กับการขับขี่ในเมือง หรือถ้าจะออกต่างจังหวัดก็สบาย ๆ โดยรุ่นนี้จะมี 4 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นเพียง 5.59 แสนบาท เท่านั้น

ด้านหน้าตามาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ สีดำเงา ให้อารมณ์สปอร์ตดุดัน สอดรับกับโคมไฟหน้าดีไซน์เฉียบคม มีกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ส่วนกันชนหลังดีไซน์ Diffuser Style เสริมด้วยลายคาร์บอนเพิ่มความสปอร์ต ดูดุดันขึ้น สำหรับในรุ่น Premium 2 รุ่น จะเพิ่มความสปอร์ต ด้วยกระจกมองข้าง และหลังคาสีดำ ตัดกับสีตัวรถ และรุ่น Premium S ก็ยังมีสปอยเลอร์หลังคามาให้ด้วย ส่วนล้อทุกรุ่นย่อย ให้เป็นล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว ลายใบพัดแบบ 6 ก้าน มาเหมือนกันครับ

ในห้องโดยสารยังมีดีไซน์เหมือนกับรุ่นที่แล้ว โดยรุ่นเริ่มต้นจะให้มาน้อยหน่อย เราเลยขอแนะนำรุ่น Smart ขึ้นไป จะดีกว่า ซึ่งมาพร้อมเบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ ตกแต่งด้วยสีภายในที่ต่างกันไปในแต่ละรุ่นครับ โดยรุ่น Smart จะใช้สีดำ รุ่น Premium ใช้สีน้ำตาล-ดำ และรุ่น Premium S จะใช้สีทูโทนแดง-ดำ มาพร้อมพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า หุ้มหนังที่นุ่มพิเศษ ตกแต่งคอนโซลหน้า ด้วยวัสดุสีเงินเข้ม และสีเงินซาติน ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ รุ่น Premium 2 รุ่น จะมีจอสี TFT ขนาด 4.2 นิ้ว และจอกลาง ระบบสัมผัส 9 นิ้ว ส่วนรุ่น Smart จะได้จอ 8 นิ้ว แต่รองรับได้หมดเหมือนกัน พร้อมกับระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
เทคโนโลยีความปลอดภัยของ Toyota อย่าง Toyota Safety Sense บางส่วน ที่ใส่มาใน New Toyota Yaris ด้วย
ส่วนความปลอดภัยพื้นฐานก็จะมีถุงลมนิรภัยที่มีถึง 7 จุด, ระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก, ระบบคุมการทรงตัว, ป้องกันล้อหมุนฟรี, ช่วยออกตัวบนทางชัน และจุดยึด ISOFIX ที่มีในทุกรุ่นย่อย ส่วน 2 รุ่นท๊อปจะเพิ่ม Toyota Safety Sense ประกอบด้วย ระบบเตือนออกนอกเลน, เตือนขณะถอย, ระบบความปลอดภัยก่อนการชน, เตือนมุมอับสายตา, กล้องมองรอบคัน และยังมีกล้องติดรถยนต์มาให้ด้วย ในด้านสมรรถนะทุกรุ่น ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 4 สูบ Dual VVT-iE ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT-i มอบพละกำลังสูงสุด 92 แรงม้า แรงบิด 109 นิวตัน-เมตร และมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร ครับ ซึ่งถือว่าเหลือ ๆ สำหรับใช้งานในเมือง
เครื่องยนต์ | 1.2 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Dual VVT-iE |
---|---|
อัตราสิ้นเปลือง | 23.3 กม./ลิตร |
รองรับน้ำมัน | E20 / 42 ลิตร |
ระบบเกียร์ | Super CVT-i Shift Lock |
กำลังสุงสุด | 92 PS (6,000 RPM) |
แรงบิดสูงสุด | 109 N·m (4,400 RPM) |
กำลังมอเตอร์ | |
แรงบิดมอเตอร์ | |
ระบบเบรก |
|
ระบบกันสะเทือน |
|
ล้อและยาง | ล้ออัลลอยทูโทน 185/60 R15 |
วันเปิดตัว | 10 มีนาคม 2023 |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อ Eco Car

คำว่า Eco Car เป็นคำจำกัดความสำหรับใช้เรียกรถยนต์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาโดยมีจุดประสงค์หลักก็คือ เพื่อให้การใช้งานส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยรถ Eco Car หัวใจหลักอยู่ที่เครื่องยนต์ขนาดเล็ก ความจุแค่ 1.0 – 1.5 ลิตร เน้นการใช้พลังงานให้น้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้รูปลักษณ์ของรถประเภทนี้จึงเล็ก และน้ำหนักเบาตามไปด้วย ส่งผลให้การใช้งานในเมืองคล่องตัวมาก ๆ ครับ เมื่อเครื่องเล็ก บวกกับตัวรถที่เล็กและเบา บางรุ่นจึงประหยัดน้ำมันได้ถึง 20 – 23 กม./ลิตร. เลยทีเดียว ซึ่งบอกเลยว่า Eco Car เป็นรถที่เหมาะกับทุกคนจริง ๆ เดี่ยวเราไปดูปัจจัยต่าง ๆ ที่คุณต้องรู้กันเลยดีกว่าครับ
1. ขนาดของรถ
อย่างที่บอกครับว่า รถ Eco Car จะมีขนาด หรือมิติตัวรถที่ถูกออกแบบมาให้เล็กมาก ๆ เพื่อลดน้ำหนักและแรงต้าน เครื่องยนต์ตัวเล็ก ๆ จึงวิ่งไหว และใช้เชื้อเพลิงน้อยลง แต่ผลที่ตามมาคือ ภายในห้องโดยสารที่แคบลง ดังนั้นคุณควรดูความต้องการ และการใช้งานของคุณด้วย เพราะบางคนมีสรีระค่อนข้างใหญ่ ทำให้อาจจะรู้สึกอึดอัดได้ ดังนั้นทางที่ดีควรลองนั่งดูก่อนดีกว่าครับ
2. สมรรถนะเครื่องยนต์
แน่นอนครับ จุดประสงค์ของรถประเภทนี้คือ อัตราการประหยัดเชื้อเพลิง ดังนั้นเครื่องยนต์จะเล็ก มีความจุค่อนข้างน้อย แรงม้าก็เลยมาไม่สูง หากคุณชื่นชอบความเร็ว ก็อย่างลืมตรวจสอบระบบเครื่องยนต์ และการใช้พลังงานของรถรุ่นนั้น ๆ ด้วย เพื่อให้รู้สึกแน่ใจว่า มันมีสมรรถนะที่ดีพอ และในขณะเดียวกันก็มีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่คุณยอมรับได้ด้วย ซึ่งรถบางรุ่น ก็มีการจูนมาโดยเฉพาะ พร้อมกับใส่เทอร์โบมาด้วย เพื่อรีดแรงม้าให้ได้มากที่สุด
3. การเซอร์วิส และการบำรุงรักษารถ
จุดเด่นของ รถ Eco Car นอกจากอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว การบำรุงรักษาก็มีค่าใช้จ่ายน้อยมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็น ค่าบำรุงรักษาตามระยะทางทั้ง น้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบรค, ยางรถยนต์, แบตเตอรี่รถยนต์, ค่าอะไหล่ต่าง ๆ จะถูกกว่ารถในกลุ่มอื่น ๆ แถมรถพวกนี้แทบทุกรุ่นเป็นรถตลาด ดังนั้นจะมีผู้ใช้ที่สร้างเพจหรือกลุ่มขึ้นมา เพื่อใช้พูดคุย แลกเปลี่ยน และปรึกษาปัญหาที่พบของรถรุ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะอยู่แล้ว คุณสามารถเข้ากลุ่มไปดูปัญหาต่าง ๆ รวมไปถึงสอบถามเกี่ยวกับการบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ครับ ถ้าคุณรับปัญหาเหล่านั้นได้ก็แทบไม่ต้องกังวลอะไรเลย
4. ระบบความปลอดภัยต่าง ๆ
เชื่อว่าทุกคนก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า รถ Eco Car เป็นรถราคาประหยัด ดังนั้นระบบความปลอดภัยต่าง ๆ จึงไม่เหมือนกับพวกรถ D-Segment หรือรถยุโรปแพง ๆ ด้วยเหตุนี้คุณควรจะนำเอาระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ที่มีให้ในรถแต่ละรุ่นมาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะในรุ่นย่อยต่าง ๆ ที่จะถูกตัดระบบอัจฉริยะต่าง ๆ ออกไป เหลือไว้เฉพาะระบบพื้นฐาน เช่น ระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC, ถุงลมนิรภัย และอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่น ๆ เพื่อหารถที่คุณรู้สึกปลอดภัยในการขับขี่มากที่สุด
5. การทดลองขับ
เมื่อเราเช็คข้อมูลของรถรุ่นที่เราสนใจมาครบหมดแล้ว (ทางที่ดีเลือกมากสัก 2 รุ่น เพื่อให้เปรียบเทียบกันได้) สิ่งสำคัญต่อมาคือ การทดลองขับ ครับ เพราะรถแต่ละคันมีคาแรคเตอร์ต่างกัน ยิ่งถ้าคุณเคยขับรถที่มีกำลังสูง ๆ มาก่อน การมาขับรถ Eco Car จะให้อารมณ์แตกต่างกันเล็กน้อยครับ ดังนั้นการได้ลองขับก่อนตัดสินใจมันจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้องขึ้น บางคนตัดสินใจจะซื้อรุ่น A มาตลอด แต่พอได้ลองขับรุ่น B แล้วเกิดเปลี่ยนใจก็มี ซึ่งการทดลองขับ จะช่วยให้คุณเช็คได้หลายอย่างเลย ทั้ง ความสะดวกสบาย ความเงียบ กลิ่น การควบคุม น้ำหนักพวงมาลัย สมรรถนะ ฯลฯ ถ้ามีเวลาไปลองขับทุกรุ่นได้ก็จะยิ่งดีครับ
6. ราคา (การดาวน์ และผ่อน)
นี่คือสิ่งที่คุณควรจะพิจารณาให้รอบคอบที่สุดครับ ซึ่งทางที่ดี จำนวนเงินผ่อนต่อเดือน มันไม่ควรถึงกึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดที่คุณได้รับในแต่ละเดือน เพื่อให้คุณมีเงินเหลือเก็บไว้สำหรับ เผื่อมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าประกันภัยรถยนต์, ยางรถยนต์ที่จะเสื่อมคุณภาพลงเรื่อย ๆ หรือเก็บไว้ใช้เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น โดยถ้าคุณเลือกผ่อนในอัตราสูงสุด พอหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้ว ไม่เหลือเลย เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้เงินก้อน คุณจะมีปัญหาทันที ซึ่งการไปยืมเงินมาโป๊ะหนี้นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยครับ เว้นแต่ว่า คุณจะมีเงินเย็น เก็บอยู่ในบัญชีอยู่แล้ว
หากคุณคิดจะซื้ออีโคคาร์ คุณต้องยอมรับมันให้ได้ก่อน เพราะด้วยราคาที่ถูกกว่ารถประเภทอื่น ๆ หลายอย่างจึงถูกกั๊กเอาไว้ จะใช้ของที่ดีที่สุดก็คงไม่ได้ครับ ซึ่ง Eco car ส่วนใหญ่ราคาจะมีเริ่มต้นที่ 500,000 บาท ขึ้นไป แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าอีโค่คาร์เล็กไปหน่อย เราขอแนะนำรถ Crossover SUV เลยครับ
Crossover SUV เป็นรถที่นำตัวถังของอีโคคาร์มาเปลี่ยนทรงใหม่ เพื่อให้มิติรถดูใหญ่ดูสมบุกสมบันขึ้น ภายในกว้าง นั่งสบาย แถมยังมีสมรรถนะที่สูงขึ้น แต่คุณก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า รถที่ใหญ่ขึ้นราคาและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะแพงขึ้น รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองก็จะสูงขึ้นด้วย แต่ถ้าความต้องการของคุณคือ หารถที่ประหยัดน้ำมันที่สุด ไม่มีรถประเภทใดเหมาะกว่า รถ Eco car อีกแล้ว