การทำความสะอาดรถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทำให้รถของเราดูสะอาดและใหม่อยู่ตลอดเวลาเท่านั้น แต่มันยังช่วยยืดอายุรถยนต์ของเราให้มีอายุการใช้งานมากขึ้น ทั้งนี้หลายคนอาจมองว่าการทำความสะอาดรถยนต์เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและหลากหลายขั้นตอน ยิ่งโดยเฉพาะคนขับรถยนต์มือใหม่ส่วนใหญ่คงเลือกนำรถยนต์เข้าไปล้างในคาร์แคร์กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งการนำรถยนต์ไปล้างในแต่ละครั้งเราก็จะต้องเสียเงินตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน แต่ในความเป็นจริงแล้วการล้างรถยนต์ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยครับ เพียงแค่รู้ ‘ขั้นตอนล้างรถเองที่บ้าน แบบถูกวิธี – มือใหม่ทำเองได้’ แล้วครับ ดังนั้นในบทความนี้เราจึงแชร์วิธีการล้างรถยนต์ง่าย ๆ มาฝากกันครับ
1. เลือกสภาพอากาศและเวลาให้เหมาะสมสำหรับการล้างรถ
สภาพอากาศที่ควรหลีกเลี่ยงคือช่วงหน้าฝนครับ แต่ถ้าหากเลือกเวลาดี ๆ อย่างเช่นวันที่เมฆเยอะ ๆ ก็จะดีกว่าวันแดดออกจ้า เนื่องจากในระหว่างการทำความสะอาดรถยนต์ น้ำตามตามจุดต่าง ๆ อาจเกิดการแห้งโดยที่เราไม่ได้เช็ดให้เรียบร้อย จนทำให้เกิดคราบน้ำบนรถยนต์ ทั้งนี้ความร้อนจากแสงแดดยังทำให้ประสิทธิภาพของน้ำยาล้างรถยนต์เสื่อมประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะมากสำหรับการล้างรถยนต์คือช่วงเช้าตรู่ประมาณ 6 – 7 โมง เพราะแดดไม่แรงและร้อนจนเกินไป
2. อุปกรณ์ทำความสะอาด

อุปกรณ์ที่จะต้องมีเลยคือน้ำยาล้างรถยนต์และถ้ามีเครื่องปืนพ่นโฟมด้วยก็จะดีมาก เพื่อทำให้น้ำยาแตกตัวเป็นฟองขัดรถยนต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกอย่างหนึ่งที่ดีมากนั่นคือเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ถ้าหากมีไว้ในบ้านแนะนำให้เอามาใช้ครับ เพราะมันช่วยให้คราบฝังแน่นบนรถยนต์ออกง่ายขึ้นกว่าเดิมโดยที่เราไม่ต้องขัดให้เหนื่อย แต่ก็อย่าลืมว่าถ้าหากน้ำแรงจนเกินไปมันก็อาจทำร้ายรถยนต์ของเราได้ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องระวังให้ดีด้วยครับ
3. แชมพูทำความสะอาดรถยนต์

หลังจากฉีดทำความสะอาดรถยนต์ด้วยน้ำแรงดันสูงแล้ว ให้คุณทำความสะอาดด้วยฟองน้ำและน้ำยาทำความสะอาดต่อครับ โดยให้เอาน้ำยาล้างรถยนต์มาผสมกับน้ำอุ่น จากนั้นนำฟองน้ำมาจุ่มน้ำและนำไปเช็ดรถให้ครบทุกจุด เมื่อขัดทำความสะอาดเสร็จแล้วก็ล้างด้วยน้ำแรงดันสูงอีกครั้ง เพื่อเคลียร์ฟองน้ำยาออกให้หมด
4. เช็ดให้แห้ง
ในขั้นตอนการทำให้รถยนต์แห้งก็สำคัญเหมือนกันครับ ซึ่งผมแนะนำให้คุณเช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์เพราะมันดูดซับน้ำดีมาก ทั้งยังไม่ทำให้รถยนต์ของเราเกิดรอยขีดข่วนอีกด้วย ส่วนจุดที่เราไม่สามารถเช็ดได้ถึง แต่เราเห็นมียังมีหยดน้ำเกาะหรือขังอยู่ ก็สามารถใช้ไดร์เป่าผมเป่าเอาน้ำที่ขังออกมาได้ครับ แต่ให้ใช้อุณหภูมิต่ำ ๆ เพื่อไม่ให้ความร้อนทำลายผิวรถยนต์ของเรา
5. เก็บรายละเอียดต่าง ๆ หลังจากทำความสะอาด

เมื่อล้างและเช็ดรถยนต์จนแห้งเสร็จแล้วเรียบร้อย ก็ถึงขั้นตอนในการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนรถยนต์ โดยการใช้ดินน้ำมันกำจัดคราบ เพียงแค่คุณนำดินน้ำมันไปแช่ในน้ำสะอาดเพื่อให้มันอ่อนตัวลง หลังจากนั้นก็นำไปขัดตามมุมต่าง ๆ ของรถ ถ้าหากจุดไหนเกิดรอยสกปรกหรือรอยขูดขีดก็ให้นำดินน้ำมันกำจัดคราบมาขัด มันก็สามารถช่วยกำจัดสีหรือสกปรกบนบอดี้ของรถยนต์ออกไปได้
6. กระจกรถยนต์
หลายคนอาจมองข้ามจุดนี้ไป เพราะคิดว่าการทำความสะอาดกระจกรถยนต์จบไปตั้งแต่การล้างบอดี้ของรถยนต์แล้ว แต่ความเป็นจริงแล้วรถยนต์จะต้องได้รับการดูแลแตกต่างออกไปจากบอดี้ของรถ ทั้งนี้การทำความสะอาดจะต้องทำทั้งด้านในและด้านนอกของกระจก ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาดคือผ้าเช็ดแบบไม่มีขุย ส่วนน้ำยาสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายของเกี่ยวกับรถยนต์
7. ล้อรถยนต์
ส่วนที่สกปรกง่ายที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘ล้อรถยนต์’ เพราะมันสัมผัสกับพื้นถนนอยู่ตลอดเวลา และแน่นอนว่าบนพื้นถนนมีทั้งฝุ่น, ดิน และสิ่งสกปรกมากมาย ดังนั้นการทำความสะอาดจะต้องทำความสะอาดด้วยการใช้น้ำแรงดันสูงฉีดเข้าไปให้ครบทุกซอกทุกมุมของล้อ หลังจากนั้นก็ใช้น้ำยาขัดด้วยฟองน้ำจนคราบฝังแน่นออกจนหมด และใช้น้ำแรงดันสูงฉีดซ้ำอีกครั้ง หลังจากล้างเสร็จให้ใช้ผ้ามาเช็ดจนแห้ง ตามด้วยการฉีดสเปรย์เคลือบเงาล้อรถยนต์เพื่อความสะอาดและความสวย
8. การเพิ่มความสวยงามให้กับรถยนต์
การเพิ่มความสวยงามในทีนี้ไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนสีรถหรือต่อเติมตรงไหน แต่ทำให้มันเงาและดูสะอาดยิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นส่วนนอกของรถยนต์แนะนำให้สเปรย์ด้วยน้ำยาขัดโครเมี่ยม มันจะช่วยทำให้รถดูใหม่และเงายิ่งขึ้น ส่วนภายในรถยนต์ให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัดเศษฝุ่นต่าง ๆ ออก เพียงเท่านี้ก็ทำให้รถของเราดูสวยขึ้นแล้วครับ
9. ใต้ฝากระโปรง
ใต้ฝากระโปรงหน้ารถหรือห้องเครื่องเป็นส่วนที่สามารถทำความสะอาดได้ครับ แต่เราจะต้องทำความสะอาดกันอย่างระมัดระวัง ห้ามใช้น้ำแรงดันสูงหรือน้ำยาอะไรก็แล้วแต่ เพราะมันอาจทำให้ระบบของรถยนต์พังได้ ถ้าต้องการทำความสะอาดหรือให้มันดูเงางามขึ้น แนะนำให้ใช้ซิลิโคนหรือสเปรย์เพื่อทำความสะอาดให้กับห้องเครื่อง