หลังจากที่ Apple จัดงาน “Wonderlust” หรือ “Apple Event ในปี 2023” ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทางแบรนด์ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มากมายเลยค่ะ แน่นอนว่าไฮไลท์หลักของงานนี้จะต้องเป็น iPhone 15, 15 Plus, 15 Pro และ 15 Pro Max ที่ทุกรุ่นจะมีฟีเจอร์ Dynamic Island และพอร์ตชาร์จ USB-C แบบสากลมาให้พวกเราได้ใช้กันด้วยนะคะ
ในส่วนของ iPhone รุ่น Pro นั้นทาง Apple ได้มีการเปลี่ยนปุ่มเปิด-ปิดเสียงเป็น Action Button รูปแบบใหม่ แถมยังมีการเปลี่ยนมาใช้วัสดุไทเทเนียมที่น้ำหนักเบากว่าเดิม และมีการปรับปรุงสเปกกล้องให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ทำให้ตอนนี้มีการสั่งจอง iPhone 15 Series ล่วงหน้าเป็นจำนวนมากจนยอดจองเต็มทุกช่องทางกันเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ในงานก็ยังมี Apple Watch Series 9 , Apple Watch Ultra 2 และ AirPods Pro เวอร์ชันใหม่ที่ดีกว่าเดิมด้วยนะคะ
แต่อย่างไรก็ตาม… สิ่งที่มักมาพร้อมกับงาน Apple Event 2023 ไม่ได้มีเพียงแค่นี้อย่างแน่นอนค่ะ เพราะหลังจากจบงาน ทุกคนจะทราบดีกว่าทาง Apple จะเริ่มปล่อย OS ตัวใหม่ทันที โดยครั้งนี้จะเป็น iOS 17 และ iPadOS 17 ที่จะเริ่มปล่อย 19 กันยายนนี้ ส่วน macOS Somona มีกำหนดการปล่อยในวันที่ 27 กันยายน
iOS17 รุ่นไหนรับรองบ้าง ?
หลายคนอาจไม่รู้ว่า iOS คืออะไร ? มันก็คือระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ประจำปี 2023 ของ Apple นั่นเองค่ะ ซึ่งมันจะใช้ได้เฉพาะกับ iPhone เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้กับ iPhone ทุกรุ่นหรอกนะคะ เพราะว่าในบางรุ่นก็ไม่รองรับ iOS17 โดยเว็บไซต์ของ Apple ได้ระบุมาว่าสำหรับ iOS เวอร์ชันนี้จะรองรับตั้งแต่ iPhone XR, iPhone XS และใหม่กว่าเท่านั้นค่ะ
มี iPhone รุ่นไหนรองรับ iOS 17 บ้าง ?
|
|
ในขณะที่ iPadOS 17 ทำงานบน
- iPad mini 5 และใหม่กว่า
- iPad 6 และใหม่กว่า
- iPad Air 3 และใหม่กว่า
- iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว รุ่นที่ 2 และใหม่กว่า
- iPad Pro รุ่น 11 นิ้วทั้งหมด
- iPad Pro 10.5 นิ้ว
การดาวน์โหลดให้ไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > การอัปเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งอาจใช้เวลาสักครู่ในการอัปเดต
อย่างไรก็ตาม….ก่อนจะดาวน์โหลด iOS17 กันอย่าลืมเช็กให้ละเอียดด้วยนะคะว่าสรุปแล้ว iOS17 มีอะไรอัปเดตใหม่บ้าง ? โดยวันนี้เราได้ทำการสรุปมาให้คุณเรียบร้อยแล้วค่ะ มาดูกันว่า iOS17 จะมีคุณสมบัติและฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจกันบ้าง ?
iOS 17 มีฟีเจอร์อะไรใหม่ ?
อัปเดตหน้าจอล็อค / เพิ่ม StandBy
iOS17 ขยายการอัปเดตหน้าจอล็อคของปีที่แล้วด้วยการเพิ่มวิดเจ็ตแบบโต้ตอบและ “StandBy” ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่ที่เปลี่ยน iPhone ให้เป็น Home Hub ขนาดเล็กในขณะที่เรากำลังชาร์จแบตอยู่นั่นเองค่ะ

“ฟีเจอร์ StandBy เป็นการชาร์จ iPhone ในแนวนอน” ทำให้เราสามารถใช้งานหน้าจอแนวนอนระหว่างที่ชาร์จได้ ซึ่งจะมีฟังก์ชันให้เลือกเล่นมากมาย อาทิเช่น บอกเวลา (เลือกเป็นดิจิตอล อนาล็อก ก็ได้), แสดงปฏิทิน, แสดงนัดหมายสำคัญ, ควบคุมการเล่นเพลงบน AppleMusic, ควบคุมการทำงานของ SmartHome, แสดงสถานะของ Live Activities ซึ่งจะคอยบอกข้อมูลของแอปฯ ต่าง ๆ ได้แต่จะขึ้นอยู่กับว่ารองรับแอปฯ ไหนบ้าง? ฟีเจอร์นี้จะเหมาะสำหรับตั้งบนโต๊ะข้างเตียง, เคาน์เตอร์ครัว หรือโต๊ะทำงานมากค่ะ
นอกจากนี้เจ้าฟีเจอร์ StandBy จะคอยตรวจสอบแสงสว่างรอบ ๆ ได้ด้วยนะคะ หากมันพบว่าอยู่ในพื้นที่แสงน้อยก็จะเข้าสู่โหมดถนอมสายตาให้ทันที ซึ่งจะเป็นการลดแสงสีฟ้าลงและเปลี่ยนเป็นโทนสีแดงแทนค่ะ เพื่อไม่ให้รบกวนการพักผ่อนในเวลากลางคืนของคุณนั่นเอง
FaceTime รูปแบบใหม่
ตอนนี้คุณสามารถฝากข้อความเป็นวิดีโอเมื่อไม่มีคนรับสายจากคุณได้แล้วนะคะ นอกจากนี้คุณยังได้เพลิดเพลินกับการโทร FaceTime บน Apple TV ได้ซึ่งจะใช้ iPhone ของคุณเป็นกล้อง แต่จะต้องเป็น Apple TV 4K รุ่นที่ 2 และใหม่กว่าเท่านั้น

สำหรับอีกหนึ่งไฮไลท์ที่หลาย ๆ ชอบกันก็คงหนีไม่พ้น “เอฟเฟกต์เลเยอร์แบบ 3 มิติ” ที่สามารถทำเป็น รูปหัวใจ, ลูกโป่ง และอื่น ๆ รอบตัวคุณได้อย่างสวยงาม โดยเอฟเฟกต์ตัวนี้จะตรวจสอบได้จากลักษณะท่าทางมือของคุณค่ะ เรียกว่า “Hand Gesture” เป็นสัญลักษณ์มือระหว่างที่ใช้ FaceTime เพราะเดิมทีในเวอร์ชันก่อนหน้านี้เราก็สามารถเล่น FaceTime โดยการซ้อน Memoji หรือ Animoji บนใบหน้าของเราได้ใช่มั้ยคะ แต่ทว่าในครั้งนี้จะมีการตรวจจับท่าทางมือของเราจากนั้นก็จะปล่อยเอฟเฟกต์ออกมา จึงทำให้การ FaceTime สนุกมากขึ้นนั่นเองค่ะ
อัปเดต AirDrop ให้ดียิ่งขึ้น จะไม่ขาดตอนแม้คุณจะเดินไปที่อื่น
ในครั้งนี้ได้มีการอัปเดต AirDrop ครั้งแบบที่เรียกว่ายกเครื่องใหม่!!! จัดชุดใหญ่จริง ๆ ค่ะ!!!! อันดับแรกเลยทำให้การใช้ AirDrop จะมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น เราจะค้นหาชื่อและส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือเราไม่จำเป็นต้องเปิดใช้งาน AirDrop อีกต่อไปแล้วนะคะ เพียงแค่เรานำ iPhone ทั้ง 2 เครื่องมาต่อให้หัวชนกันก็จะเป็นการเปิดใช้งาน AirDrop โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมานั่งค้นหาชื่ออีกฝ่ายเลยค่ะ แถมยังมีการปรับกราฟิกสวยขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องรอให้การส่งข้อมูลเสร็จสมบูรณ์จึงค่อยแยกย้ายอีกแล้วค่ะ เนื่องจาก iOS17 จะนำไฟล์ที่ได้ไปเก็บสำรองข้อมูลไว้บน Cloud ให้ก่อนค่ะ ซึ่งทำให้เมื่อเรากดยืนยันการส่งไฟล์เรียบร้อยแล้ว สามารถแยกย้ายไปทำธุระของตัวเองต่อไปทันที ไม่จำเป็นต้องยืนรอให้ไฟล์ถ่ายโอนข้อมูลให้เสร็จ 100% อีกต่อไปค่ะ ถือว่าช่วยประหยัดเวลาได้เยอะมาก ๆ
เพิ่ม Contact Poster และ NameDrop
“Contact Poster” เป็นการแต่งหน้าสายเรียกเข้าในรูปแบบที่เราชอบ เวลาที่มีใครโทรเข้ามาก็จะปรากฏ Contact Poster ของคน ๆ นั้นตามที่เราออกแบบไว้ โดยเพื่อน ๆ จะเลือกเป็นภาพถ่าย หรือ Memoji ประจำตัวก็ได้ รวมถึงสามารถเลือกพื้นหลังและฟอนต์ตัวหนังสือได้อย่างอิสระ

นอกจากนี้เราสามารถออกแบบ Contact Poster ที่เป็นตัวเราเองได้ด้วยนะคะ ซึ่งอันนี้จะเอาไว้ให้เราใช้แลกกับคนอื่นค่ะเป็นเหมือนนามบัตรดิจิทัลที่มีเพียงผู้ใช้ iPhone เท่านั้นที่มี โดยเจ้า Contact Poster นี้จะส่งกันผ่านทาง AirDrop ได้ค่ะ โดยทาง Apple จะเรียกว่าวิธีการนี้ว่า “NameDrop เป็นแลกนามบัตรผ่านทาง iPhone” นั่นเองค่ะ เมื่อเราโทรไปหาอีกฝ่ายก็จะเห็น Contact Poster ของเราตามเราออกแบบไว้เลย เจ๋งสุด ๆ ใช่มั้ยคะ ?
เพิ่มฟีเจอร์ป้องกันการถ่ายรูปเบี้ยว

เวลาที่เราจะถ่ายรูปหรือถ่ายคลิปวิดีโอ ใน iOS 17 จะมีเส้นตรงอยู่ที่กลางหน้าจอมาให้ ทำให้เรารับรู้ได้ว่ากล้องของเราเบี้ยวหรือเอียงเกินไปหรือเปล่า แม้ว่าปกติแล้วจะมีช่องแบ่งเฟรมมาให้ แต่บางครั้งช่องเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเราถือกล้องเอียง แต่เจ้าเส้นนี้จะแสดงผลบอกเราได้ทันที ช่วยให้ถ่ายรูปได้ง่ายขึ้นมาก ๆ เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เราชอบมาก ๆ ค่ะ เพราะว่าได้ใช้งานจริงอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายที่ได้ปรับปรุงใหม่ ไม่ว่าจะเป็น
- iMessages มีการเพิ่มคุณสมบัติด้านความปลอดภัย การอัปเดตสติกเกอร์ (สร้างสติ๊กเกอร์จากรูปของตัวเอง) และสามารถแชร์ Location
- คีย์บอร์ดสามารถเดาคำได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
- การค้นหาด้วย Spotlight ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
- การใช้ Safari มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยการล็อค Face ID
- มีฟีเจอร์การติดตามอารมณ์ในแอพสุขภาพ
- เรียกใช้งาน Siri ได้โดยไม่ต้อพูด Hey Siri (หวัดดี Siri) อีกทั้งยังมีการเพิ่มเสียงผู้ชายมาให้ด้วย
- แอป Photo มีอัลบั้มสัตว์เลี้ยงแยกมาให้ต่างหาก
- SharePlay เชื่อมต่อกับ CarPlay ได้แล้ว คนอื่นสามารถเข้าไปควบคุมสั่งงานได้ด้วย แต่จะต้องผ่านการอนุญาตจากเราก่อน
Reference : Apple (apple.com)