หลังจากที่มีการเปิดตัว iPhone 15 กันไปหมาด ๆ เมื่อ 13 กันยายน 2023 ที่ผ่านมา ทำให้หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าการที่ Apple ยอมเปลี่ยนพอร์ตชาร์จจากเดิมมาเป็น USB-C นั้นมันมีข้อดีกว่าอย่างไร ? สาเหตุอะไรเป็นที่ทำให้ Apple ต้องยกเลิกการใช้เทคโนโลยีของตัวเองที่อยู่คู่ iPhone มายาวนานกว่า 10 ปีกันแน่ ? วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันค่ะ
Lightning (ไลต์นิง) คืออะไร ?
Lightning เป็นตัวเชื่อมอุปกรณ์ของบริษัท Apple ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ที่มีเฉพาะอุปกรณ์จากแบรนด์ Apple เท่านั้นที่จะใช้เทคโนโลยีนี้ได้ โดยในปัจจุบันนี้ (2023) เราจะพบสายชาร์จประเภท Lightning ได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท iPhone เสียส่วนใหญ่ค่ะ
เทคโนโลยี Lightning ได้เปิดตัวเมื่อปี 2012 สาเหตุที่ทางบริษัทเลือกใช้ Lightning เพราะว่าในสมัยนั้นยังไม่มีอินเทอร์เฟซชนิดไหนที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของ Apple ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจึงทำให้ทาง Apple พยายามคิดค้นการชาร์จผ่านขั้วในแบบของตัวเองขึ้นมา แต่ทว่าล่าสุดก็ได้ใช้ Lightning กับ iPhone 14 เป็นซีรีส์สุดท้ายแล้วค่ะ
ต้องบอกว่าตลอดระยะ 10 ปีที่ผ่านมานี้ Lightning ได้กลายเป็นซิกเนเจอร์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงความเป็น iPhone ได้เป็นอย่างดี นับว่าเป็นก้าวกระโดดของเทคโนโลยีครั้งใหญ่ในเวลานั้น เพราะว่าทุกคนที่ใช้ iPhone จะไม่สามารถแบ่งปันสายชาร์จตัวเองให้กับสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นได้เลย ทำให้เป็นการเพิ่ม Value และสร้างจุดเด่นให้กับตัวแบรนด์ไปในตัว

ทำไมต้องเปลี่ยนจาก Lightning มาเป็นแบบ USB-C ?
แต่ทว่าทุก ๆ อย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงค่ะ โดยเฉพาะกับเรื่องของเทคโนโลยีนั้นเรียกว่ามีวิวัฒนาการที่ก้าวไกลอยู่ตลอดเวลา ทำให้มี USB Type C เกิดขึ้นมาซึ่งจัดว่าเป็นมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกต่างยอมรับ
โดยเจ้า USB-C นี้เป็นเทคโนโลยีตัวใหม่ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากว่า อีกทั้งยังรวดเร็วและดีกว่าแบบ Lightning หลายเท่าเลยค่ะ ทำให้หลาย ๆ แบรนด์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเปลี่ยนสินค้าของตัวเองให้รองรับเทคโนโลยี USB-C กันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน, หูฟังไร้สาย หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ แทบจะทุกรุ่นที่ต้องมีพอร์ต USB Type C เป็นพอร์ตพื้นฐาน เพื่อสร้างความสะดวกต่อผู้ใช้มากที่สุดค่ะ

จริง ๆ แล้วผลิตภัณฑ์ของ Apple หลายตัวก็เปลี่ยนมาใช้ USB-C กันหมดแล้วนะคะและก็เปลี่ยนมาได้สักระยะแล้วด้วย อาทิเช่น Macbook หรือ iPad จะมีก็เพียงแต่โทรศัพท์ iPhone เท่านั้นที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนจาก Lightning เป็น USB-C สักที
จนทำให้ผู้ใช้หลายคนเริ่มเกิดความรู้สึกลังเลที่จะซื้อ iPhone รุ่นใหม่ ๆ มาใช้กันเพราะว่านอกจากจะใช้เวลาในชาร์จช้าแล้วมันก็ไม่ได้สะดวกเอาเสียเลยค่ะเนื่องจากไม่สามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ตัวอื่นได้ จะใช้แต่ละครั้งจะต้องมีตัวแปลงพอร์ตเสมอ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้เพื่อน ๆ คงตั้งคำถามในใจกันว่า “ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคืออะไร?” และ “USB-C มีความจำเป็นมากมายขนาดไหน ?” วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ
ความแตกต่างระหว่าง USB-C และ Lightning แบบไหนดีกว่ากัน ?
Lightning เป็นมาตรฐานที่เก่าแล้ว
จากที่เราได้เกริ่นไปแล้วว่า Lightning เปิดตัวขึ้นในปี 2012 ผ่าน iPhone 5 ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเป็นพอร์ตชาร์จแบบเก่าที่เรียกว่า “Apple 30 Pin” หากถามว่า ณ เวลานั้น Lightning เป็นเทคโนโลยีที่ดีไหม ? ตอบได้เลยว่าดีมากค่ะ
เพราะว่า ณ ตอนนั้น พอร์ตชาร์จแบบเก่าของ Apple ค่อนข้างพังง่ายมาก แถมยังมีขนาดใหญ่เทอะทะพอสมควร เมื่อเปลี่ยนเป็น Lightning ก็ถือว่าทนทานขึ้น ด้วยขนาดเล็กกว่าจึงช่วยใช้งานได้สะดวก ที่สำคัญชาร์จได้เร็วขึ้นกว่ามากค่ะ

ในทางกลับกัน USB-C เปิดตัวครั้งแรกในช่วงปลายปี 2014 และในช่วงต้นปี 2015 ก็เริ่มมีผลิตภัณฑ์ของ Apple เปลี่ยนมาใช้ USB-C อาทิเช่น MacBook Air และจากนั้นได้แพร่ไปสู่วงการอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กับโทรศัพท์, แท็บเล็ต, หูฟัง และอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีอีกมากมายเลยค่ะ
Lightning มีเฉพาะในอุปกรณ์ Apple เท่านั้น
ในข้อนี้เราก็ได้เกริ่นไปแล้วเช่นกันว่า Lightning เป็นเทคโนโยลีที่จะพบได้บนอุปกรณ์ของ Apple เท่านั้น เพราะว่ามันได้รับการออกแบบคิดค้นภายใต้บริษัท Apple และทาง Apple เองก็ไม่ต้องการแชร์เทคโนโลยีนี้ร่วมกับใคร ทำให้การใช้งานค่อนข้างจำกัดมาก ๆ เพราะไม่สามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ยี่ห้ออื่นได้เลย

อย่างไรก็ตามปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับ USB-C อย่างแน่นอนค่ะ เพราะว่า USB-C เป็นมาตรฐานเทคโนโลยีสากลที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งนั่นหมายความว่ามันมีความอเนกประสงค์ด้านการใช้งานมากกว่านั่นเองค่ะ
USB-C มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่ดีกว่า
หลาย ๆ คนอาจจะไม่ทราบว่า USB-C มีคุณสมบัติในการถ่ายโอนข้อมูลที่เร็วมากกว่า Lightning การถ่ายโอนข้อมูลที่รวดเร็วเช่นนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำงานได้เยอะมาก ๆ ค่ะ

คุณสามารถเข้าถึงไฟล์จำนวนมากมายได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยเฉพาะกับสมาร์ทโฟนที่มีการถ่ายภาพแบบ RAW (ไฟล์รูปภาพที่ไม่ผ่านการบีบอัด) หรือไฟล์วิดีโอที่มีความละเอียดสูงมาก ๆ การใช้ USB-C เชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟรกับคอมพิวเตอร์จะทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลานั่งรอนาน ๆ เลยค่ะ (หลายคนอาจบอกว่าเราใช้วิธีส่งข้อมูลหรือสำรองข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ก็ได้ แต่อย่าลืมว่าก็คุณต้องมีพื้นที่บนคลาวด์มากพอสมควร ซึ่งพื้นที่ให้บริการฟรีมีเพียง 5GB เท่านั้น หากมากกว่านี้จะต้องเสียค่าบริการรายเดือนด้วยนะคะ)
อีกอย่าง..หากคุณได้ทดลองเชื่อมต่อระหว่าง iPhone กับคอมพิวเตอร์ผ่าน Lightning จะเห็นได้ชัดว่ามันช้ามาก เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ Android ที่ใช้ USB-C มีผลลัพธ์ในการอัตราการถ่ายโอนข้อมูลที่เร็วกว่า เพราะว่าความเร็วของ Lightning นั้นสูงสุดเพียง 480Mbit/s เท่านั้น จึงเทียบได้กับ USB 2.0 รุ่นเก่ามาก ๆ
USB-C มีความเร็วในการชาร์จที่เร็วกว่า
USB-C ไม่เพียงโดนเด่นในเรื่องความเร็วของการถ่ายโอนข้อมูลเท่านั้น แต่ USB-C ยังมีความสามารถในการชาร์จที่เร็วกว่า Lightning ของ Apple อีกด้วย หากเพื่อน ๆ ได้ลองใช้สมาร์ทโฟนของ Android มาบ้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะทราบได้ทันทีว่ามือถือ Android ชาร์จไวกว่า iPhone หลายเท่าตัวเลยค่ะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือถือ Android ที่รองรับ USB-C บางรุ่นสามารถรองรับกาชาร์จได้สูงสุด 240W กันเลยทีเดียว แต่เอาจริง ๆ นะคะ แค่ ชาร์จ 50-120W ก็ถือว่าเร็วมาก ๆ แล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องทดสอบ 240W เลย โดยปัจจุบันนี้ก็มีมือถือหลายรุ่นมาก ๆ ที่มีอัตราการชาร์จในช่วง 50-120W โดยจะใช้เวลาเพียง 24 นาที ในการชาร์จจาก 0-100% ในทางกลับกันสาย Lightning ของ Apple มีความเร็วในการชาร์จสูงสุด 25W เท่านั้น ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างล้าสมัยพอสมควรค่ะ หากให้เปรียบเทียบก็คงจะเป็น USB-A รุ่นเก่ากันเลยทีเดียว