Apple เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านไอที ซึ่งมีการพัฒนาอุปกรณ์มากมาย ทั้ง iPod, iPhone, iPad, Apple Watch และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเซอไพรส์เหล่าสาวกได้ตลอดทุกครั้ง ในการเปิดตัวอะไรใหม่ ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่ Apple ได้ทำการเปิดตัว iPhone รุ่นแรกไปในปี 2007 นั่นเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับแอปเปิ้ลได้เป็นอย่างมาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 13 ปีแล้ว ที่ไอโฟนได้ชื่อว่าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทำให้ iPhone ก็ยังเป็นทางเลือกแรก ๆ ของใครหลายคน สำหรับใครที่เป็นสาวกคงทราบกับเป็นอย่างดีว่าในทุก ๆ ปี Apple มักจะมีอะไรใหม่ ๆ เด็ด ๆ ออกมาเซอไพรส์ให้สาวกอย่างเราเชยชมและอยากเป็นเจ้าของอยู่เสมอ
เพื่อน ๆ เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไม iPhone รุ่นใหม่ ๆ ถึงมีราคาที่สูงกว่ารุ่นเก่า ๆ อยู่มากพอสมควร รุ่นใหม่มันมีอะไรที่ดีกว่ามากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจึงรวบรวมเอาข้อมูลต่าง ๆ มาให้วิเคราะห์กัน เพื่อที่คุณจะสามารถพิจารณาก่อนเลือกซื้อ และสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ทำไม iPhone ถึงเป็นที่นิยมมาอย่างต่อเนื่อง ?
1. มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร
iPhone เป็นสมาร์ทโฟรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์การออกแบบภายนอกที่ดูสวยงาม มีความเรียบง่าย แต่หรูหรา และในส่วนของภายในก็ไม่แพ้กัน มีการใช้ระบบปฏิบัติการที่มีการออบแบบจัดวางตำแหน่งในส่วนต่าง ๆ มาได้อย่างลงตัว ทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็สามารถดูออกได้ทันทีว่าเป็น iPhone
2. วัสดุคุณภาพสูง
อีกหนึ่งข้อที่ทำให้หลาย ๆ คนเลือกใช้ iPhone ก็คือ วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตตัวเครื่อง ซึ่งทุกส่วนล้วนแล้วแต่ใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงทั้งสิ้น ทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้ iPhone มีความแข็งแรง ทนทาน กว่าสมาร์ทโฟนทั่ว ๆ ไป
3. ความเสถียรของระบบปฏิบัติการ
เราต้องยอมรับเลยว่าระบบปฏิบัติการ IOS ที่ใช้อยู่ใน iPhone นั้น ถือว่ามีประสิทธิภาพที่โดดเด่นมาก ๆ ทั้งในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ฟังก์ชั่นการใช้งาน แอพลิเคชั่นต่าง ๆ และที่สำคัญความเสถียรของตัวระบบเองที่ช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่สะดุด มีการอัพเดตอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดปัญหา หากใครที่ไม่เคยใช้ iPhone เลย อาจจะสับสนบ้างเล็กน้อยในช่วงแรก แต่เมื่อคุณใช้งานไปสักระยะจนคล่องแล้ว เรารับรองเลยว่าคุณจะลืมระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ทันที
4. อุปกรณ์เสริมหาง่าย
ด้วยความที่ iPhone เป็นสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมสูง มันจึงส่งผลให้คุณสามารถหาอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น เคส, เคสแบตสำรอง, ฟิล์มกันรอย, แท่นชาร์จไร้สาย, สายชาร์จ, หูฟังบลูทูธ (Airpods) และอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่ศูนย์บริการตามห้างขนาดใหญ่ไปจนถึงในตลาดนัดต่าง ๆ ก็ยังมีอุปกรณ์ของไอโฟนวางจำหน่าย นอกจากนั้นหากเครื่องไหนมีปัญหาคุณสามารถส่งซ่อมที่ศูนย์บริการซึ่งมีอยู่ทั่วทุกจังหวัดได้ทันที
5. ขายต่อราคาไม่ตก
ด้วยทุกข้อที่กล่าวไปข้างต้น มันจึงส่งผลให้ iPhone มีความทนทานสูง แม้จะผ่านการใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง 2 ปี 3 ปีแล้วก็ตาม iPhone ก็ยังคงสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด ซึ่งต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ๆ จึงส่งผลให้ iPhone มือสอง ยังคงมีหลาย ๆ คนต้องการอยู่ มันจึงยังพอขายได้ราคา

เรียงลำดับ iPhone รุ่นที่ดีและคุ้มค่าที่สุด
- iPhone 13 Pro Max
- iPhone 12 Pro Max
- iPhone 13 Pro
- iPhone 12 Pro
- iPhone 11 Pro Max
- iPhone 11 Pro
- iPhone 13
- iPhone 12
- iPhone 13 mini
- iPhone 12 mini
- iPhone SE
- iPhone 11
สำหรับสมาร์ทโฟนจาก Apple รุ่นล่าสุดซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย คือ iPhone 13 Mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ซึ่งทั้งหมดได้รับการปรับโฉมมาใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ประสิทธิภาพการทำงาน การถ่ายภาพ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ใส่เข้ามา หากคุณต้องการซื้อ iPhone 13 พร้อมโปรโมชั่น เราก็มีแนะนำครับ สามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ที่ เปรียบเทียบ ซื้อ iPhone 13 ค่ายไหนคุ้มสุด
- iPhone 13 Mini เป็นรุ่นที่เล็กที่สุด ซึ่งสเปกภายในจะเหมือน ๆ กับ iPhone 13 ทุกประการ เหมือนกับว่าเป็นการนำเอา iPhone 13 มาย่อขนาด เพื่อปรับลดราคาลงมา
- iPhone 13 จุดแตกต่างหลัก ๆ ก็คือ กล้องหลังไม่มีเลนส์ Tele มาให้ แต่ฟีเจอร์ต่าง ๆ ทำได้เหมือนรุ่นพี่ เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป ที่แค่เปิดแอปฯ ถ่ายรูป และรับชมคอนเทนท์ต่าง ๆ
- iPhone 13 Pro เหมาะกับคนที่ชอบขนาดไม่ใหญ่มาก พกพาใส่กระเป๋ากางเกงได้ ใช้งานมือเดียว ฟีเจอร์ทำได้แทบทุกอย่าง
- iPhone 13 Pro Max ด้วยหน้าจอใหญ่สุดแสดงรายละเอียดได้เต็มตา ฟีเจอร์จัดเต็มทุกอย่าง เหมาะกับคนนำไปใช้งานเป็นจริงเป็นจัง ถ่ายภาพนิ่ง บันทึกวิดีโอ และแบตเตอรี่ที่เยอะใช้งานได้นาน
ทั้ง 4 รุ่นดูเหมือนว่า iPhone 13 จะไม่ได้มีจุดแตกต่าง iPhone 13 Pro, 13 Pro Max หากมีงบประมาณจำกัด iPhone 13 เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ส่วนความจุมีให้เลือกหลากหลายครับ เพียงพอต่อถ่ายภาพ เปิดแอปพลิเคชัน บันทึกวิดีโอแน่นอน หากงบประมาณคุณมีเหลือ ๆ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max มันมีความคุ้มค่ามากกว่า ด้วยกล้องที่มีครบทุกเลนส์ ให้คุณสนุกการถ่ายภาพได้เต็มที่ โหมดถ่ายภาพหลายหลาก บันทึกวิดีโอทำออกมาได้เนียน ลื่นไหล และมีระบบกันสั่นที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม จุดนี้ถือว่าทำได้ดีถูกใจสาย Vlog สายยูทูปเบอร์ แน่นอน สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เปิดตัว iPhone 13 Pro Max / iPhone 13 Pro / iPhone 13 mini
รีวิว Apple iPhone SE 2022 (3rd generation)

ราคา 15,900 บาท*
มาเริ่มกันที่ iPhone SE (3rd generation) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปแบบสด ๆ ร้อน ๆ ครับ เป็นรุ่นน้องเล็กสุดที่มาพร้อมประสิทธิภาพอันเหลือร้าย ซึ่งถึงแม้จะมาในดีไซน์บอดี้แบบเก่า แต่ประสิทธิภาพภายในถูกอัปเกรดใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ใช้ ชิปประมวลผล A15 Bionic ชิปเซ็ตของ iPhone13 เรือธงของค่าย ซึ่งรองรับ 5G พร้อมกับเพิ่มแรม 4GB ส่งผลให้การประมวลผลด้านต่าง ๆ ทำได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีหน่วยประมวลผลให้เลือกตั้งแต่ 64GB, 128GB และสูงสุด 258GB ไม่ว่าจะเล่นเกมอะไรรุ่นนี้ก็ตอบโจทย์ด้วยความลื่นไหล ไม่มีสะดุดครับ
ในส่วนของหน้าจอ ใช้จอ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว พาแนล IPS ที่ให้การแสดงผลแบบ true tone และจอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3) ที่มีความสว่างสูงสุดที่ 625 นิต ทำให้คุณใช้งานได้ในทุก ๆ สภาพแสง ที่ถึงแม้มันจะเล็กไปสักหน่อย แต่ก็ใช้งานได้ดีครับ พร้อมกับมีปุ่ม Home บนหน้าจอ ซึ่งมาคู่กับ Touch ID เช่นเดิม นอกจากนี้ในส่วนของกล้องยังคงมาพร้อมกับกล้องหลัง 12MP ƒ/1.8 และกล้องหน้า 7MP ƒ/2.2 ครับ ส่วนแบตเตอรี่อึดขึ้น โดยใช้งานได้สูงสุด 15 ชม. พร้อมรองรับชาร์จไว 20 วัตต์
จุดเด่น
- ใช้ชิปประมวลผล A15 Bionic ที่รองรับ 5G (ซึ่งเป็นชิปเซ็ตของ iPhone13)
- ระบบประฏิบัติการใหม่ iOS 15
- ปุ่ม Home แบบใหม่ Touch ID ได้เร็วขึ้น และตัวปุ่มมีความแข็งแรงไม่ยุบได้ง่าย
- แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 15 ชม. และรองรับชาร์จไว 20 วัตต์
- ราคาประหยัด
ข้อควรพิจารณา
- หน้าจอมีขนาด 4.7 นิ้ว ซึ่งถือว่าเล็กมาก ๆ หากเทียบกับมือถือในปัจจุบัน
- ดีไซน์ยังคงเป็นแบบเก่า ทำให้มันดูล้าสมัย
- คุณภาพกล้องไม่โดดเด่น คุณภาพปานกลาง
น้ำหนัก | 144 กรัม |
---|---|
ขนาด | 138.4 × 67.3 × 7.3 มิลลิเมตร |
ระบบปฎิบัติการ | iOS 15 |
ขนาดหน้าจอ | 4.7 นิ้ว |
ความละเอียด | 1,334 × 750 พิกเซล (326 ppi) |
ซีพียู | A15 Bionic |
แรม | 4 GB |
หน่วยความจำ | 64GB, 128GB, 258GB |
แบตเตอรี่ | สูงสุด 15 ชม. (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง | 12MP |
กล้องหน้า | 7MP |
ปีที่เปิดตัว | 2022 |
รีวิว Apple iPhone 11

ราคา 18,690 บาท*
iPhone 11 รุ่นประหยัดในตระกูล iPhone 11 Series ครับ สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมจอภาพ Liquid Retina HD เป็น LCD ทั้งหน้าจอ ขนาด 6.1 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี IPS ให้สีสันที่สวยงาม มีความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล ที่ 326 ppi ช่วยให้ภาพมีความคมชัด ทุกรายละเอียด โดยมีความสว่างสูงสุด 625 นิต ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ในส่วนขุมพลังมาพร้อมกับ ชิปประมวลผล A13 Bionic ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถไช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเล่นเกม หรือทำอะไรก็ตาม สำหรับกล้องถ่ายภาพรุ่นนี้มาพร้อมกับ กล้อง TrueDepth 12MP และกล้องหลังแบบคู่ที่มีเลนส์ไวด์ และเลนส์อัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP โดยความพิเศษอยู่ที่โหมดอัจฉริยะที่ใส่มาให้ ช่วยให้การถ่ายภาพของคุณสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง ช่วยให้คุณสนุกกับการถ่ายภาพอย่างเต็มที่
จุดเด่น
- ใช้ชิปประมวลผล A13 Bionic ที่ตอบโจทย์การใช้งานด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
- หน้าจอ 6.1 นิ้ว ใช้งานมือเดียวได้ถนัด สะดวกสบาย
- ระบบกล้องคุณภาพกลาง ๆ ใช้งานได้
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่สามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 17 ชั่วโมง
ข้อควรพิจารณา
- รอยบากของกล้องหน้า มีขนาดใหญ่
- ใช้จอภาพ Liquid Retina HD แบบ LCD ซึ่งมีความละเอียดค่อนข้างต่ำ แต่ก็ให้ความคมชัดได้ในระดับนึง
- มีตัวเลือกหน่วยความจำสูงสุด 256GB
- จอภาพมีความสว่างสูงสุด 625 นิต (ทั่วไป) ไม่รองรับ HDR
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
น้ำหนัก | 194 ก. |
---|---|
ขนาด | 150.9 × 75.7 × 8.3 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 6.1 นิ้ว |
ความละเอียด | 1792 × 828 (326 ppi) |
ซีพียู | A13 Bionic |
แรม | 4GB |
หน่วยความจำ | 64GB / 128GB |
แบตเตอรี่ | 3,110mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า | 12MP |
ระบบปฎิบัติการ | iOS 13 |
ปีที่เปิดตัว | 2019 |
รีวิว Apple iPhone 12 Mini

ราคา 18,900 บาท*
มากันที่รุ่นราคาคุ้มค่า ในปัจจุบันครับ สำหรับ iPhone 12 Mini รุ่นน้องเล็ก ราคาประหยัด ในตระกูล iPhone 12 Series ที่แม้จะเปิดตัวไปนานแล้ว แต่ยังคุ้มค่าอยู่ไม่น้อยครับ โดยมาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR จอภาพ OLED ขนาด 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล ที่ 476 ppi พร้อม HDR ซึ่งมีความสว่างสูงสุด 625 นิต (ทั่วไป) ซึ่งน้อยกว่า iPhone 13 Mini ที่อยู่ระดับเดียวกัน ด้านขุมพลัง แม้จะเป็นรุ่นประหยัด แต่ก็มาพร้อมพลังจากชิป A14 Bionic ที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่สูง ช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างรวดเร็ว สามารถตอบโจทย์การใช้งานด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
สำหรับกล้องหลัง iPhone 12 Mini ใช้เลนส์คู่ ซึ่งมีเลนส์ไวด์ 12MP และเลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP ส่วนกล้องหน้า มาพร้อมเลนส์ 12MP เช่นเดียวกับ iPhone 12 ข่วยให้การถ่ายภาพ รุ่นนี้สามารถตอบโจทย์ได้ดีในระดับนึง ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หากคุณกำลังหามือถือราคาประหยัด แต่มีความเร็วและแรง สามารถเล่นเกมได้อย่างไหลลื่น แถมเน้นกะทัดรัด พกพาง่าย รุ่นนี้ก็คือคำตอบที่เหมาะกับคุณ
จุดเด่น
- ตัวเครื่องขนาดเล็ก พอดีมือ และมีน้ำหนักเบา
- ใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic ที่รองรับ 5G รองรับทุกการใช้งาน
- หน้าจอแบบเดียว iPhone 13 แต่มีขนาดเล็กกว่า อยู่ที่ 5.4 นิ้ว ช่วยให้ใช้งานมือเดียวได้ถนัด
- ระบบกล้องคุณภาพกลาง ๆ ใช้งานได้
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- มีราคาลดลงจากราคาเปิดตัวมาก
ข้อควรพิจารณา
- รอยบากของกล้องหน้า มีขนาดใหญ่
- หน้าจอค่อนข้างเล็ก และมีความละเอียดต่ำที่สุดในตระกูล iPhone 12 Series
- หน้าจอมีอัตราการรีเฟรช 60Hz
- มีตัวเลือกหน่วยความจำสูงสุด 256GB
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
- รองรับการชาร์จไว 20 วัตต์
น้ำหนัก | 194 กรัม |
---|---|
ขนาด | 150.9 x 75.7 x 8.3 มิลลิเมตร |
ขนาดหน้าจอ | 5.4 นิ้ว |
ความละเอียด | 2340 × 1080 (476 ppi) |
ซีพียู | A12 Bionic |
แรม | 4GB |
หน่วยความจำ | 64GB / 128GB / 256GB |
แบตเตอรี่ | 2,227 mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า |
|
ระบบปฎิบัติการ | iOS 14 |
ปีที่เปิดตัว | 2020 |
รีวิว Apple iPhone 12

ราคา 24,290 บาท*
iPhone 12 เป็นซีรี่ส์แรกที่มาในดีไซน์ย้อยยุคนิด ๆ โดยกลับไปใช้ขอบเครื่องแบบเหลี่ยม เหมือนในยุค iPhone 5 ซึ่งมีมาให้เลือกทั้งหมด 5 สีด้วยกัน สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว แบบ Super Retina XDR ที่มอบสีสันที่สวยงามคมชัด มีการใช้ Ceramic Shield ช่วยมอบความแข็งแรง เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ในด้านสเปก มาพร้อมกับความเร็ว ความแรง กว่าไอโฟนรุ่นก่อนมาก ทำงานด้วยชิพ A14 Bionic พร้อมระบบเซลลูลาร์ 5G ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้คุณไช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด
ในส่วนของการถ่ายภาพต้องบอกเลยว่า ไอโฟนได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นแล้ว ด้วยกล้องหลังคู่ 12MP มีเลนส์อัลตร้าไวด์ และไวด์ ในส่วนกล้องหน้า TrueDepth ใช้เลนส์ 12MP เช่นกัน โดยความพิเศษอยู่ที่โหมดอัจฉริยะมากมายที่ได้เข้ามาช่วยให้การถ่ายภาพของคุณสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และสามารถบันทึกวิดีโอได้ในระดับ 4K ในแบบ Dolby Vision เลยทีเดียว ส่งผลให้คุณสนุกได้กับการถ่ายภาพอย่างเต็มที่ พร้อมกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เพียงพอต่อการใช้งานทั้งวัน โดยสามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดที่ 17 ชั่วโมง เลยทีเดียว คุณสามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปสเปกของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น
จุดเด่น
- ดีไซน์เรียบหรูหรา สวยงาม ขนาดพอดีมือ
- ใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic ที่รองรับ 5G
- หน้าจอ 6.1 นิ้ว ใช้งานมือเดียวได้ถนัด สะดวกสบาย
- ระบบกล้องคุณภาพกลาง ๆ ใช้งานได้
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่สามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 17 ชั่วโมง
ข้อควรพิจารณา
- รอยบากของกล้องหน้า มีขนาดใหญ่
- หน้าจอยังไม่รองรับเทคโนโลยี ProMotion ใหม่ ที่มีใน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max
- มีตัวเลือกหน่วยความจำสูงสุด 256GB
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
- รองรับการชาร์จไว 20 วัตต์ เท่านั้น
น้ำหนัก | 162 ก. |
---|---|
ขนาด | 146.7 × 71.5 × 7.4 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 6.1 นิ้ว |
ความละเอียด | 2532 × 1170 (460 ppi) |
ซีพียู | A14 Bionic |
แรม | 4GB |
หน่วยความจำ | 64GB / 128GB / 256GB |
แบตเตอรี่ | 2,815mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า |
|
ระบบปฎิบัติการ | iOS 14 |
ปีที่เปิดตัว | 2020 |
รีวิว Apple iPhone 13 Mini

ราคา 25,900 บาท*
สำหรับ iPhone 13 Mini เป็นน้องเล็ก ราคาประหยัด ตัวใหม่ล่าสุด ในตระกูล iPhone 13 Series ซึ่งได้มีการพัฒนาขีดความสามารถในทุก ๆ ด้านให้ดียิ่งขึ้น โดยมาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR จอภาพ OLED ขนาด 5.4 นิ้ว พร้อม HDR ซึ่งมีความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล ที่ 476 ppi ความสว่างสูงสุด 800 นิต (ทั่วไป) ที่มีความสว่างเพียงพอสำหรับการใช้งาน ด้านขุมพลังได้จากชิป A15 Bionic ที่เหมือนกันกับรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์เดียวกัน ส่งผลให้มีการประมวลผลที่เร็ว และแรง สามารถตอบโจทย์ทุก ๆ การใช้งานได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของกล้องหลัง มาพร้อมกับเลนส์คู่ ก็คือ เลนส์ไวด์ 12MP และเลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP ส่วนกล้องหน้าใช้เลนส์ 12MP เรียกได้ว่า ทำทุกอย่างได้เหมือนกับ iPhone 13 เลย แต่หน้าจอที่เล็กกว่า ความจุแบตเตอรี่น้อยลง และอยู่ในบอดี้ที่เล็กกว่า เพื่อช่วยให้การถือใช้งานได้ถนัดมือมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยน้ำหนักที่เบาเพียงแค่ 140 กรัมเท่านั้น และที่สำคัญเลย iPhone 13 Mini ยังมาในราคาที่สบายกระเป๋ามาก ๆ
จุดเด่น
- ดีไซน์ขนาดพอดีมือ และน้ำหนักเบา แต่ยังคงมีความแข็งแรง ทนทาน
- ใช้ชิปประมวลผล A15 Bionic ที่รองรับ 5G ตัวท๊อปสุดของ iPhone
- มีตัวเลือกหน่วยความจำสูงสุด 512GB
- ระบบกล้องคุณภาพกลาง ๆ ใช้งานได้
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่สามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 17 ชั่วโมง
- ระบบประฏิบัติการใหม่ iOS 15 ที่มีความเสถียร
- มีราคาประหยัด
ข้อควรพิจารณา
- รอยบากของกล้องหน้า ยังคงมีขนาดใหญ่เช่นเดิม
- หน้าจอมีความละเอียดต่ำที่สุดในตระกูล iPhone 13 Series
- หน้าจอไม่รองรับเทคโนโลยี ProMotion
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
- รองรับการชาร์จไว 20 วัตต์
น้ำหนัก | 140 ก. |
---|---|
ขนาด | 131.5 × 64.2 × 7.65 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 5.4 นิ้ว |
ความละเอียด | 2340 × 1080 (476 ppi) |
ซีพียู | A15 Bionic |
แรม | 4GB |
หน่วยความจำ | 128GB / 256GB / 512GB |
แบตเตอรี่ | 2,406mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า |
|
ระบบปฏิบัติการ | iOS 15 |
ปีที่เปิดตัว | 2021 |
รีวิว Apple iPhone 13

ราคา 28,900 บาท*
ใครที่เน้นใช้งานทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม และไม่ได้เน้นการถ่ายรูปมากนัก iPhone 13 คือตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณครับเพราะเป็นสมาร์ทโฟนที่ได้ถูกอัปเกรดในส่วนของขนาดและแบตเตอรี่ให้ใหญ่และอึดขึ้นจาก iPhone 13 Mini ทำให้มีแบตเตอรี่ที่สามารถเล่นวิดีโอได้สูงสุดถึง 19 ชั่วโมงบน และไปลดคุณภาพกล้องลงจาก iPhone 13 Pro โดยกล้องหลัง มาพร้อมกับระบบกล้องคู่ คือ เลนส์ไวด์ 12MP และเลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP ส่วนกล้องหน้าก็ใช้ 12MP เช่นกัน ซึ่งในด้านประสิทธิภาพ มันยังคงมีคุณภาพสูงอยู่ คุณยังสามารถเก็บภาพความทรงจำดี ๆ ได้ แม้ในที่สภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้น 47% มีระบบกันสั่นแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งของเซนเซอร์ ทำให้ได้ภาพและวิดีโอที่สมูทมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม และอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณได้ภาพที่น่าประทับใจได้ง่าย ๆ ครับ แต่อาจจะไม่มีฟีเจอร์ถ่ายภาพบางอย่างเหมือนในรุ่นพี่ให้ใช้งาน
โดยมาพร้อมหน้าจอแสดงผล Super Retina XDR จอภาพ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ที่ให้ประสบการณ์การรับชมภาพ และเอฟเฟกต์ที่เหนือชั้นมากขึ้น ใช้ขุมพลังจากชิป A15 Bionic ตัวแรง ซึ่งเป็น CPU แบบ 6‑core ใหม่ ประกอบด้วย คอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ช่วยให้ทั้ง เร็ว แรง และประหยัด พร้อม GPU แบบ 4‑core ใหม่ ส่งผลให้การประมวลผลกราฟิกดีขึ้น และ Neural Engine แบบ 16‑core ใหม่ ทั้งหมดนี้สามารถใช้คุณใช้งานได้ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะใช้เล่นเกมหนักขนาดไหน รุ่นนี้ก็ตอบโจทย์ได้ในราคาเบา ๆ
จุดเด่น
- ดีไซน์เรียบหรูหรา ขนาดพอดีมือ แถมแข็งแรง ทนทาน
- ใช้ชิปประมวลผล A15 Bionic ที่รองรับ 5G ตัวท๊อปสุดของ iPhone
- มีตัวเลือกหน่วยความจำสูงสุด 512GB
- หน้าจอ 6.1 นิ้ว ใช้งานมือเดียวได้ถนัด สะดวกสบาย พร้อมคุณสมบัติที่ช่วยให้ตอบสนองได้เร็ว และลื่นไหล
- ระบบกล้องคุณภาพกลาง ๆ ใช้งานได้
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่สามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 19 ชั่วโมง
- ระบบประฏิบัติการใหม่ iOS 15 ที่มีความเสถียร
ข้อควรพิจารณา
- รอยบากของกล้องหน้า ยังคงมีขนาดใหญ่เช่นเดิม
- หน้าจอไม่รองรับเทคโนโลยี ProMotion
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
น้ำหนัก | 173 กรัม |
---|---|
ขนาด | 146.7 × 71.5 × 7.65 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 6.1 นิ้ว |
ความละเอียด | 2532 × 1170 (460 ppi) |
ซีพียู | A15 Bionic |
แรม | 4GB |
หน่วยความจำ | 128GB / 256GB / 512GB |
แบตเตอรี่ | 3,227mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า |
|
ระบบปฏิบัติการ | iOS 15 |
ปีที่เปิดตัว | 2021 |
รีวิว Apple iPhone 11 Pro

ราคา 29,900 บาท*
iPhone 11 Pro รุ่นกลางในตระกูล iPhone 11 Series ที่มาพร้อมกับ จอภาพ OLED แบบ Super Retina XDR ขนาด 5.8 นิ้ว มีความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล ที่ 458 ppi ให้ความคมชัด สีสันสดใส เป็นธรรมชาติ โดยมีมีความสว่างสูงสุด 800 นิต ในแบบทั่วไป และ 1,200 นิต แบบ HDR ทำให้สามารถเร่งความสว่างได้มากขึ้นเพื่อใช้งานในทุก ๆ สภาพแสง ทำงานด้วยชิปเช็ต A13 Bionic โดยเป็น CPU แบบ 6‑core แบ่งเป็นคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงานถึง 4 คอร์ มี GPU แบบ 4‑core และ Neural Engine แบบ 6‑core ด้วย ช่วยให้การประมวลผลทำได้อย่าง รวดเร็ว ลื่นไหล และไม่มีสะดุด รองรับการใช้งานทุก ๆ ด้านได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของกล้องจะเหมือนกับ iPhone 11 Pro Max เลย โดยมาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ได้แก่ เลนส์หลัก 12MP เลนส์ Ultra wide 12MP และเลนส์ Telephoto 12MP ส่วนกล้องหน้า 12MP เพิ่มคุณสมบัติการถ่ายภาพแบบครบครัน ช่วยให้การถ่ายภาพของคุณมีความหลากหลายมากขึ้น สามารถเก็บภาพได้อย่างคมชัด เป็นธรรมชาติ มีมุมมองกว้างขึ้น และมีโหมดการถ่ายภาพอีกมากมายให้คุณได้ใช้งาน ตอบโจทย์ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอเลย ใครต้องการกล้องระดับแต่อยู่ในบอดี้ที่เล็กลง พกพาง่ายขึ้น รุ่นนี้เหมาะมาก ๆ ครับ
จุดเด่น
- ดีไซน์ตัวเครื่องเรียบหรูหรา ขนาดพอเหมาะ จับถือได้ง่าย
- ใช้ชิปประมวลผล A13 Bionic
- ขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว ขนาดกำลังดี ใช้งานได้สะดวก
- จอ Super Retina XDR แบบ OLED ที่ให้ความสว่างสูงเท่ากับ iPhone 12 Pro Max พร้อมรองรับ HDR10
- กล้องหลัง 3 เลนส์ ระดับโปร พร้อมคุณสมบัติมากมาย
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ สามารถเล่นวิดีโอได้สูงสุดถึง 18 ชั่วโมง
ข้อควรพิจารณา
- ไม่รองรับ 5G
- หน้าจออัตราการรีเฟรช 60Hz
- รอยบากของกล้องหน้า มีขนาดใหญ่
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
- รองรับการชาร์จไว 18 วัตต์
- เปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2019
น้ำหนัก | 188 ก. |
---|---|
ขนาด | 144 × 71.4 × 8.1 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 5.8 นิ้ว |
ความละเอียด | 1125 × 2436 (458 ppi) |
ซีพียู | A13 Bionic |
แรม | 4GB |
หน่วยความจำ | 64GB / 256GB / 512GB |
แบตเตอรี่ | 3,046mAh (ชาร์จไว 18W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า | 12MP |
ระบบปฎิบัติการ | iOS 13 |
ปีที่เปิดตัว | 2019 |
รีวิว Apple iPhone 12 Pro

ราคา 34,500 บาท*
iPhone 12 Pro มีความแตกต่าง iPhone 12 เล็กน้อยเท่านั้นครับ โดยทั้งคู่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Super Retina XDR พาแนล OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi มีความสว่างสูงสุด 1,200 นิต (HDR) ช่วยให้สามารถเร่งความสว่างได้มากกว่าเดิม ตอบโจทย์การใช้งานในทุกสภาพแสง ทำงานด้วยชิปประมวลผล A14 Bionic รองรับ 5G โดยเป็น CPU แบบ 6‑core แบ่งเป็นคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงานถึง 4 คอร์ GPU แบบ 4‑core และยังมาพร้อมกับ Neural Engine แบบ 16‑core ด้วย ช่วยให้การประมวลผลทำได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด
โดยจุดที่จะต่างกันคือการถ่ายภาพ โดย iPhone 12 มาพร้อมกล้องหลัง 2 เลนส์ ส่วน iPhone 12 Pro จะมาพร้อมกับกล้องหลัง 4 เลนส์ ได้แก่ เลนส์หลัก 12MP เลนส์ Ultra wide 12MP เลนส์ Telephoto 12MP และเลนส์ depth TOF 3D LiDAR scanner ช่วยให้การถ่ายภาพ มีความหลากหลายมากขึ้น เก็บภาพออกมาสวยชัดเป็นธรรมชาติ มีมุมมองกว้างขึ้น และมีระบบถ่ายภาพอีกมากมายให้คุณได้ใช้งาน ส่วนกล้องหน้ามาพร้อมเลนส์ 12MP พร้อมฟีเจอร์ที่เหมือนกันทั้งหมดครับ ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปสเปกของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น
จุดเด่น
- ดีไซน์ตัวเครื่องหรูหราเหนือระดับ แถมแข็งแรง ทนทาน สามารถกันน้ำและกันฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic ที่รองรับ 5G
- มีตัวเลือกหน่วยความจำสูงสุด 512GB
- ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ขนาดกำลังดี ใช้งานได้สะดวก พร้อมคุณสมบัติที่ช่วยให้ตอบสนองได้เร็ว และลื่นไหล
- จอ Super Retina XDR แบบ OLED ที่ให้ความสว่างสูงเท่ากับ iPhone 12 Pro Max พร้อมรองรับ HDR10
- กล้องหลัง 4 เลนส์ ระดับโปร พร้อมคุณสมบัติมากมาย
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ สามารถเล่นวิดีโอได้สูงสุดถึง 17 ชั่วโมง
ข้อควรพิจารณา
- รอยบากของกล้องหน้า ยังคงมีขนาดใหญ่
- หน้าจออัตราการรีเฟรช 60Hz
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
น้ำหนัก | 187 ก. |
---|---|
ขนาด | 146.7 × 71.5 × 7.4 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 6.1 นิ้ว |
ความละเอียด | 2532 × 1170 (460 ppi) |
ซีพียู | A14 Bionic |
แรม | 6GB |
หน่วยความจำ | 128GB / 256GB / 512GB |
แบตเตอรี่ | 2,815mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า |
|
ระบบปฎิบัติการ | iOS 14 |
ปีที่เปิดตัว | 2020 |
รีวิว Apple iPhone 11 Pro Max

ราคา 34,900 บาท*
มาต่อกันที่รุ่นเก่าที่เปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2019 อย่าง iPhone 11 Pro Max กันบ้างครับ ซึ่งถึงแม้จะเก่าแล้ว แต่นี่ก็เป็นอดีตเรือธงของแอปเปิ้ลที่ได้เริ่มต้นเทคโนโลยีอันล้ำสมัยไว้มากมาย ดังนั้นเมื่อเทียบราคาที่ปรับลดลงกับสเปกที่คุณจะได้รับก็ถือว่ายังมีความคุ้มค่าอยู่ไม่น้อยครับ โดยมาในดีไซน์ขอบโค้งมนรุ่นสุดท้าย ก่อนเปลี่ยนมาเป็นขอบเหลี่ยม แสดงผลบนจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อม HDR มีความละเอียด สูงถึง 2688 x 1242 พิกเซล พร้อมการแสดงผลแบบ True Tone และขอบเขตสีกว้าง (P3) ให้ภาพที่คมชัด สีสันสดใส
ในส่วนของกล้อง iPhone 11 Pro Max จะมาพร้อมกล้องหน้า 12MP และกล้องหลังทั้งหมด 3 เลนส์ ก็คือ เลนส์หลัก 12MP เลนส์ Wide 12MP และเลนส์ Telephoto 12MP ช่วยให้การเก็บภาพทำได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ที่มีแสงน้อย หรือแสงจ้า พร้อมฟังก์ชันการถ่ายภาพต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้ง ระบบป้องกันภาพสั่นไหวคู่แบบออปติคัล โหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมกับโบเก้ที่สมจริง การคุมระยะชัดลึก การจัดแสงภาพถ่ายบุคคลพร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ และ HDR อัจฉริยะ ตอบโจทย์สำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดีครับ ทั้งภาพนิ่ง หรือแม้แต่ภาพเคลื่อนไหว นอกจากนี้ก็ยังมีความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สามารถรองรับการเล่นวิดีโอได้สูงสุดถึง 20 ชั่วโมง ตอบโจทย์การใช้งานทั่งวันได้แบบสบาย ๆ
จุดเด่น
- ดีไซน์ตัวเครื่องดูเรียบหรู ขอบเครื่องโค้งมนช่วยให้จับถนัดมือ
- ใช้ชิปประมวลผล A13 Bionic ที่มีประสิทธิภาพ
- ขนาดหน้าจอใหญ่ 6.5 นิ้ว ตอบสนองเร็ว ลื่นไหล
- หน้าจอ Super Retina XDR แบบ OLED ที่ให้ความสว่างมาก ใช้งานได้ทุกสภาพแสง
- กล้องหลัง 3 เลนส์ ระดับโปร พร้อมคุณสมบัติมากมาย
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ที่ทรงพลังสามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 20 ชั่วโมง
ข้อควรพิจารณา
- ดีไซน์ตัวเครื่องมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนัก ทำให้มันไม่เหมาะสำหรับทุกคน
- ไม่รองรับ 5G
- หน้าจออัตราการรีเฟรชเพียง 60Hz
- รอยบากของกล้องหน้า มีขนาดใหญ่
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
- รองรับการชาร์จไว 18 วัตต์
- เปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2019
น้ำหนัก | 226 ก. |
---|---|
ขนาด | 158 × 77.8 × 8.1 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 6.5 นิ้ว |
ความละเอียด | 1242 × 2688 (458 ppi) |
ซีพียู | A13 Bionic |
แรม: | 4GB |
หน่วยความจำ | 64GB / 256GB / 512GB |
แบตเตอรี่ | 3,969mAh (ชาร์จไว 18W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า | 12MP |
ระบบปฎิบัติการ | iOS 13 |
ปีที่เปิดตัว | 2019 |
รีวิว Apple iPhone 13 Pro

ราคา 37,700 บาท*
สำหรับสาวกแอปเปิลคนไหนที่ต้องการจะอัพเดตมาใช้สมาร์ทโฟนระดับโปร iPhone 13 Pro ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่ารุ่นนี้จะมีขนาดหน้าจอที่เท่ากันกับ iPhone 13 แต่คุณสมบัติอีกหลาย ๆ อย่างก็แตกต่างกันมากพอสมควรเลยทีเดียว โดยทั้ง 2 รุ่น ใช้หน้าจอ Super Retina XDR เป็นจอภาพ OLED ทั้งหน้าจอ ขนาด 6.1 นิ้ว พร้อม HDR มีความละเอียดอยู่ที่ 2532 x 1170 พิกเซล ที่ 460 ppi เท่ากัน แต่ iPhone 13 Pro จะมีเทคโนโลยี ProMotion ที่มีอัตราการดึงข้อมูลใหม่ 120Hz ส่งผลให้มันใช้งานได้ลื่นไหลกว่า และมีความสว่างสูงสุด 1,000 นิต (ทั่วไป) เหมือนกับหน้าจอของ iPhone 13 Pro Max
โดยความคุ้มค่าอยู่ที่กล้องถ่ายภาพครับ จากที่ iPhone 13 เป็นแค่กล้องคู่ธรรมดา ๆ ใน iPhone 13 Pro ได้ถูกยกระดับให้เป็นกล้องระดับโปรที่มีกล้องเทเลโฟโต้เพิ่มเข้ามาเป็น 4 เลนส์ ได้แก่ เทเลโฟโต้, ไวด์, อัลตร้าไวด์ และสแกนเนอร์ LiDAR โดยจะเหมือนกับกล้องของ iPhone 13 Pro Max ทุกประการ ช่วยให้การถ่ายภาพและวิดีโอ จากกล้องหลังชุดนี้ ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น ในส่วนของสเปก iPhone 13 Series จะมาพร้อมกับชิป A15 Bionic ตัวแรงของค่ายอยู่แล้ว ฉะนั้นมันสามารถตอบสนองทุกความต้องการด้วยรวดเร็วอย่างแน่นอนครับ พร้อมทั้งให้แบตเตอรี่ที่อึด ใช้งานได้นานขึ้น และนอกจากที่กล่าวไปแล้ว iPhone 13 Pro ก็ยังอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ล้ำ ๆ อีกเพียบที่รอให้คุณได้พิสูจน์ด้วยตัวของคุณเองจุดเด่น
- ดีไซน์ตัวเครื่องหรูหรา ขนาดพอดีมือ แถมแข็งแรง ทนทาน กันน้ำและกันฝุ่นได้อย่างยอดเยี่ยม
- ใช้ชิปประมวลผล A15 Bionic ที่รองรับ 5G ตัวท๊อปสุดของ iPhone
- มีตัวเลือกหน่วยความจำทุกระดับ
- หน้าจอ 6.1 นิ้ว ใช้งานมือเดียวได้ถนัด สะดวกสบาย พร้อมคุณสมบัติที่ช่วยให้ตอบสนองได้เร็ว และลื่นไหล
- หน้าจอ OLED ที่สว่างที่สุด เท่าที่เราเคยเห็น ในบรรดา iPhone
- หน้าจอรองรับ HDR10 และมีเทคโนโลยี ProMotion อัตราการรีเฟรช 120Hz ให้ความนุ่มนวลมากขึ้น
- กล้องหลัง 4 เลนส์ ระดับโปร พร้อมคุณสมบัติมากมาย ให้ภาพที่น่าประทับใจทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่สามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 22 ชั่วโมง
- ระบบประฏิบัติการใหม่ iOS 15 ที่มีความเสถียร
ข้อควรพิจารณา
- รอยบากของกล้องหน้า ยังคงมีขนาดใหญ่เช่นเดิม
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
น้ำหนัก | 203 ก. |
---|---|
ขนาด | 146.7 × 71.5 × 7.65 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 6.1 นิ้ว |
ความละเอียด | 2532 × 1170 (460 ppi) |
ซีพียู | A15 Bionic |
แรม | 6GB |
หน่วยความจำ | 128GB / 256GB / 512GB / 1TB |
แบตเตอรี่ | 3,095mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า |
|
ระบบปฏิบัติการ | iOS 15 |
ปีที่เปิดตัว | 2021 |
รีวิว Apple iPhone 12 Pro Max

ราคา 39,900 บาท*
มาต่อกันที่อดีตตัวท๊อปอย่าง iPhone 12 Pro Max กันบ้างครับ ซึ่งถือเป็นรุ่นเรือธงของแอปเปิ้ล ที่มีสเปกและมีการอัพเกรดเพิ่มเติมจาก iPhone 12 Pro พอสมควร โดยใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic พร้อมแรม 6GB ช่วยให้มันเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลด้านต่าง ๆ การถ่ายภาพ การบันทึกวิดีโอ หน้าจอ แบตเตอรี่ และอื่น ๆ มีการแสดงผลภาพบนหน้าจอ OLED เป็น Super Retina XDR ขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว พร้อม HDR 10 ซึ่งให้ภาพที่มีความคมชัดสูง พร้อมความสว่างที่มากขึ้น ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ในทุก ๆ สภาพแสง
ในส่วนของกล้อง iPhone 12 Pro Max จะมีเซ็นเซอร์ขนาดที่ใหญ่กว่า iPhone 12 Pro อยู่เล็กน้อย โดยมาพร้อมเลนส์ 4 ตัว คือ เลนส์หลัก 12MP เลนส์ Ultrawide 12MP เลนส์ Telephoto 12MP และเลนส์ depth TOF 3D LiDAR scanner ช่วยให้การเก็บภาพทำได้ดีทั้งในที่ที่มีแสงน้อย และแสงจ้า ส่วนฟังก์ชันต่าง ๆ มีเหมือน ๆ กัน โดยสรุปสิ่งที่คุณจะได้จาก iPhone 12 Pro Max หลัก ๆ เลย นั่นคือ หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น, มีความละเอียดสูงขึ้น, ระบบกล้องที่ดีขึ้น และแบตที่อึดขึ้น เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปสเปกของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น
จุดเด่น
- ดีไซน์ตัวเครื่องหรูหราเหนือระดับ แถมแข็งแรง ทนทาน สามารถกันน้ำและกันฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic ที่รองรับ 5G
- มีตัวเลือกหน่วยความจำสูงสุด 512GB
- ขนาดหน้าจอใหญ่ 6.7 นิ้ว ใช้งานได้สะดวก พร้อมคุณสมบัติมากมาย ช่วยให้ตอบสนองเร็ว ลื่นไหลไม่มีสะดุด
- หน้าจอ Super Retina XDR แบบ OLED ที่ให้ความสว่างมาก ใช้งานได้ทุกสภาพแสง และรองรับ HDR10
- กล้องหลัง 4 เลนส์ ระดับโปร พร้อมคุณสมบัติมากมาย
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ทรงพลังสามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 20 ชั่วโมง
ข้อควรพิจารณา
- ดีไซน์ตัวเครื่องมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนัก ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน
- หน้าจออัตราการรีเฟรชเพียง 60Hz
- รอยบากของกล้องหน้า ยังคงมีขนาดใหญ่
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
น้ำหนัก | 228 ก. |
---|---|
ขนาด | 160.8 × 78.1 × 7.4 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 6.7 นิ้ว |
ความละเอียด | 2778 × 1284 (458 ppi) |
ซีพียู | A14 Bionic |
แรม | 6GB |
หน่วยความจำ | 128GB / 256GB / 512GB |
แบตเตอรี่ | 3,687mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า |
|
ระบบปฎิบัติการ | iOS 14 |
ปีที่เปิดตัว | 2020 |
รีวิว Apple iPhone 13 Pro Max

ราคา 42,900 บาท*
และแล้วก็มาถึงไอโฟนรุ่นท็อปสุด ณ ปัจจุบันนี้ นั่นก็คือ iPhone 13 Pro Max ครับ ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนระดับโปรที่ทำงานได้เร็วและแรงที่สุดในขณะนี้ ด้วยชิป A15 Bionic ตัวใหม่ล่าสุด จากทาง Apple พร้อมแรม 6GB ทำให้การประมวลผลมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในทุก ๆ ด้านการออกแบบตัวเครื่องก็ยังคงไว้ซึ่งความเรียบหรูดูดี ด้านหลังจะเป็นแบบด้าน ขอบเครื่องเตนเลสสตีลผิวมันวาว แสดงผลบนหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว รับกับขนาดและน้ำหนักที่พอดีมือ หน้าจอใหญ่ขึ้นแบบนี้ สายเกม สายโซเชียลมีเดีย หรือสายทำคอนเทนต์ก็ใช้งานได้ฟินกว่า แถมหน้าจอก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทำงานได้ลื่นขึ้นกว่ารุ่นที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
มาต่อกันที่ระบบกล้องของ iPhone 13 Pro Max ถือเป็นการอัปเดตกล้องที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาบน iPhone ให้พลัง ระดับโปรไม่ว่าคุณจะถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอ สามารถถ่ายภาพที่น่าประทับใจได้ ไม่ว่าจะมีแสงมากหรือแสงน้อยอย่างตอนกลางคืนก็ตาม กล้องตัวนี้ก็สามารถให้ภาพที่ออกมาดูสวยงาม สมบูรณ์แบบ และจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างก็คือ ระยะเวลาการใช้งาน ครับ เพราะรุ่นนี้สามารถใช้งานได้นานที่สุด อึดที่สุด ในบรรดาไอโฟนทุกรุ่น แถมยังรองรับชาร์จไว 25 วัตต์ อีกด้วย เรียกได้ว่า iPhone 13 Pro Max ตัวนี้เป็นรุ่นโปรที่มีความโปรอยู่เต็มเปี่ยมสมชื่อของมันจริง ๆ ซึ่งยังไม่หมดเพียงเท่านี้ คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ เปิดตัว iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น
จุดเด่น
- ดีไซน์ตัวเครื่องหรูหราเหนือระดับ แถมแข็งแรง ทนทาน สามารถกันน้ำและกันฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ชิปประมวลผล A15 Bionic ที่รองรับ 5G ตัวท๊อปสุดของ iPhone
- มีตัวเลือกหน่วยความจำทุกระดับ
- ขนาดหน้าจอใหญ่ 6.7 นิ้ว ใช้งานได้สะดวก พร้อมคุณสมบัติมากมาย ช่วยให้ตอบสนองเร็ว ลื่นไหลไม่มีสะดุด
- หน้าจอ OLED ที่สว่างที่สุด เท่าที่เราเคยเห็น ในบรรดา iPhone
- หน้าจอรองรับ HDR10 และมีเทคโนโลยี ProMotion อัตราการรีเฟรช 120Hz ให้ความนุ่มนวลมากขึ้น
- กล้องหลัง 4 เลนส์ ระดับโปร พร้อมคุณสมบัติมากมาย ให้การถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด
- รองรับ Face ID หรือการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ทรงพลังสามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 28 ชั่วโมง
- ระบบประฏิบัติการใหม่ iOS 15
ข้อควรพิจารณา
- ดีไซน์ตัวเครื่องมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนัก
- รอยบากของกล้องหน้า ยังคงมีขนาดใหญ่เช่นเดิม ไม่ต่างจาก iPhone 12
- ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
น้ำหนัก | 238 ก. |
---|---|
ขนาด | 160.8 × 78.1 × 7.7 มม. |
ขนาดหน้าจอ | 6.7 นิ้ว |
ความละเอียด | 2778 × 1284 (458 ppi) |
ซีพียู | A15 Bionic |
แรม | 6GB |
หน่วยความจำ | 128GB / 256GB / 512GB / 1TB |
แบตเตอรี่ | 4,352mAh (ชาร์จไว 20W) |
กล้องหลัง |
|
กล้องหน้า |
|
ระบบปฏิบัติการ | iOS 15 |
ปีที่เปิดตัว | 2021 |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
ตารางเปรียบเทียบ ซื้อ iPhone รุ่นไหนดี ปี 2022 | ||||
---|---|---|---|---|
ยี่ห้อ/รุ่นสินค้า | คุณสมบัติ | ดูเพิ่มเติม | ||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
|
แต่หากคุณมีงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด iPhone 12 Series ก็ยังคงน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจาก iPhone 13 Series เพิ่งเปิดตัวออกมา ส่งผลให้เจนฯ ก่อนหน้ามีการปรับราคาลดลง นั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้ใช้มือถือที่มีประสิทธิภาพสูง ๆ ในราคาที่ประหยัด ซึ่งเอาจริง ๆ แค่กล้องของ iPhone 12 หรือแม้แต่ iPhone 11 ก็ถ่ายภาพออกมาสวยงามมากแล้วครับ
จุดเด่นหลัก ๆ ของ iPhone 12
1. ดีไซน์ที่แตกต่าง
สำหรับ iPhone ก่อนหน้านี้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ขอบตัวเครื่องแบบโค้งมน ช่วยใช้คุณจับถือได้อย่างถนัดมือมากขึ้น ซึ่งใน iPhone ตั้งแต่เจน 6 มาถึงเจน 11 ดีไซน์ภายนอกหากมองแบบผ่าน ๆ จะแยกได้ยากมาก เพราะมันเหมือน ๆ กันหมด ส่วนใน iPhone 12 รุ่นใหม่ ย้อนกลับไปใช้ขอบตัวเครื่องแบบเหลี่ยม ออกแบบผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งมันทำให้ตัวเครื่องดูสวยขึ้นมาก
2. กล้อง
สำหรับ iPhone มาจุดเด่นเรื่องกล้องมายาวนาน ซึ่งใน iPhone 12 ก็ได้ทำการอัปเกรดระบบกล้องใหม่ มีการเพิ่มเลนส์ต่าง ๆ เข้ามา ช่วยให้คุณเก็บภาพได้ในองศาที่แตกต่าง ได้ภาพที่คมชัดทุกรายละเอียด สีสันสมจริง ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการถ่ายภาพต่าง ๆ อีกมากมายให้ได้ใช้งาน รวมไปถึงการบันทึกวิดีโอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย
3. หน้าจอและขนาด
iPhone 12 มาพร้อมหน้าจอแสดงผล แบบ OLED เป็น Super Retina XDR ซึ่งจะมีพิกเซลมากกว่ารุ่นก่อน ๆ ถึง 2 เท่า และมีความสว่างสูงสุดถึง 1,200 นิต ช่วยให้หน้าจอสว่างมากกว่ารุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมี Ceramic Shield ซึ่งมันช่วยให้หน้าจอและตัวเครื่องมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า
บทสรุป
iPhone ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความคุ้มค่าเหมาะสมกับราคาค่าตัว ซึ่งเมื่อนำไปเที่ยกับคุณสมบัติต่าง ๆ และประสิทธิภาพที่คุณจะได้รับแล้วมันเป็นราคาที่เหมาะสม ทั้งตัวบอดี้ที่มีความแข็งแรง ทนทาน กล้องถ่ายรูปที่สามารถถ่ายได้สวย สีสันสมจริง เป็นธรรมชาติ ทั้งยังมีฟังก์ชั่นต่าง ๆ อีกมากมายให้คุณได้เล่น สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ไม่อยากใช้ iPhone เพียงเพราะว่ามันมีราคาสูง เราอยากให้คุณได้ลองใช้แล้วคุณจะเข้าใจเองว่าทำไม iPhone ถึงมีราคาสูงกว่าปกติ สุดท้ายนี้หากใครอยากจะขายเครื่องเก่ามาซื้อเครื่องใหม่ เราก็มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากด้วยครับ ข้อแนะนำก่อนขาย iPhone เครื่องเก่า และวิธีลงขาย iPhone ในอินเทอร์เน็ต