คะแนนความพึงพอใจโดยรวม 8.8 เต็ม 10
![]() |
|
IMOU Bullet 2 เป็นซีรี่ส์กล้องวงจรปิดภายนอก รุ่นยอดนิยม ที่บันทึกภาพได้คมชัดมาก ๆ ทั้ง กลางวัน และกลางคืน แต่กลับมาในราคาที่คุ้มค่าสุด ๆ เริ่มต้นแค่หลักร้อยเท่านั้นเอง ซึ่งซีรี่ส์นี้จะมี 3 รุ่น 6 ราคา แต่ละรุ่นจะมีความละเอียดให้เลือกระหว่าง 2MP และ 4MP เท่ากันหมด ต่างกันที่ฟังก์ชันเท่านั้น โดยรุ่นเริ่มต้นคือ Bullet 2C ราคาเริ่มต้น 900 บาท ซึ่งภาพกลางคืนจะเป็นขาวดำครับ ส่วนอีก 2 รุ่นจะเก็บภาพสีได้ 24 ชม. คือ Bullet 2E เริ่มต้น 1,200 บาท และ Bullet 2 รุ่นท๊อป เริ่มต้น 1,500 บาท ซึ่งจะเหมือนกันทุกอย่างเลย แต่รุ่นท๊อปจะมีลำโพงเพิ่มเข้ามา ทำให้คุยสองทางกับคนที่อยู่หน้ากล้องได้ ซึ่งส่วนตัวไม่ได้ใช้ เราจึงเลือกซื้อ IMOU Bullet 2E 4MP มารีวิวครับ
หากวันนี้คุณกำลังมองหา กล้องวงจรปิด ดี ๆ สักตัว มาติดตั้งเป็นตัวแรก เราขอแนะนำ IMOU Bullet 2E 4MP กล้องวงจรปิดไร้สายคุณภาพสูง แต่กลับมาในราคาที่ถูกสุด ๆ สามารถจับภาพได้คมชัดถึงระดับ 2K เสริมด้วย Smart Color Night Vision ช่วยให้ภาพตอนกลางคืนชัดเจนยิ่งขึ้น แถมเก็บภาพสีได้ 24 ชม. อีกด้วย มีระบบ AI อัจฉริยะมาช่วยตรวจจับมนุษย์ และตรวจจับการเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ พร้อมแจ้งเตือนไปยังแอปฯ บนมือถือทันที นอกจากนี้ตัวกล้องยังมีมาตรฐาน IP67 ให้ด้วย มันจึงกันได้ทั้งแดด และฝนเลย ใช้งานได้ยาว ๆ แน่นอนครับ เดี่ยววันนี้ เรามาไปดูกันครับว่า เจ้า Bullet 2E ที่เราเลือกมานี้จะคุ้มค่า และน่าสนใจมากแค่ไหน ?
คลิปรีวิว IMOU life Bullet 2E 4MP กล้องวงจรปิด Wi-Fi กันแดด กันน้ำ ราคา 1,4xx บาท
คุณสมบัติเด่นของ IMOU life Bullet 2E 4MP

สำหรับ IMOU Bullet 2E 4MP เป็นกล้องวงจรปิดราคาแค่พันกว่าบาทเท่านั้นครับ แต่สิ่งที่ได้มาส่วนตัวมองว่า มันคุ้มค่ามาก ๆ โดยเหตุผลที่ตัดสินใจซื้อรุ่นนี้มารีวิว ก็เพราะภาพที่คมชัดถึงระดับ 2K ให้วิดีโอคุณภาพสูง ทั้ง กลางวัน และกลางคืนเลย ซึ่งถ้าเทียบกับกล้องที่แพงกว่า ภาพจากรุ่นนี้จะดูคมชัดและมีสีสันที่สดกว่าพอสมควรเลย เดี๋ยวเราค่อยเอาตัวอย่างมาเทียบให้เห็นกันไปเลย แต่ข้อเสียคือ ฟังก์ชันให้มาค่อนข้างน้อยครับ ดังนั้นถ้าคุณเน้นบันทึกภาพอย่างเดียว รุ่นนี้จะถือว่าคุ้มค่าสุด ๆ ครับ และนี่ก็คือคุณสมบัติที่เด่น ๆ ของรุ่นนี้ที่เราสรุปมาครับ
- เซ็นเซอร์รับภาพความไวสูง ความละเอียด 4MP
- ให้ภาพความละเอียดสูงสุดระดับ 2K ที่เฟรมเรท 30fps
- Smart Color Night Vision ช่วยให้ภาพตอนกลางคืน มีความคมชัดขึ้น
- มีไฟสปอร์ตไลท์ในตัว ช่วยให้สามารถบันทึกภาพสีตลอด 24 ชั่วโมงได้
- โหมดการถ่ายภาพกลางคืนอัจฉริยะ 4 โหมด ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดที่สุด
- ระบบ AI Human Detection ใช้ AI เข้ามาตรวจจับมนุษย์ ซึ่งทำได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ
- สามารถกำหนดโซน หรือพื้นที่ในการตรวจจับได้
- มีแจ้งเตือนไปยังแอปฯ บนมือถือของเราทันที เมื่อมันตรวจพบบุคคล หรือการเคลื่อนไหว
- ตัวกล้องใช้วัสดุเป็นโลหะ แถมกันน้ำระดับ IP67 ช่วยให้ติดตั้งภายนอกได้
- บันทึกด้วยมาตรฐานใหม่ H.265 ที่ให้ภาพคมชัด แต่ไฟล์เล็กลงจากมาตรฐานเก่าถึง 2 เท่า
- มี Wi-Fi Hotspot ในตัว ช่วยให้เชื่อมต่อ เพื่อรับชมวิดีโอย้อนหลังได้ โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต
- รองรับการจัดเก็บวิดีโอได้หลายช่องทาง ทั้ง SD Card ในตัว และสามารถซื้อกล่อง NVR หรือเช่าพื้นที่ Cloud ได้
- แอปพลิเคชัน Imou Life ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ดูสวยงาม ใช้งานง่าย
ข้อมูลจำเพาะของ IMOU life Bullet 2E 4MP (คลิก)
![]() |
|
คำตัดสินโดยรวมของ กล้องวงจรปิด IMOU life Bullet 2E 4MP
IMOU life Bullet 2E 4MP เป็นกล้องวงจรปิด ราคาไม่แพงครับ แต่คุณจะได้กล้องที่ทนต่อสภาพอากาศ ติดตั้งนอกบ้านได้สบาย ๆ ตัวกล้องสามารถบันทึกภาพได้คมชัดมาก ๆ ทั้งกลางวัน และกลางคืน เสริมด้วยไฟสปอร์ตไลท์ที่ช่วยให้บันทึกภาพสีชัดเจน แม้ว่าจะมืดสนิท ในส่วนฟังก์ชันตรวจจับ รุ่นนี้ใช้ระบบ AI มาคอยตรวจจับมนุษย์ และการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เมื่อตรวจพบ จะมีการแจ้งเตือนไปยังมือถือทันที และคุณยังตั้งค่าให้กล้องเปิดไฟสปอตไลท์ เพื่อไล่ผู้บุกรุกได้ด้วย แต่รุ่นนี้จะไม่มีลำโพงนะครับ ทำให้ไม่มีเสียงไซเรน และใช้พูดคุยไม่ได้ ส่วนการบันทึกรุ่นนี้ทำได้หมดครับ โดยภายในตัวกล้องรองรับการ์ด micro SD ได้สูงสุดถึง 256GB เก็บภาพได้นานหลายวัน
แต่ข้อเสียใหญ่คือ ฟังก์ชันให้มาค่อนข้างน้อยครับ ทำให้ตัวแอปฯ Imou ดูเรียบง่ายมาก ๆ แม้กระทั่งฟังก์ชันพื้นฐาน อย่าง การโหลดวิดีโอบน SD Card มันก็ทำไม่ได้นะครับ ทำได้แค่ดูวิดีโอย้อนหลังเท่านั้น แต่ถ้าเราจะโหลดวิดีโอเราทำได้ 2 วิธีครับ วิธีแรกคือ การซื้อแพ็คเกจ Imou Protect ที่จะมีค่าใช้จ่ายทั้ง รายเดือน และรายปี ซึ่งในแพ็คเกจนี้เราจะได้เพิ่มมา 5 ฟังก์ชัน ได้แก่ พื้นที่คลาวด์, AI ตรวจจับที่ดีขึ้น, การแชร์กล้องได้มากขึ้น, การดาวน์โหลดวิดีโอ และรายงานครับ ส่วนวิธีที่สองไม่ต้องเสียเงินเพิ่มครับ เพียงแค่เราไปดูวิดีโอย้อนหลัง แลัวเลือกช่วงเวลาที่ต้องการ จากนั้นกดบันทึกวิดีโอเองครับ แต่วิธีนี้เวลาอาจจะไม่ค่อยตรงนะครับ ดังนั้นขอแนะนำให้เผื่อเวลามากขึ้นหน่อย
ความแตกต่างระหว่าง Bullet 2C, Bullet 2E และ Bullet 2
อย่างที่บอกครับว่า IMOU Bullet 2 เป็นซีรี่ส์กล้องวงจรปิดไร้สายรุ่นยอดนิยม ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ซีรี่ส์นี้ขายดีก็เพราะว่า แบรนด์ IMOU ได้ทำออกมาหลายรุ่นมาก ๆ มีตั้งแต่ ราคาหลักร้อย ไปจนถึงหลักพันบาทเลย โดยมันจะมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Bullet 2C เป็นรุ่นเริ่มต้น ที่เน้นการจับภาพขั้นพื้นฐาน, Bullet 2E รุ่นที่เราหยิบมารีวิว เป็นรุ่นกลาง ที่บันทึกภาพสีได้ และ Bullet 2 รุ่นท๊อปสุด ซึ่งทำได้ทุกอย่าง แถมให้ฟังก์ชันมากที่สุดด้วย ซึ่งก็อยู่ที่คุณแล้วล่ะครับว่า ต้องการจะใช้ฟังก์ชันใดบ้าง ? โดยเราได้ทำตารางสรุป เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นดังนี้ครับ
![]() IMOU Bullet 2C 4MP (รุ่นเริ่มต้น) | ![]() IMOU Bullet 2E 4MP | ![]() IMOU Bullet 2 4MP (รุ่นท๊อป) |
฿1220.00 (รุ่น 4MP)* | ฿1495.00 (รุ่น 4MP)* | ฿1633.00 (รุ่น 4MP)* |
|
|
|
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
ซึ่งข้อดีอีกอย่างนึงของซีรี่ส์ IMOU Bullet 2 นี้ก็คือ ความละเอียดที่ให้มาเท่ากันในทุก ๆ รุ่นย่อย โดยทั้ง 3 รุ่นย่อย จะมีความละเอียดให้เลือกอยู่ 2 ระดับ ครับ ได้แก่ 2MP และ 4MP ดังนั้นหมายความว่า ถึงแม้คุณจะซื้อรุ่นที่ถูกที่สุดมา แต่สิ่งที่คุณจะได้ คือ ภาพที่คมชัดพอ ๆ กับรุ่นท๊อปเลย แต่อาจจะมีมุมมองภาพต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น แทบมองไม่ออก ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องใช้ในการตัดสินใจ คือ ฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีงบฯ จำกัด การบันทึกภาพสี 24 ชม. ไม่จำเป็นจะต้องมีก็ได้ครับ เพราะกล้องมีอินฟาเรดอยู่แล้ว หรือถ้าหากใครต้องการพูดคุยกับคนที่อยู่หน้ากล้องด้วย คุณก็ต้องซื้อกล้องที่มีลำโพงในตัว
อุปกรณ์ภายในกล่อง
|
|
ดีไซน์การออกแบบตัวกล้อง

สำหรับดีไซน์การออกแบบของ Bullet 2E มาในรูปแบบคลาสสิกครับ ลักษณะคล้ายกับแก้วไวด์ โดยมีเซ็นเซอร์รับภาพหลักอยู่ด้านหน้า ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยไฟ LED 2 ดวง ส่วนด้านบนตัวเลนส์ จะเป็นไฟแสดงสถานะ และด้านล่างจะมีไมโครโฟนอยู่ ส่วนขากล้องใช้ข้อต่อโลหะที่ปรับงอได้ และตัวฐานออกแบบมาให้เหมาะกับการติดตั้งที่ฝาผนังเท่านั้นครับ แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องติดบนฝ้าเพดานจริง ๆ ก็สามารถทำได้ครับ เพียงแต่ภาพที่ได้จะกลับหัวอยู่ ดังนั้นจะต้องเข้าไปปรับภาพในแอปฯ ก่อน

ด้านการเชื่อมต่อ รุ่นนี้จะมาพร้อมเสาอากาศสำหรับรับสัญญาณ Wi-Fi ติดตั้งมา 2 เสา พร้อมกับมีสายเคเบิล แยกออกมาเป็น 2 พอร์ต คือ พอร์ตไฟเลี้ยง และพอร์ต LAN (RJ-45) สําหรับเชื่อมต่อกับสาย LAN ครับ ส่วนช่อง microSD Card และปุ่ม Reset จะถูกซ่อนอยู่ด้านใต้ตัวกล้องครับ แถมจะถูกปิดล็อคด้วยน็อตอีก 2 ตัว ทำให้การจะขโมย SD Card ไม่ง่ายเลย แถมยังมีการใส่ปุ่มกดมาที่ฝาปิดด้วย ช่วยให้สามารถกดปุ่ม Reset จากภายนอกได้เลย โดยไม่ต้องขันน็อตออก และไม่ต้องหาเข็มจิ้มมาใช้ ซึ่งถ้าเรากดปุ่ม Reset ค้างไว้ 10 วินาที มันจะเป็นการรีเซ็ตตัวกล้อง คืนค่าจากโรงงานครับ

ในแง่ของขนาด Bullet 2E ถือว่าเล็กมาก ๆ ครับ โดยจะมีขนาดอยู่ที่ 14.7 × 7.4 × 7.4 ซม. และหนักแค่ 280 ก. กรัม เท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นโลหะจริง ๆ นับว่าเบามาก ยิ่งพอเราได้นำมาติดตั้งคู่กับ TP-Link VIGI C540-W เพื่อจะบันทึกภาพมาเปรียบกัน ก็เห็นได้ชัดเลยครับว่า รุ่นนี้จะเล็กกว่าเกือบครึ่งนึง
ส่วนวัสดุตัวกล้อง ในความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัส ส่วนตัวคิดว่า เป็นพลาสติกที่แข็ง แต่พอไปดูในสเปกที่ระบุไว้บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ มีระบุว่า บอดี้กล้องจะผลิตจากวัสดุที่เป็นโลหะ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไร แต่ที่แน่ ๆ มันแข็งแรงมากพอสมควรเลย พร้อมเพิ่มความมั่นใจ ด้วยมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67 ช่วยให้ติดตั้งได้ทั้ง ในบ้าน และนอกบ้าน แต่ถึงแม้มันจะกันแดด กันฝนได้ก็จริง แต่ทางที่ดีเราขอแนะนำให้ติดตั้งในที่ร่มจะดีกว่าครับ เพื่อยืดอายุ
ความเห็นส่วนตัว ด้านดีไซน์การออกแบบ : สำหรับ Bullet 2E 4MP ถือว่ามีการออกแบบที่ดีมาก ๆ ครับ ทั้ง หน้าตาที่มีดีไซน์แบบคลาสสิค ขนาดที่ค่อนข้างเล็กกะทัดรัด และตำแหน่งของส่วนประกอบต่าง ๆ ก็ถูกจัดวางมาเป็นอย่างดี แต่ขากล้องแบบนี้ อาจจะทำให้การติดตั้ง และปรับมุมภาพตามที่เราต้องการทำได้ยากสักหน่อยครับ ถึงแม้ว่าข้อต่อของรุ่นนี้ จะสามารถหมุนได้รอบทิศทาง และปรับขึ้นลงได้ด้วยมือ แต่ภายในเป็นโลหะ ทรงกลมธรรมดา ๆ ไม่ได้มีกลไกพิเศษ เมื่อใช้ไปนาน ๆ โดนแดด โดนฝน หรือมีการปรับมุมกล้องหลาย ๆ ครั้งเข้า มันก็อาจจะฝืด หรือรูดได้ครับ ดังนั้นเราขอแนะนำให้คุณติดตั้งในที่ร่มจะดีกว่าครับ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น
การติดตั้งและใช้งานแอปพลิเคชัน IMOU life – ลองใช้จริง
สำหรับกล้อง IMOU Bullet 2E 4MP มาพร้อมกับแอปฯ IMOU life ที่รองรับทั้ง iOS และ Andriod เลย ซึ่งถูกออกแบบ และพัฒนามาดีมาก ๆ ครับ โดยมีหน้าตา UI ที่เรียบร้อย แถมดูเข้าใจง่ายมาก ๆ ทำให้สามารถใช้งานได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้เลย ส่วนข้อเสียคือ ฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ให้มา อาจจะมีน้อยไปหน่อยครับ แถมบางฟังก์ชันพื้นฐานบางอย่างก็ต้องซื้อแพ็ตเก็จเสริมรายเดือนเพิ่มเติม ซึ่งเดียวเราค่อยมาลงรายละเอียดกัน ตอนนี้เรามาดูวิธีการติดตั้งใช้งานกล้องกันก่อนดีกว่าครับ
การติดตั้งแอปฯ IMOU life บนสมาร์ทโฟน
|
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน IMOU lifeคุณสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน IMOU life ได้ง่าย ๆ เพียงคลิกที่ลิงค์ด้านบน หรือเข้าไปที่ Play Store (สำหรับอุปกรณ์ Android) หรือ App Store (สำหรับ iPhone หรือ iPad) จากนั้นพิมพ์ค้นหาแอปฯ ที่ชื่อว่า IMOU life |

หลังจากที่ได้ดาวน์โหลด และติดตั้งแอปพลิเคชัน IMOU life มาแล้ว เมื่อคุณเปิดขึ้นมา แอปฯ จะบังคับให้เราลงชื่อเข้าใช้ก่อนครับ ถ้าคุณมีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว ก็สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เลย แต่หากคุณยังไม่มีบัญชีผู้ใช้ ก็สามารถลงทะเบียนได้อย่างง่ายดายในไม่กี่ขั้นตอนครับ โดยตัวแอปฯ จะเป็นภาษาไทยทั้งหมด ทำให้สามารถทำตามขั้นตอนได้ง่ายมาก ๆ
การใช้งานแอปพลิเคชัน IMOU life
สำหรับ แอปพลิเคชัน IMOU life ทาง IMOU ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ครับ ดูดี เรียบง่าย แถมเป็นภาษาไทยทั้งหมด ช่วยให้เราเข้าใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้งานเลย ซึ่งในการจัดการตัวกล้อง หน้าแรกจะมีเมนูให้เราครบครันเลยครับ โดยหลัก ๆ จะมีจอภาพให้เราใช้ดูภาพเรียลไทม์ครับ หากมีการแจ้งเตือนการเคลื่อนไหว เราสามารถกดเข้ามาดูภาพได้ทันที แถมยังซูมได้อีก 8x

โดยที่มุมขวาบน จะเป็นปุ่มสร้างทางลัดที่จอมือถือ และปุ่มการตั้งค่า สำหรับตั้งค่าต่าง ๆ ของกล้อง ถัดลงมาก็เป็นภาพตัวอย่าง และปุ่มพื้นฐาน 5 ปุ่มครับ ประกอบด้วย ปุ่ม Play ปุ่มดูภาพ 4 จอ (สำหรับคนที่มีกล้องหลาย ๆ ตัว) ปุ่มปรับความละเอียด ปุ่มเปิดปิดเสียง และปุ่มขยายภาพครับ ส่วนด้านล่างก็เป็นส่วนของการบันทึกภาพครับ โดยในกรอบสีส้มเล็ก ๆ จะเป็นการเข้าไปดูภาพย้อนหลัง ถัดลงมาเราสามารถสั่งเปิด-ปิดไฟ กดถ่ายภาพ หรือบันทึกภาพ แบบเรียลไทม์ได้ทันที และปุ่มสุดท้ายคือบริการเสริม
ซึ่งในหน้าดูภาพย้อนหลัง แทบไม่มีอะไรซับซ้อนเลย โดยเราเลือกได้ว่า จะบันทึกในคลาวด์ (ที่จะต้องซื้อบริการเสริมรายเดือน) จะบันทึกใน SD Card หรือจะบันทึกลงทั้งคู่ และก็ยังเลือกได้ว่า จะให้บันทึกตลอดเวลา หรือบันทึกเฉพาะการเคลื่อนไหว ซึ่งในภาพด้านบนจะเป็นการบันทึกการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ครับ โดยจะมีแถบวันที่ และเวลา มาให้เรา หากช่วงไหนมีการบันทึกก็จะเป็นแถบสีส้ม เราก็สามารถเลื่อนดูได้ง่าย ๆ เลย แต่น่าเสียดายที่แอปฯ ตัวนี้ไม่มีปุ่มดาวน์โหลดภาพมาให้ครับ ทำให้เราโหลดภาพที่อยู่ใน SD Card ไม่ได้ ซึ่งต้องซื้บริการเสริม จึงจะโหลดภาพได้ แต่ก็ยังดีที่มีแต่ปุ่มถ่ายภาพ และบันทึกภาพมาให้ครับ ทำให้เราสามารถกดบันทึกภาพ จากภาพวิดีโอย้อนหลังได้ ภาพที่เราต้องการก็จะมาอยู่ในมือถือของเราแล้วครับ

อย่างที่บอกครับ ข้อเสียของรุ่นนี้คือ ฟังก์ชันบางอย่าง เราต้องซื้อบริการเสริมเพิ่ม โดยจะต้องจ่ายรายเดือน ซึ่งทาง IMOU จะมีแพ็คเกจชื่อ Imou Protect ที่จะมี 3 ระดับ คือ Lite, Basic และ Plus โดย Lite จะมีราคาต่ำที่สุดอยู่ที่ประมาณ 68 บาท / เดือน / กล้อง 1 ตัว ครับ ซึ่งถ้าเราใช้งานแบบฟรี ฟังก์ชันในตารางก็จะใช้ไม่ได้ครับ
ความเห็นส่วนตัว ด้านแอปพลิเคชั่น : ส่วนตัวเราคิดว่า การออกแบบแอปฯ ทำออกมาได้ดีมาก ๆ อยู่แล้ว แต่การโหลดภาพที่บันทึกอยู่ในการ์ด SD จากระยะไกล ควรจะให้เป็นพื้นฐานมากกว่า เพราะหลาย ๆ รุ่นก็ให้มาเป็นพื้นฐานกันหมด ในส่วนพื้นที่ระบบคลาวด์ การตรวจจับ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และอื่น ๆ จะเก็บเงินเพิ่มอันนี้ไม่ว่าเลย ซึ่งถ้าถามว่าใช้งานฟรีได้มั๊ย คำตอบคือ ได้ครับ เพราะฟังก์ชันพื้นฐานอื่น ๆ ยังมีให้ใช้ฟรีอยู่ ส่วนการดาวน์โหลดภาพ เรายังพอจะสามารถไปกดบันทึกในวิดีโอที่บันทึกได้ครับ แต่อาจจะยุ่งยากกว่ารุ่นอื่น ๆ หน่อย เพราะรุ่นอื่นจะแยกเป็นไฟล์ ๆ ไว้ให้เลย ทำให้กดโหลดออกมาได้ทันที
ทดสอบเชื่อมต่อกล้อง IMOU Bullet 2E 4MP เข้ากับแอปพลิเคชัน IMOU life

ในขั้นตอนแรกคุณต้องทำการเปิดตัวกล้องเตรียมไว้ก่อน โดยการเสียบสายอแดปเตอร์ที่ให้มาในกล่อง ซึ่งรุ่นนี้ให้มายาวมาก ๆ ครับ จากนั้นก็รอให้กล้องเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อย ซึ่งไฟสถานะที่หน้ากล้องกระพริบเป็น สีเขียว แล้ว แแปลว่า ตัวกล้องพร้อมสำหรับการเชื่อมต่อกับแอปฯ แล้ว หลังจากนั้นให้เราเข้าแอปฯ IMOU life ล็อคอินให้เรียบร้อย แอปฯ จะพาเราเข้าสู่หน้าแรกดังภาพครับ จากนั้นให้แตะ + ที่มุมขวาบน แล้วเลือกเมนู สแกนรหัส QR แล้วให้เราไป สแกน QR Code บนตัวกล้อง

หลังจากที่เราสแกน QR Code บนตัวกล้องเรียบร้อยแล้ว มันจะแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ของตัวกล้องขึ้นมา ให้เราแตะ ถัดไป มาเรื่อย ๆ ครับ จนถึงขั้นตอนที่ 4 ให้เราแตะ เชื่อมต่อ จากนั้นก็มาเลือก เครือข่าย Wi-Fi ที่เราต้องการจะใช้งาน และ ใส่รหัส Wi-Fi ให้เรียบร้อย แล้วแตะ ถัดไป เพื่อให้แอปฯ ทำการจับคู่กับตัวกล้อง

ซึ่งใช้เวลารอไม่นานครับ แอปฯ จะพาเราเข้ามาในขั้นตอนที่ 8 โดยในหน้านี้มันจะให้เรา ใส่รายละเอียดต่าง ๆ ของกล้องตัวนี้ว่า ติดตั้งบริเวณไหน ? เช่น ประตูหน้า โรงรถ ฯลฯ จากนั้นเลือก ภูมิภาค เพื่อกำหนดโซนและรูปแบบเวลา และส่วนสุดท้ายคือ สถานที่ที่เราติดตั้งกล้อง ครับ เมื่อใส่รายละเอียดครบแล้วให้เราแตะ ถัดไป เป็นอันเรียบร้อยครับ กล้องที่เราเพิ่มจะไปแสดงผลอยู่ที่หน้าหลักของแอปฯ ซึ่งเราสามารถเข้าไปจัดการกล้องได้ง่าย ๆ ผ่านหน้านี้
ความเห็นส่วนตัว ด้านการเชื่อมต่อกล้อง : ต้องยอมรับเลยว่า ในด้านการเชื่อมต่อกล้อง ทาง IMOU ทำออกมาได้ง่ายมาก ๆ ครับ เมนูภาษาไทยต่าง ๆ ก็ไม่ผิดเพี้ยนเลย เราสามารถจะทำตามได้อย่างง่ายดาย ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ
ทดลองใช้จริง – ดูความละเอียดของภาพ

มาดูรายละเอียดทางเทคนิคสำหรับใช้บันทึกภาพกันบ้างครับ ซึ่ง Bullet 2E 4MP มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ 1/2.7” Progressive CMOS ที่มีความละเอียด 4MP ซึ่งบันทึกภาพได้คมชัดถึงระดับ 2K ความละเอียด 2560 × 1440 ที่เฟรมเรท 25-30fps เลยครับ ซึ่งถือว่าสูงมาก ๆ สำหรับกล้องวงจรปิด โดยทำงานจับคู่กับเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสคงที่ 2.8mm, 3.6mm และ 6mm ซึ่งให้มุมมองภาพที่จัดว่ากว้างพอสมควรเลยครับ
ซึ่งเพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราได้นำกล้องวงจรปิดรุ่นยอดนิยมทั้ง IMOU Bullet 2E 4MP และ TP-Link VIGI C540-W มาติดตั้งไว้คู่กัน จะได้ดูกันว่า ภาพจากกล้องราคาพันกว่าบาท กับกล้องราคาเกือบสามพันต่างกันอย่างไร ? โดยที่เราจะไล่ตั้งแต่ ช่วงกลางวัน กลางคืน และโหมดกลางคืนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ครับ
ทดสอบ – ภาพวิดีโอในเวลากลางวัน

ซึ่งจากสเปกของตัวกล้อง ทำให้การเก็บภาพในเวลากลางวันที่มีแสงสว่างมากพอ เราแทบไม่ต้องพูดถึงเลยก็ได้ครับ เพราะด้วยเซ็นเซอร์ และเลนส์ที่ใช้ ล้วนมีคุณภาพสูง ดังนั้นภาพที่ได้จึงชัดเจนมาก ๆ อยู่แล้ว สามารถจะเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ได้ครบ อีกทั้งรุ่นนี้ยังสามารถซูมดิจิตอลได้ถึง 8 เท่า ซึ่งมีประโยชน์มาก ๆ ครับ ถึงแม้ภาพจะมีอาการแตกอยู่บ้าง แต่ยังพอมองออกครับว่า เค้าโครง และใบหน้าของคนที่เดินอยู่เป็นอย่างไร ?

โดยถ้านำภาพมาเทียบกับกล้อง VIGI C540-W ที่มีความละเอียด 4MP เท่ากัน แต่มีราคาที่แพงกว่า เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เจ้า Bullet 2E สามารถให้ภาพที่คมชัด และมีสีสันที่สดใสกว่า ซึ่งจากภาพตัวอย่าง ทั้งคู่บันทึกภาพในเวลาเดียวกันเลย แต่ภาพทางซ้ายจะดูสว่าง และสีสันสดใสกว่าเล็กน้อยครับ สังเกตุที่รถจักรยานยนต์ ภาพทางซ้ายก็ยังพอมองเห็นสีของรถอยู่ครับ แต่ถ้ามองไปที่คนที่อยู่ระยะไกล ภาพทางขวาจะทำได้ดีกว่า โดยเฉพาะในตอนซูม
ทดสอบ – ภาพในเวลากลางคืน โดยปิดทั้ง ไฟ LED และไฟอินฟาเรด

แน่นอนครับ การติดตั้งกล้องวงจรปิดเราควรให้ความสำคัญกับการจับภาพในเวลากลางคืนมาก ๆ เพราะคนร้ายส่วนใหญ่ มักย่องเข้ามาในยามวิกาล ดังนั้นกล้องวงจรปิดที่ดีควรจะต้องบันทึกภาพในที่แสงน้อยได้คมชัดด้วย ซึ่งเราได้นำ Bullet 2E 4MP และ VIGI C540-W ที่โดดเด่นด้านการบันทึกภาพตอนกลางคืนมาวางในมุมเดียวกัน เพื่อนำภาพที่ได้ มาดูเปรียบเทียบกัน โดยทั้งคู่ถือว่าทำได้ดีเลย ถึงแม้เราจะยังไม่ได้เปิด ไฟ LED และไฟอินฟาเรด มีแค่ไฟถนน 2-3 ดวง แต่ทั้งคู่ก็ยังสามารถบันทึกภาพสีได้

จากภาพตัวอย่างทั้ง 2 ภาพ เป็นภาพจากกล้องเพียว ๆ ที่อาศัยไฟจากถนนเท่านั้น ไม่ได้เปิดไฟสปอร์ตไลท์ LED ที่ตัวกล้องเลย ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเลยครับว่า ภาพทางซ้ายของ Bullet 2E 4MP จะให้สีสันที่ดูสวย และคมชัดกว่า แต่ในส่วนที่มืด มันจะมืดจนมองรายละเอียดไม่ค่อยเห็น ในขณะที่ภาพทางขวาจาก VIGI C540-W จะดูสว่างกว่าเล็กน้อยครับ ซึ่งจะต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่า ถ้าดูในแอปฯ ภาพของทั้งคู่จะดูสว่าง และคมชัดกว่านี้หน่อยนะครับ จนสามารถซูมใบหน้าจนมองเห็นได้ชัดเจนเลย
ทดสอบ – ภาพในเวลากลางคืน โดยเปิดโหมดอินฟาเรด

สําหรับการถ่ายภาพกลางคืนด้วยระบบอินฟาเรดทั้งสองรุ่นถือว่าทำได้ดีมาก ๆ ครับ โดยเฉพาะเมื่อมีคนมาอยู่หน้ากล้อง ทั้งคู่มันสามารถจับภาพใบหน้าได้อย่างชัดเจนครับ ยิ่งภาพที่ได้มาจาก Imou Bullet 2E ก็จะดูสว่างน้อยกว่า ภาพจาก VIGI C540-W อยู่เล็กน้อยครับ ช่วยให้เราสามารถเห็นรายละเอียดบนใบหน้าได้ชัดเจนกว่าครับ

แต่ถ้าอยู่ในระยะไกล ลองสังเกตุที่ประตูรั้ว ต้นไม้บริเวณกำแพง และคนที่นั่งบนมอเตอร์ไซค์ เราก็จะเห็นเลยว่า ภาพของ Bullet 2E ในส่วนที่มืดจะดูมืดมาก ๆ ทำให้มองแทบไม่เห็นรายละเอียดอะไรเลย แต่ภาพของ VIGI C540-W จะดูสว่างกว่า ทำให้มองเห็นรายละเอียดในระยะไกลได้ดีกว่าครับ ดังนั้นรุ่นนี้จึงเหมาะจะติดตั้งไว้ในบริเวณทางผ่าน เช่น ประตู หน้าต่าง หรือประตูรั้วหน้าบ้านครับ
ทดสอบ – ภาพในเวลากลางคืน โดยเปิดไฟสปอร์ตไลท์ LED

อย่างที่บอกครับว่า การบันทึกภาพในเวลากลางคืนของทั้ง 2 รุ่น สามารถบันทึกภาพสีได้เหมือนกันครับ โดยมันจะมีโหมดให้เราเลือกใช้งานอยู่ 2 โหมด ได้แก่ โหมดไฟสปอร์ตไลท์ LED ไว้ตลอดเวลา โดยจะเปิดไฟ LED ขึ้นมา อัตโนมัติ เมื่อมันตรวจพบว่าแสงโดยรอบน้อยลง หรือโหมดเปิดไฟสปอร์ตไลท์ LED อัตโนมิติ เมื่อตรวจพบการเคลื่อนไหว แบบในภาพตัวอย่าง ซึ่งเราต้องขอบอกเลยว่า ทั้ง Bullet 2E และ VIGI C540-W ต่างทำออกมาได้ดีด้วยกันทั้งคู่ครับ โดยไฟสปอร์ตไลท์ของ VIGI จะดูสว่างกว่านิดหน่อยครับ
แต่การจะเปิดไฟสปอร์ตไลท์ตลอดเวลา เราไม่แนะนำนะครับ เพราะมันอาจจะมีปัญหาในเรื่องของความร้อนได้ ขนาดยังไม่เปิดไฟเราก็รู้สึกเลยว่า ตัวกล้องมันอุ่น ๆ แล้ว ถ้าเปิดไฟไปด้วย มันจะร้อนกว่านี้พอสมควรเลย ดังนั้นเพื่อยืดอายุการใช้งานตัวกล้องให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น แนะนำให้ใช้วิธีเปิดเมื่อตรจจับการเคลื่อนไหวได้จะดีกว่าครับ
ความเห็นส่วนตัว ด้านความคมชัดของภาพทั้ง กลางวัน และกลางคืน : สำหรับภาพที่บันทึกออกมาจากเจ้า IMOU Bullet 2E 4MP ต้องยอมรับเลยว่า บันทึกภาพออกมาได้คมชัดมาก ๆ ทั้ง กลางวัน และกลางคืนเลย ซึ่งถ้าหากเทียบกับกล้องที่แพงกว่าอย่าง VIGI C540-W เราก็จะเห็นเลยครับว่าภาพที่ได้แทบจะไม่ต่างกันเลย โดยส่วนใหญ่จะแตกต่างกันที่ความสว่างของภาพเท่านั้น โดยเฉพาะในตอนกลางวัน รุ่นนี้ทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ เนื่องจากให้ภาพที่มีความสว่างน้อยกว่า ทำให้ภาพตอนที่มีแสงดูคมชัดกว่าทั้ง ระยะไกล้ และระยะไกล แต่ตอนกลางคืนรุ่นนี้อาจจะสู้ไม่ได้ครับ เพราะในระยะไกลภาพจะค่อนข้างมืด ส่วนสิ่งที่ต่างกันจริง ๆ ก็คือฟังก์ชันต่าง ๆ ที่น้อยกว่ามากครับ
เทคโนโลยีการตรวจจับ พร้อมการแจ้งเตือนต่าง ๆ

หลังจากที่เราได้ติดตั้งใช้งานกล้อง IMOU Bullet 2E 4MP มาระยะนึง เราต้องยอบรับเลยครับว่า ถึงแม้ว่าจะมีแค่การตรวจจับมนุษย์ และการตรวจจับการเคลื่อนไหวมาให้เพียง 2 อย่าง แต่ก็เพียงพอแล้วครับ สำหรับการใช้งานทั่ว ๆ เพราะสามารถทำงานได้ดีเลย เพียงแต่รุ่นนี้อาจจะไม่ได้แยกย่อยได้ละเอียดมากนักครับ (ซึ่งเราไม่ได้ซื้อแพ็คเก็จรายเดือนเพิ่มนะครับ) นอกจากนี้ในการตรวจจับเราสามารถกำหนดโซนได้ด้วยนะครับ ซึ่งจุดนี้ทำได้ละเอียดเลยครับ ช่วยให้ลดการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดได้ดีมาก ๆ เพราะบางรุ่น แค่ลมพัดใบไม้ ต้นไม้ หรือมีรถขับผ่าน มันก็จะเตือนเราทั้งหมด แต่รุ่นนี้เราสามารถจะกำหนดพื้นที่ในการตรวจจับโดยเลือกส่วนที่ไม่มีการขยับได้ เช่น หน้าประตู หรือหน้าต่าง
ส่วนด้านการแจ้งเตือนต่าง ๆ รุ่นนี้ก็ทำได้อย่างรวดเร็วครับ ซึ่งจะแจ้งเตือนมายังมือถือของเราทันที เมื่อมีการตรวจจับ Human Detection ได้ และเมื่อกล้องอยู่ในสถานะออฟไลน์ โดยการเตือนของรุ่นนี้ถือว่าทำได้รวดเร็วมาก ๆ ครับ เราสามารถรับรู้ได้ในทันที เมื่อมีสิ่งแปลก ๆ ในบ้านเรา ซึ่งถ้าหากเป็นช่วงเวลากลางคืนเราสามารถเปิดไฟสปอร์ตไลท์ เพื่อไล่ผู้บุกรุกออกไปได้ครับ แต่รุ่นนี้จะไม่มีเสียงไซเรนนะครับ
ความเห็นส่วนตัว ด้านเทคโนโลยีการตรวจจับ พร้อมการแจ้งเตือนต่าง ๆ : ถึงแม้ว่า IMOU Bullet 2E 4MP จะมีการแค่ 2 ระบบ เท่านั้น คือ การตรวจจับมนุษย์ และการตรวจจับเคลื่อนไหว แต่ทั้ง 2 ระบบนี้ ก็ทำงานได้ดีมาก ๆ เช่นกันครับ แถมการแจ้งเตือนก็แม่นยำพอสมควรเลย การที่จะแตือนมามั่ว ๆ มีค่อนข้างน้อยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหมา แมว หรือรถ ที่ผ่านหน้ากล้องเท่านั้น
คะแนนความพึงพอใจต่อ IMOU Bullet 2E 4MP
![]() |
![]() |
คะแนนความพึงพอใจโดยรวม 8.8 เต็ม 10
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
ความคิดเห็นของเราต่อ IMOU Bullet 2E 4MP
ซื้อเลย ถ้าหาก :
- ซื้อเลยหากคุณมีงบประมาณที่จํากัด : หากคุณมีงบฯ ที่จํากัด Imou Bullet 2 เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ครับ เพราะข้อดีคือ รุ่นนี้ถูกที่สุด (ราคาหลักร้อย) มีความละเอียดเท่า ๆ กับรุ่นที่แพงกว่าเลย แต่มีการตัดฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นออก เพื่อทำให้มีราคาถูกลง
- ซื้อเลยหากคุณต้องการกล้องที่ติดตั้งใช้งานได้ง่าย ๆ : สำหรับ IMOU Bullet 2E 4MP จะเป็นกล้องวงจรปิดไร้สายที่เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้ ดังนั้นคุณสามารถติดตั้งตรงไหนก็ได้ในระยะสัญญาณ Wi-Fi โดยไม่ต้องเดิน สาย LAN เลย แต่จุดนั้นต้องมีปลั๊กไฟด้วยนะครับ นอกจากนี้ตัวแอปฯ IMOU life ที่เป็นภาษาไทย ก็ใช้งานง่ายมาก ๆ ด้วย
- ซื้อเลยหากคุณต้องการภาพที่คมชัด สามารถเก็บภาพสีตอนกลางคืนได้ : จากการทดสอบของเรา คุณก็จะเห็นเลยว่า Bullet 2E 4MP สามารถบันทึกภาพตอนกลางคืนได้อย่างคมชัดครับ ไม่ว่าคุณจะ เปิดไฟสปอร์ตไลท์ หรือเปิดระบบอินฟาเรด
- ซื้อเลยหากคุณมีแพลนที่จะอัปเกรดเป็นระบบ NVR ในอนาคต : กล้องของ IMOU สามารถบันทึกภาพได้ทั้ง บน microSD Card ในตัว, ระบบ Cloud ออนไลน์ และกล่อง NVR ที่บันทึกลงบนฮาร์ดดิสก์ (HDD) ดังนั้นคุณสามารถใช้กล้องตัวนี้ได้อย่างอิสระ หากในอนาคตคุณซื้ออุปกรณ์มาเพิ่ม คุณก็สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ครับ
อย่าซื้อ ถ้าหาก :
- อย่าซื้อถ้าหากคุณต้องการความยืดหยุ่นในการติดตั้งกล้อง : กล้อง Imou Bullet 2 จำเป็นจะต้องใช้ไฟเสี้ยงด้วยเสมอครับ ไม่ว่าคุณจะเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi หรือสาย LAN ก็ตาม ดังนั้นหากคุณต้องการติดตั้งในจุดที่ไม่มีปลั๊กไฟ คุณจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเพิ่มปลั๊กไฟตรงจุดนั้น
- อย่าซื้อถ้าหากคุณต้องการติดกล้องจากชั้น 2 ของบ้าน : จากภาพตัวอย่างที่เราทดสอบ คุณจะเห็นเลยว่า ในระยะใกล้ กล้องรุ่นนี้จะทำได้ดีมาก ๆ ครับ ดีกว่ากล้องแพง ๆ อีก แต่ในระยะไกลมันจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ หากเทียบกับ VIGI C540-W รุ่นที่แพงกว่า ก็จะเห็นความแตกต่าง
- อย่าซื้อถ้าหากคุณเน้นใช้งานฟังก์ชันทั้ง การโหลดภาพ, การพูดคุยหน้ากล้อง ฯลฯ : อย่างที่บอกครับ ฟังก์ชันของรุ่นนี้ให้มาค่อนข้างน้อย แถมฟังก์ชันที่ควรจะให้มาเป็นพื้นฐานอย่าง การดาวน์โหลดภาพจากระยะไกล เราก็ยังต้องจ่ายรายเดือน เพื่อที่จะดาวน์โหลดภาพออกมาง่ายขึ้น
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับการรีวิว IMOU Bullet 2E 4MP กล้องวงจรปิดราคาถูก ที่ให้ภาพคมชัดไม่แพ้กล้องแพง ๆ แถมเก็บภาพสีได้คมชัดตลอดเวลา พร้อมบันทึกภาพด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 2K ที่ 30fps ทั้ง คมชัด และลื่นไหล พร้อมกับมีระบบ Ai ที่ตรวจจับ และติดตามการเคลื่อนไหว ได้อย่างแม่นยำ พร้อมกับแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชัน IMOU life บนมือถือคุณได้ทันที โดยสรุปรุ่นนี้ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ ครับ สำหรับราคาแค่พันกว่าบาท ซึ่งถึงแม้ฟังก์ชันต่าง ๆ จะน้อย แถมบางฟังก์ชันก็ไม่มีให้ ต้องจ่ายรายเดือนถึงจะใช้ได้ แต่ความคมชัดของภาพในระดับราคานี้หาไม่ได้อีกแล้วครับ ดังนั้นถ้าใครกำลังหา กล้องราคาถูก แต่ให้ภาพที่คมชัด เน้นติดไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ใช้ฟังก์ชันอะไรเป็นพิเศษ กล้องตัวนี้ที่ว่าเหมาะที่สุด ๆ ครับ