ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ ในบ้านเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มของ “รถบิ๊กไบค์” ที่ปัจจุบันมีทั้ง สปอร์ต, นักเก็ต, ทัวร์ริ่ง และรวมถึงครุยเซอร์ด้วย ซึ่งแต่รถแต่ละประเภทก็มีความโดดเด่นเฉพาะตัวของมันเอง อย่าง แนวสปอร์ตไบค์ก็เหมาะกับคนที่ชอบความเร็ว แนวนักเก็ตไบค์ก็เป็นการเอารถแนวสปอร์ตมาปรับให้ขับง่ายขึ้น เหมาะกับคนทีชอบความแรง แต่อยากขับแบบสบาย ๆ ส่วนแนว “ชอปเปอร์” ก็เป็นรถสไตล์อเมริกันแท้ ๆ ซึ่งจะคันใหญ่ดูบึกบึน มีท่านั่งการขับขี่ที่โดดเด่น และเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแตกต่างกับรถประเภทอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง มันเลยทำให้ใครหลาย ๆ คนเกิดหลงไหลใน รถประเภทนี้
“ครุยเซอร์” vs “ชอปเปอร์” ต่างกันอย่างไร ?
หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกสับสนกันอยู่เกี่ยวกับ 2 คำนี้ ซึ่งหากคุณลองสังเกตหน้าตาของรถทั้ง 2 แบบ จะพบว่ามันก็คล้ายคลึงกัน ทั้งตัวรถ, ขนาด, เครื่องยนต์, ท่านั่ง, สไตล์ และอื่น ๆ ซึ่งเหตุผลที่หน้าตามันใกล้เคียงกันก็คือ “รถชอปเปอร์” เริ่มต้นเดิมทีมันก็คือ “รถครุยเซอร์” นั่นแหละครับ กล่าวคือ ชอปเปอร์ (Chopper) เป็นชื่อสไตล์ในการแต่งรถแบบหนึ่ง ซึ่งจะมีทั้งการตัดหั่นเฟรม, เน้นแต่งโครมเมี่ยม, โช้คหน้าจะยื่นยาว, ล้อหน้าเล็ก, ล้อหลังใหญ่ และอื่น ๆ นอกจากนั้นยังมีการแต่งอีกแบบที่นิยมกันคือ บอบเบอร์ (Bobber) ซึ่งเป็นการนำรถครุยเซอร์ มาเข้าครอสลดน้ำหนัก ที่เริ่มจากเลือกขนาดล้อเท่ากัน, บังโคลนสั้น, เบาะสั้น และเน้นความเรียบง่าย ทำให้ขับขี่ง่ายนั่งสบาย แต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามตามสไตล์ของรถคลาสสิกอยู่เช่นเดิม
โดยในปัจจุบันประเทศไทยเรามี รถมอเตอร์ไซค์ประเภท “ครุยเซอร์” หรือ “ชอปเปอร์” ที่เป็นมือหนึ่ง ออกศูนย์ ค่อนข้างน้อย หลายคนเลยหันเล่นรถมือ 2 กัน เนื่องจากมีตัวเลือกมากกว่า ซึ่งจะแตกต่างกับรถแนวสปอร์ตที่ออกใหม่แทบจะทุกปี ซึ่งมีตั้งแต่ 150CC, 300CC, ไล่ไปจนถึง 1000CC เพราะฉะนั้นในวันนี้เพื่อให้ง่ายสำหรับคนที่ชื่นชอบรถในสไตล์นี้เราได้ทำการรวบรวม รถครุยเซอร์ รุ่นยอดนิยมที่คุณสามารถเดินเข้าไปที่ศูนย์บริการเพื่อขอดูรถได้เลย ซึ่งเราจะนำรุ่นอะไรมาบ้าง ? สวยแค่ไหน ? ไปดูกันเลยครับ
1. Honda Rebel 300 ราคาเริ่มต้น 146,830 บาท
ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ครับ สำหรับเจ้า Honda Rebel รถสไตล์ช็อปเปอร์ ครุยเซอร์ รุ่นยอดนิยม ที่มีความหล่อเหล่าถูกใจนักบิดทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ และด้วยความที่มันไม่ใช่รถในสไตล์ช็อปเปอร์จ๋า ๆ แต่เป็นรถในสไตล์ บ๊อบเบอร์ ทำให้มันมาพร้อมกับการขับขี่ที่เน้นความสบาย ตัวรถมีน้ำหนักที่เบา ช่วยให้ขับได้ง่ายขึ้น มีความคล่องตัวมากขึ้น
ในด้านรูปร่างหน้าตาต้องบอกเลยว่า หล่อ เท่ ในทุกมุมมอง มาพร้อมกับชุดเรือนไมล์แบบดิจิตอลทรงกลมที่เห็นชัด มีข้อมูลครบ ดูเข้ากับยุคสมัย โคมไฟหน้ามาในรูปแบบทรงกลมเป็นไฟ LED รวมไปถึงไฟท้ายและไฟเลี้ยวก็เป็นแบบ LED ด้วยช่วยส่องสว่าง ได้เป็นอย่างดี เพิ่มความปลอดภัย ถังน้ำมันออกแบบมาอย่างดี ดีไซน์ปราดเปรียว ช่วยมอบท่วงท่าการขับขี่ที่คล่องตัวมากยิ่งขึ้น เป็นรถที่มีเอกลักษณ์แห่งความคลาสสิกครบถ้วน ในด้านของสมรรถนะ มาพร้อม เครื่องยนต์ สูบเดียว 4 จังหวะ 300 ซีซี มีการระบายความร้อนด้วยน้ำ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-Fi ตัวใหม่ ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด สามารถตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม มีขุมกำลังที่เพียงพอสำหรับการใช้งาน สำหรับระบบความปลอดภัย มาพร้อมระบบเบรค ABS Hydraulic Disc ทั้งหน้าและหลังมาเป็นมาตรฐาน ถือเป็นรุ่นที่เหมาะมากสำหรับมือใหม่ครับ ทั้งดีไซน์สวย สมรรถนะเครื่องยนต์กำลังดีไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ขับขี่ง่าย แถมราคาไม่สูงอีกด้วยครับ
2. Royal Enfield Meteor 350 ราคาเริ่มต้น 150,000 บาท
มาต่อกันที่น้องใหม่ไฟแรงครับสำหรับ Royal Enfield Meteor รถ Easy Cruiser ที่มีการเปิดตัวออกมาใหม่ ไปเมื่อไม่นานมานี้โดยเป็นการต่อยอดจากรุ่นที่เคยประสบความสำเร็จมาในยุค 50 ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ที่เน้นการขับขี่ท่องเที่ยวในระยะทางไกล ๆ ถูกนำมาพัฒนาใหม่ รูปทรงของตัวรถที่มีความคลาสสิกเต็มเปี่ยมผสมผสานกับดีไซน์ในสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว และการดีไซน์ท่าขับขี่มาใหม่ ทำให้คุณขับขี่อย่างอย่างสบายมากยิ่งขึ้น สมกับเป็นรถ Cruiser ขนานแท้
Royal Enfield Meteor มาพร้อมกับหน้าปัดเรือนไมล์ที่มีระบบนำทางที่เรียกว่า Tripper ติดมาด้วยโดยเป็นการนำเทคโนโลยี ของ Google Maps มาใช้ร่วมกับแอปพลิเคชันของโรยัล เอ็นฟีลด์ ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธ โดยจะแสดงผลอยู่บนหน้าจอที่แยกออกมาทำให้มองได้ง่ายมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมี USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์มาให้ด้วย โคมไฟหน้าทรงกลมที่มาพร้อมไฟส่องสว่างกลางวันแบบวงแหวน LED ตรงกลางเป็นหลอดฮาโลเจน ส่วนโคมไฟท้ายเป็นทรงกลม พร้อมไฟแบบวงแหวน LED ช่วยให้มองเห็นได้ชัดมากขึ้น และเสริมความปลอดภัยด้วยดิสเบรคเดี่ยวทั้งหน้าและหลังพร้อมระบบ ABS ให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ในด้านพละกำลังก็ต้องบอกเลยว่า มีเหลือ ๆ มาพร้อม เครื่องยนต์ 4 จังหวะ สูบเดียว 349 ซีซี SOHC ที่มีช่วงชักยาว ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า (EFI) ส่งกำลังด้วยเกียร์ 5 สปีดที่สามารถทำงานสอดประสานกันได้อย่างลงตัว ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม ตอบสนองว่องไว ได้ดั่งใจ พร้อมพาคุณเที่ยวไปในทุกเส้นทางด้วยความเท่ พร้อมกับความสบายที่เต็มเปี่ยม
3. Yamaha SR400 ราคาเริ่มต้น 285,000 บาท
สำหรับคนที่ชอบรถคลาสสิค คงไม่มีใครไม่รู้จักกับเจ้าคันนี้ Yamaha SR400 รถรุ่นตำนาน ที่เผยโฉมออกมาแล้วหลายสิบปี แต่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น เรียบง่ายแต่ดูลงตัว รวมถึงเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ มีความกระหึ่ม เร้าใจ สำหรับรุ่นใหม่เจ้า SR400 ยังคงรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างไปจากเดิมมากแต่ได้มีการผสานเทคโนโลยีที่มีอยู่ในยุคนี้เข้าไป ซึ่งเมื่อความคลาสสิคมารวมกับเทคโนโลยีสุดล้ำ ก็ต้องยอมรับเลยว่า SR400 มันมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยครับ
อย่างที่บอกไปครับรูปร่างหน้าตาแทบไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ฉะนั้นแค่มองผ่าน ๆ ก็รู้ได้ทันทีครับว่าเจ้านี่คือ Yamaha SR400 ซึ่งเป็นรถในสไตล์เรโทร ยุคเก๋า ที่ถูกออกแบบมาโดยเน้นการขับขี่ที่สบาย ท่านั่งอยู่ในองศาที่เหมาะสม เบาะนั่งเป็นแบบตอนเดียว ขนาดใหญ่ยาวไปจนถึงท้ายรถ ทำให้นั่งสบายยิ่งขึ้น หน้าปัดเรือนไมล์ยังคงเป็นแบบอนาล็อกทรงกลมสองข้าง ซึ่งมันรับกับโคมไฟหน้าหน้ารถที่เป็นทรงกลมขนาดใหญ่ ทำให้มันดูลงตัวมาขึ้น และที่ขาดไม่ได้สำหรับ SR400 ก็คือ ระบบ Kick Start ที่ยังคงมีมาให้ ทำให้เพิ่มอารมณ์ความคลาสสิคเข้าไปอีกครับ ในด้านของพละกำลังรุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 จังหวะสูบเดียว SOHC 2 วาล์ว 399 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ จุดระเบิดแบบ TCI จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด พร้อมส่งกำลังด้วยเกียร์ Constant Mesh 5 สปีด ซึ่งเป็นขุมพลังที่มอบอัตราเร่งได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนระบบเบรคด้านหน้ามาพร้อมกับดิสก์เบรกเดี่ยว ในส่วนล้อหลังเป็นดรัมเบรค เมื่อมองรวมกับล้อที่มาในแบบซี่ลวด ขนาด 18 นิ้ว มันให้อารมณ์คลาสสิคมาก ๆ พร้อมให้คุณเท่ทุกเส้นทาง สนุกเร้าใจทุกการขับขี่ จะขับในเมืองก็คล่องตัว จะเดินทางไกลก็ไร้ปัญหาครับ
4. Kawasaki Vulcan S ABS ราคาเริ่มต้น 296,000 บาท
สำหรับใครที่กำลังมองหารถมอเตอร์ไซค์ครุยเซอร์ที่ดูล้ำสมัย ไม่ได้ดูคลาสสิคจนเกินไป อยู่กลาง ๆ ระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ ผสานกันออกมาได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังคุ้มค่ากับราคาอีกด้วยต้อง Kawasaki Vulcan S รุ่นนี้เท่านั้นครับ ตัวรถถูกออกแบบมาโดยเน้นการขับขี่ที่สะดวกสบาย องศาการนั่ง แฮนด์จับอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ตัวรถมีน้ำหนักเบาขึ้น ทำให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างคล่องตัว
หากเปรียบเทียบเฉพาะหน้าตาจากลิสต์ทั้งหมดในวันนี้ คุณจะเห็นว่าหน้าตาของ Vulcan S นั้นดูล้ำสมัยมากที่สุด ดีไซน์ออกมาได้อย่างโดดเด่นไม่เหมือนใคร แฝงความคลาสสิคเข้าไปได้อย่างลงตัว ขจัดภาพลักษณ์เดิม ๆ ของรถครุยเซอร์ทิ้งไป และสร้างตัวตนใหม่ด้วยดีไซน์ที่เท่ดูเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากจะเหมือนใคร อย่างที่บอกไปครับรุ่นนี้เน้นการขับขี่ที่สะดวกสบาย มาพร้อมเบาะนั่งสองตอนขนาดใหญ่ขนาดใหญ่ที่นั่งได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ก็ไร้ปัญหา เพราะที่พักเท้า และส่วนประกอบอื่น ๆ สามารถปรับตำแหน่งให้รับกับสรีระของคุณได้ เพื่อความสบายสูงสุด โคมไฟหน้า รูปทรงสามเหลี่ยมดูไม่ซ้ำใคร หน้าปัดเรือนไมล์รูปทรงรับกับโคมไฟหน้าที่ดูสวยงามโดยมีวัดรอบเครื่องยนต์แบบอนาล็อก พร้อมหน้าจอดิจิตอล ที่คอยแสดงผลข้อมูลต่าง ๆ ไว้อย่างครบถ้วนชัดเจน ในส่วนสมรรถนะรุ่นนี้ใช้ขุมกำลังจาก เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 2 สูบเรียง DOHC 8 วาล์ว 649 ซีซี ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 สปีด ส่วนระบบเบรคใช้เป็นดิสเบรคเดี่ยวทั้งหน้าและหลังพร้อม ABS ให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจ สนุกทุกเส้นทางด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม
บทส่งท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับ รถมอเตอร์ไซค์ แนว ชอปเปอร์ – ครูสเซอร์ ที่เราได้เลือกมาในวันนี้ ซึ่งรถทุกรุ่นในที่นี้ ล้วนเหมาะสำหรับมือใหม่ครับ เนื่องจากมันเป็นรุ่นยอดนิยมที่เน้นการขับขี่ที่สบาย ขับง่าย มีความคล่องตัว ไม่สูงจนเกินไป มีน้ำหนักเบา และเป็นค่ายรถยักษ์ใหญ่ในบ้านเราด้วย ซึ่งแน่นอนครับ มันง่ายต่อการดูแล และบำรุงรักษา นอกจากนั้นมันยังมีราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงมากอีกด้วย และนี่คือเหตุผลที่เราใช้ในการคัดเลือก
ในปัจจุบันอาจจะมีอีกหลาย ๆ รุ่นครับ ซึ่งเราไม่ได้หยิบยกมา บางแบรนด์อาจจะเพิ่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา บางแบรนด์อาจมีเฉพาะรุ่นที่มีสมรรถนะสูง ๆ เป็นต้น ซึ่งมันไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ ดังนั้นหากใครที่เป็นมือใหม่ ทางที่ดีที่สุดคือ เลือกซื้อรถจากค่ายที่มีศูนย์บริการอยู่ใกล้บ้านคุณ เพราะเมือไหร่ที่มีปัญหาคุณจะได้สามารถพาเขาศูนย์บริการได้ทันที เนื่องจากรถพวกนี้มันไม่เหมือนกับรถบ้านหรือรถมอไซค์ทั่วไป แค่น้ำมันเครื่องก็ใช้ต่างกันแล้วครับ สุดท้ายนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “ความปลอดภัย” ครับ ดังนั้นก่อนออกไปซิ่ง ควรหาซื้ออุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็นมาให้พร้อม อาทิเช่น หมวกกันน็อค, แจ็คเก็ต, ถุงมือ หรือแม้แต่เสื้อกันฝน มาไว้ใช้งานด้วยนะครับ รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับดูแลรถต่าง ๆ อย่าง ผ้าไมโครฯ, น้ำยาล้างรถ, แว็กเคลือบสี หรือเครื่องฉีดน้ำ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :