ความเครียดเกิดขึ้นได้สำหรับทุกคนในทุกสายงาน เพราะเราต้องเจอกับแรงกดดันและความคาดหวังในประสิทธิภาพของงานอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความเครียดคือภาวะ Burnout หรือในภาษาไทยที่เรียกว่า ‘ภาวะหมดไฟในการทำงาน’ ซึ่งในอดีตอาจไม่ค่อยมีคนเข้าใจคำนี้กันสักเท่าไหร่ เนื่องจากคนไทยยังไม่เข้าใจปัญหาสุขภาพจิตมากนัก แต่ในทุกวันนี้เราเริ่มมีความรู้เกี่ยวกับและให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากขึ้นกว่าเดิม
โดยภาวะ Burnout เปรียบเทียบได้กับถังแก๊ซที่ไม่มีแก๊ซ รู้สึกไม่มีแรง แรงจูงใจในการทำงานลดลง ในบางรายก็อาจจะรู้สึกอ่อนไหว มีความรู้สึกโดดเดี่ยวแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงานที่สามารถพูดคุยได้อยู่ตลอดเวลา แต่การ Burnout สามารถทำให้รู้สึกแบบนั้นได้ นอกจากนี้ยังอาจมีปัจจัยที่อาจทำให้เกิดภาวะนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ, การเมือง หรือสิ่งที่ต้องเผชิญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการเก็บสถิติผู้ที่อยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงานอีกด้วย พบว่าผู้ใหญ่วัยทำงานกว่า 70% หรือประมาณ 3 ใน 5 เกิดความเครียดในระหว่างการทำงาน ซึ่งตรงนี้เป็นการพิสูจน์ได้ว่าคนในสังคมในยุคปัจจุบันมีโอกาสที่จะเกิดภาวะ Burntout ได้ แต่อย่างไรก็ดีภาวะเหล่านี้สามารถแก้ไขและปรับให้ดีขึ้นได้หากมีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือจิตแพทย์เพื่อรักษาให้ตรงจุด แต่เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจภาวะหมดไฟในการทำงานมากขึ้น วันนี้เราเลยอยากที่จะแนะนำแชร์อาการและจุดที่น่าสงสัยว่าคุณกำลังเจอกับภาวะ Burntout อยู่ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ทันอาการ และเข้าไปรับคำปรึกษาจากคุณหมอหรือนักจิตวิทยาต่อไป
อาการของภาวะหมดไฟในการทำงาน มีอะไรบ้าง ? (1)
- รู้สึกไม่อยากเข้าสังคมหรือพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน
- ประสิทธิภาพของงานลดลงหรือแย่กว่าปกติ
- รู้สึกอยากออกจากงานเร็ว ๆ หรือเข้างานสายทั้งที่ก่อนหน้านี้เข้าเป็นปกติตลอด
- รู้สึกไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
- ความสนใจหรือแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ลดลง
- รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิ
หากไม่ได้อยู่ในออฟฟิศหรือสถานที่ทำงานอาจเกิดอาการ ดังนี้
- ปวดหัว
- หงุดหงิดง่าย
- ความอยากอาหารหรือนิสัยการรับประทานเปลี่ยนไป
- เกิดความผิดปกติของทางเดินอาหาร
- มีอาการหลับยากขึ้นกว่าเดิม
- เกิดความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ
- ไม่สามารถจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ ได้
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน
ภาวะ Burnout สามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้ครับ โดยคุณสามารถเปิดใจกับคนที่คุณไว้ใจ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน เพราะการพูดคุยเกี่ยวกับภาวะหมดไฟในการทำงานจะช่วยทำให้คุณไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือจมอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้เพียงแค่ตามลำพัง อีกทั้งบางครั้งการได้กำลังใจจากเพื่อนหรือครอบครัวก็อาจจุดไฟให้กลับมาติดอีกครั้งก็ได้ นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นอีกมากมาย อย่างเช่น

- การเข้าฟิตเนสออกกำลังกาย
- การเล่นโยคะก็ช่วยทำให้เรามีสมาธิมากยิ่งขึ้น
- ทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบเพื่อลดความเครียด
- พยายามโฟกัสไลฟ์สไตล์และการกินให้บาลานซ์ เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ, พยายามเคลื่อนไหวร่างกาย และนอนหลับให้เพียงพอ
- จัดตารางชีวิตประจำวันให้สนุกยิ่งขึ้นและไม่น่าเบื่อ
- ปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์
ควรขอความช่วยเหลือหรือปรึกษาภาวะ Burnout เมื่อไหร่ ?

หากรู้สึกเริ่มเหนื่อยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำหรือรู้สึกว่าภาวะหมดไฟในการทำงานเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องของการทำงานหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ถ้าใครก็แล้วแต่เริ่มรู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้เริ่มหนักขึ้นทุกวัน ผมอยากแนะนำให้คุณเริ่มปรึกษากับทางนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ที่สามารถช่วยวินิจฉัยโรค ให้คำแนะนำ และรักษาอย่างถูกต้อง
หากใครรู้สึกกลัวในการเข้าไปพบกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับเพราะการเข้าพบคุณหมอไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สุขภาพจิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากอย่าละเลยเด็ดขาด สุดท้ายเราขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
References :