สำหรับการปรับปรุงบทความสมาร์ทแบนด์ในปี 2023 นี้ เราได้มีการเปลี่ยนลำดับการแนะนำสินค้าใหม่ โดยใช้เกณฑ์ในการเลือกจากคุณสมบัติ, ความง่ายในการใช้งาน, ความอึดของแบตเตอรี่ และราคาที่สมเหตุสมผล
ทั้งนี้เกณฑ์ในการแนะนำสินค้าตามลำดับมาจากการ ทดลองใช้งานจริง และมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดโดยอ้างอิงจากสเปกของอุปกรณ์แต่ละรุ่น ลำดับของสินค้าในบทความนี้ไม่ได้มาจากจำนวนยอดขายและ Sponsor แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ลำดับในการรีวิวสินค้านั้น มาจากการตัดสินใจจากตัวผู้เขียนเพียงคนเดียว ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสินค้าลำดับท้าย ๆ จะไม่มีคุณภาพแต่อย่างใดนะคะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพึ่งพอใจและความชอบของแต่ละคนมากกว่า โดยเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะชอบการรีวิวของเราในบทความนี้
จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้ทดลองใช้สมาร์ทแบนด์มาแล้วหลายรุ่น หากคุณกำลังมองหานาฬิกาอัจฉริยะที่สามารถติดตามสุขภาพร่างกายของคุณได้ตลอดเวลา รวมถึงต้องเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยวิเคราะห์ผลการออกกำลังกายให้คุณได้อย่างละเอียด แต่ทั้งนี้คุณก็ไม่ได้ต้องการซื้อนาฬิกาที่มีราคาแพงจนเกินไป เราขอแนะนำให้คุณลองเปิดใจกับ “สมาร์ทแบนด์” ดูสักครั้งค่ะ
หลายคนอาจสงสัยว่า สมาร์ทแบนด์คืออะไร, สมาร์ทแบนด์ต่างจากสมาร์ทวอทช์อย่างไร, รวมถึงวิธีในการเลือกสมาร์ทแบนด์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณจะต้องใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจ
คลิปรีวิว สมาร์ทแบนด์ราคาไม่เกิน 2,000 บาท Xiaomi Smart Band 7 / Huawei Band 7/ Amazfit Band 7 ซื้อรุ่นไหนดี?
วันนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึงสมาร์ทแบนด์แต่ละตัวที่เราคัดสรรมาอย่างดี ซึ่งจะมีตั้งแต่รุ่นเบสิกไปจนถึงรุ่นที่มีคุณสมบัติพิเศษกันเลยทีเดียวค่ะ บอกเลยว่ามีสมาร์ทแบนด์ราคาถูก ๆ ด้วยนะคะ ว่าแล้วก็มาดูเลยค่ะว่าจะมีแบรนด์ไหนน่าสนใจบ้าง
สมาร์ทแบนด์ยี่ห้อไหนดี จากการทดลองใช้งานจริง ?
- หน้าจอใหญ่ ตัวแอปฯ ใช้งานง่ายมากเหมาะสำหรับมือใหม่ ราคาไม่แพง มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่อึดที่สุด: Amazfit Band 7 สมาร์ทแบนด์
- หน้าจอใหญ่ ใช้งานง่ายทั้งในส่วนของแอปฯ และตัวนาฬิกา ราคาประหยัด มีโปรแกรมกีฬาที่หลากหลาย: Huawei Band 7 สมาร์ทแบนด์
- ตัวแบรนด์น่าเชื่อถือ อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ความแม่นยำ และความเสถียรภาพของอุปกรณ์: Garmin vivosmart 5 สายรัดข้อมืออัจฉริยะ
- ขนาดเล็ก ดีไซน์แบบ Unisex ราคาไม่แพง มีโปรแกรมกีฬาหลากหลาย: Xiaomi Mi Band 7 สมาร์ทแบนด์
- มีระบบ GPS ในตัว ไม่จำเป็นต้องพกมือถือขณะที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง: FITBIT Charge 5 ฟิตเนสแบนด์
- ดีไซน์สวยหรู ขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับผู้หญิง: Fitbit Luxe ฟิตเนสแบนด์
สมาร์ทแบนด์ คืออะไร ?
สมาร์ทแบนด์มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ฟิตเนสแบนด์ (Fitness Band)” หรือ “ตัวติดตามฟิตเนส (Fitness Tracker)” และมีชื่อเรียกภาษาไทยว่า “สายรัดข้อมืออัจฉริยะ”
|
สมาร์ทแบนด์จะคอยตรวจจับทุกการเคลื่อนไหวของเราอยู่ตลอดเวลา สามารถติดตามการออกกำลังกาย, แคลอรีที่เผาผลาญ, จำนวนก้าว, ติดตามการนอนหลับ, ติดตามความเครียด, วัดอัตราการการเต้นของหัวใจ (Heart Rate), วัดค่าความอิ่มตัวออกซิเจนในเลือด (SpO2) และยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ซึ่งความหลากหลายนี้ก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ
แต่ส่วนของการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนนั้น ด้านฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ของสมาร์ทแบนด์ไม่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดีเหมือนสมาร์ทวอทช์ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สมาร์ทแบนด์มีราคาถูกกว่า ทั้งยังมีขนาดเล็กกว่าอีกด้วย เนื่องจากระบบการใช้งานเน้นการทำงานที่เรียบง่ายนั่นเองค่ะ |
สมาร์ทวอทช์ คืออะไร ?
|
สมาร์ทวอทช์เป็นนาฬิกาข้อมือที่ทำหน้าเหมือนสมาร์ทโฟนเครื่องเล็กรุ่นหนึ่ง ถือว่าเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการตรวจวัดค่าต่าง ๆ ที่ทำได้เหมือนกับสมาร์ทแบนด์ทุกอย่าง และทำได้ดีกว่า รวมถึงมีฟังก์ชันให้เลือกใช้งานมากกว่าด้วยค่ะ
ทั้งนี้สิ่งที่ทำให้สมาร์ทวอทช์มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น คือมันสามารถใช้โทรหรือส่งข้อความได้ มีระบบปฏิบัติการหลายอย่างที่ซับซ้อนและล้ำสมัยกว่าสมาร์ทแบนด์ ดังนั้นจึงทำให้ตัวสมาร์ทวอทช์มีขนาดใหญ่ เพราะต้องติดตั้งแผงวงจรเยอะกว่า รวมถึงยังต้องใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุสูงกว่าด้วย ทั้งนี้ยิ่งแบตเตอรี่มีความจุมากขึ้นเท่าไหร่ ขนาดของแบตเตอรี่ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น จึงส่งผลให้สมาร์ทวอทช์มีขนาดใหญ่และหนากว่าสมาร์ทแบนด์นั่นเองค่ะ |
วิธีเลือกซื้อสมาร์ทแบนด์ที่ดีที่สุด ต้องดูจากอะไรบ้าง?
1. ฟังก์ชันการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่หลากหลาย
สิ่งแรกที่ผู้ใช้สมาร์ทแบนด์จะต้องมองหาก็คือฟังก์ชันการออกกำลังกายว่ามีความหลากหลายหรือไม่ ? หรืออย่างน้อย ๆ จะต้องมีโหมดกิจกรรมที่คุณใช้เป็นประจำ อาทิเช่น การวิ่ง การนับก้าวเดิน ไปจนถึงการยกน้ำหนัก การว่ายน้ำ และกิจกรรมผาดโผนอื่น ๆ ทั้งนี้ยิ่งมีโปรแกรมการออกกำลังเยอะก็ยิ่งทำให้คุณมีตัวเลือกเยอะขึ้น และเมื่อคุณทราบแล้วว่าสมาร์ทแบนด์ที่ต้องการมีฟีเจอร์และกิจกรรมใดบ้างที่จำเป็นสำหรับคุณ การเลือกสมาร์ทแบนด์ที่เหมาะสมก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันทีค่ะ

แต่ในทางกลับกันสมาร์ทแบนด์บางรุ่นก็อาจมีโหมดกิจกรรมให้เลือกน้อยก็จริง แต่ทางแบรนด์อาจคัดเลือกมาอย่างดีแล้วว่าเป็นกีฬายอดนิยม ซึ่งความแม่นยำและความเสถียรภาพก็อาจทำงานได้ดีกว่ารุ่นที่มีหลายโหมดกิจกรรมก็ได้ค่ะ ดังนั้นคุณควรตรวจสอบจากหลาย ๆ ปัจจัย นอกจากนี้บางรุ่นก็สามารถเข้าไปปรับเพิ่มโหมดออกกำลังกายได้เองแบบอิสระด้วยนะคะ
2. ความสามารถการวิเคราะห์ผลด้านสุขภาพ / ระบบการแจ้งเตือนเมื่ออยู่ในช่วงไม่ปลอดภัย
สมาร์ทแบนด์ที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น การบันทึกกิจกรรมในแต่ละวัน, การติดตามการนอนหลับ, การตรวจจับความเครียด หรือความสามารถช่วยตรวจสอบปัญหาสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งสมาร์ทแบนด์บางยี่ห้อสามารถแจ้งเตือนให้คุณทานยา ดื่มน้ำ หรือลุกขึ้นเคลื่อนไหวร่างกายในกรณีที่นั่งทำงานนานเกินไปได้ด้วย รวมถึงสามารถตรวจได้ว่าขณะนี้คุณออกกำลังกายหักโหมเกินไปหรือไม่ หากพบว่าเกินขีดจำกัดของร่างกาย สมาร์ทแบนด์ก็จะแจ้งเตือนได้ในทันที ถือว่าเป็นคุณสมบัติด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานที่สมาร์ทแบนด์ควรจะมีค่ะ
สำหรับใครที่สนใจระบบแจ้งเตือนด้วยความปลอดภัยเป็นพิเศษ อาทิเช่น อยากให้นาฬิกาสามารถติดต่อไปยังบุคคลที่ 3 ได้ด้วยในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการความช่วยเหลือ เราขอแนะนำ Garmin vívosmart 5 ที่รองรับรายชื่อผู้ติดต่อสูงสุดถึง 3 คน โดยทาง Garmin จะส่งข้อความพร้อมตำแหน่งที่อยู่ของคุณไปทาง SMS หรือ E-mail ให้อย่างรวดเร็วเลยค่ะ


3. วัดค่า Heart Rate และ SpO2 ได้ต่อเนื่องหรือไม่ ?
จริง ๆ แล้วคุณสมบัติการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate) และการวัดค่าความอิ่มตัวออกซิเจนในเลือด (SpO2) เป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่สมาร์ทแบนด์จะต้องมีทุกตัวอยู่แล้วค่ะ
แต่ความพิเศษของหัวข้อนี้จะอยู่ที่สมาร์ทแบนด์ตัวไหนที่สามารถวัดได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องโดยที่เราไม่ต้องกดวัดค่าด้วยตัวเอง ตรงนี้แหล่ะคือจุดที่เราอยากให้คุณตรวจสอบให้ดี เพราะในกรณีที่คุณต้องการข้อมูลด้านสุขภาพอย่างละเอียด ฟังก์ชันวัดค่าอย่างต่อเนื่องก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ แต่ก็ต้องแลกมากับอายุแบตเตอรี่ที่สั้นลงเพราะมันต้องใช้พลังงานตลอดเวลา

แต่ทั้งนี้หากคุณไม่ได้ต้องการให้สมาร์ทแบนด์วัดค่าแบบต่อเนื่องให้อัตโนมัติก็สามารถข้ามหัวข้อนี้ไปได้ค่ะ หรือคุณอาจจะเลือกสมาร์ทแบนด์แบบที่สามารถกำหนดความถี่ในการวัดด้วยตัวเองก็ได้ค่ะ
4. มี GPS บันทึกเส้นทางหรือไม่ ?
หลายคนอาจคิดว่า GPS ไม่สำคัญ แต่ถ้าหากว่าคุณชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างเช่น การวิ่งมาราธอนหรือปั่นจักรยานวิบาก การมี GPS ก็จะช่วยบันทึกเส้นทางของคุณได้อย่างแม่นยำ แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าตัว GPS จะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อดึงตำแหน่งจากสมาร์ทแบนด์ของคุณแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้สมาร์ทแบนด์แบบที่มี GPS รุ่นนั้นมีราคาที่แพงกว่านั่นเองค่ะ อาทิเช่น FITBIT Charge 5 รุ่นนี้มี GPS ในตัวโดยจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 6,990 บาท

แต่ทั้งนี้ในกรณีที่สมาร์ทแบนด์รุ่นนั้น ๆ ไม่มี GPS มาให้ในตัว คุณก็ยังสามารถบันทึกเส้นทางได้เหมือนกัน เพียงแต่คุณจะต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัวไปด้วยเสมอเพื่อที่การเชื่อมต่อแบบ Bluetooth ไม่หลุดระหว่างทาง ซึ่งมันก็จะให้ผลลัพธ์เหมือนนาฬิกาที่มี GPS แต่แค่ความสะดวกอาจลดลงไปเพราะคุณจะต้องพกสมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างหนักไปด้วยนั่นเอง โดยในส่วนนี้ก็อาจสร้างความลำบากต่อการออกกำลังกายของคุณได้ค่ะ แต่ก็แลกมากับราคาที่ถูกลงค่ะ!! ดังนั้นใครสะดวกใช้แบบไหนก็เลือกแบบที่ตัวเองชอบได้เลยค่ะ
5. ประสิทธิภาพการกันน้ำ
โดยปกติแล้ว สมาร์ทแบนด์ส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติกันน้ำมาให้ในตัว เนื่องจากโหมดออกกำลังกายอย่างกีฬาว่ายน้ำถือว่าเป็นกิจกรรมพื้นฐานยอดนิยม ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้เลยว่าสมาร์ทแบนด์ที่เรารีวิวในวันนี้สามารถกันน้ำได้ทุกตัวอย่างแน่นอนค่ะ ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณสามารถใส่สมาร์ทแบนด์ขณะที่อาบน้ำ ล้างมือ หรือแม้แต่ในช่วงที่ฝนตกได้ตลอดเวลา ซึ่งระดับการกันน้ำค่าเริ่มต้นควรจะมีค่า 5ATM หรือ 50 เมตร เป็นอย่างต่ำค่ะ

6. อายุของแบตเตอรี่และเวลาในการชาร์จ
โดยปกติแล้วสมาร์ทแบนด์จะมีอายุการใช้งาน 4-5 วันในกรณีที่คุณเปิดใช้งานทุกโหมด และจะมีอายุ 10-14 วันในกรณีที่ใช้งานทั่วไปหรือแบบประหยัดพลังงาน ดังนั้นหากสมาร์ทแบนด์รุ่นไหนที่มีอายุแบตเตอรี่สั้นกว่าที่เรากำหนดให้คุณลองพิจารณาข้อดีในส่วนอื่น ๆ ดูก่อน เพราะบางครั้งการที่อายุแบตฯ สั้นก็หมายความว่าอาจมีฟังก์ชันบางอย่างที่พิเศษ ยกตัวอย่างเช่น ฟังก์ชันตรวจวัดค่า Heart Rate ให้อัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ในส่วนของเวลาชาร์จนั้น คุณจะต้องตรวจสอบว่าสมาร์ทแบนด์มีโหมดชาร์จเร็วหรือไม่ ? เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วหากมีฟังก์ชัน Quick Charge มาให้ด้วยก็จะใช้เวลาเพียง 30 นาทีต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งถือว่าช่วยประหยัดเวลาได้เยอะเลยค่ะ
7. ความสบายในการสวมใส่ (ความบางของระบบเซนเซอร์)
ข้อนี้เป็นจุดที่หลาย ๆ มักมองข้าม เพราะว่าเวลาซื้อผ่านออนไลน์เราไม่ได้เห็นตัวเรือนทั้งตัวรอบทิศทาง ซึ่งอาจจะตรวจสอบได้ยากสักหน่อย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคุณสามารถเข้าไปดูวีดีโอพรีเซนต์จากทางแบรนด์ได้

ซึ่งระบบเซนเซอร์ที่หมายถึงจะอยู่ที่หลังตัวเรือนค่ะ เพราะเป็นจุดที่เซนเซอร์จะต้องสัมผัสกับผิวหนังของเรา หากระบบเซนเซอร์มีความหนาหรือนูนมากเกินไปก็จะทำให้สวมใส่ไม่สบายแถมยังดูหน้าปัดลอย ๆ ไม่สวยงามอีกด้วยค่ะ ดังนั้นยิ่งระบบเซนเซอร์บางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีต่อการเคลื่อนไหวมากขึ้นเท่านั้นค่ะ
8. ฟังก์ชันเชื่อมกับสมาร์ทโฟนมีความหลากหลาย
โดยปกติแล้วสมาร์ทแบนด์จะสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชันได้ทั้งหมดทุกยี่ห้อ เพื่อที่เราจะได้ดูข้อมูลการวิเคราะห์ผลด้านสุขภาพอย่างละเอียด ซึ่งเราต้องมาดูกันต่อว่าภายในแอปฯ นั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง ? อาทิเช่น สามารถอ่านข้อความแจ้งเตือนจากแอปอื่น ๆ ได้อย่างเดียวหรือสามารถตอบกลับเป็นข้อความได้ด้วย, สามารถปฏิเสธสายโทรเข้าได้อย่างเดียวหรือสามารถรับสายและพูดคุยได้ด้วย, สามารถกดเปลี่ยนเพลงหรือปรับลดระดับเสียงของแอปเล่นเพลงได้ไหม ? รวมถึงสามารถตั้งค่าเป็นรีโมทควบคุมสำหรับกดชัตเตอร์จากระยะไกลได้รึเปล่า ?

ซึ่งตรงนี้แหล่ะค่ะที่เป็นรายละเอียดค่อนข้างเจาะลึกสักหน่อย ดังนั้นหากคุณสนใจรุ่นไหนเป็นพิเศษให้คุณลองศึกษาคลิปวีดีโอรีวิวสินค้าเหล่านั้นแบบเฉพาะเจาะจงอีกครั้ง เพียงเท่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ
Amazfit Band 7 สมาร์ทแบนด์

ราคา 1,390 บาท*
Amazfit Band 7 สมาร์ทแบนด์ตัวใหม่ของค่าย Amazfit หากให้เปรียบเทียบในด้านรูปลักษณ์แล้วก็ถือว่ารุ่นนี้มีความคล้ายคลึงกับ Huawei Band 7 มาก ๆ จะต่างกันก็ตรงที่ของ Amazfit ไม่มีปุ่มกด (ปุ่ม Home) ที่ตัวเครื่อง ดังนั้นการจะให้หน้าจอแสดงผลจึงต้องอาศัยการแตะหรือการยกข้อมือขึ้น ซึ่งทำให้มันจะต้องคอยสแตนบายหน้าจออยู่ตลอดเวลาและเป็นที่มาของสาเหตุแบตฯ หมดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามข้อดีของ Amazfit รุ่นนี้คือมีความจุแบตฯ ที่สูงมากถึง 232 mAh ดังนั้นเราจึงสามารถใช้งานได้หลายวันโดยที่ไม่ต้องชาร์จบ่อย ๆ นอกจากนี้สาเหตุที่เราแนะนำให้ Amazfit เป็นสินค้ารายการแรก ไม่ใช่แค่แบตฯ อึดเท่านั้น แต่ตัวแอปฯ เองก็มีฟังก์ชันการใช้งานที่เข้าใจง่าย และเหมาะสำหรับมือใหม่มาก ๆ ค่ะ

ในด้านของคุณสมบัติอื่น ๆ ก็ทำออกมาได้เทียบเท่าแบรนด์ดัง ๆ อย่าง Huawei หรือ Xiaomi ที่มีราคาใกล้เคียงกัน แถมยังเป็นสมาร์ทแบนด์เพียงตัวเดียวที่มีฟังก์ชันวัดค่า SpO2, Heart Rate และความเครียดได้พร้อมกันด้วยการแตะเพียง 1 ครั้ง
น่าเสียดายที่รุ่นนี้ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากนัก จึงทำให้ยอดขายน้อยกว่าแบรนด์อื่น ๆ แต่จากที่เราได้ทดลองใช้งานจริงโดยส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างชอบการใช้งานของแอปฯ จาก Amazfit มากที่สุด แน่นอนว่าการรีวิวสินค้าตัวนี้ ผู้เขียนได้ใช้จริง ซื้อจริง และ No Sponsor นะคะ!! ดังนั้นหากคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่าน "รีวิว Amazfit Band 7" ได้ตามลิ้งก์ที่ใส่ไว้ได้เลยค่ะ
ข้อดี
- ราคาไม่แพง
- ใช้งานง่าย ระบบปฏิบัติการไม่ซับซ้อน ตัวแอปฯ สามารถเข้าไปตั้งค่าได้อย่างละเอียด
- มีแอปฯ ย่อยมากมาย เพื่อให้คุณใช้งานได้สะดวกขึ้น อาทิเช่น ตั้งเวลาดื่มน้ำ, ระบบนำทาง, ดูดัชนีมวลกาย, หรือตรวจสุขภาพประจำเดือนสำหรับผู้หญิง
- สามารถวัด 3 ค่า พร้อมกันได้โดยการแตะเพียงครั้ง (SpO2, Heart Rate, ความเครียด)
- มีโหมดกีฬาและกิจกรรมให้เลือกถึง 120 รูปแบบ
- แบตเตอรี่อยู่ได้นานเป็นสัปดาห์
- ที่ล็อกสายข้อมือออกแบบมาเป็นกระดุมล็อก จึงใช้งานง่าย ไม่ต้องสอดสายเข้าออกให้ยุ่งยาก

ข้อควรพิจารณา
- เซ็นเซอร์มีความหนาเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหว
- ไม่มีโมดูล GPS จึงไม่เหมาะกับกีฬากลางแจ้งอย่างการวิ่งหรือปั่นจักรยาน
- ไม่มีปุ่ม Home ที่ตัวเครื่องทำให้การใช้งานค่อนข้างลำบาก
- ปัจจุบันนี้มี watchface ให้ดาวน์โหลดน้อยเกินไป
- แม้จะมีไมโครโฟนในตัว แต่ไม่สามารรับสายโทรเข้าได้ เพราะมีไว้ใช้กับอุปกรณ์ Amazon Alexa เท่านั้น ซึ่งยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมในประเทศไทยสักเท่าไหร่
- บนตัวเครื่องไม่มีปุ่มเปิด-ปิดใด ๆ การใช้งานครั้งแรกจะต้องเสียบสายชาร์จเพื่อเปิดระบบให้เครื่องเริ่มทำงาน
คลิปรีวิว Amazfit Band 7 - ทดลองใช้งานจริง
Fitness & Activity | 120 แบบ |
---|---|
Heart Rate | |
SpO2 | |
VO2 Max | |
GPS | |
วัดความเครียด | |
ติดตามการนอน | |
iOS & Android | |
กันน้ำ | 5 ATM |
แบตเตอรี่ | 18 วัน |
Huawei Band 7 สมาร์ทแบนด์

ราคา 1,191 บาท*
สำหรับ Huawei ค่ายแบรนด์มือถือชื่อดัง ค่อนข้างทำให้ผู้เขียนเซอร์ไพรส์จริง ๆ กับนาฬิกาอัจฉริยะในรุ่น Huawei Band 7 เพราะด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ สีสดคมชัด แถมยังใช้งานง่ายมาก ๆ มาพร้อมกับระบบเซ็นเซอร์ที่บางสุด ๆ จนแทบจะเป็นระนาบเดียวกับตัวเรือน แม้ว่าภายนอกจะดูคล้ายกันกับของ Amazfit แต่ Huawei มีน้ำหนักเบากว่า ที่สำคัญคือ Huawei มาพร้อมกับปุ่ม Home ที่ตัวนาฬิกา ซึ่งต่างจาก Amazfit และ Xiaomi ที่ไม่มีปุ่มเปิด-ปิดในส่วนนี้ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างใช้งานง่าย ในกรณีที่คุณต้องการกลับไปยังหน้าจอหลักก็เพียงแค่กดปุ่ม Home ครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้การเปิด-ปิดสำหรับใช้งานเครื่องครั้งแรกก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด เพียงแค่กดปุ่ม Home ค้างไว้สัก 5 วินาที เครื่องก็จะเปิด-ปิดได้ดั่งใจเลยค่ะ

ในส่วนการทำงานของตัวแอปฯ นั้น ระบบปฏิบัติการไม่ซับซ้อนมากนัก แต่การติดตั้งครั้งแรกอาจจะต้องดาวน์โหลดเวอร์ชั่นล่าสุดหลายครั้งหน่อย แถมในระบบ Android ก็ยังต้องดาวน์โหลดไฟล์จากภายนอกเพิ่มเข้ามาเพื่อให้แอปฯ สามารถค้นหาอุปกรณ์ได้ เราหวังว่าในขณะที่คุณอ่านอยู่ ณ เวลานี้ ทางแบรนด์จะแก้ไขข้อบกพร่องในส่วนนี้แล้วนะคะ ทั้งนี้ตัวแอปฯ นั้นสามารถใช้ได้ทั้งระบบ Andriod และ iOS เลยค่ะ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโทรศัพท์จาก Huawei เท่านั้น
ด้านแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้นาน เป็นอีกตัวที่มีความจุแบตฯ น่าสนใจ มาในขนาดกลาง ๆ คือ 180 mAh ที่ไม่ทำให้ตัวเครื่องหนักจนเกินไป ทั้งยังใช้เวลาชาร์จเร็วเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น แต่ถ้าใครชอบแบบนาน ๆ ครั้งชาร์จทีต้องกลับไปเลือก Amazfit จริง ๆ ค่ะ เพราะรายนั้นแบตฯ อึดมาก ทั้งนี้หากคุณสนใจยี่ห้อ Huawei ก็สามารถอ่าน "รีวิว Huawei Band 7" เพิ่มเติมได้ตามลิ้งก์ที่เราใส่ไว้ได้เลยค่ะ
ข้อดี
- ราคาไม่แพง
- หน้าจอใหญ่ น้ำหนักเบา เซ็นเซอร์บางมาก สวมใส่สบาย
- ใช้งานง่ายทั้ง ในฝั่งของตัวนาฬิกา (มีปุ่ม Home ที่ตัวเครื่อง) และฝั่งแอปฯ
- มีโหมดออกกำลังกาย 96 รูปแบบ
- ตัวแบรนด์เป็นนิยม มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
- มี watchface ให้ดาวน์โหลดเยอะมากถึง 4,000+ แบบ
- มีตัวเลือกหลายเฉดสีที่เหมาะกับคุณ

ข้อควรพิจารณา
- ไม่มี GPS ระบุตำแหน่งมาให้ ทำให้คุณต้องพกโทรศัพท์ติดตัวไปด้วยทุกที่หากต้องการตำแหน่งในขณะที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง
- รองรับการตอบกลับข้อความ ผ่านการอัปเกรด OTA เท่านั้น
- ไม่มีลำโพงและไมค์ ทำให้รับสายโทรเข้าไม่ได้
- ปลายสายนาฬิกาที่เป็นแบบสอด จึงปรับเลื่อนเข้าออกได้ยากเนื่องจากเป็นวัสดุเป็นซิลิโคน
- มีปัญหาในการดาวน์โหลดภาพหน้าจอที่เป็นภาพจากแกลเลอรี่ ที่ใช้เวลานานมากเกินไป
- ตัวนาฬิกามักมีการแจ้งเตือนให้ติดตั้งเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดบ่อยอยู่ครั้ง ซึ่งใช้เวลาในการดาวน์โหลดประมาณครั้ง 5 นาที
วีดีโอรีวิว Huawei Band 7 ฟังก์ชันครบ ราคาไม่แพง
Fitness & Activity | 96 แบบ |
---|---|
Heart Rate | |
SpO2 | |
VO2 Max | |
GPS | |
วัดความเครียด | |
ติดตามการนอน | |
iOS & Android | |
กันน้ำ | 5 ATM |
แบตเตอรี่ | 14 วัน |
Garmin vivosmart 5 สายรัดข้อมืออัจฉริยะ

ราคา 5,290 บาท*
สำหรับใครที่ชื่นชอบนาฬิกาอัจฉริยะจากแบรนด์ใหญ่แบรนด์ดังในตลาดอย่าง Garmin อยู่แล้ว คุณจะต้องหลงรัก Garmin vivosmart 5 รุ่นนี้จริง ๆ ค่ะ หากคุณมองจากแค่ในรูปอาจทำให้รู้สึกเฉย ๆ แต่เมื่อหากสวมจริง ๆ ด้วยดีไซน์ที่ดูทันสมัยนี้จะช่วยทำให้ข้อมือของคุณดูสวยขึ้นผิดหูผิดตา แถมทาง Garmin ยังออกแบบตัวเรือนมาให้มีองศาที่โค้งรับกับข้อมือได้เป็นอย่างดี ส่วนสายวัสดุก็นุ่มมาก ๆ สามารถถอดออกเปลี่ยนสายได้อย่างง่ายดายเลยค่ะ

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มั่นใจเรื่องคุณภาพ ความแม่นยำ และความเสถียรภาพได้เลยค่ะ เพราะจากที่ผู้เขียนทดลองใช้มาสักระยะ (เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนที่มีความเครียดตลอดเวลาจนต้องทานยารักษา) พบว่าในขณะที่สวม Garmin นั้นค่าที่วัดได้ค่อนข้างตรงกับความรู้สึกจริง ๆ เมื่อเปรียบเทียบการวัดระดับความเครียดจากแบรนด์อื่น ๆ อย่าง Amazfit, Huawei หรือ Xiaomi แล้วนั้น ถือว่า Garmin มีความละเอียดมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังมีฟังก์ชันพิเศษที่มีเฉพาะในนาฬิกาของ Garmin อย่างฟีเจอร์ Body Battery ที่จะคอยคำนวณพลังงานในแต่ละวันของคุณอีกด้วย โดยอาศัยจากชั่วโมงในการนอนหลับ, ความเครียด และการวิเคราะห์กิจกรรมประจำวันของคุณเป็นหลักค่ะ

โดยรุ่นนี้มีความสามารถพิเศษตรงที่สามารถส่งข้อความแบบ SMS หรือ E-mail ไปขอความช่วยเหลือจากรายชื่อฉุกเฉินที่เราตั้งไว้ได้สูงสุดถึง 3 คน ในด้านของตัวแอปฯ เอง ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวค่ะ การตั้งค่ามีความละเอียดมาก ๆ มาพร้อมกับปุ่ม Home ที่ฝังอยู่บนหน้าปัดของตัวเครื่อง จึงค่อนข้างใช้งานได้สะดวกมากกว่าปุ่มกดที่ออกแบบมาให้อยู่ตรงด้านข้าง
ทั้งนี้หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมผู้เขียนถึงไม่ให้ Garmin อยู่ในลำดับแรก ๆ เพราะหากดูจากศักยภาพที่ทำได้แล้วก็ถือว่าค่อนข้างเหมาะสมอยู่ใช่ไหมคะ? แต่หากเทียบกับราคา ความอึดของแบตฯ และคุณสมบัติอื่น ๆ โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนอยากให้ทาง Garmin เพิ่มลูกเล่นมากกว่านี้ อย่างน้อย ๆ ก็ควรเป็นหน้าจอสีหรือมี GPS ในตัวค่ะ ทั้งนี้หากคุณสนใจ ก็สามารถอ่าน "รีวิว Garmin vívosmart 5" เพิ่มเติมได้ตามลิ้งก์ที่เราใส่ไว้ได้เลยค่ะ
ข้อดี
- ที่มีให้เลือก 2 ไซส์ (เล็ก/ใหญ่) สำหรับผู้หญิงและผู้ชาย
- ดีไซน์สวยทันสมัย ขนาดเล็ก น้ำหนักเบามาก ๆ
- เปลี่ยนสายได้ง่าย ๆ เมื่อเทียบรุ่นเก่าที่เปลี่ยนสายไม่ได้เลย
- หน้าจอสู้แสงได้ดี สามารถปรับความสว่างได้อัตโนมัติ
- แอปฯ Garmin Connect มีการเก็บข้อมูลได้ละเอียดมาก ๆ
- มีฟีเจอร์ Body Battery คอยประเมินพลังงานร่างกายให้ทุก ๆ วัน
- ส่งข้อความขอความช่วยเหลือโดยการส่งตำแหน่ง GPS ที่คุณอยู่ ณ ขณะนั้นไปให้บุคคลที่ 3 ได้ทันที
ข้อควรพิจารณา
- ราคาค่อนข้างสูงไป
- ไม่มี GPS ในตัว
- หน้าจอเป็น OLED ที่แสดงผลขาวดำเท่านั้น
- จอขนาดเล็กไปหน่อย ทำให้การแสดงข้อมูลมีข้อจำกัด และไม่เหมาะกับคนที่มีนิ้วมือใหญ่
- ไม่มีการตรวจจับการงีบหลับระหว่างวัน
- อายุแบตเตอรี่สั้นมาก ใช้งานจริง ๆ เพียง 3 วันเท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็เพราะมีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบต่อเนื่องทุกวินาที จึงทำให้แบตฯ หมดเร็ว ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ
วีดีโอ รีวิว Garmin vívosmart 5 ใส่ติดตามสุขภาพ
Fitness & Activity | ดาวน์โหลดเพิ่มเติมในแอปฯ |
---|---|
Heart Rate | |
SpO2 | |
VO2 Max | |
GPS | |
วัดความเครียด | |
ติดตามการนอน | |
iOS & Android | |
กันน้ำ | 5 ATM |
แบตเตอรี่ | 7 วัน |
Xiaomi Mi Band 7 สมาร์ทแบนด์

ราคา 1,289 บาท*
สำหรับใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Xiaomi คุณน่าจะชอบสมาร์ทแบนด์ Mi Band 7 รุ่นที่ออกมาใหม่ล่าสุด เพราะทางแบรนด์ได้มีการเพิ่มขนาดหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น ทั้งยังเปลี่ยนความจุของแบตเตอรี่ให้สูงถึง 180 mAh ที่เท่ากับของ Huawei เลยค่ะ แต่ของ Xiaomi ดีไซน์จะมีความคล้ายกับ Garmin มากกว่า นั่นคือเน้นขนาดเล็กที่พอดีกับข้อมือ ไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป เป็นการออกแบบ Unisex ที่สามารถใส่ได้ทุกเพศทุกวัย โดยข้อดีอย่างของ Xiaomi ก็คือมีโหมดกีฬาและกิจกรรมให้เลือกมากถึง 120 โหมด ที่จะช่วยให้คุณเล่นกีฬาและฝึกฝนตัวเองได้อย่างครอบคลุม ถือว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาหลายประเภทแต่มีงบประมาณจำกัด

ด้านฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ก็มีมาให้อย่างครบครัน มาพร้อมกับปลายสายข้อมือแบบกระดุมล็อกเหมือนของ Amazfit เลยค่ะ จึงค่อนข้างสวมใส่ได้ง่าย อีกหนึ่งอย่างที่เหมือนกันคือรุ่นนี้ไม่มีปุ่ม Home ที่ตัวเครื่องมาให้ ทำให้การใช้งานจะต้องอาศัยการแตะสัมผัสหน้าจอหรือการยกข้อมือขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ก็อาจทำให้ตัวนาฬิกากินแบตฯ ไปบ้าง นอกจากนี้การเปิด-ปิดเครื่องก็อาจจะลำบากนิดหน่อยค่ะ เพราะไม่มีปุ่ม Home ให้ควบคุม แต่ในส่วนของแอปฯ นั้นถือว่าทำออกมาได้ดี สามารถใช้งานได้ทั้งระบบ Android และ iOS มาพร้อมกับฟีเจอร์เพื่อสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมายที่ช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้น
อย่างไรก็ตามตัวผู้เขียนเองก็ค่อนข้างเลใจในการจัดลำดับระหว่าง Garmin กับ Xiaomi เนื่องจากรูปทรงที่ออกแบบมาให้คล้าย แต่เหตุผลที่ยกให้ Garmin ดีกว่า แม้ว่าทาง Xiaomi จะมียอดขายดีและมีราคาที่ถูกกว่ามากก็ตาม นั่นเป็นเพราะความแม่นยำของ Xiaomi ยังทำได้ไม่ดีพอเมื่อเทียบกับแบรนด์ Garmin อย่างเช่นฟีเจอร์นับเก้านั้นค่าที่ออกมาค่อนข้างเพี้ยนไปบ้างเล็กน้อยค่ะ อย่างไรก็ตามหากคุณสนใจสามารถเข้าไปอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ "รีวิว Xiaomi Smart Band 7" ได้เลยค่ะ
ข้อดี
- ราคาไม่แพง
- น้ำหนักเบาและมาในขนาดกำลังดี ดีไซน์สวยงาม unisex ใช้งานทุกเพศทุกวัย
- ฟ้อนต์ภาษาไทยที่อ่านง่าย ไม่เพี้ยน
- มีโหมดออกกำลังกาย 120 รูปแบบ
- ระยะเวลาในการชาร์จค่อนข้างเร็ว
- ที่ล็อกสายข้อมือออกแบบมาเป็นกระดุมล็อก จึงใช้งานง่าย

ข้อควรพิจารณา
- ระบบเซนเซอร์หลังตัวเรือนค่อนข้างนูนพอสมควรทำให้เมื่อสวมแล้วดูหน้าปัดลอยเล็กน้อย
- ไม่มี GPS สำหรับติดตามตำแหน่งมาให้
- จอขนาดเล็กไปหน่อย ทำให้การแสดงข้อมูลมีข้อจำกัด
- ไม่มีปุ่ม Home ทำให้กลับไปหน้าหลักได้ยาก
- หน้าปัดดาวน์โหลดลงตัวนาฬิกาได้มากสุดแค่ 10 หน้าปัดเท่านั้น
- ไม่สามารถตอบข้อความได้และรับสายได้
- หากเครื่องดับจะต้องเสียบสายชาร์จเพื่อให้เครื่องทำงานได้ปกติ ไม่สามารถเปิดจากตัวได้โดยตรง
วีดีโอ รีวิว Xiaomi Smart Band 7 สายรัดข้อมืออัจฉริยะ
Fitness & Activity | 120 แบบ |
---|---|
Heart Rate | |
SpO2 | |
VO2 Max | |
GPS | |
วัดความเครียด | |
ติดตามการนอน | |
iOS & Android | |
กันน้ำ | 5 ATM |
แบตเตอรี่ | 14 วัน |
FITBIT Charge 5 ฟิตเนสแบนด์

ราคา 6,590 บาท*
สำหรับใครที่รอสมาร์ทแบรนด์รุ่นที่มี GPS ในตัว เราขอแนะนำให้คุณเลือกซื้อจากแบรนด์ Fitbit Charge 5 เนื่องจากรุ่นนี้ทางแบรนด์ได้มีการอัปเดทใหม่ทั้งหน้าจอสีและขนาดจอที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงยังมี GPS ทำให้เวลาที่คุณออกไปวิ่งกลางแจ้งก็ไม่จำเป็นต้องพกโทรศัพท์ติดตัวไปก็ได้ค่ะ นอกจากนี้หากคุณกังวลว่า GPS จะให้นาฬิกากินแบตฯ มากเกินไป ก็สามารถสั่งเปิด-ปิดการใช้งาน GPS ได้เอง ช่วยประหยัดแบตฯ ได้อีกทาง นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG / EKG) ที่คอยตรวจหาสัญญาณของภาวะหัวใจห้องบน (AFib) ได้อย่างละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งปกติจะมีแค่ในสมาร์ทวอทช์รุ่นใหญ่ ๆ เท่านั้น น้อยมากที่จะพบเจอในฟิตเนสแบนด์
ส่วนฟีเจอร์พื้นฐานอื่น ๆ ก็ยังคงใช้ได้ดีเหมือนเดิมค่ะ โดยเฉพาะการติดตามการนอนหลับและการนับก้าว แอปฯ Fitbit ให้ข้อมูลหลังการออกกำลังกายมากมาย รวมถึงการแสดงอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลา ในส่วนด้านความปลอดภัย Fitbit Charge 5 สามารถแจ้งเตือนคุณได้หากพบว่ามีอัตราการเต้นของหัวใจสูงหรือต่ำผิดปกติ Fitbit Charge 5 ยังสามารถบอกคุณได้ว่าร่างกายของคุณพร้อมสำหรับการออกกำลังกายหรือไม่ หรือคุณควรหยุดพักหนึ่งวันด้วยนะคะ
แต่จะมีข้อเสียอยู่ที่อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างต่ำไปหน่อยเมื่อเทียบสมาร์ทแบนด์ทั่วไป นอกจากนี้หากไม่มีการสมัครสมาชิกแบบ Premium การติดตามความฟิตและสุขภาพขั้นพื้นฐานจะยังมีบริการให้อยู่ แต่จะแง่ของการวิเคราะห์ข้อมูลที่ละเอียดแบบเจาะลึกจะไม่มีในส่วนนี้แล้วค่ะ ซึ่งคุณสามารถใช้งานสมาชิกแบบ Premium ได้ฟรี 6 เดือนแรกเท่านั้น
ข้อดี
- เป็นสมาร์ทแบรนด์ที่มี GPS ในตัว ช่วยให้คุณสามารถออกกำลังกายกลางแจ้งได้โดยไม่ต้องพกโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย
- ดีไซน์สวยงาม มีให้เลือก 3 เฉดสีที่เหมาะสำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
- ตัวแอปฯ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพได้อย่างละเอียด แต่จะต้องสมัครสมาชิกแบบ Premium เท่านั้น ซึ่งคุณได้สิทธิ์ใช้ฟรีใน 6 เดือนแรกที่ซื้อค่ะ
- แบรนด์ Fitbit ค่อนข้างเป็นที่ขึ้นชื่นว่าฉลาดมาก เหมาะกับสายออกกำลังกายที่เล่นแบบจริงจัง แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในไทยสักเท่าไหร่
ข้อควรพิจารณา
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่จะสั้นไปหน่อยเมื่อเทียบกับสมาร์ทแบนด์ยี่ห้ออื่น ๆ
- มีราคาที่สูง เนื่องจากรุ่นนี้มีระบบ GPS ในตัว ดังนั้นหากคุณไม่อยากให้งบประมาณบานปลาย แนะนำให้มองหารุ่นอื่นที่ไม่มี GPS แทนค่ะ
- มีโหมดกีฬาหลัก ๆ ให้เลือกเพียง 20 แบบ
Fitness & Activity | 20 แบบ |
---|---|
Heart Rate | |
SpO2 | |
VO2 Max | |
GPS | |
วัดความเครียด | |
ติดตามการนอน | |
iOS & Android | |
กันน้ำ | 5 ATM |
แบตเตอรี่ | 7 วัน |
Fitbit Luxe ฟิตเนสแบนด์

ราคา 4,790 บาท*
ต้องยอมรับ Fitbit Luxe เป็นรุ่นที่ดีไซน์สวยหรูสมชื่อ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำถึงได้ขายดี เนื่องจากขนาดที่ไม่ใหญ่เทอะทะเกินไป ดีไซน์เพรียวบาง บวกกับหลาย ๆ คนในที่นี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ GPS เหมือนในรุ่น Fitbit Charge 5 ทำให้ Fitbit Luxe ที่มีราคาถูกกว่ากลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมของสาว ๆ ไปโดยปริยาย เนื่องจากรุ่นนี้คุณสามารถเลือกแบบสายซิลิโคนหรือสายนาฬิกาสแตนเลสสีทองได้ ทำให้ Fitbit Luxe เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันมาก ๆ เพราะสามารถเข้ากันได้กับทุกลุคการแต่งตัว
แต่เนื่องจากทางแบรนด์ไม่ได้ออกแบบปุ่มกดมาให้เลยเหมือนของ Amazfit และ Xiaomi ดังนั้นการตอบสนองบนหน้าจอจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ แตีก็ถือว่า Fitbit ก็มีการสนองที่ดีและรวดเร็วมากค่ะ ในส่วนของสมบัติพื้นฐานและคุณสมบัติขั้นสูงก็ใส่มาให้อย่างครบครัน สามารถตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติผ่าน Smart Track ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการเลือกการออกกำลังกายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งนี้หน้าจอก็ยังสามารถแสดงผลสถิติการออกกำลังกายได้แบบเรียลไทม์โดยที่เราไม่จะต้องแตะอะไรเลย
ข้อดี
- ดีไซน์สวย ดูหรูหรา มีสายแบบสแตนเลสสีทองให้เลือกซื้อได้
- ตัวเครื่องที่มีขนาดเล็ก เน้นเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวก
- โดดเด่นเรื่องความแม่นยำในการตรวจวัด Heart Rate ที่เทียบเท่ากับแบรนด์ใหญ่ ๆ รุ่นเรือธง
- ต้องเป็นสมาชิกแบบ Premium เท่านั้นถึงจะได้ใช้แอปฯ แบบเจาะลึกได้ ซึ่งคุณได้สิทธิ์ใช้ฟรีใน 6 เดือนแรกที่ซื้อค่ะ
ข้อควรพิจารณา
- ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสมาร์ทแบนด์ยี่ห้ออื่น ๆ
- ตัวนาฬกาไม่มีปุ่มกด ทำให้ใช้งานค่อนข้างลำบากเล็กน้อย
- เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบออกกำลังกายในยิมหรือในร่มมากกว่ากลางแจ้งเพราะไม่มี GPS
- น่าเสียดายที่รุ่นนี้มีอายุแบตฯ ที่สั้นมาก โดยอยู่ได้นานสูงสุดเพียง 5 วันเท่านั้น ดังนั้นใครที่ไม่ชอบชาร์จแบตฯ บ่อย ๆ ก็ต้องทำใจในส่วนนี้หน่อยนะคะ
- มีโหมดกีฬาหลัก ๆ ให้เลือกเพียง 20 รูปแบบ
Fitness & Activity | 20 แบบ |
---|---|
Heart Rate | |
SpO2 | |
VO2 Max | |
GPS | |
วัดความเครียด | |
ติดตามการนอน | |
iOS & Android | |
กันน้ำ | 5 ATM |
แบตเตอรี่ | 5 วัน |
FITBIT Inspire 3 ฟิตเนสแบนด์

ราคา 3,990 บาท*
สุดท้ายยังอยู่กับแบรนด์ FITBIT อีกเช่นเคยหลังจากที่เรารีวิว FITBIT Charge 5 และ FITBIT Luxe กันแล้ว หลาย ๆ คนอาจจะไม่ถูกอกถูกใจสักเท่าไหร่นัก แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเรามั่นใจว่า FITBIT Inspire 3 ตัวนี้คุณจะต้องชอบอย่างแน่นอนค่ะ เพราะว่ารุ่นนี้จะเหมือนรุ่น Charge 5 ทุกอย่าง แต่ต่างกันตรงที่จะไม่มี GPS และเซ็นเซอร์ EDA เพื่อติดตามความเครียดอย่างใกล้ชิดมาให้ แต่ไม่ก็เป็นไรค่ะเพราะ Inspire 3 มีการฝึกผ่อนคลายการหายใจที่ Charge 5 ไม่มี แถมอายุการใช้งานก็มากกว่าด้วย เนื่องจากสามารถอยู่นานถึง 10 วันเลยค่ะ
ในส่วนการเปรียบเทียบกับรุ่น Luxe นั้น รุ่น Inspire 3 จะมีการแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจสูงและต่ำที่รุ่น Luxe ไม่มีด้วยนะคะ ซึ่งแน่นอนว่ามาในราคาที่ถูกกว่าอีกด้วย ในส่วนของการทำงานด้านอื่น ๆ ก็มีมาให้ใช้งานอย่างครอบคลุม โดยในรุ่น Inspire 3 จะใช้เมตริกที่เรียกว่า Active Zone Minutes เพื่อช่วยให้คุณเข้าถึงระดับกิจกรรมตามแอปที่แนะนำและมันจะพิจารณาดูว่าคุณใช้เวลากับอัตราการเต้นของหัวใจในบางโซนมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ Inspire 3 จะปรับการออกกกำงลังกายให้เหมาะกับอายุและระดับความฟิตของคุณด้วย ช่วยให้คุณเข้าถึงการออกกำลังกายที่เฉพาะเจาะจงกับสุขภาพตัวเองมากขึ้น โดยในรุ่นนี้ยังมีการตรวจจับจังหวะการเต้นของหัวใจระหว่างการนอนหลับ ซึ่งสามารถแจ้งเตือนคุณได้หากมีสัญญาณของภาวะหัวใจห้องบน (AFib) นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งค่าให้จอแสดงผลได้ตลอดเวลาอีกด้วยนะคะ
ข้อดี
- มีการอัปเดทระบบเมนูแบบใหม่ที่ใช้งานง่ายกว่าเดิม
- เพิ่มอายุแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นกว่ารุ่นอื่น ๆ ของ FITBIT
- ดีไซน์สวยงามมีให้เลือกหลายเฉดสี
- ขนาดเล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย
- หน้าจอสีคมชัด
ข้อควรพิจารณา
- ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสมาร์ทแบนด์ยี่ห้ออื่น ๆ
- ไม่มี GPS
- มีโหมดกีฬาหลัก ๆ ให้เลือกเพียง 20 รูปแบบ
Fitness & Activity | 20 แบบ |
---|---|
Heart Rate | |
SpO2 | |
VO2 Max | |
GPS | |
วัดความเครียด | |
ติดตามการนอน | |
iOS & Android | |
กันน้ำ | 5 ATM |
แบตเตอรี่ | 10 วัน |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
เปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่าง สมาร์ทแบนด์ VS สมาร์ทวอทช์
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไม่มีขีดจำกัด ทำให้ในบางครั้งผู้ใช้งานอย่างเราเกิดความสับสนได้ เพราะหากดูตามหลักความเป็นจริงทั้งสมาร์ทแบนด์และสมาร์ทวอทช์ต่างก็อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันทั้งคู่!! แถมบางยี่ห้อก็ออกแบบรูปร่าง ขนาด และลักษณะคล้ายกันไปหมด จนทำให้ผู้ซื้ออย่างเราเกิดตั้งคำถามว่า
- ระหว่างสมาร์ทแบนด์และสมาร์ทวอทช์อะไรดีกว่ากัน ?
- แบบไหนเหมาะเรามากที่สุด ?
- ทั้งสองมีความต่างกันตรงไหนบ้าง ?
เพื่อไม่ให้คุณต้องเสียเวลาหาข้อมูล วันนี้เราได้รวบรวมความแตกต่างของทั้งคู่มาไว้ในหัวข้อนี้แล้วค่ะ
ตารางเปรียบเทียบระหว่าง Smart Band และ Smart Watch |
||
หัวข้อ | Smart Band (สมาร์ทแบนด์) | Smart Watch (สมาร์ทวอทช์) |
คำนิยาม | สมาร์ทแบนด์เน้นการทำงานเป็นตัวติดตาม Fitness Tracking ใช้กับพวกกิจกรรมกีฬา และยังทำหน้าที่เป็นตัวติดตามสุขภาพได้ด้วย เหมาะสำหรับสายออกกำลังกาย เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัด | สมาร์ทวอทช์เน้นการทำงานที่ครอบคลุมและหลากหลาย แถมยังทำทุกอย่างเหมือนสมาร์ทแบนด์ ทั้งนี้ยังทำหน้าที่เป็นสมาร์ทโฟนได้ดีกว่าด้วย |
หน้าจอ | สมาร์ทแบนด์จะมีขนาดจอแสดงผลขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้า | ส่วนมากสมาร์ทวอทช์จะมีจอแสดงผลขนาดใหญ่กว่า ซึ่งอาจเป็นแบบวงกลม สี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ได้ |
แบตเตอรี่ | อายุการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง จะใช้ได้นานกว่าสมาร์ทวอทช์ เนื่องจากมีฟังก์ชันน้อยกว่า | อายุการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้งสั้นกว่าสมาร์ทแบนด์ เนื่องจากมีฟังก์ชันที่ซับซ้อนกว่าทำให้ต้องแบตฯ เยอะ |
วัสดุ | ส่วนใหญ่เป็นวัสดุยางที่มีน้ำหนักเบา | วัสดุมีความหลากหลาย โดยตัวสายอาจทำจากยาง หนังแท้ หรือสแตนเลสก็ได้ |
ราคา | ถูกกว่าพอสมควร | ค่อนข้างแพง |
1. สมาร์ทแบนด์มีฟังก์ชันการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนเหมือนสมาร์ทวอทช์
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองตัวนี้ก็คือ สมาร์ทแบนด์จะเน้นไปที่การติดตาม Fitness Tracking มากกว่า ซึ่งจะมีฟังก์ชันแจ้งเตือนพื้นฐานที่เชื่อมต่อกับแอปฯ ในสมาร์ทโฟนได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ในบางรุ่นก็สามารถตอบกลับในรูปแบบข้อความได้แต่อาจทำไม่ได้ครอบคลุมทุกแอปฯ ยกตัวอย่างเช่น สามารถตอบกลับข้อความในแอปฯ Line ได้แต่ใช้ในแอปฯ Messenger ของ Facebook ไม่ได้ เป็นต้น

ในทางกลับกันของสมาร์ทวอทช์จะมีคุณสมบัติที่ครอบคลุมทั้งหมด รวมถึงคุณสมบัติแบบที่สมาร์ทแบนด์มีด้วย นั่นหมายความว่าสมาร์ทวอทช์ก็สามารถใช้ตรวจวัดสุขภาพร่างกายรูปแบบต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกัน แถมบางครั้งอาจทำให้ดีกว่าหรือมีฟังก์ชันให้เยอะกว่าด้วยซ้ำ
สิ่งที่ทำให้สมาร์ทวอทช์ต่างจากสมาร์ทแบนด์อีกอย่างก็คือมันทำหน้าที่เป็นเหมือนโทรศัพท์มือถือได้ดีกว่า ยกตัวอย่างเช่น ความสามารถในการรับสายโทรเข้าโทรออกที่สามารถพูดคุยผ่านตัวสมาร์ทวอทช์ได้เลย นอกจากนี้สมาร์ทวอทช์บางรุ่นอาจมาพร้อมกับกล้อง, การเชื่อมต่อผ่าน WiFi, 4G LTE, รวมถึงมีลำโพงไมโครโฟน, ช่องเสียบการ์ด SD เพื่อจัดเก็บเพลง รูปภาพ และมัลติมีเดียอื่น ๆ อีกทั้งยังใส่ซิมการ์ดแยกให้ด้วย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าสมาร์ทวอทช์มีฟังก์ชันการทำงานที่เยอะกว่าและช่วยอำนวยความสะดวกชีวิตประจำวันได้ดีกว่า
2. สมาร์ทแบนด์มีขนาดที่เล็กกว่าสมาร์ทวอทช์

อีกหนึ่งจุดที่เราสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ก็คือสมาร์ทแบนด์จะมีขนาดที่เล็กกว่าสมาร์ทวอทช์ เพราะสมาร์ทแบนด์จะเน้นการใช้งานให้เป็นส่วนหนึ่งไปกับร่างกาย หากมีขนาดใหญ่เกินไปจะทำให้ผู้ใส่รู้สึกไม่สบายตัวเอาได้ ดังนั้นขนาดที่บางและเบานี่เองจึงเป็นหัวใจหลักของสมาร์ทแบนด์ เพราะมันจะช่วยให้คุณเคลื่อนไหวตอนออกกำลังกายง่ายขึ้น
3. หน้าจอของสมาร์ทแบนด์เล็กกว่าสมาร์ทวอทช์
โดยส่วนใหญ่หน้าจอสมาร์ทแบนด์จะมีขนาด 0-1 นิ้ว รูปร่างจะเป็นหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ออกแบบมาให้ดูกลมกลืนไปกับตัวสายข้อมือ ตัวเครื่องจะบางและเรียบไปกับข้อมือ อาจมีคุณสมบัติทัชสกรีนหรือไม่ก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วรุ่นใหม่ ๆ ที่ออกมาจะทำให้สามารถทัชสกรีนและเป็นหน้าจอแสดงผลแบบสีกันหมดแล้วค่ะ

ส่วนหน้าจอของสมาร์ทวอทช์จะเน้นไปที่ขนาดใหญ่ 1-3 นิ้ว มักมารูปแบบวงกลม, สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฯลฯ หน้าจอสมาร์ทวอทช์จะเป็นระบบสัมผัสทั้งหมด ทั้งยังต้องมีพื้นที่หน้าปัดใหญ่มากพอที่จะออกคำสั่งด้วยปลายนิ้วได้อย่างง่ายดายอีกด้วยค่ะ
4. อายุแบตฯ ของสมาร์ทแบนด์ยาวนานกว่าสมาร์ทวอทช์
สมาร์ทแบนด์มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานกว่าสมาร์ทวอทช์ แม้แต่ในขณะที่คุณเปิดใช้งานทุกฟังก์ชันสมาร์ทแบนด์จะสามารถอยู่ได้นาน 4-5 วันต่อการชาร์จเพียงครั้งเดียว แต่ในกรณีที่เราเปิดใช้โหมดประหยัดพลังงานสมาร์ทแบนด์ก็อาจจะอยู่นาน 1-2 สัปดาห์เลยค่ะ
สำหรับสมาร์ทวอทช์แม้ว่าจะมีความจุแบตเตอรี่ที่สูงกว่าก็จริง แต่เนื่องจากมีคุณสมบัติและฟังก์ชันทางเทคนิคขั้นสูงมากมาย จึงทำให้ต้องใช้แบตเตอรี่มากกว่า ดังนั้นสมาร์ทวอทช์จึงใช้งานได้เพียง 1-2 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเท่านั้นค่ะ
สรุป หากคุณเป็นคนที่มองหาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมกับช่วยอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันได้ด้วย โดยที่ไม่สนใจว่าราคาจะแพงแค่ไหน คุณควรซื้อสมาร์ทวอทช์ค่ะ
ในทางกลับกันหากคุณเป็นสายสปอร์ต สายสุขภาพ ชอบเล่นฟิตเนส สมาร์ทแบนด์จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่า เพราะว่ามีราคาไม่แพงจนเกินไป ทั้งยังมีน้ำหนักเบาทำให้คุณสามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของสมาร์ทแบนด์คือพวกฟังก์ชันที่ทำหน้าที่เสมือนสมาร์ทโฟนมีขีดจำกัดเท่านั้นเองค่ะ
เปรียบเทียบ รีวิว สมาร์ทแบนด์ (Fitness Tracker) ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ถูกและดี น้ำหนักเบา
![]() Amazfit Band 7 สมาร์ทแบนด์ | ![]() Huawei Band 7 สมาร์ทแบนด์ | ![]() Garmin vivosmart 5 สายรัดข้อมืออัจฉริยะ | ![]() Xiaomi Mi Band 7 สมาร์ทแบนด์ | ![]() FITBIT Charge 5 ฟิตเนสแบนด์ | ![]() Fitbit Luxe ฟิตเนสแบนด์ | ![]() FITBIT Inspire 3 ฟิตเนสแบนด์ |
฿1390.00* | ฿1191.00* | ฿5290.00* | ฿1289.00* | ฿6590.00* | ฿4790.00* | ฿3990.00* |
|
|
|
|
|
|
|
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
สำหรับใครที่สนใจสมาร์ทวอทช์จากรุ่นอื่น ๆ ซึ่งไม่มีในบทความของเราวันนี้คุณสามารถเข้าไปดูรายละเอียดการรีวิวได้ที่ รีวิวสมาร์ทวอทช์ Garmin, รีวิวสมาร์ทวอทช์ Samsung, รีวิวสมาร์ทวอทช์ Xiaomi, รีวิวสมาร์ทวอทช์ Huawei และรีวิวสมาร์ทวอทช์ Amazfit