สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เรากลับมาเจอะเจอกันอีกแล้วกับการรีวิวหนัง ซีรีส์ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะเคยมีการรีวิวซีรีส์จีน ซีรีส์เกาหลี ซีรีส์ญี่ปุ่น หรือแม้แต่การ์ตูนอะนิเมะก็มีการรีวิวไปบ้างแล้ว วันนี้เรามีอีกแนวจะมารีวิวเรียกว่าข้ามมากันคนละซีกโลกกันเลยกับซีรีส์หนังรักฝรั่งที่เราก็ยังคงเกาะติดกระแสความรักไฮสคูลกันมาอย่างต่อเนื่องกับ To All The Boys
หลังจากที่ได้มีการรีวิวกันไปแล้วกับ To All The Boys I’ve Loved Before ในภาคแรกและ To All The Boys : P.S. I Still Love You ในภาคที่สอง กับเรื่องราวของลอร่า จีนและปีเตอร์ที่ในแต่ละภาคต้องฝ่าฟันอะไรต่อมิอะไรจนตอนนี้ก็มาถึงบทสรุปของทั้งคู่แล้วว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ สำหรับ To All The Boys Always And Forever ซึ่งก็เพิ่งจะลงจอ Netflix กันไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง หลังจากที่ทั้งคู่ได้ผ่านช่วงมัธยมมาแบบทุลักทุเล แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ จนนี้ถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องไปเรียนต่อมหาลัยกันแล้ว ซึ่งปกติเวลาไปเรียนต่อมหาลัยสิ่งที่กลัวกันมากที่สุดคือการที่จะต้องห่างกันซึ่งจะไม่ใช่ทุกคู่นะที่จะผ่านช่วงนี้ไปได้ คราวนี้สิ่งที่จะมาเป็นบททดสอบความรักของทั้งคู่ไม่ใช่แค่เจนหรือจอห์นเหมือนทั้งสองภาคที่ผ่านมาแล้ว เพราะคราวนี้ทุกอย่างจะอยู่ที่การตัดสินใจของเธอ “ลอร่า จีน” ว่าต่อจากนี้เธอเลือกที่จะมีผู้ชายที่ชื่อ “ปีเตอร์ คาวินสกี” ในชีวิตเธอต่อหรือไม่
เรื่องย่อ To All the Boys Always And Forever

หลังจากชีวิตการเป็นนักเรียนจบลงต่อจากนี้ทั้งลอร่า ปีเตอร์ และเพื่อน ๆ ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในมหาลัยแล้ว ปีเตอร์โชคดีหน่อยเพราะการที่เขาเป็นนักกีฬาโรงเรียนนั้นมันทำให้เขาได้เข้าสแตนฟอร์ดได้อย่างสบาย ๆ ลอยลำไปแล้วหนึ่งคน แต่สำหรับสาวลอร่าที่ตอนนี้เหมือนจะค่อนข้างมืดมัว จะไปเที่ยวก็เที่ยวไม่เต็มที่เพราะต้องมานั่งกังวลอยู่แต่กับเรื่องผลสอบ แล้วก็ต้องกดดันไม่น้อยเพราะเธออยากเข้ามหาลัยเดียวกับปีเตอร์ เพราะถ้าไม่ได้อยู่มหาลัยเดียวกันแล้วละก็…มีหวังคงต้องกลับมาโสดแห้งเหี่ยวอยู่คนเดียวในโลกเพ้อฝันของเธอเองอีกแน่ ๆ ผลปรากฏว่าเธอไม่ผ่านการคัดเลือกซึ่งนั่นก็แปลว่า เธอกับปีเตอร์ก็ต้อง… ภาพที่เธอคอยจินตนาการทั้งหมดก็พังทลาย สามีในอนาคตของเธอที่เคยเป็นปีเตอร์นั้นเหมือนเป็นภาพเบลอ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเธอยังมีมหาลัยสำรองอยู่ ซึ่งก็มีมหาลัยที่ห่างจากสแตนฟอร์ดแค่ชั่วโมงนิด ๆ ขับรถไปหาปีเตอร์ได้สบาย ๆ กับอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยอย่างเอ็นวายยู ซึ่งแหงล่ะ เอ็นวายยูไม่ได้อยู่ในหัวเธอเลย และเธอก็ไม่คิดจะไปเรียนที่นิวยอร์กด้วยซ้ำไป
ก่อนจบม.6 โรงเรียนก็มีกิจกรรมที่จะต้องเดินทางไปยังนิวยอร์ก ทุกคนดูตื่นเต้นกันยกใหญ่ แล้วครูก็ให้แบ่งกลุ่มเพื่อออกไปทำภารกิจยังสถานที่ต่าง ๆ ในนิวยอร์ก ระหว่างทำกิจกรรมอยู่นั้นบังเอิญลอร่าก็ดันไปเจอกับเจนโจทก์เก่าของเธอ (ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่กัดกันแบบเดิมแล้วนะ) เจนก็เลยชวนทั้งลอร่าและคริสให้เข้าร่วมงานปาร์ตี้ และคืนนั้นเองเหมือนทุกอย่างมันชั่งสนุกสุดเหวี่ยง นิวยอร์กเมืองที่ทุกคนใช้ชีวิตอยู่เหนือลิมิต ทุกอย่างดูท้าทายและน่าค้นหา แค่คืนเดียวเท่านั้นก็ทำให้ความคิดของลอร่าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งพอเธอมารู้อีกว่าเธอนั้นสอบเข้าเอ็นวายยูได้แล้ว…เธอก็ลืมคิดถึงปีเตอร์ไปเลยทันที เมื่อเธอเป็นคนที่เลือกที่จะไปไกลจากเขา และเมื่อคำว่า ‘รัก’ ของทั้งคู่มันยังไม่มากพอที่รั้งคนคนนึงไว้ ดังนั้นมันถึงจุดที่จะต้องจบมันก่อนที่จะสายไป…
ข้อมูลทั่วไปของTo All the Boys Always And Forever
แนวซีรีย์ | โรแมนติก – ดราม่า |
---|---|
กำกับการแสดง | ไมเคิล ฟิโมญญารี |
สร้างจาก | นวนิยาย Always and Forever, Lara Jean โดยเจนนี่ ฮาน |
เขียนบท | เคธี่ เลิฟจอย |
ความยาว | 115 นาที |
วันที่ฉายใน Netflix | 12 กุมภาพันธ์ 2021 |
นักแสดงนำ | โนอาห์ เซนตินีโอ (ปีเตอร์ คาวินสกี) ลาน่า คอนดอร์ (ลอร่า จีน) แอนนา เคธคาร์ต (คิตตี้) อีมิลิจา บาราเนค (เจน เจนีวีฟ) เมเดลลีน อาร์เธอร์ (คริส) |
นักแสดงสมทบ | ซารายู บลู รอสส์ บัตเลอร์ |

เหตุผลที่ต้องดู To All the Boys Always And Forever
1. พาเลทสสีซิกเนเจอร์เฉพาะ To All the Boys Always And Forever
อย่างที่ทั้งสองภาคได้รีวิวไปในเรื่องโทนสีของภาพไว้บ้างแล้ว มาในภาคที่สามที่เป็นบทสรุปของความรักครั้งนี้ ทางทีมผู้สร้างเลือกใช้โทนสีสว่างทั้งในรายละเอียดของเสื้อผ้านักแสดง พร็อพต่าง ๆ รวมถึงสถานที่นั้น ๆ ด้วยโดยทั้งหมดจะถูกคุมโทนให้อยู่ในเฉดสีชมพู, เหลืองและฟ้าก็เพื่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกและโทนสีเหล่านี้ยังช่วยทำให้หนังดูย้อนไปราวกับยุค 70s สีที่สว่างสดใส ช่วยให้หนังดูมีชีวิตชีวา ดูมีความสุข และช่วยดึงอารมณ์ของหนังแม้ในฉากดราม่าก็ตาม และที่เล่นใหญ่เบอร์สุดอีกหนึ่งอย่างเลยก็คือตึก Empire State ก็ใช้ไฟสีชมพู, เหลือง และฟ้าตามคอนเซ็ปต์ของหนังเรื่องนี้ด้วย ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่าทุกฉากจะมีองค์ประกอบของทั้งสามสีผสมอยู่ตลอดซึ้งทั้งสามสีนี้แหละเป็นสีซิกเนเจอร์ของภาคนี้เลยค่ะ

2. ยกกองไปถ่ายทำถึงเกาหลี
สำหรับทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ก็มีการเกริ่นถึงเกาหลีกันไปบ้างแล้วใช่ไหมคะ ยังจำกันได้ไหมเอ่ย? แต่ภาคนี้คือเล่นใหญ่มากเปิดฉากมาก็กรุงโซล ประเทศเกาหลีเลยจ้ากับทริปท่องเที่ยวของครอบครัวคัฟวีย์ที่ขนกันไปยกบ้าน นอกจากสามสาวและพ่อของเธอแล้ว ก็มีแฟนใหม่ของคุณพ่อพวกเธอไปด้วยเหมือนกัน ฉากที่โซลนั้นคัดเอามาแต่สถานที่ดัง ๆ แลนด์มาร์คฮิต ๆ ทั้งนั้นไม่ว่าจะคาเฟ่ที่มีชื่อว่า Yeonnam – Dong 223 – 14 คาเฟ่ที่ออกแบบตกแต่งภายในโดยการใช้ลายเส้นคอมมิคสุดแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร ย่านช็อปปิ้งเมียงดงชื่อดังที่ไม่มีใครแทบไม่รู้จัก สวนสาธารณะยออีโดฮันกัง และไฮไลท์เลยก็คือโซลเอ็นทาวเวอร์สถานที่คล้องกุญแจคู่รัก บอกเลยว่าภาคนี้ไม่ใช่แค่ลอร่าเท่านั้นที่เข้าถึงความเป็นเกาหลีจริง ๆ แต่ทำให้บรรดาเหล่าคนดูหลงรักเกาหลีมากขึ้นเช่นกัน เหมือนบางคนถึงขนาดว่าถ้าไปเกาหลีต้องไปคาเฟ่ที่ใช่ถ่ายหนังเลยแหละค่าทุกคน

3. ซีนที่แพงหูฉี่
นอกจากจะไปถ่ายทำกันถึงโซลแล้ว อีกที่หนึ่งที่ทำเอาเราว้าววว! นั่นก็คือนิวยอร์กกก!! แค่ได้ยินชื่อนี้ก็พีคแล้วกับมหานครยักษ์ใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ บอกเลยว่าภาคนี้เหมือนพาคนดูทุกคนไปเยือนมหานครนิวยอร์กไปพร้อม ๆ กับลอร่าและปีเตอร์เลยแหละค่ะ นิวยอร์กก็เป็นอีกที่นึงที่ทีมงานทุ่มเงินจำนวนไม่น้อยในการถ่ายทำ โดยเฉพาะซีนที่สาว ๆ ขนโซฟาเข้าไปในรถไฟใต้ดินที่เล่นเอาเหงื่อตกกันเลยเพราะถือเป็นฉากที่แพงมาก ๆ ทางทีมออกแบบงานสร้างต่างเอ่ยปากเลยว่าฉากที่นิวยอร์กนั้นถ่ายทำยากมาก ด้วยเมืองที่วุ่นวาย ผู้คนก็พลุกพล่านทำให้แต่ละฉากมีเวลาถ่ายทำแค่ประมาณ 10 นาทีแค่นั้น แต่ขอบอกเลยว่าแต่ละฉากที่ออกมาเป็นหนังแล้ว…เลิศสุด ฉากที่นิวยอร์กนี่เองที่เป็นอินสไปร์เรชั่นให้เราอยากออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังมหานครนิวยอร์กสักครั้ง

4. โมเมนต์ซึ้ง ๆ ของคิตตี้
ก่อนหน้านี้สาวคิตตี้น้องเล็กของบ้านคัฟวีย์ที่ชอบแหวะพี่สาวของเธอบ่อยครั้ง ทั้งชอบสร้างเรื่องชวนปวดหัวให้พี่สาวของเธอ แถมด้วยความที่เป็นเด็ก ปากไวไปนิด ก็ดันไปพูดทำร้ายจิตใจลอร่าอีก โถ่…คิตตี้! ภาคนี้เลยขอแก้ตัวนิดหน่อยเพราะภาคนี้เธอดูโตขึ้นและแถมเธอยังมีโมเมนต์สุดซึ้งกับพี่สาวเธอด้วย ไม่รู้นะว่าจะออกมายังไงเพราะชินแต่กับภาพเด็กแสบคิตตี้ อยากรู้ก็ต้องตามไปดูในหนังกันเลยค่ะ
5. มิตรภาพไม่มีวันจางหาย
มิตรภาพเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตามอย่างความสัมพันธ์ของลอร่าและคริสที่ยังคงแน่นแฟ้นเหมือนเดิมและดูเหมือนในทุก ๆ ภาคทั้งคู่ก็จะรักกันมากกว่าเดิมสะด้วย และมิตรภาพระหว่างลอลร่าและลูคัส มิตรภาพที่เริ่มต้นจากจดหมายรักหนึ่งฉบับที่เธอเขียนถึงเขา แต่เพราะเขานั้นไม่ชอบผู้หญิง ทั้งคู่เลยหันมาเป็นเพื่อนกันแทนซึ่งลูคัสนั้นก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งเพื่อนสนิทของลอร่า และสุดท้ายที่น่าประทับใจที่สุดคือมิตรภาพของเจนและลอร่าที่ก่อนหน้านี้เคยจิกกัดกันมาก่อนแต่ด้วยความเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กและคำว่าอภัย ทำให้ทั้งคู่กลับมามีความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน
บทสรุปความรักของ To All The Boys ทั้งสามภาคได้ดำเนินเรื่องมาถึงฉากสุดท้ายแล้ว ครั้งนี้จะเป็นยังไงก็อย่าลืมไปหาชมกันได้ใน Netflix นะคะ สำหรับ To All The Boys นั้นไม่ใช่เป็นหนังที่ดูเพื่อความบันเทิงแต่อย่างเดียวหากแต่ยังเป็นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ทั้งในเรื่องครอบครัว เพื่อน และความรักของวัยรุ่นผ่านทีมงานนักแสดง ทีมงานเบื้องหลังคุณภาพเพื่อให้ออกมาเป็นหนังที่ดีที่สุด สำหรับผู้เขียนแล้วมองว่า To All The Boys ทั้งสามภาคเป็นอีกเรื่องที่น่าติดตามและไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เป็นหนังที่เบาสมองและยังเติมพลังบวกให้อีกด้วยค่ะ หวังว่าทุกคนคงจะมีความสุขกับ To All the Boys Always And Forever และอีกสองภาคก่อนหน้านี้กันนะคะ