เรียกได้ว่าช่วงนี้กระแส BL มาแรงมากจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ซีรีย์หรือภาพยนตร์ทั้งของไทยและต่างประเทศ เพราะแพลตฟอร์มสตรีมมิงออนไลน์อย่าง Netflix ได้ส่งซีรีส์วาย Heaetstopper Season 2 ที่มาแรงติดอันดับจนทำผู้ชมฟินจิงหมอนขาดกันไปหลายใบแล้ว
อีกแพลตฟอร์มสตรีมมิงยอดนิยมอย่าง Prime Video ก็ไม่น้อยหน้าส่งภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนวนิยายวายขายดีเรื่อง Red, White & Royal Blue โดย เคซีย์ แมคควิสตัน ซึ่งถือเป็นหนังสือเล่มแรกของนักเขียน และเป็นที่พูดถึงอย่างมากในวงการหนังสือ ซึ่งภาพยนตร์ที่ถูกสร้างได้ถูกใช้ชื่อเดียวกัน และเริ่มฉายไปแล้วเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2023 ผ่านทาง Prime Video ซึ่งขึ้นอันดับ 1 เป็นที่เรียบร้อย แถมยังได้คะแนนจากเว็บวิจารณ์เพลงและภาพยนตร์ชื่อดังจากเว็บ Rotten Tomatoes ไปถึง 77 คะแนน อีกด้วยครับ

โดยเรื่อง Red, White & Royal Blue เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติก – คอมเมดี้ สบาย ๆ ฟีลกู๊ดอบอุ่นหัวใจที่มีการนำเสนอเรื่องราวความรักของ LGBTQ+ ผ่านตัวละครหลัก อเล็กซ์ แคลร์มอนต์-ดิแอซ ลูกของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และ เจ้าชายเฮนรี แห่งราชวงศ์อังกฤษ สองหนุ่มสุดฮอตที่ไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีของสองประเทศทั้งคู่จึงต้องมาจับมือกระชับความสัมพันธ์กัน ในภาพยนตร์จะเล่าถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสองคนที่คลุกเคล้ากันไปด้วยความรัก ความดรามา และผสมผสานเรื่องการเมืองและบริบททางสังคมของตัวละครได้อย่างลงตัว หากใครอยากรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่าติดตามตรงไหนบ้างตามไปดูพร้อม ๆ กันในบทความนี้ได้เลยครับ
เรื่องย่อ Red, White & Royal Blue
เรื่องราวเริ่มต้นจาก อเล็กซ์ แคลร์มอนต์-ดิแอซ (เทย์เลอร์ ซาคาร์ เปเรซ) ลูกชายสุดแสบของประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา สังกัดพรรคเดโมเครต ได้มาพบกับ เจ้าชายเฮนรี แห่งราชวงศ์อังกฤษ (นิโคลัส กาลิตซีน) เจ้าชายผู้ที่เคร่งครัดอยู่ในกรอบของขนบธรรมเนียมของราชวงศ์ โดยทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในงานอภิเษกสมรสของราชวงศ์อังกฤษ

อเล็กซ์เข้าไปทักทายเจ้าชายเฮนรี แต่กลับถูกเมินใส่จนเกิดเรื่องทะเลาะกันทำให้เค้กแต่งงานที่มีมูลค่าถึง 75,000 ดอลลาร์ ต้องถล่มลงมาใส่ตัวทั้งคู่จนกลายเป็นเศษเค้กและสร้างความอับอายไปทั่วโลก เหตุการณ์นี้ทำให้เป็นข่าวลือว่าทั้งคู่เกลียดขี้หน้ากัน แน่นอนเพราะว่าข่าวลือที่เสียหายแบบนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง อีกทั้งแม่ของอเล็กซ์ก็กำลังจะลงเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้ทำเนียบขาวและสำนักพระราชวังต้องร่วมมือกัน ทั้งคู่จึงต้องมาสร้างความสมานฉันท์เพื่อสยบข่าวลือเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างที่อเล็กซ์และเจ้าชายเฮนรีต้องมาให้สัมภาษณ์เพื่อสยบข่าวลือ ก็ได้มีเสียงคล้ายปืนดังขึ้นทำให้บอดี้การ์ดของอเล็กซ์ผลักทั้งคู่เข้าไปแอบอยู่ในห้องเก็บของแคบ ๆ ซึ่งทั้งคู่ได้รู้สาเหตุว่าทำไมถึงไม่ชอบขี้หน้ากัน โดยสาเหตุเกิดจากการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง ซึ่งอเล็กซ์ได้เข้าไปทักทายเจ้าชายเฮนรี แต่กลับถูกเมินเฉยและขอปลีกตัวออกมาทำให้อเล็กซ์รู้สึกเกลียดเชื้อพระวงศ์ เมื่อเจ้าชายเฮนรีรู้ถึงเหตุผลจึงยอมเอ่ยปากขอโทษอเล็กซ์แต่โดยดี ซึ่งจริง ๆ แล้วเฮนรีเพียงแค่ยังรู้สึกเสียใจจากเหตุการณ์ที่พ่อเสียชีวิตทำให้ยังไม่พร้อมที่จะไปเจอใคร เมื่อทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันแล้วจึงเริ่มสถานะเพื่อนโดยคุยกันผ่านทางข้อความทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากยิ่งขึ้น

ในวันหนึ่งเจ้าชายเฮนรีถูกเชิญมางานปาร์ตี้ปีใหม่ หลังจากการเคาท์ดาวน์ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และบรรยากาศต่าง ๆ ทำให้เจ้าชายเฮนรีดันเผลอบอกความในใจและวิ่งเข้าไปจูบกับอเล็กซ์ จากเหตุการณ์วันนั้นเจ้าชายเฮนรีก็เอาแค่หลบหน้าอเล็กซ์ไม่ยอมตอบข้อความ ทำให้อเล็กซ์นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเพื่อนสนิทจนเข้าใจอย่างชัดเจนว่าตัวเองอาจจะเป็น Bisxual และตัวเขาเองก็มีความรู้สึกชอบเจ้าชายเฮนรีเช่นเดียวกัน จนกระทั่งอเล็กซ์ได้เจอเจ้าชายเฮนรีในงานเลี้ยงของทำเนียบขาวที่เชิญนายกอังกฤษและเจ้าชายเฮนรีมาในงานด้วย อเล็กซ์จึงให้บอดี้การ์ดจัดฉากเพื่อให้ได้คุยกับเจ้าชายเฮนรี ซึ่งจากเพียงแค่คุยทั้งคู่ก็ได้แอบนัดพบกันและแสดงความรักกันอย่างร้อนแรง
ด้วยสถานะเจ้าชายแห่งราชวงศ์อังกฤษของเฮนรีและสถานะของอเล็กซ์ลูกชายของว่าที่ประธานาธิบดีความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงต้องเป็นไปอย่างลับ ๆ และมีเส้นบาง ๆ กั้นไว้ โดยทั้งคู่คิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล่น ๆ แต่ทั้งคู่ก็เริ่มถลำลึกลงไปกับความสัมพันธ์นี้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ และนำไปสู่คำถามที่ว่าสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของราชวงศ์อังกฤษและการหาเสียงในสมัยที่สองหรือไม่ ? พวกเขาจะได้เรียนรู้อะไรบ้างจากความสัมพันธ์นี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต้องไปติดตามต่อกันครับ
ข้อมูลทั่วไปของภาพยนตร์ Red, White & Royal Blue
แนวภาพยนตร์ | โรแมนติก / คอมเมดี้ |
สร้างจาก | นวนิยายเรื่อง Red, White & Royal Blue โดย เคซีย์ แมคควิสตัน |
บริษัทผู้สร้าง | แอมะซอนสตูดิโอส์ เบอร์แลนติ-ชเชสเตอร์ฟิล์มส์ |
บทภาพยนตร์ | แมทธิว โลเปซ เท็ด มาลาเวอร์ |
กำกับการแสดงโดย | แมทธิว โลเปซ |
ช่องทางการออกอากาศ | Prime Video |
ความยาว | 2 ชั่วโมง 1 นาที |
นักแสดงนำ | เทย์เลอร์ ซาคาร์ เปเรซ รับบทเป็น อเล็กซ์ แคลร์มอนต์-ดิแอซ นิโคลัส กาลิตซีน รับบทเป็น เจ้าชายเฮนรี อูมา เธอร์แมน รับบทเป็น เอลเลน แคลร์มอนต์ สตีเฟน ฟราย รับบทเป็น พระเจ้าเจมส์ที่ 3 ซาราห์ ชาฮิ รับบทเป็น ซาห์รา แบงสตัน เอลลี แบมเบอร์ รับบทเป็น เจ้าหญิงเบียทริซ |
ประเด็นที่ชวนให้ติดตามของภาพยนตร์เรื่อง Red, White & Royal Blue
1. การคัดเลือกนักแสดงและเคมีที่เข้ากันของนักแสดง

ถ้าหากให้พูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้แน่นอนว่าทั้งแฟนนวนิยายและคนที่ได้ชมตัวอย่างภาพยนตร์คงต้องสะดุดตากับนักแสดงที่ได้สองหนุ่มสุดฮอตอย่าง เทย์เลอร์ ซาคาร์ เปเรซ ที่จะมารับบทเป็น อเล็กซ์ แคลร์มอนต์-ดิแอซ และ นิโคลัส กาลิตซีน รับบทเป็น เจ้าชายเฮนรี ซึ่งหากใครที่ติดตามมาตั้งแต่ข่าวการประกาศทำภาพยนตร์คงจะทราบกันเป็นอย่างดีว่าทางทีมงานใช้เวลากว่า 5 เดือน ในการเฟ้นหานักแสดงที่มีเคมีเข้ากันได้ขนาดนี้ ต้องบอกเลยว่าแฟน ๆ หนังสือต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าทั้งคู่ถอดแบบมาจากนวนิยายได้แบบตรงปก รวมไปตัวละครอื่น ๆ ที่ถึงแม้จะมีการปรับบทเล็กน้อยแต่ก็ยังคงรายละเอียดหลักที่สำคัญไว้ทำให้แฟน ๆ หนังสือสามารถอินได้ไม่ยากเลยครับ

โดยนักแสดงนำ เทย์เลอร์ ซาคาร์ เปเรซ เป็นนักแสดงชาวอเมริกันที่เคยมีผลงานการแสดงอย่างเรื่อง The Kissing Booth 2 และมีผลงานอื่น ๆ อีกต่อเนื่อง โดยครั้งนี้เขาได้รับบทเป็น อเล็กซ์ แคลร์มอนต์-ดิแอซ ลูกชายของว่าที่ประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา หนุ่มผู้มีนิสัยใจร้อน หุนหันพลันแล่น และเป้าหมายในการที่จะทำงานที่ชัดเจน เพราะอยากเป็นนักการเมืองและเข้าทำงานในทำเนียบเหมือนอย่างครอบครัวของเขา ซึ่งในช่วงแรกเราจะเห็นได้ว่าตัวละครอเล็กซ์แทบจะไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เลย และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ตัวละครนี้เริ่มเติบโตและมีความเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น โดยนักแสดงอย่างเทย์เลอร์ก็สามารถถ่ายทอดบุคลิกและอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี

สำหรับ นิโคลัส กาลิตซีน นักแสดงและนักร้องชาวกรีก – อังกฤษ ซึ่งหลาย ๆ คนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะเขาคนนี้เคยรับบทเป็นเจ้าชายมาแล้วในบท เจ้าชายโรเบิร์ต ในภาพยนตร์เรื่อง Cinderella ฉบับ คนแสดงในปี 2021 โดยครั้งนี้เขาได้กลับมารับบทเป็นเจ้าชายอีกครั้งกับบท เจ้าชายเฮนรี เจ้าชายผู้สง่างามแห่งราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งตัวละครนี้มีความน่าสนใจตรงที่ภายในใจของตัวละครต้องเก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ในใจ ซึ่งนักแสดงอย่างนิโคลัส ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครผ่านแววตาและคำพูดออกมาได้เป็นอย่างดี โดยหลาย ๆ ฉากที่เป็นฉากซีเรียส ๆ หรือฉากสะเทือนอารมณ์ เมื่อได้ดูก็ทำให้รู้สึกอินไปกับฉากนั้น ๆ เพราะรู้สึกว่านักแสดงไม่ได้เล่นใหญ่จนเกินไปหรือดูน้อยจนเกินไป ทำให้รู้สึกเป็นตัวละครที่มีชีวิตอยู่ในโลกของความเป็นจริง
2. กรอบและสถานะทางสังคมที่ผูกมัดตัวละคร
จากภาพยนตร์สิ่งผู้ชมทุกคนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยนั่นก็คือ สถานะทางสังคมของตัวละครหลักอย่างอเล็กซ์และเจ้าชายเฮนรี ด้วยสถานะทางสังคมของทั้งคู่ที่คนหนึ่งเป็นลูกของว่าที่ประธานาธิบดีที่กำลังหาเสียงเลือกตั้งและอีกคนก็เป็นถึงเจ้าชายแห่งราชวงศ์อังกฤษ รากฐานของตัวละครและภาพที่ทุกคนคาดหวังให้พวกเขาทั้งสองคนเป็นจึงเป็นกรอบที่ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถแสดงความต้องการของตัวเองได้ แต่ด้วยลักษณะนิสัยของตัวละครที่แตกต่างกันอย่างอเล็กซ์ที่มีความอิสระทางความคิดมากกว่า อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตที่ชัดเจน พร้อมพุ่งชนเข้ากับปัญหา และต่อสู้กับบริบททางสังคม รวมไปถึงครอบครัวที่คอยสนับสนุนและอยู่เคียงข้าง ซึ่งขัดแย้งกับเจ้าชายเฮนรีที่เกิดมาก็มีขนบธรรมเนียมและภาพลักษณ์ของราชวงศ์คอยค้ำคออยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องคอยกล้ำกลืนไม่สามารถยอมรับและแสดงตัวตนของตัวเองได้

โดยภาพยนตร์ก็สามารถนำเสนอจุดที่ดูดรามาของตัวละครทั้งสองได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนมองว่าความแตกต่างของทั้งสองตัวละครนี้มีเสน่ห์ชวนให้ดูน่าติดตามว่าพวกเขาจะแก้ปัญหาและก้าวผ่านอุปสรรคที่เกิดไปได้อย่างไร และในระหว่างนั้นผู้ชมก็จะได้ถึงพัฒนาและการเติบโตขึ้นของตัวละครทั้งสอง ถึงแม้จะมีอุปสรรคต่าง ๆ เข้ามามากมายจนแอบคิดไปว่ายังไงก็เป็นเรื่องที่เพ้อฝันไม่มีทางเป็นไปได้ที่ความรักของทั้งคู่จะจบลงแบบสวยงาม แต่เชื่อได้เลยว่าไม่ว่าใครที่ได้ดูก็ต้องคาดหวังอยากให้จบแบบแฮปปี้แน่นอนครับ
3. ภาพยนตร์นำเสนอภาพของความหลากหลายของกลุ่ม LGBTQ+ และความหลากหลายทางเชื้อชาติ

จากภาพยนตร์มีการนำเสนอภาพแทนของผู้คนที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนอินเดีย ตัวละครจากแถบละติน และกลุ่มคนจากเชื้อชาติต่าง ๆ ภาพของผู้หญิงแกร่งที่ต้องการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี กลุ่ม Queer ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือคำว่า Bisexual ที่บางคนอาจจะไม่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ๆ ซึ่งภาพแทนของกลุ่มคนเหล่านี้ได้ถูกพูดถึงในภาพยนตร์ในแบบที่ผู้เขียนรู้สึกว่าไม่ได้เข้าใจยากหรือรู้สึกยัดเยียดจนเกินไปเพียงเพราะว่าเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวความรักของ LGBTQ+ ทำให้ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ก็เป็นเรื่องราวของผู้คนทั่ว ๆ ไปที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและสามารถเกิดขึ้นได้ในสังคม
4. ประเด็นการ Come Out
สำหรับภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวความรักของกลุ่ม LGBTQ+ ประเด็นในเรื่องของการ Come Out เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องพูดถึง ซึ่งอีกหนึ่งฉากในเรื่องที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจนั่นก็คือ ฉากที่อเล็กซ์เดินเข้าไปสารภาพถึงความสัมพันธ์ของเขาและเจ้าชายเฮนรี โดยฉากนี้ทำให้คนดูหลาย ๆ คนแอบที่จะอดเอาใจช่วยไม่ได้ เพราะหากบอกความจริงไปแล้วก็กลัวว่าภาพลักษณ์ที่คนอื่นเคยมองและความคาดหวังของคนรอบตัวจะมาทำร้ายความรู้สึกหรือยอมรับในตัวอเล็กซ์ไม่ได้ แต่กลับกันเมื่ออเล็กซ์สารภาพความจริงกับแม่ไป แม่ของเขาไม่ได้ต่อว่าอะไรแถมยังนอนกอดอเล็กซ์และให้คำแนะนำต่าง ๆ ที่เป็นการสนับสนุนเส้นทางที่อเล็กซ์เลือก โดยฉากนี้นักแสดงที่รับบทเป็นแม่ของอเล็กซ์นั่นก็คือ อูมา เธอร์แมน ได้ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครที่เป็นคุณแม่ที่ทั้งแข็งแกร่งและอบอุ่นได้อย่างมีมิติ ยิ่งไปกว่านั้นฉากนี้ยังอธิบายให้กับคนดูว่าการคุยเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกทั้งพ่อของอเล็กซ์ก็สนับสนุนแถมยังชวนให้ไปเที่ยวพักผ่อนกันที่บ้านตากอากาศอีกด้วย

ในส่วนของครอบครัวของเจ้าชายเฮนรีเรียกได้ว่าตรงข้ามกับครอบครัวของอเล็กซ์อย่างสิ้นเชิง เพราะด้วยกรอบและสถานะทางสังคมของราชวงศ์อังกฤษความรักของอเล็กซ์และเจ้าชายเฮนรีจึงถูกตัดสินว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรและไม่เหมาะสม จะเห็นได้ว่าจากเหตุการณ์ที่มีผู้ไม่หวังดีนำข้อความที่อเล็กซ์และเจ้าชายเฮนรีเคยส่งหากันและแฮกภาพจากกล้องวงจรปิดในพิพิธภัณฑ์ที่พวกเขากอดและเต้นรำกันถูกนำไปเผยแพร่ ทำให้ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายเฮนรีและอเล็กซ์ ซึ่งทั้งคู่ก็เหมือนถูกแรงกดดันจากสังคมบีบบังคับให้ออกมา Come Out ทางอ้อมอย่างไม่เต็มใจ
ภายในราชวงศ์อังกฤษไม่ยอมรับและพยายามที่จะให้เจ้าเจ้าชายเฮนรีปฏิเสธข่าวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่ผลลัพธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากอเล็กซ์แถลงข่าวกับสื่อมีผู้คนให้การสนับสนุนความรักของทั้งทั้งคู่ ด้วยหัวใจที่กล้าหาญของอเล็กซ์ที่แสดงถึงความชัดเจนในตัวตนของเขาทำให้ผลการเลือกตั้งพรรคของแม่อเล็กซ์ได้ชนะการเลือกตั้ง อีกทั้งประชาชนจากรัฐต่าง ๆ ก็ยังมารวมตัวกันให้การสนับสนุนความรักของเจ้าชายเฮนรี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโลกที่เปิดกว้างสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ มากยิ่งขึ้น โดยภาพยนตร์ก็ได้สื่อความหมายว่าไม่ว่าใครก็อยากมีความรักที่สวยงามเหมือนกัน และการที่พวกเขาจะเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศเมื่อไหร่นั้นก็ควรให้พวกเขาทำในโอกาสที่พวกเขาสบายใจหรือหากพวกเขาไม่ต้องการบอกใครก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลย
ความประทับใจหลังจากดูภาพยนตร์

หลังจากดูภาพยนตร์เรื่อง Red, White & Royal Blue จบ ผู้เขียนรู้สึกได้ทันทีเลยว่าภาพยนตร์ได้ก้าวไปสู่ยุคที่มีการนำเสนอเรื่องราวของกลุ่ม LGBTQ+ ที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและทำให้หลาย ๆ คนจากแฟนนวนิยายก็ได้กลายมาเป็นแฟนภาพยนตร์ด้วยเหมือนกัน โดยสถานะของตัวละครที่เป็นถึงลูกของประธานาธิบดีและเจ้าชายแห่งราชวงศ์อังกฤษ จากมุมมองของคนธรรมดาดูค่อนข้างไกลตัวและเรื่องราวในช่วงท้ายอาจจะดูรวบรัดไปบ้าง แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครทั้งสอง ผู้เขียนเชื่อว่าก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนดูมีความรู้สึกร่วมและเข้าใจได้เป็นอย่างดี ซึ่งแก่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เจาะจงหรือแบ่งแยกว่าต้องเป็นเพศไหนหรือเชื้อชาติไหน แต่หากพวกเขามีความรักซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ไม่สำคัญ ถึงแม้เส้นเรื่องจะเป็นไปตามสูตรฉบับหนังรักที่แฮปปี้ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวตรงจุดนี้ได้ดีและเป็นไปตามที่คนดูคาดหวัง หลังจากดูจบผู้เขียนมั่นใจว่าทุกองค์ประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องกินใจผู้ชมได้อย่างแน่นอนครับ