ขนมหวานสุดโปรดของแต่ละคนมีขนมอะไรกันบ้างคะ ของเรานั้นต้องยกให้บราวนี่และขนมที่ทำมาจากช็อกโกแลต เพราะเวลาที่ได้ทานขนมหวานเหล่านี้มันทำให้กระชุ่มกระชวยหัวใจขึ้นมาได้มากจริง ๆ แต่นอกจากจะชอบทานขนมอบของฝรั่งแล้ว ขนมหวานของไทย ก็อร่อยและมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน แต่เนื่องจากในปัจจุบันขนมไทยเริ่มหาทานกันยากขึ้น อาจเพราะเป็นขนมที่ต้องใช้วัตถุดิบเยอะและใช้เวลาในการทำที่นาน รวมไปถึงฝีมือที่ต้องใช้ความปราณีตสูง อย่างขนมจ่ามงกุฎ, ขนมบุหลันดั้นเมฆ หรือพวกขนมลูกชุบที่ต้องใช้ฝีมือในการทำ
แต่หากใครที่อยากจะลองเริ่มทำขนมหวานสไตล์ไทย ๆ บอกเลยว่าไม่มีอุปสรรคไหนที่จะมาขวางกั้นเราได้ เพราะในวันนี้ทางเราได้คัดเลือกขนมไทยสำหรับมือใหม่ ที่ใช้วัตถุดิบไม่เยอะ หลัก ๆ ก็จะมีเพียง กะทิ, น้ำตาลทราย, ไข่ไก่ และแป้งอเนกประสงค์เท่านั้น บอกเลยว่าสะดวก ประหยัดเวลา และสามารถทำตามกันได้ง่าย ๆ มีขนมอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกันเลยค่ะ
1. บัวลอยไข่หวาน

บัวลอย เป็นขนมหวานสุดฮิตของใครหลาย ๆ คน เป็นขนมพื้นบ้านของไทยที่นิยมทานกันทั่วทุกภาค ตัวขนมจะมีแป้งก้อนกลม ๆ เหนียวหนึบ ราดด้วยน้ำกะทิรสชาติหวานหอม กลมกล่อม และรสชาติจะอร่อยยิ่งขึ้นหากเพิ่มไข่หวานลงไป ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Texture และความอร่อยในการทาน และในวันนี้เราก็จะพาทุกคนมาดูสูตรการทำบัวลอยไข่หวานง่าย ๆ สามารถทำตามได้ไม่ยากค่ะ
ส่วนผสมสำหรับแป้งบัวลอย
- แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
- แป้งมัน 10 กรัม
- น้ำเปล่า
- สีผสมอาหาร (ตามชอบ)
ส่วนผสมสำหรับน้ำกะทิ
- หัวกะทิ 2 ถ้วย
- หางกะทิ 2 ถ้วย
- น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
- น้ำตาลทราย 100 กรัม
- เกลือป่น (เล็กน้อย)
- ไข่ไก่ (สำหรับทำไข่หวาน)
วิธีทำ
- เริ่มปั้นแป้งบัวลอย โดยเริ่มจากผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งมัน และสีผสมอาหารที่ต้องการลงในชามผสม จากนั้นค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าลงไป นวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน ให้มีลักษณะเนียนนุ่ม พอปั้นได้
- นำแป้งที่นวดไว้มาปั้นเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเล็กประมาณ 1 เซนติเมตร พยายามไม่ปั้นให้ลูกใหญ่มาก เนื่องจากตอนต้มสุกขนาดจะขยายใหญ่ขึ้นอีก
- นำแป้งที่ปั้นไว้ไปต้มในน้ำเดือด รอจนแป้งสุกจะลอยตัวขึ้นมา ตักขึ้นพักไว้ในน้ำเย็น
- มาต่อกันในส่วนของน้ำกะทิ เริ่มจากเทหางกะทิลงในหม้อ รอจนเริ่มร้อน จากนั้นเติมน้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทราย และเกลือป่นลงไป
- ค่อย ๆ ตอกไข่ไก่ลงไปทีละฟอง เมื่อไข่สุกให้ตักขึ้นมาพักไว้
- เติมหัวกะทิลงในน้ำกะทิที่เราได้ต้มไว้ ตามด้วยแป้งบัวลอยทั้งหมด ต้มต่อประมาณ 10 – 15 นาทีเพื่อให้รสชาติของน้ำกะทิซึมเข้าเนื้อแป้งบัวลอย
- ตักเสิร์ฟใส่ถ้วยพร้อมกับไข่หวาน เพียงเท่านี้ก็จะได้บัวลอยไข่หวานอร่อย ๆ แล้วค่ะ
2. สาคูเปียกข้าวโพดมะพร้าวอ่อน

สาคูเปียก ขนมที่หลาย ๆ คนอาจจะชอบ แต่เริ่มหาทานได้ยากแล้วในปัจจุบัน ตัวขนมจะทำจากเมล็ดสาคูที่นำไปต้มกับน้ำตาลจนนุ่ม รสชาติหนึบหนับ หวาน อร่อย เมื่อนำมาราดด้วยน้ำกะทิมัน ๆ ทำให้ตัดกับรสชาติหวานของตัวสาคูได้เป็นอยากดี สูตรนี้ได้เพิ่มข้าวโพดและมะพร้าวอ่อนลงไปด้วยซึ่งจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการทานให้อร่อยมากขึ้น ได้ทั้งความหวาน มัน และหอม อร่อยลงตัวมากค่ะ
ส่วนผสม
- เมล็ดสาคู 1 ถ้วย
- เมล็ดข้าวโพด 1 ถ้วย
- มะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย
- ใบเตยหอม 2 – 3 ใบ
- กะทิสด 1 ถ้วย
- เกลือป่น (เล็กน้อย)
วิธีทำ
- ล้างเมล็ดสาคูให้สะอาด จากนั้นตั้งน้ำ รอจนเดือด นำสาคูลงไปต้ม พยายามคนเรื่อย ๆ จนเมล็ดสาคูสุกใส
- เติมน้ำตาล มะพร้าวอ่อน และเมล็ดข้าวโพดลงไป คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ตักขึ้นพักไว้
- เทกะทิลงในหม้อ พร้อมใบเตย ตั้งไฟกลาง เติมเกลือเล็กน้อย เมื่อน้ำกะทิเริ่มงวด ให้ตักใบเตยออก จากนั้นปิดเตาแก๊ส
- จัดเสิร์ฟโดยตักสาคูใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำกะทิหอม ๆ มัน ๆ บอกเลยว่าอร่อยมากค่ะ
3. ถั่วเขียวต้มน้ำตาล

ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ขนมที่ใครหลาย ๆ อาจจะส่ายหัว แต่บอกเลยว่าความอร่อยไม่ได้น้อยหน้าขนมตัวอื่น ๆ เลยค่ะ ความหอมมันของถั่วเขียว ผสมผสานกับความหวานจากน้ำตาล ทำให้ได้รสชาติถั่วเขียวต้มที่อร่อย หอม ยิ่งหากใช้น้ำตาลทรายแดงด้วยล่ะก็ จะทำให้มีกลิ่นที่หอมมากยิ่งขึ้น หรือถ้าหากอยากได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากธรรมชาติ ลองต้มถั่วเขียวไปพร้อมกับใบเตยดูสิคะ รับรองว่าหอมอร่อยขึ้นเท่าตัว
ส่วนผสม
- ถั่วเขียวดิบ 1 ถ้วย
- น้ำตาลทรายแดง 150 กรัม
- เกลือ (เล็กน้อย)
- ใบเตย 2 ใบ
- น้ำสะอาด 1.5 ลิตร
วิธีทำ
- นำถั่วเขียวไปล้างให้สะอาด แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 8 ชั่วโมง หากใครที่อยากได้ถั่วเขียวนุ่ม ๆ แช่ทิ้งค้างคืนไว้ยิ่งดีค่ะ
- เมื่อครบเวลาแล้ว เทน้ำออก ล้างให้สะอาดอีกรอบ จากนั้นนำถั่วเขียวใส่ลงในหม้อ เทน้ำสะอาดลงไปต้ม ใช้ไฟแรงประมาณ 15 นาที หรือจนถั่วเขียวสุก ในระหว่างต้มหากมีฟองลอยขึ้นมาให้พยายามตักทิ้งให้มากที่สุดค่ะ
- เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ใส่ใบเตยลงไปต้มด้วยเพื่อความหอม จากนั้นลดเป็นไฟกลาง ต้มต่อจนถั่วเขียวนุ่มและแตกตัวบานออก
- เติมน้ำตาลทรายแดงลงไป คนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นชิมรสดูจนได้ความหวานตามชอบค่ะ แนะนำว่าอย่าให้หวานเกินไป เพราะหากถั่วเขียวเย็นตัวลง ความหวานจะมากขึ้นกว่าเดิม
- ตักขึ้นใส่ถ้วย พร้อมทานค่ะ
4. กล้วยบวชชี

กล้วยบวชชี เมนูขนมหวานง่าย ๆ แต่ความอร่อยล้นหลาม อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าประเทศไทยเรานั้นมีกล้วยเยอะมาก และสามารถพบได้ทั่วประเทศไทย ดังนั้นในบางฤดูอย่างเช่นหน้าร้อนก็จะมีกล้วยออกผลเยอะมาก ๆ ทำให้กินกันไม่ทัน คนรุ่นเก่า ๆ จึงมักนำกล้วยมาทำเป็นเมนูกล้วยบวชชี เพื่อแปรรูป รสชาติอร่อย หวานหอม นิยมใช้กล้วยน้ำว้าในการทำเพราะมีรสหวาน อร่อย นิ่มกำลังดีค่ะ
ส่วนผสม
- กล้วยน้ำว้า 1 หวี
- หัวกะทิ 400 มิลลิลิตร
- หางกะทิ 500 มิลลิลิตร
- น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
- น้ำตาลทราย 50 กรัม
- ใบเตยหอม 2 ใบ
- เกลือ (เล็กน้อย)
วิธีทำ
- นำกล้วยน้ำว้าไปต้มในน้ำเดือด เพื่อให้เปลือกแตกออก ปอกง่าย
- เมื่อปลอกเปลือกกล้วยแล้ว นำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ตามแนวยาว
- เทหางกะทิลงในหม้อ พร้อมใบเตย ต้มจนเดือด จากนั้นเติมน้ำตาลปี๊บและเกลืองลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำกล้วยลงไปต้มต่อจนเข้ากันดี
- เมื่อกะทิที่ต้มไว้เดือดดี เติมหัวกะทิลงไป เพื่อความหอมมัน ชิมรสหวานตามชอบ จากนั้นต้มต่อจนน้ำกะทิเดือดอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จค่ะ
5. ลูกตาลลอยแก้ว

ลูกตาลลอยแก้ว ขนมสุดอร่อยที่มีส่วนผสมน้อยที่สุดในบรรดาขนมต่าง ๆ ลูกตาลหอมหวาน ทานคู่กับน้ำแข็งบด เป็นอะไรที่เข้ากันสุด ๆ ด้วยอากาศที่ร้อนของประเทศไทย ลูกตาลลอยแก้วจึงเป็นหวานเย็นอีกหนึ่งชนิดที่คนนิยมทานกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทานแล้วจะรู้สึกสดชื่น ช่วยให้คลายร้อน ยิ่งได้ลูกตาลที่อ่อนมาทำจะยิ่งดี เพราะเนื้อจะอ่อนนุ่ม ละลายในปาก ส่วนผสมมีเพียง 3 อย่างเท่านั้น ไปดูกันเลยค่ะ
ส่วนผสม
- ลูกตาล 1 กิโลกรัม
- น้ำสะอาด 7 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย 500 กรัม
วิธีทำ
- นำลูกตาลอ่อนมาปอกเปลือก จากนั้นใช้มีดหั่นลูกตาลเป็นชิ้น ๆ ตามแนวขวาง
- ต้มน้ำ รอจนเดือด หากใครที่มีน้ำลูกตาลจากการผ่า สามารถนำมาใช้ผสมได้ เพื่อเพิ่มความหอม จากนั้นเทน้ำตาลทรายลงไป คนจนน้ำตาลละลายจนหมด
- นำลูกตาลลงไปต้มในน้ำเชื่อม รอน้ำเชื่อมเดือดอีกครั้ง ปิดไฟ
- ตักลูกตาลขึ้นใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมกับน้ำแข็ง เพียงเท่านี้ก็พร้อมทานแล้วค่ะ ทำง่ายมาก ๆ เลยใช่ไหมคะ
6. วุ้นกะทิใบเตย

วุ้นกะทิ ขนมคลายร้อนในวัยเด็ก การได้ทานวุ้นกะทิเย็น ๆ ในช่วงอากาศร้อน เป็นอะไรที่ฟินมาก ๆ ตัววุ้นหนึบ ๆ ที่ท็อปด้วยกะทิมัน ๆ ด้านบน เมื่อได้ทาน รสชาติเข้ากันได้อย่างพอดี สำหรับสูตรในวันนี้เราจะเพิ่มความหอมด้วยการใส่ใบเตยลงไป เป็นวุ้นกะทิใบเตย ความหวานกำลังพอดี ไม่เลี่ยน เนื้อเนียนนุ่ม ไม่แข็ง อย่ารอช้า ไปทำตามกันเลยค่ะ
ส่วนผสมสำหรับวุ้นใบเตย
- ผงวุ้น 5 กรัม
- น้ำตาลทราย 95 กรัม
- ใบเตยหั่นชิ้น 12 ใบ
- น้ำสะอาด 550 มิลลิลิตร
ส่วนผสมสำหรับชั้นวุ้นกะทิ
- ผงวุ้น 5 กรัม
- น้ำตาลทราย 95 กรัม
- น้ำสะอาด 200 มิลลิลิตร
- น้ำกะทิ 200 มิลลิลิตร
- เกลือ (เล็กน้อย)
วิธีทำ
- นำไปเตยมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาปั่นกับน้ำ แล้วกรองด้วยผ้าขาวบ้าง จนได้น้ำใบเตยเข้มข้น
- เทผงวุ้นลงไปแช่ในน้ำใบเตยประมาณ 15 นาที เพื่อให้ผงวุ้นอิ่มตัว
- ตั้งน้ำใบเตยที่แช่ผงวุ้นลงบนไฟกลาง คนเรื่อย ๆ จนผงวุ้นละลายดี จากนั้นค่อย ๆ เติมน้ำตาลลงไป แล้วคนส่วนผสมให้ละลายจนหมด ปิดไฟ แล้วเทลงใส่พิมพ์ประมาณครึ่งหนึ่ง แล้วรอให้วุ้นเซ็ตตัว
- มาต่อกันที่ชั้นของน้ำกะทิ การทำก็จะคล้ายกับขั้นตอนก่อนหน้า คือนำน้ำกะทิและน้ำเปล่ามาผสมกัน นำผงวุ้นลงไปแช่ให้อิ่มตัว ประมาณ 15 นาที
- นำขึ้นตั้งไฟ คนจนผงวุ้นละลาย ใส่น้ำตาลเกลือลงไป แล้วคนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายเข้ากันดี ต้มแค่พอเดือดนะคะ อย่าให้กะทิแตกมัน จากนั้นปิดไฟ ยกลงจากเตา
- เมื่อชั้นของวุ้นใบเตยเซ็ตตัวแล้ว ให้เทวุ้นกะทิลงไปจนเต็มพิมพ์ รอจนชั้นกะทิเซ็ตตัวอีกรอบ ก็สามารถตัดแบ่งใส่จานได้เลยค่ะ
7. ขนมตาล

ขนมตาล เป็นขนมไทยที่มีมาแต่โบราณ ตัวขนมจะมีสีเหลืองทอง ลักษณะจะเป็นแป้งกลม ๆ เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม รสชาติหวานละมุน ได้กลิ่นลูกตาลหอม ๆ ส่วนผสมทำจากแป้ง น้ำตาล กะทิ โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดฝอย ในอดีตจะนิยมใส่ในกระทงใบตอง แต่หากเป็นปัจจุบันก็จะใส่ลงในพิมพ์ขนมแทน แต่ในส่วนของรสชาตินั้นบอกเลยว่าเมื่อก่อนอร่อยยังไง ปัจจุบันก็ยังอร่อยแบบนั้น ตามมาดูสูตรกันเลยค่ะ
ส่วนผสม
- เนื้อลูกตาลสุก 200 กรัม
- แป้งข้าวเจ้า 350 กรัม
- หัวกะทิ 300 มิลลิลิตร
- น้ำตาลทราย 320 กรัม
- ผงฟู
- เกลือ (เล็กน้อย)
- มะพร้าวขูด (สำหรับโรยหน้า)
วิธีทำ
- นำกะทิเทลงในชามผสม เติมน้ำตาลลงไป คนจนน้ำตาลละลาย ตามด้วยใส่เนื้อลูกตาลสุกลงไป แล้วตีผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน
- ค่อย ๆ เทแป้งข้าวเจ้า, ผงฟู และเกลือลงไป ตีผสมให้เข้ากันอีกครั้ง จากนั้นกรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกรงตาถี่ เพื่อให้เนื้อแป้งละเอียด เนียนนุ่ม
- เทขนมลงในกระทงใบตอง หรือใครที่ไม่มีสามารถใช้พิมพ์ขนมปกติได้ค่ะ จากนั้นนำไปนึ่งประมาณ 15 – 20 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุก สามารถเช็กได้โดยการนำไม้จิ้มฟันจิ้มลงตรงกลางขนม หากดึงขึ้นมาแล้วไม่มีแป้งติดที่ไม้ ก็ถือว่าใช้ได้ค่ะ
- ยกขนมออกจากเตา ตกแต่งหน้าขนมด้วยมะพร้าวขูด เป็นอันเสร็จค่ะ
8. ข้าวต้มมัด

ข้าวต้มมัด เป็นหนึ่งในขนมที่คุณยายชอบทำให้ทานบ่อย ๆ กล้วยน้ำว่าเป็นขนมที่นำข้าวเหนียวมาห่อกล้วย จากนั้นห่อด้วยใบตองอีกหนึ่งชั้น แล้วมันด้วยเชือกให้มีลักษณะเป็นท่อน ๆ การได้ทานข้าวเหนียวนุ่ม ๆ พร้อมกับกล้วยน้ำว้าหวานฉ่ำ เป็นอะไรที่ฟินจนอธิบายไม่ถูก เดี๋ยวนี้จะหาร้านอร่อยก็เริ่มยากขึ้น ดังนั้นมาทำกินเองดีกว่าค่ะ ทำง่ายมาก แถมยังอร่อยอีกด้วย
ส่วนผสม
- ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 320 กรัม
- หัวกะทิ 480 กรัม
- น้ำตาลทราย 200 กรัม
- กล้วยน้ำว้าสุก
- เกลือป่น 2 ช้อนชา
- ใบเตย
อุปกรณ์ห่อขนม
- ใบตอง
- เชือกกล้วยหรือเชือกฟาง
วิธีทำ
- นำข้าวเหนียวมาล้างหลาย ๆ น้ำจนสะอาด แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน
- เทหัวกะทิลงในกระทะสำหรับผัดข้าวเหนียว เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ตามด้วยใบเตยเพื่อเพิ่มความหอม
- เมื่อกะทิเดือด ค่อย ๆ ใส่ข้าวเหนียวลงไป จากนั้นค่อย ๆ คนอย่างเบามือ มิเช่นนั้นข้าวเหนียวจะหักเป็นท่อน เวลานำไปห่อจะไม่สวย
- ผัดต่อไปเรื่อย ๆ จนข้าวเหนียวดูดซับน้ำกะทิจนหมด ข้าวเหนียวจะเริ่มสุก และเหนียวขึ้น
- เติมน้ำตาลทรายลงไป คนต่อจนน้ำตาลละลาย เคลือบตัวข้าวเหนียวจนเป็นเงางาม
- เมื่อได้ข้าวเหนียวแล้ว ให้ตักใส่ลงบนใบตอง ตามด้วยกล้วยน้ำว้าที่ผ่าครึ่งท่อน จากนั้นโปะข้าวเหนียวทับอีกชั้น แล้วพับให้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมตามแนวยาว
- นำข้าวต้มที่เราห่อไว้มาประกบกัน 2 ชิ้น จากนั้นรัดด้วยเชือกหัวท้าย แล้วนำไปนึ่งไฟแรงประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จค่ะ
9. สังขยาฟักทอง

สังขยาฟักทอง หนึ่งในเมนูโปรดปรานของหลาย ๆ คน รวมถึงตัวผู้เขียนก็เช่นกัน ด้วยรสชาติที่หวานหอมของสังขา และความเนียนนุ่มของเนื้อฟักทองจนแทบละลายในปาก ใครที่ชอบทานของหวานตบท้ายมื้ออาหาร เมนูนี้ถือว่าเหมาะมาก ๆ วิธีทำก็ง่าย ๆ เลยค่ะ เพียงแค่นำสังขยาเทลงในลูกฟักทอง จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก เราก็จะได้สังขยาฟักทองอร่อย ๆ เอาไว้ทานแล้ว แถมส่วนผสมก็ใช้น้อย ประหยัดไปอีก มาดูวิธีทำกันเลยค่ะ
ส่วนผสม
- ฟักทอง 1 ลูก
- กะทิ 200 มิลลิลิตร
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- ไข่เป็ด 2 ฟอง
- น้ำตาลปี๊บ 180 กรัม
- เกลือ 1 ช้อนชา
- ใบเตย 2 ใบ
วิธีทำ
- เตรียมฟักทองโดยการคว้านเมล็ดออกให้เกลี้ยง ให้เหลือแต่เพียงใยสำหรับยึดสังขยาไว้เท่านั้น จากนั้นล้างให้สะอาด แล้วคว่ำให้สะเด็ดน้ำ พักไว้
- มาเตรียมในส่วนของตัวสังขยา เริ่มจากตอกไข่เป็ดและไข่ไก่ลงในชามผสม ตามด้วยกะทิ น้ำตาลปี๊บ และเกลือ
- นำใบเตยมาผูกเป็นปม ใส่ลงในชามผสม จากนั้นใช้มือขยำส่วนผสมทั้งหมดจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
- กรองส่วนผสมลงในผ้าขาวบางเพื่อให้เนื้อสังขยาเนียนสวย
- เทสังขยาลงในลูกฟักทอกจนเกือบเต็ม เพื่อเว้นที่เอาไว้เวลานึ่ง เนื้อสังขยาจะฟูขึ้นมาอีก
- นำไปนึ่งประมาณ 45 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุก สามารถเช็คได้โดยการนำไม้จิ้มฟันจิ้มลงตรงกลางขนม หากดึงขึ้นมาแล้วไม่มีแป้งติดที่ไม้ ก็ถือว่าใช้ได้
- เมื่อครบเวลา นำฟักทองของเราไปแช่ในตู้เย็นเพื่อให้สังขยาเซ็ตตัว จากนั้นตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ พร้อมเสิร์ฟค่ะ
10. ขนมทองหยอด

ขนมทองหยอด หนึ่งในขนมมงคลของไทย มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีต้นกำเนิดมาจากท้าวทองกีบม้า ซึ่งเป็นผู้ปรุงอาหารหลวงตั้งแต่สมัยอยุธยา ตัวขนมใช้ส่วนผสมเพียงแค่แป้ง, ไข่ และน้ำตาลทราย ที่นำไปหยอดลงในน้ำเชื่อม มีลักษณะเป็นสีเหลืองทอง จึงได้ชื่อว่าทองหยอดนั่นเองค่ะ ใครที่ชอบทานขนมหวาน ตัวนี้บอกเลยว่าตอบโจทย์มาก ๆ เพราะหวานจนแสบคอจริง ๆ เอาล่ะค่ะอย่ารอช้า ไปดูวิธีทำกันเลยค่ะ
ส่วนผสม
- ไข่เป็ด 9 ฟอง (ใช้ไข่แดง)
- แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม
- น้ำตาลทราย 500 กรัม
- น้ำลอยดอกมะลิ 300 มิลลิลิตร
วิธีทำ
- แยกไข่แดงจำนวน 9 ฟอง จากนั้นนำมากรองด้วยผ้าข้าวบางแล้วรีดออก
- ตีไข่แดงด้วยเครื่องตีจนขึ้นฟู ประมาณ 15 นาที
- ทะยอยใส่แป้งลงไป จากนั้นผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
- ตั้งกระทะก้นลึก เทน้ำลอยดอกมะลิ และน้ำตาลลงไป เคี่ยวด้วยไฟแรงจนเดือด ตักน้ำเชื่อมออกมาประมาณ 1 ถ้วยตวง สำหรับแช่ขนมตอนทำเสร็จ ส่วนที่เหลือให้เคี่ยวต่อจนน้ำเชื่อมเริ่มข้นขึ้น
- นำแป้งที่ผสมไว้ ค่อย ๆ หยอดลงในกระทะ โดยเอียงภาชนะ แล้วใช้นิ้วชี้ปาดตรงขอบภาชนะ เพื่อหยอดตัวขนมลงไปเป็นลักษณะกลม ๆ
- รอจนขนมสุก แป้งจะลอยขึ้นมา จากนั้นตักขึ้นมาพักไว้ในน้ำเชื่อมที่ตักแยกออกมาในตอนแรก ก็เป็นอันเสร็จค่ะ
จบกันไปแล้วนะคะสำหรับขนมหวานของไทยที่ทำตามกันได้ง่าย ๆ ใช้ส่วนผสมไม่เยอะ และใช้เวลาทำไม่นาน และหากใครที่เป็นมือใหม่หัดทำขนม หรือยังมีอุปกรณ์ทำขนมหรือส่วนผสมยังไม่ครบ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็น ตะกร้อมือ, ที่แยกไข่แดง, หม้อนึ่งไฟฟ้า, แป้งข้าวเหนียว, แป้งข้าเจ้า, กะทิสำเร็จรูป หรือ สีผสมอาหารต่างๆ ก็มีให้เลือกชมเช่นกัน ใครที่มีเวลาว่าง หรืออยากหาอะไรทำเป็นงานอดิเรก ขอแนะนำเลยค่ะ เพราะรสชาติของขนมไทย อร่อยไม่แพ้ชาติใดในโลกเลยจริง ๆ