เชื่อหรือไม่คะว่าปัจจุบันนี้มีผู้คนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นทุกวันโดยที่สาเหตุไม่ได้มาจากกรรมพันธุ์เลยค่ะ !! เพราะหลาย ๆ คนก็เพิ่งจะมาแสดงอาการตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งนี้คุณอาจสงสัยว่าทำไมอยู่ดี ๆ พวกเราถึงมาเป็นโรคภูมิแพ้ได้ ?
จริง ๆ แล้ว โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา ที่ได้รับสิ่งกระตุ้นรอบตัวมากเกินไป ซึ่งอาการที่แสดงออกมาก็จะมีระดับความรุนแรงที่ต่างกันค่ะ ที่นี้เราก็ต้องย้อนกลับไปดูว่าอะไรที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราผิดปกติ ? เพราะบางครั้งก็อาจเกิดจากอาหารที่เราทานเข้าไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ที่มาพร้อมกับสิ่งแปลกปลอมในอากาศมากกว่าค่ะ

ในฐานะที่ผู้เขียนก็เพิ่งจะมาเป็นโรคภูมิแพ้ตอนโต บอกเลยค่ะว่าการที่อากาศเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้แล้ว แม้ว่าโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ง่าย ๆ ด้วยการเปลี่ยนบ้านหรือที่พักอาศัยให้เป็นเขตปลอดมลพิษทางอากาศ ถ้าหากอยากให้คุณและคนรอบข้างภายในบ้านได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เราแนะนำให้คุณซื้อ “เครื่องฟอกอากาศ” ไว้ภายในบ้านค่ะ
โดยเครื่องฟอกอากาศนั้นมีอยู่หลายรุ่นให้คุณได้พิจารณาเลือกซื้อ ดังนั้นวันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลสินค้าน่าสนใจมาไว้ให้คุณได้อ่านกันแล้วค่ะ
จากทดสอบ ควรซื้อ เครื่องฟอกอากาศ รุ่นไหนดี ?
- เครื่องฟอกอากาศสำหรับห้องนอน : เครื่องฟอกอากาศ Philips รุ่น AC0820
- พัดลมฟอกอากาศเหมาะกับห้องขนาดเล็ก + บ้านที่มีเด็กเล็ก: Dyson Pure Cool ™ Air Purifier Fan เครื่องฟอกอากาศ รุ่น TP00
- เครื่องฟอกอากาศเหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความเงียบมาก ๆ: Tefal เครื่องฟอกอากาศ Intense Pure Air รุ่น PU4067
- เครื่องอากาศสำหรับห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่: Electrolux เครื่องฟอกอากาศ รุ่น PA91
- เครื่องฟอกอากาศใช้งานง่ายที่สุด เหมาะสำหรับคนทุกวัย: Smart Air เครื่องฟอกอากาศ รุ่น The Sqair
- เน้นใช้งานฟอกอากาศอย่างเดียว: SHARP เครื่องฟอกอากาศ รุ่น FP-J30TA
- เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะที่ดีที่สุด: Xiaomi Smart Air Purifier 4 Pro เครื่องฟอกอากาศ
เครื่องฟอกอากาศสำคัญอย่างไร ?
หากเป็นสมัยก่อนตอนที่ยังไม่มีการเติบโตทางอุตสาหกรรมและความเจริญก้าวหน้าในเมืองหลวง เครื่องฟอกอากาศอาจมีความจำเป็นน้อยมาก ๆ หรือแทบจะไม่มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของพวกเราเลยด้วยซ้ำ แต่ในปัจจุบันนี้ ปัญหามลพิษทางอากาศเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะกับเจ้าฝุ่นละออง PM2.5 ที่ลอยปกคลุมอยู่ทั่วท้องฟ้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำให้พวกเราต้องสูดดมอากาศที่เป็นพิษเข้าไปเต็มปอดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แน่นอนว่าเมื่อร่างกายได้รับอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและอาจลามไปทำลายอวัยวะอื่น ๆ ได้ด้วย ยิ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วยิ่งต้องระวังสิ่งกระตุ้นรอบ ๆ ตัวที่ลอยอยู่ในอากาศให้ดีเลยค่ะ เพราะฝุ่นละออง, เกสรดอกไม้ หรือแม้แต่ขนสัตว์เลี้ยงเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คุณมีอาการคัดจมูก, คันคอ, ไอ, จาม, น้ำมูกไหล รวมถึงเป็นผดผื่นตามผิวหนังได้เช่นกันค่ะ
แม้ว่าอากาศรอบตัวเป็นสิ่งที่พวกเราไม่สามารถกำหนดคุณภาพได้ตามใจชอบ แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถสร้างระบบหมุนเวียนอากาศที่ดีขึ้นมาได้ด้วยการใช้ “เครื่องฟอกอากาศ” เท่านั้นค่ะ เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศจะช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ทำให้อากาศสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้นนั่นเองค่ะ

เครื่องฟอกอากาศ ทำงานอย่างไร ?
- ดูดอากาศที่ปนเปื้อนเข้าสู่เครื่อง
- ผ่านระบวนการกรองด้วยแผ่นกรอง (Filter) ที่สามารถกรองฝุ่นละออง เชื้อโรค แบคทีเรียต่าง ๆ ได้
- ปล่อยอากาศที่ได้ผ่านกระบวนการกรองอย่างละเอียดออกจากเครื่อง ทำให้ภายในห้องมีแต่อากาศที่บริสุทธิ์
**หมายเหตุ ผู้ใช้ควรมีแผ่นกรองสำรองไว้เปลี่ยนเมื่อแผ่นกรองอุดตันจากสิ่งที่ดูดมา
ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ
1. คุณภาพของแผ่นกรองอากาศ
แผ่นกรองอากาศเป็นสิ่งสำคัญที่คอยดักจับฝุ่นละออง, แบคทีเรีย, เชื้อรา รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยแผ่นกรองอากาศจะทำมาจากเส้นใยขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ดังนั้นก่อนจะซื้อเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนก็ตาม คุณจะต้องตรวจสอบให้ดีว่าแผ่นกรองอากาศที่ใช้มีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องฟอกอากาศขั้นมาตรฐานควรจะมีแผ่นกรองอากาศอย่างน้อย 3 ชั้นดังต่อนี้ค่ะ

- 1.1 แผ่นกรองอากาศอย่างหยาบ : ใช้สำหรับดักจับฝุ่นละอองอนุภาคขนาดใหญ่ก่อนเข้าสู่ระบบกรองอากาศชั้นต่อไป เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของแผ่นกรองชั้นอื่น ๆ โดยแผ่นกรองอากาศอย่างหยาบจะสามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้บ่อยเท่าที่คุณต้องการ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องซื้อเปลี่ยนใหม่เหมือนแผ่นกรองชนิดอื่น ๆ
- 1.2 แผ่นกรอง AC : เป็นแผ่นกรองคาร์บอนถ่านหินที่ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยจะมีอายุตามการใช้งาน ดังนั้นเมื่อคุณรู้สึกว่าประสิทธิภาพในการกรองกลิ่นลดลง ขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนแผ่นกรอง AC อย่างสม่ำเสมอด้วยค่ะ
- 1.3 แผ่นกรอง HEPA : เป็นแผ่นกรองอากาศอย่างละเอียดที่อยู่ชั้นสุดท้าย สามารถกรองพวกเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย และไวรัสที่มีอนุภาคขนาดเล็ก ๆ ได้เกือบจะ 100% โดยแผ่นกรอง HEPA จะมีอายุตามการใช้งานจริง ดังนั้นยิ่งพื้นที่ใช้งานมีมลพิษทางอากาศมาก ก็ยิ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนแผ่นกรอง HEPA บ่อยขึ้นเพื่อคุณภาพอากาศที่สะอาดและปลอดภัย
ทั้งนี้ในเครื่องฟอกอากาศหลาย ๆ แบรนด์เริ่มมีระบบกรองที่ซับซ้อนมากขึ้น บางรุ่นอาจมีขั้นตอนการกรองอากาศ 5-7 ขั้นตอนเลยค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่ดีที่สุดไม่ได้ดูจากจำนวนขั้นตอนการกรอง แต่จะดูจากความเหมาะสมที่สอดคล้องกับพื้นที่การใช้งานมากกว่า หากพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่มีมลพิษทางอากาศเยอะก็จำเป็นต้องเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ระบบกรองหลายขั้นตอน แต่ในกรณีที่อากาศรอบ ๆ ตัวคุณไม่ได้มีสิ่งปนเปื้อนมากนักคุณสามารถเลือกเครื่องอากาศที่มี 3 ขั้นตอน ก็ถือว่าเพียงพอแล้วค่ะ

นอกจากนี้เราขอแนะนำให้คุณตรวจสอบรูปแบบแผ่นกรองก่อนซื้อด้วยนะคะ เพราะบางยี่ห้อก็จะเย็บแผ่นกรองให้ติดมาเป็นชุดเดียวกันเลย ทำให้เวลาเปลี่ยนแต่ละครั้งก็ต้องเปลี่ยนใหม่ยกชุด ซึ่งวิธีนี้อาจสะดวกต่อการใช้งานก็จริง แต่แง่ของความคุ้มค่านั้นอาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ เนื่องจากแผ่นกรองภายในชุดแต่ละชนิดก็มีอายุใช้งานไม่เท่ากันค่ะ
2. เซนเซอร์วัดคุณภาพอากาศ
เชื่อหรือไม่คะ ? ว่าระบบเซนเซอร์พวกนี้มีความสำคัญมาก ๆ เทียบเท่ากับแผ่นกรองอากาศเลยค่ะ เพราะหากเครื่องฟอกอากาศที่คุณใช้มีระบบเซนเซอร์วัดคุณภาพอากาศที่เสถียร แม่นยำ และมีรัศมีตรวจสอบที่กว้างก็จะช่วยทำให้เครื่องฟอกอากาศตัวนั้นทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะเมื่อระบบเซนเซอร์ตรวจพบว่าอากาศเป็นพิษ มันก็จะฟอกอากาศภายในห้องนั้นให้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องกดปุ่มคำสั่งใด ๆ ให้เสียเวลา

นอกจากนี้ระบบเซนเซอร์จะต้องมีความเสถียรภาพระดับหนึ่งด้วยนะคะ เพราะในบางยี่ห้อจากที่ทดสอบก็มีการเปลี่ยนค่าที่รวดเร็วเกินไปราวกับว่าเครื่องตรวจจับฝุ่นเพียงแค่ระยะใกล้ ๆ ระบบเซนเซอร์เท่านั้น เมื่อฝุ่นละอองลอยไปยังทิศทางอื่นระบบเซนเซอร์ก็ไม่แจ้งเตือนใด ๆ อีกเลย ทั้ง ๆ ที่ยังสัมผัสได้ว่าอากาศโดยรอบไม่สะอาดแต่เครื่องก็หยุดทำการฟอกอากาศไปแล้ว นั่นหมายความว่าระบบเซนเซอร์ของแบรนด์นี้ยังไม่ดีนะคะ ทำให้เราจะต้องไปกดปุ่มฟอกอากาศแบบแมนนวลเองอีกครั้ง ซึ่งมันค่อนข้างเสียเวลาและไม่ตอบโจทย์ด้านความอัจฉริยะสักเท่าไหร่ค่ะ
อย่างไรก็ตาม การทดสอบระบบเซนเซอร์ของเครื่องฟอกอากาศในข้อนี้ก็ค่อนข้างลำบากอยู่พอสมควรค่ะ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่ายี่ห้อไหนมีระบบเซนเซอร์ที่ดีที่สุด นอกเสียจากว่าเราจะซื้อมาทดสอบด้วยตัวเอง ใช่ไหมคะ ? ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะช่วยยืนยันได้ว่าเครื่องฟอกอากาศของคุณมีระบบเซนเซอร์ที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ ก็คือแบรนด์ผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือที่สามารถไว้วางใจได้ หรืออาจจะดูจากมาตรฐานการรับรองต่าง ๆ เป็นต้นค่ะ
3. ค่า CADR (ระบบหมุนเวียนอากาศ) สอดคล้องกับพื้นที่ที่ใช้งาน
CADR (Clean Air Delivery Rate) ก็คืออัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ โดยเราจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือความเร็วในการกำจัดสิ่งสกปรกปนเปื้อนในอากาศที่ถูกดูดผ่านเครื่องฟอกอากาศแต่ละตัว ดังนั้นยิ่งค่า CADR สูงมากเท่าไหร่ ก็หมายความว่าเครื่องฟอกอากาศตัวนี้มีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศที่รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถนำค่า CADR ของเครื่องฟอกอากาศแต่ละตัวมาเปรียบเทียบกันได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องเปรียบเทียบคู่กับขนาดห้องที่ใช้งานด้วยว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ อาทิเช่น
- เครื่องฟอกอากาศ A รองรับขนาดห้องที่สูงสุด 120 ตารางเมตร โดยมีค่า CADR 300 CFM
- เครื่องฟอกอากาศ B รองรับขนาดห้องที่สูงสุด 45 ตารางเมตร โดยมีค่า CADR 350 CFM

หากคุณเปรียบเทียบเฉพาะค่า CADR อย่างเดียวดูเหมือนเครื่องฟอกอากาศ B จะเป็นเครื่องฟอกอากาศที่ดีที่สุด เพียงแต่มันเหมาะสำหรับใช้งานได้ในห้องขนาดเล็กเท่านั้น ในทางกลับกันหากคุณต้องการนำไปใช้งานห้องโถงใหญ่ ๆ คุณจะต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศ B อย่างน้อย 2 เครื่องขึ้นไป ทั้งที่เครื่องฟอกอากาศ A สามารถรองรับการใช้งานในพื้นที่กว้าง ๆ สูงสุด 120 ตร.ม. ดังนั้นเครื่องฟอกอากาศ A ก็จะตอบโจทย์ด้านการใช้งานมากกว่าแม้ว่าจะมีค่า CADR ที่ต่ำกว่าเครื่องฟอกอากาศ B แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศหลาย ๆ เครื่อง
หมายเหตุ ตรวจสอบหน่วย CADR ให้ละเอียด เนื่องจากในสหรัฐอเมริกาจะวัด CADR เป็นหน่วย CFM (ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที) แต่ในเอเชียและยุโรป นิยมใช้ CADR หน่วยเป็น m³/h (ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง) มากกว่า อย่างไรก็ตามในรีวิววันนี้เราได้แปลงค่าเป็นลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ
4. เสียงรบกวน ความดังขณะที่เครื่องทำงาน
เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรมีเสียงดังระหว่างทำงานที่ไม่สร้างความเดือดร้อนต่อการนอนหลับพักผ่อน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหากเครื่องฟอกอากาศอยู่ในโหมดปกติหรือโหมดกลางคืน แรงลมของใบพัดจะดังไม่เกิน 20-35 เดซิเบลเท่านั้น แต่ในกรณีที่คุณภาพอากาศเลวร้ายมาก ๆ จนทำให้ตัวเครื่องต้องเร่งผลิตอากาศที่สะอาดอย่างหนักหน่วง ความดังของเสียงในโหมดเหล่านี้อาจจะขึ้นมาที่ 40-60 เดซิเบลได้เช่นกันค่ะ

ดังนั้นการตรวจสอบระดับความดังในสเปกเครื่องฟอกอากาศแต่ละยี่ห้อควรดูด้วยว่าเป็นความดังในโหมดไหน หากไม่ระบุโหมดมาให้ ก็ควรระบุเป็นช่วงความดังมาแทน อาทิเช่น 32-60 เดซิเบล
5. ขนาด และการเคลื่อนย้ายสะดวกมากน้อยเพียงใด
หากคุณเป็นคนที่ต้องย้ายที่อยู่อาศัยบ่อย ๆ หรือมีความจำเป็นจะต้องพกเครื่องฟอกอากาศติดตัวไปด้วย หรือคุณยังไม่งบมากพอจะซื้อเครื่องฟอกอากาศหลาย ๆ เครื่องไว้ใช้แยกในแต่ละห้อง เราขอแนะนำให้คุณเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีน้ำหนักเบา มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากจนเกินไป และควรมีหูหิ้วหรือที่จับที่ถนัดมือเพื่อให้ขนย้ายได้สะดวก หากยี่ห้อไหนมีล้อมาให้ด้วยก็ควรตรวจสอบมีที่ล็อกล้อมาด้วยหรือไม่ด้วยนะคะ

6. ฟังก์ชันเสริม ที่น่าสนใจ และไม่ควรมองข้าม
- การควบคุมจากระยะไกล : การใช้รีโมทคอนโทรลหรือมีการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชันเป็นวิธีที่สะดวกและใช้งานง่ายที่สุด
- การทำงานของเซ็นเซอร์ที่ชาญฉลาด : หมายถึงมันสามารถปรับโหมดการทำงานได้เองโดยที่เราไม่ต้องตั้งค่าควบคุมอะไร
- มีระดับแรงลมกี่ระดับ : ยิ่งมีระดับแรงลมให้เลือกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการฟอกอากาศได้หลากหลายสถานการณ์ได้มากขึ้นเท่านั้น
- แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง : มันจะดีมาก ๆ หากเครื่องฟอกอากาศของคุณสามารถแจ้งเตือนอายุไส้กรองได้ เพื่อให้เราได้รับการฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเสมอต้นเสมอปลาย
- มีระบบป้องกันภัยสำหรับตัวเครื่องและผู้ใช้งานที่ดี : เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นก็มีระบบปิดเครื่องเองหากคุณเผลอเปิดแผงกรองอากาศโดยไม่ทันได้ปิดก่อน หรือบางครั้งมันก็หยุดทำงานทันที ที่พบว่าไส้กรองอากาศหมดอายุการใช้งาน เพื่อป้องกันความเสียจากตัวเครื่องและสุขภาพโดยรวมของคุณ
- เซนเซอร์ตรวจจับแสงสว่าง : เซนเซอร์ตัวนี้จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องใช้เครื่องฟอกอากาศในห้องนอน เพราะมันจะช่วยหรี่แสงไฟบนหน้าจอแสดงผล และช่วยปรับโหมดการทำงานเป็นโหมดพักผ่อนให้เอง โดยที่คุณไม่ต้องสั่งการควบคุมใด ๆ เพื่อให้เครื่องฟอกอากาศทำงานอย่างเงียบที่สุดและลดการรบกวนเกี่ยวกับแสง LED ในขณะที่คุณนอนหลับ
Philips เครื่องฟอกอากาศ รุ่น AC1215

ราคา 5,990 บาท*
ต้องบอกเลยว่าเครื่องฟอกอากาศของ Philips รุ่น AC1215 เป็นสินค้าที่ขายดีติดต่อกันหลายปีมากค่ะ เนื่องจากราคาและคุณสมบัติการใช้งานที่สอดคล้องกัน จึงทำให้รุ่นนี้ยังคงเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่อย่างไรก็ตามในทุก ๆ ปีก็จะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเสมอ ทำให้เครื่องฟอกอากาศรุ่น AC1215 เริ่มหาซื้อได้ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ
หากคุณมั่นใจว่าร้านค้าที่ไม่ใช่ Philips Official Store มีความเชื่อถือพอประมาณและยังขายเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้อยู่ เรามาดูถึงคุณสมบัติของรุ่นนี้กันค่ะ ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ? แล้วทำไมถึงยังเป็นที่ต้องการของตลาด แม้ว่าจะตกรุ่นไปแล้วก็ตาม ?

แม้ว่าเครื่องฟอกอากาศจาก Philips รุ่นนี้จะไม่สามารถควบคุมผ่านสมาร์ทโฟนหรือรีโมทได้ แต่ในแง่ของความน่าเชื่อถือนั้นต้องยอมรับว่าทาง Philips ทำออกมาได้ดีจริง ๆ ค่ะ ทั้งคุณภาพของแผ่นกรอง, ระบบเซ็นเซอร์ และฟังก์ชันการใช้งานเสริมต่าง ๆ ที่แทบจะทำงานให้เราเองทุกขั้นตอนแล้วค่ะ
หากคุณไม่ชำนาญเกี่ยวกับพวกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเทคโนโลยี คุณก็สามารถใช้รุ่นนี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะมันไม่จำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่าใด ๆ ให้วุ่นวายเลยค่ะ ตัวเครื่องมีความอัจฉริยะมากพอที่จะตรวจสอบคุณภาพอากาศและเปลี่ยนโหมดให้เองอัตโนมัติ
คุณสามารถเข้าไปอ่านรีวิวการใช้งานจริงได้จากบทความ รีวิว เครื่องฟอกอากาศฟิลิปส์ PHILIPS รุ่น AC1215 เพื่อเป็นทางเลือกอีกทางในการพิจารณาเลือกซื้อ เนื่องจากจะเป็นการรีวิวที่ละเอียดและทดสอบใช้งานการกรองฝุ่น กรองควัน และกรองกลิ่น จริง ๆ
วีดีโอ ทดสอบการใช้งานจริง
จุดเด่น
- เซนเซอร์การกรองอากาศอัจฉริยะ ปรับโหมดการทำงานอัตโนมัติ
- เซนเซอร์ทำงานได้ในรัศมีระยะที่กว้างมาก
- มีระบบป้องกันภัยสำหรับตัวเครื่องและผู้ใช้งาน
- ขนาดใหญ่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่มีพื้นที่กว้าง
- ระบบการกรองใช้แผ่นกรองแยกทีละชั้น ทำให้เปลี่ยนเฉพาะแผ่นที่ต้องการได้
ข้อควรพิจารณา
- หน้าจอไม่มีตัวเลขบอกระดับความหนาแน่นของมลพิษทางอากาศ จะบอกเพียงสถานะที่เป็นสีเท่านั้น
- ไม่มีรีโมทควบคุมหรือการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชันมือถือ
- หาซื้อจากร้าน Philips Official Store ยาก ไม่มีวางจำหน่ายแล้ว
CADR | 270 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง |
---|---|
ขนาดห้อง | 63 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | 3 ชั้น
|
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | 32-60 เดซิเบล |
ขนาด | 54 x 32 x 21 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 5.3 กิโลกรัม |
เครื่องฟอกอากาศ Philips รุ่น AC0820

ราคา 3,290 บาท*
สำหรับใครมองหาเครื่องฟอกอากาศที่มีมาตรฐาน มาพร้อมกับขนาดเล็กกะทัดรัดเหมาะสำหรับใช้ในห้องขนาดเล็กอย่างเช่นห้องนอน เราขอแนะนำเครื่องฟอกอากาศของ Philips รุ่น AC0820 ตัวนี้เลยค่ะ สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าฟอกอากาศตัวนี้พิเศษกว่าตัวอื่น ๆ ก็คงจะเป็นที่สามารถใช้งานผ่านแอปฯ Philips Air+ ได้ทำให้การป้อนคำสั่งต่าง ๆ ทำงานได้ทันทีแค่มีสมาร์ทโฟนกับ WiFi เท่านั้น โดยที่คุณจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ได้ค่ะ

เพราะด้วยการออกแบบแผ่นกรองที่สามารถดูดอากาศได้รอบทิศทาง 360 องศา จึงทำให้เราสามารถตั้งเครื่องฟอกอากาศตัวนี้ไว้ตรงส่วนไหนของห้องก็ได้ ต่างจากรุ่น AC1215 ที่มีช่องดูดอากาศแค่เพียงด้านหน้าเท่านั้น ในส่วนของชั้นกรองตัวนี้ก็มี 3 ชั้นเหมือนกันเลยค่ะ แต่อาจจะแยกชั้นนอกสุดยากสักหน่อย เพราะว่ามีความบางมาก ๆ ซึ่งการทำความสะอาดชั้นนอกสุดก็จะต่างจากรุ่น AC1215 คือไม่สามารถถอดออกมาล้างแยกได้ ทำได้เพียงแค่ใช้เครื่องดูดฝุ่นเท่านั้นนะคะ
ในส่วนของการครอบคลุมพื้นคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ทางแบรนด์ใส่มาให้ก็ถือว่ารุ่นนี้ทำออกมาได้เหมาะสำหรับกับราคาแล้วค่ะ นอกจากนี้การทำงานก็ยังเงียบมาก ๆ อีกด้วยนะคะ แถมมาพร้อมกับเซนเซอร์ที่คอยตรวจจับคุณภาพอากาศทุก ๆ 1000 ครั้งต่อวินาที
จุดเด่น
- เซนเซอร์การกรองอากาศอัจฉริยะ ปรับโหมดการทำงานอัตโนมัติ
- ขนาดเล็ก ใช้งานได้หลายสถานการณ์ จัดวางพื้นที่ไหนก็ได้ เคลื่อนย้ายสะดวกสุด ๆ
- เปิดได้ตลอดทั้งคืนโดยที่ไม่กินไฟ เพราะมีการออกแบบให้ประหยัดพลังงาน
- มีระบบป้องกันภัยสำหรับตัวเครื่องและผู้ใช้งาน
- มีการออกแบบแผ่นกรองให้สามารถดูดอากาศได้รอบทิศทางเป็นทรงกระบอกแบบ 360 องศา
- สั่งงานผ่านแอปฯ ได้
ข้อควรพิจารณา
- หน้าจอไม่มีตัวเลขบอกระดับความหนาแน่นของมลพิษทางอากาศ จะบอกเพียงสถานะที่เป็นสีเท่านั้น
- ไม่มีเซนเซอร์วัดแสงแวดล้อมอัตโนมัติ ดังนั้นหากคุณต้องการใช้ในห้องนอนคุณจะต้องตั้งค่าโหมดการพักผ่อนที่ตัวเครื่องเอาเอง
- การเปลี่ยนแผ่นกรองต้องเปลี่ยนแบบยกเซต เนื่องจากออกแบบมาให้เป็น 3-In-1
CADR | 190 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง |
---|---|
ขนาดห้อง | 49 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | 3 ชั้น
|
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | 35-61 เดซิเบล |
ขนาด | 36 x 25 x 25 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 2.4 กิโลกรัม |
Dyson Pure Cool ™ Air Purifier Fan เครื่องฟอกอากาศ รุ่น TP00

ราคา 13,900 บาท*
หากให้มองเฉพาะดีไซน์อย่างเดียว เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนในที่นี้จะต้องเข้าใจว่านี่เป็นพัดลมไร้ใบพัดอย่างแน่นอนใช่มั้ยคะ? ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ถูกหรือผิดหรอกค่ะ เนื่องจาก Dyson Pure Cool ™ รุ่น TP00 ตัวนี้เป็นพัดลมไร้ใบพัดที่สามารถฟอกอากาศได้ด้วยในตัวเหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็กมาก ๆ
แม้แรงลมที่ออกมาจะเทียบเท่ากับพัดลมทั่วไปไม่ได้ แต่ก็รู้สึกว่าสบายใจมากกว่าเพราะ TP00 จะส่งมอบลมที่สะอาดและเย็นสบายในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ตัวเครื่องยังหมุนส่ายไปมาได้ถึง 70 องศา ส่งผลให้อากาศกระจายได้ทั่วห้องและทำให้ระบบไหลเวียนอากาศดีขึ้นด้วยค่ะ

จุดเด่น
- ให้ความเย็นแบบไม่มีใบพัด พร้อมฟอกอากาศได้ในตัว
- สามารถกระจายลมได้ทั่วห้อง
- ทำความสะอาดง่ายมาก ๆ
- ตัวกรองใยแก้ว HEPA กำจัดสารก่อภูมิแพ้และสารมลพิษที่มีขนาดเล็กถึง 0.1 ไมครอนและสามารถกำจัดสารฟอร์มาลดีไฮด์ได้
- สั่งงานผ่านรีโมทได้ ตัวรีโมทจะมีแม่เหล็กอยู่ทำให้วางบนตัวเครื่องฟอกได้เลย หมดปัญหารีโมทหาย
- ความแรงลมสูงถึง 10 ระดับ (มากกว่าเครื่องฟอกอากาศ Electrolux รุ่น PA91 ที่มี 9 ระดับ)
- มีการออกแบบแผ่นกรองให้สามารถดูดอากาศได้รอบทิศทางเป็นทรงกระบอกแบบ 360 องศา
- เซนเซอร์อัจฉริยะ ปรับโหมดการทำงานอัตโนมัติ
- เครื่องฟอกอากาศไม่มีส่วนควบคุมที่ตัวเครื่อง ไม่มีใบพัด ไม่ช่องลมเล็ก ๆ จึงเหมาะสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก
ข้อควรพิจารณา
- การเปลี่ยนแผ่นกรองต้องเปลี่ยนแบบยกเซต
- พื้นที่ใช้งานครอบคลุมน้อยเกินไป
- หากเปิดความแรงลมมากกว่า 5 ระดับ เสียงจะเริ่มดัง
- ลมไม่ได้แรงเหมือนพัดลมทั่วไป ดังนั้นจึงเหมาะใช้เป็นเครื่องฟอกอากาศมากกว่าพัดลม
- ด้วยราคาหลักหมื่น แต่ไม่สามารถใช้งานผ่าน App ได้
- น่าเสียดายที่ Dyson ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอัตราการส่งมอบอากาศบริสุทธิ์ (CADR) ในรุ่น TP00 แต่เนื่องจากรุ่น TP01 มี CADR 70 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง เราจึงสันนิษฐานได้ว่าตัวเลขของ TP00 ค่อนข้างใกล้เคียงกัน
CADR | ไม่ระบุข้อมูล |
---|---|
ขนาดห้อง | 30 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | ชั้นกรอง AC บาง ๆ ตัวกรองใยแก้ว HEPA H-13 |
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | ดังสุด 62 เดซิเบล |
ขนาด | 100 x 19 x 11 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 3.96 กิโลกรัม |
Tefal เครื่องฟอกอากาศ Intense Pure Air รุ่น PU4067

ราคา 8,999 บาท*



หากถามว่า Dyson TP00 และ Tefal รุ่นนี้ อะไรจะเหมาะสำหรับใช้งานในบ้านที่เด็กเล็กมากกว่ากัน ? ก็ต้องดูว่าคุณอยากได้ความสะดวกในด้านไหน ? หากคุณอยากชอบที่ Tefal มีราคาถูกกว่า อีกทั้งยังทำงานเสียงเบากว่ามาก ๆ ก็ให้ซื้อของ Tefal ค่ะ
แต่!! ถ้าคุณอยากได้ของ Dyson เพราะสามารถให้ลมอ่อน ๆ ได้ด้วย ทั้งยังไม่มีปุ่มหรือช่องลม ๆ ใดบนตัวเครื่องให้ต้องกังวลถึงความอันตราย เราคิดว่าเครื่องฟอกอากาศ Dyson จะตอบโจทย์มากกว่า ขอเพียงแค่ช่วงเวลากลางคืนให้คุณปรับโหมดแรงลมเป็นระดับ 2-3 แทนจะได้ไม้ต้องส่งเสียงรบกวนเวลานอนหลับค่ะ
จุดเด่น
- เซนเซอร์การกรองอากาศอัจฉริยะ ปรับโหมดการทำงานอัตโนมัติ
- ปรับทิศทางช่องลมออกได้ตามสะดวก ทำให้ระบบการไหลเวียนอากาศภายในห้องดีขึ้น
- มีแผ่นกรอง NanoCaptur ที่ใช้ทำลายสารฟอร์มัลดีไฮด์อย่างถาวร
- เน้นการทำงานที่เสียงเบามาก เหมาะสำหรับห้องนอนเด็ก หรือห้องทำงาน
- มีการปล่อยประจุ IONIC ช่วยเพิ่มความสะอาดและบริสุทธิ์ให้แก่อากาศ
- ระบบการกรองใช้แผ่นกรองแยกทีละชั้น ทำให้เปลี่ยนเฉพาะแผ่นที่ต้องการได้
ข้อควรพิจารณา
- ราคาค่อนข้างสูง
- ไม่มีการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชันมือถือ
- ขนาดโดยรวมของเครื่องค่อนข้างใหญ่ไป เมื่อเทียบกับความสามารถในการใช้งาน 30 ตารางเมตร
- ดีไซน์การออกแบบไม่เหมาะสำหรับเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ เพราะตัวเครื่องไม่มีหูหิ้วหรือที่จับใด ๆ มาให้
CADR | 140 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง |
---|---|
ขนาดห้อง | 30 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | 4 ชั้น
|
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | 22-45 เดซิเบล |
ขนาด | 54 x 30 x 28 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 5.4 กิโลกรัม |
Electrolux เครื่องฟอกอากาศ รุ่น PA91

ราคา 16,990 บาท*
หลาย ๆ คนอาจจะไม่ค่อยคุ้นตากับเครื่องฟอกอากาศจากแบรนด์ Electrolux สักเท่าไหร่ เนื่องจากรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ทาง Electrolux ออกแบบใหม่มาในดีไซน์เรียบง่ายแต่หรูหรา อัดแน่นมากับฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัยและนวัตกรรมตัวใหม่ล่าสุด โดยรุ่น PA91 นี้คุณจะสามารถเลือกสีที่เข้ากับดีไซน์บ้านได้ 2 โทน คือสี Grey เอิร์ธโทนที่เน้นไปทางธรรมชาติ และ Dark Grey สีโทนเข้มที่ให้ความรู้สึกโมเดิร์นหน่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติที่ทำให้เราหยิบขึ้นมารีวิวในวันนี้ไม่ได้มีเพียงแต่ดีไซน์ที่สวยงามเท่านั้น แต่ในด้านคุณภาพเองก็เรียกว่าเหมาะสมกับราคาจริง ๆ ค่ะ ทั้งนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นเครื่องฟอกอากาศที่แพงเกินไปไหม? เรามาดูที่มาที่ไปกันค่ะ!! ว่าทำไมต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศในราคาหลักหมื่นจากแบรนด์นี้!!??

จุดเด่น
- มีลูกล้อและหูหิ้วที่สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย
- ขนาดของเครื่องเหมาะสมกับความสามารถฟอกอากาศในพื้นที่ขนาดใหญ่
- มีแรงลม 9 ระดับ มาพร้อม CADR สูงถึง 600 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง
- เซนเซอร์ตรวจจับความชื้น และเซนเซอร์การกรองอากาศอัจฉริยะ ปรับโหมดการทำงานอัตโนมัติ
- ประสิทธิภาพแผ่นกรอง HEPA 13 และ Ionizer ช่วยให้อากาศสะอาดและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
- สั่งงานผ่านแอปฯ + รีโมท ได้
- มีระบบป้องกันภัยสำหรับตัวเครื่องและผู้ใช้งาน
- มีการออกแบบแผ่นกรองให้สามารถดูดอากาศได้รอบทิศทางเป็นทรงกระบอกแบบ 360 องศา
ข้อควรพิจารณา
- การเปลี่ยนแผ่นกรองต้องเปลี่ยนแบบยกเซต เนื่องจากออกแบบมาให้เป็น 5-In-1
CADR | 600 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง |
---|---|
ขนาดห้อง | 88 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | 5 ชั้น
|
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | 49 เดซิเบล (ไม่ระบุโหมด) |
ขนาด | 75 x 31 x 31 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 8.9 กิโลกรัม |
Xiaomi Smart Air Purifier 4 Lite เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ

ราคา 3,190 บาท*
สำหรับใครที่เป็นสาวก Xiaomi มานาน น่าจะพอทราบกันดีว่าเครื่องฟอกอากาศจากแบรนด์นี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงพอสมควรเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Xiaomi 3C หรือ Xiaomi 3H รุ่นยอดนิยม เนื่องจาก Xiaomi เน้นออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่สามารถสั่งงานผ่านแอปฯ ได้อย่างง่ายดาย มาพร้อมกับราคาที่จับต้องได้
แต่ในแน่นอนว่าราคาที่ย่อมเยากว่าก็ต้องมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าของ Xiaomi ทั้งหมดจะเหมาะสำหรับน้อง ๆ วัยรุ่นที่ชอบเทคโนโลยีอยู่แล้ว เนื่องจากการเชื่อมต่อจะมีขั้นตอนที่ซับซ้อน อีกทั้งในบางรุ่นก็เป็นเวอร์ชั่นภาษาจีน ทำให้การใช้งานอาจจะสร้างปัญหาสำหรับผู้ใหญ่ในส่วนนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับการใช้งานในแอปฯ คุณสามารถเปลี่ยนภาษาไทย/อังกฤษได้นะคะ

ทั้งนี้หลายคนอาจสงสัยเกี่ยวแผ่นกรองของทางแบรนด์ ว่าได้ใช้แผ่นกรองอย่างละเอียดแบบไหน? เนื่องจากทาง Xiaomi ระบุชัดเจนว่าไม่ได้ใช้แผ่นกรอง HEPA ทั่วไป!! แต่เป็นแผ่นกรองประสิทธิภาพสูงที่ทาง Xiaomi ผลิตขึ้นมาเอง โดยทางแบรนด์ได้เคลมมาว่าอากาศที่ได้สะอาดมากกว่า, มีเสียงรบกวนเบากว่า และใช้พลังงานน้อยกว่าด้วย
ในเรื่องของเสียงรบกวนและพลังงานนั้นต้องยอมรับว่าทำได้ดี แต่ในแง่ของคุณภาพการกรองนั้น ผู้เขียนมองว่าระบบเซนเซอร์ตรวจวัดอากาศยังไม่เสถียรมากนัก หรืออาจเป็นเพราะมันตอบสนองไวเกินไป จนทำให้ค่าที่วัดได้เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เครื่องเข้าสูโหมดเปิด-ปิดกรองอากาศไปมาและทำงานได้ไม่เต็มที่ หากคุณสัมผัสได้ว่าภายในห้องอากาศยังไม่สะอาด แนะนำให้เข้าไปตั้งค่าการกรองอากาศด้วยตัวเองจะดีกว่าค่ะ

และด้วยเหตุผลนี่เอง จึงทำให้เราจัดลำดับ Xiaomi 4 Lite ในช่วงกลาง ๆ ของบทความรีวิววันนี้ เนื่องจากความเสถียรของเซนเซอร์ยังสู้แบรนด์ชั้นนำไม่ได้ แต่หากคุณต้องการนำไปใช้เพื่อความอุ่นใจ ก็ถือว่า Xiaomi เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะราคาไม่แพงเลยค่ะ แถมยังมีดีไซน์สวยงามอีกด้วย เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ไม่มีมลพิษทางอากาศสูงมากนัก แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ระดับรุนแรงหรืออาศัยในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ ๆ แนะนำให้ลองพิจารณารุ่นอื่นหรือแบรนด์อื่นค่ะ
จุดเด่น
- เซนเซอร์การกรองอากาศอัจฉริยะ ปรับโหมดการทำงานอัตโนมัติ
- เน้นการทำงานที่เสียงเบา
- มีการออกแบบแผ่นกรองให้สามารถดูดอากาศได้รอบทิศทางเป็นทรงกระบอกแบบ 360 องศา
- สั่งงานผ่านแอปฯ ได้
- ดีไซน์สวยงามดูทันสมัยและสะอาด
- ไส้กรองก็ไม่แพงสามารถเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ
ข้อควรพิจารณา
- ระบบเซนเซอร์ยังไม่เสถียรเท่าที่ควร
- การเปลี่ยนแผ่นกรองต้องเปลี่ยนแบบยกเซต
- ดีไซน์การออกแบบไม่เหมาะสำหรับเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ เพราะตัวเครื่องไม่มีหูหิ้วหรือที่จับใด ๆ มาให้
- การใช้งานไม่ได้ออกแบบมาให้เหมาะสมกับทุกคน
CADR | 360 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง |
---|---|
ขนาดห้อง | 25-43 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | 3 ชั้น
|
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | 33.4-61 เดซิเบล |
ขนาด | 53 x 24 x 24 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 4.8 กิโลกรัม |
Smart Air เครื่องฟอกอากาศ รุ่น The Sqair

ราคา 2,791 บาท*
รีวิวเครื่องฟอกอากาศแบรนด์ชั้นนำกันไปเยอะแล้ว ครั้งนี้เราลองมารีวิวเครื่องฟอกอากาศจากแบรนด์ Smart Air กันบ้างดีกว่าค่ะ หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกับชื่อแบรนด์มากนักเพราะว่าเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ใช่ว่าแบรนด์หน้าใหม่จะไม่น่าสนใจเสมอไปนะคะ อย่างรุ่น The Sqair นี้ก็ถือว่าดีไซน์สวยงามตอบโจทย์สายนิมิมอลมาก ๆ มาในขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับวางไว้ตามโต๊ะทำงานหรือตู้เตียงหัวนอน

ในส่วนของคุณภาพนั้นก็ต้องเรียนคุณผู้อ่านตามตรงว่าทางแบรนด์ใส่แผ่นกรองมาให้แค่ชั้น HEPA ขั้นตอนเดียวเท่านั้น หากเพื่อน ๆ ต้องการกำจัดกลิ่นด้วยต้องซื้อแผ่นกรองคาร์บอนเพิ่มอีก 490 บาท ซึ่งในส่วนนี้เรามองว่าไม่ได้จำเป็นค่ะ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้เลี้ยงหมาแมวในบ้านหรือไม่ได้เพิ่งทาสีภายในเสร็จใหม่ ๆ เราคิดว่าคุณไม่ต้องใช้แผ่นกรอง AC ก็ได้ค่ะ หากคุณอยากให้เครื่องฟอกอากาศเน้นทำงานเพียงแค่ดักจับฝุ่นละออง, ไวรัส, แบคทีเรีย, เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์เป็นต้น ก็ถือว่าค่า CADR ที่สูงถึง 315 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้ได้แล้วค่ะ เพราะเป็นค่าที่มีประสิทธิภาพสูงมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ทำงาน


ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างราคา, CADR และขนาดห้อง ถือว่าเครื่องฟอกอากาศ Smart Air - Xiaomi 4 Lite มีคุณสมบัติที่สู่สี่กันมากเลยค่ะ แต่หากดูที่กระบวนการกรอง Xiaomi ทำได้ดีกว่า ดังนั้นใครที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สารเคมีเยอะ ๆ แนะนำเลือก Xiaomi ค่ะเพราะยี่ห้อนี้มีแผ่นกรอง AC ให้ด้วย


ส่วนใครที่อยากได้เครื่องที่เงียบมาก ๆ ดีไซน์สวย เน้นกรองฝุ่นมากกว่า ก็ต้องยกให้ Smart Air เลยค่ะเพราะเสียงเบากว่า Xiaomi มาก ๆ แต่หากคุณไม่มั่นใจเรื่องคุณภาพของแผ่นกรองในราคาประมาณ 3,000 นิด ๆ ก็ต้องยกให้ Philips AC0820 ไปค่ะ เพราะแบรนด์นี้มีความน่าเชื่อถือสูงมาก แถมยังครอบคลุมพื้นที่ใช้งานได้กว้างกว่าด้วย แต่จะเสียนิดหน่อยก็ตรงที่ค่า CADR ต่ำกว่า Smart Air ค่ะ ดังนั้นใครอยากได้แบบไหนตัดสินใจเลือกตามที่ชอบเลยค่ะ
จุดเด่น
- ราคาไม่แพง
- ใช้งานง่าย ตัดลูกเล่นที่ไม่จำเป็นออก อาทิเช่น การสั่งงานผ่านแอปฯ , การสั่งงานผ่านรีโมท, แผงควบคุมระบบสัมผัส, หน้าจอบอกคุณภาพอากาศ, เซนเซอร์เปลี่ยนโหมดอัตโนมัติ โดยทางแบรนด์จะเน้นไปที่คุณภาพการกรองอากาศเป็นหลักมากกว่า ซึ่งค่า CADR ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจมากเลยทีเดียวค่ะ
- ดีไซน์สวยงาม จัดวาง เคลื่อนย้ายได้สะดวก
- เสียงการทำงานเบามาก
- ไส้กรองคุณภาพสูง
ข้อควรพิจารณา
- ไม่มีเซนเซอร์การกรองอากาศอัจฉริยะ
- ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์
- ขั้นตอนการกรองอากาศมีแค่ 1 ขั้นตอน แต่จะเป็นแผ่นกรองที่ได้รับการออกแบบมาพิเศษสามารถกรองฝุ่นละอองได้มากถึง 99.9%
CADR | 315 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง |
---|---|
ขนาดห้อง | 40 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | 1 ชั้น แผ่นกรองอากาศ HEPA |
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | 23-52 เดซิเบล |
ขนาด | 33 × 33 × 37 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 6 กิโลกรัม |
SHARP เครื่องฟอกอากาศ รุ่น FP-J30TA

ราคา 2,998 บาท*
เครื่องฟอกอากาศจาก SHARP รุ่น FP-J30TA หากดูจากในรูปโฆษณาอาจจะคิดว่ามีขนาดเล็ก แต่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องฟอกอากาศที่มีความสูงถึง 43 เซนติเมตร เหมาะใช้งานในห้องขนาดเล็ก สามารถใช้งานในห้องทำงาน ห้องนอน หรือห้องนั่งเล่นก็ได้ มาพร้อมกับแผ่นกรอง 2 ชั้น คือชั้นกรอง HEPA และชั้นกรองอย่างหยาบเหมือนเครื่องฟอกอากาศ Smart Air รุ่น The Sqair แต่ของ SHARP จะมีแผ่นกรองอย่างหยาบสำหรับอนุภาคใหญ่มาให้ด้วย จึงช่วยยืดอายุแผ่น HEPA ได้
ดังนั้นใครที่อยากใช้งานสำหรับกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์นั้นรุ่นนี้คงทำไม่ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ในส่วนของเซนเซอร์สำหรับวัดละอองฝุ่นก็ไม่มีมาให้เช่นกัน ทำให้คุณจะต้องควบคุมเลือกโหมดการทำงานด้วยตัวเอง แต่เครื่องฟอกอากาศของ SHARP จะมีระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ที่เป็นเทคโนโลยีของ SHARP โดยเฉพาะมาให้ จึงสามารถพ่นอนุภาคไฟฟ้าได้ขณะที่ฟอกอากาศไปด้วย ซึ่งอนุภาคไฟฟ้าเหล่านี้จะไปเข้าทำลายเซลล์ของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสได้อย่างหมดจด จนได้อากาศที่สะอาดปราศจากเชื้อโรคนั่นเอง
จุดเด่น
- ราคาไม่แพง
- ไส้กรองฝุ่นมีอายุการใช้งานยาวนาน และถอดเปลี่ยนทำความสะอาดได้ง่าย
- เน้นใช้งานง่าย ตัดลูกเล่นที่ไม่จำเป็นออก
- ใช้เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์แบบเข้มข้นสำหรับกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ
ข้อควรพิจารณา
- ไม่มีเซนเซอร์วัดละอองฝุ่น ทำให้ต้องเลือกโหมดการทำงานเอง
- ไม่มีชั้นกรองกลิ่นคาร์บอนมาให้ (มีแต่การกรอง HEPA, แผ่นกรองชั้นแรกเท่านั้น)
- ดีไซน์ไม่ค่อยสวยงาม
- พื้นที่ครอบคลุมการฟอกอากาศน้อยเกินไป เหมาะสำหรับห้องเล็ก ๆ
CADR | ไม่ระบุข้อมูล |
---|---|
ขนาดห้อง | 23 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | 2 ชั้น แผ่นกรองอย่างหยาบ + HEPA |
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | ไม่ระบุข้อมูล |
ขนาด | 43 x 41 x 22 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 4 กิโลกรัม |
Xiaomi Smart Air Purifier 4 Pro เครื่องฟอกอากาศ

ราคา 6,590 บาท*
สำหรับใครที่กำลังสนใจเครื่องฟอกอากาศ Xiaomi 4L อยู่แต่ก็อยากให้ตัวเครื่องใช้งานกับห้องที่กว้าง ๆ ได้ด้วย เราขอแนะนำ 4 Pro เลย รุ่นนี้จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกับประสิทธิภาพการฟอกอากาศที่ดีขึ้นกว่าเดิม เหมาะสำหรับห้องที่มีเนื้อที่ไม่เกิน 60 ตารางเมตร อาทิเช่น ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน หรือสำนักงานขนาดใหญ่ มาพร้อมกับค่า CADR ที่สูงถึง 500 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเป็นอีกเครื่องที่มีค่า CADR สูงมากเลยทีเดียวค่ะ

ในส่วนของความเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยนั้น Xiaomi ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังเพราะมีการควบคุมอัจฉริยะผ่านแอปฯ Mi Home และ Xiaomi Home พร้อมกับสั่งงานผ่านเสียง อีกทั้งจอแสดงผลก็เรียบง่ายเป็นอินเทอร์เฟซควบคุมได้ด้วยระบบสัมผัสเท่านั้น เพียงแตะเบา ๆ แค่ครั้งเดียวก็พร้อมทำงานได้ทันทีเลยค่ะ ส่วนของประสิทธิภาพของระบบกรองทางแบรนด์ก็ใช้ไส้กรองของ Xiaomi เอง ดังนั้นจึงฟอกอากาศได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังเสียงเบามาก ๆ อีกด้วยค่ะ
จุดเด่น
- เซนเซอร์การกรองอากาศอัจฉริยะ ปรับโหมดการทำงานอัตโนมัติ
- เหมาะสำหรับใช้งานในห้องขนาดใหญ่
- ค่า CADR สูง ใช้เวลาในการฟอกอากาศสำหรับห้อง 40 ตารางเมตรเพียง 15 นาทีเท่านั้น
- มีการออกแบบแผ่นกรองให้สามารถดูดอากาศได้รอบทิศทางเป็นทรงกระบอกแบบ 360 องศา
- ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อย ไส้กรองหาซื้อได้ง่าย
ข้อควรพิจารณา
- ราคาค่อนข้างสูง
- การเปลี่ยนแผ่นกรองต้องเปลี่ยนแบบยกเซต
- ดีไซน์การออกแบบไม่เหมาะสำหรับเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ เพราะตัวเครื่องไม่มีหูหิ้วหรือที่จับใด ๆ มาให้
- การใช้งานไม่ได้ออกแบบมาให้เหมาะสมกับทุกคน
CADR | 500 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง |
---|---|
ขนาดห้อง | 35-60 ตารางเมตร |
แผ่นกรอง | 3 ชั้น
|
เคลื่อนย้ายสะดวก | |
แจ้งเตือนอายุการใช้งานของแผ่นกรอง | |
เสียงรบกวน | 34-64 เดซิเบล |
ขนาด | 68 x 27 x 27 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 6.8 กิโลกรัม |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
เปรียบเทียบ รีวิว เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ช่วยกรองเชื้อโรค และฝุ่น ปี 2023
![]() Philips เครื่องฟอกอากาศ รุ่น AC1215 | ![]() เครื่องฟอกอากาศ Philips รุ่น AC0820 | ![]() Dyson Pure Cool ™ Air Purifier Fan เครื่องฟอกอากาศ รุ่น TP00 | ![]() Tefal เครื่องฟอกอากาศ Intense Pure Air รุ่น PU4067 | ![]() Electrolux เครื่องฟอกอากาศ รุ่น PA91 | ![]() Xiaomi Smart Air Purifier 4 Lite เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ | ![]() Smart Air เครื่องฟอกอากาศ รุ่น The Sqair | ![]() SHARP เครื่องฟอกอากาศ รุ่น FP-J30TA | ![]() Xiaomi Smart Air Purifier 4 Pro เครื่องฟอกอากาศ |
฿5990.00* | ฿3290.00* | ฿13900* | ฿8999* | ฿16990.00* | ฿3190.00* | ฿2791.00* | ฿2998.00* | ฿6590.00* |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
วีดีโอ รีวิว 3 อันดับเครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี
เครื่องฟอกอากาศ vs เครื่องปรับอากาศ
ทั้งนี้หลายคนก็อาจมีข้อสงสัยว่าการเปิดแอร์ที่มีระบบฟอกอากาศ จะช่วยลดปริมาณมลภาวะในอากาศได้หรือไม่? ขอบอกว่ามันสามารถช่วยลดได้ เพราะในเครื่องปรับอากาศจะมีระบบการกรองอากาศมาให้ในตัว ดังนั้นนอกจากสามารถควบคุมอุณหภูมิในห้องได้แล้วยังปรับคุณภาพอากาศภายในห้องได้อีกด้วย
แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาดูว่าระบบการกรองอากาศนั้นใช้แผ่นกรองสำหรับเครื่องปรับอากาศประเภทใดด้วย เพราะมันจะมีทั้งตัวกรองแบบหยาบ, ตัวกรองแบบละเอียด (HEPA) หรือตัวกรองคาร์บอนสำหรับดักจับกลิ่น หากคุณต้องการคุณภาพอากาศที่บริสุทธิ์ จะต้องดูที่ตัวกรองแบบละเอียด (HEPA) เป็นหลักค่ะ

แต่โดยส่วนใหญ่แอร์ที่มีระบบฟอกอากาศในตัวนั้นค่อนข้างมีชั้นกรองน้อยมาก อย่างมากที่สุดก็มีระบบกรองเพียง 1-2 ชั้นเท่านั้น ซึ่งจะต่างจากเครื่องฟอกอากาศที่มักจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า เพราะในเครื่องฟอกอากาศมักจะมีชั้นกรองอย่างน้อย 3 ชั้นขึ้นไปเลยค่ะ และยังมีฟังก์ชันเสริมที่ออกแบบมาให้จัดการปัญหากับมลพิษทางอากาศอีกด้วย อย่างเช่น การใช้เซนเซอร์ตรวจจับปริมาณฝุ่น PM 2.5 หรือระบบวิเคราะห์อากาศเพื่อปรับโหมดการทำงาน และการแจ้งเตือนในตัว เป็นต้น

ในทางกลับกัน เราทุกคนรู้ดีว่าการเปิดแอร์ก็คือการหมุนเวียนอากาศภายในห้อง ดังนั้นมันอาจทำให้มลภาวะในอากาศฟุ้งกระจายไปทั่วห้องได้ประมาณหนึ่ง โดยเฉพาะกับละอองฝุ่นอนุภาคขนาดเล็กอย่างฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเกิดผลเสียต่อสุขภาพต่อสุขภาพของเราได้ แต่เราก็สามารถแก้ไขได้ไม่ยากอย่างที่คิด โดยวิธีที่ดีที่สุดในการปรับสภาพอากาศภายห้องให้ดีขึ้น หรือการกำจัดแหล่งกำเนิดฝุ่นได้ดีนั่นคือ ‘เครื่องฟอกอากาศ’ ควบคู่ไปด้วยนั้นเอง
เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศได้รับการออกแบบมาเพื่อกรองอากาศและลดมลพิษในอาคารโดยเฉพาะ อีกทั้งในปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศก็ยังมีหลากหลายประเภทให้เราได้เลือกใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องฟอกอากาศตั้งโต๊ะ, เครื่องฟอกอากาศแบบพกพานอกสถานที่ หรือแม้แต่ภายในรถก็ยังมีเครื่องฟอกและกรองอากาศภายในรถยนต์เลย ดังนั้นเพื่อสุขภาพของตัวเอง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถือว่าคุ้มค่าแก่การเป็นเจ้าของมาก ๆ
อันตรายจาก ฝุ่น PM2.5
อนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ไมโครเมตร หรือที่เราเรียกว่า PM 2.5 มันเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะฝุ่นสามารถเข้าไปในปอดของเราได้ลึกมาก ๆ และการหายใจเข้าออกก็นำอนุภาคเหล่านี้เข้าไปเป็นเวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันก็สามารถที่จะทำให้ปอดแย่ลงและทำให้เกิดโรคหอบหืด อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับคนที่เป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย นอกจากนี้การสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาว ก็อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบหรือส่งผลให้การทำงานของปอดลดลง (1-4)

ดังนั้นทุกครั้งที่เดินทางออกจากบ้านโปรดสวมหน้ากาก N95 ป้องกันฝุ่น PM 2.5 ด้วย เนื่องจากประเภทนี้จะสามารถป้องกันได้ทั้งฝุ่นอนุภาคขนาดเล็กและเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ด้วย แต่จะต้องเลือกชนิดที่ไม่มีวาล์วระบายอากาศ ไม่เช่นกันมันจะไม่ป้องกันเชื้อไวรัสโควิด
ประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศ
คนไทยเผชิญกับฝุ่น PM2.5 ในหลายจังหวัด เนื่องจากอากาศเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีขนาดเล็กมาก มองตาเปล่าแทบไม่เห็น การจะออกไปข้างนอกโดยไม่ได้ป้องกันหรือไม่ได้ใส่หน้ากากกันฝุ่น แล้วเผลอสูดหายใจเข้าไปมาก ๆ จะทำให้เกิดอันตรายกับระบบทางเดินหายใจได้

โดยวิธีการที่สามารถแก้ไขได้คือเครื่องฟอกอากาศ เพราะมันเป็นอุปกรณ์ที่สามารถต่อสู้กับฝุ่นและสิ่งปนเปื้อนในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการใช้งานของเครื่องก็ไม่ได้ยุ่งยากมากมาย เพียงแค่คุณนำเครื่องฟอกอากาศไปตั้งไว้มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน จากนั้นก็ตั้งค่าโปรแกรมให้เครื่องทำงาน ตัวเครื่องก็จะเริ่มปฏิบัติการทำให้อากาศภายในบ้านสะอาดและสดชื่น สามารถสูดหายใจได้อย่างปลอดภัย หรือใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ เครื่องชนิดนี้ก็ช่วยได้ค่อนข้างเยอะมากเลยทีเดียว

จริง ๆ แล้วตัวเครื่องฟอกอากาศสามารถนำมาใช้ได้ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นว่าแถวบ้านของคุณจะต้องมีฝุ่น PM2.5 ก่อตัวขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยทำการซื้อ เนื่องจากประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องสามารถกำจัดฝุ่นขนาดเล็กและขนาดใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็น แบคทีเรีย, เชื้อรา, ไวรัส หรือแม้กระทั้งกลิ่นไม่เหม็นต่าง ๆ นานา ภายในบ้าน นอกจากนี้แผ่นกรองถือว่าเป็นตัวสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวกรองไม่ให้ฝุ่นเล็ดลอดไปจากตัวเครื่อง เป็นผลทำให้บ้านคุณปราศจากมลพิษทางอากาศ อีกทั้งสุขภาพของคุณและคนในครอบครัวก็ดีขึ้นด้วย
วิธีอื่น ๆ ที่ช่วยทำให้อากาศภายในบ้านให้ดีขึ้น
- ดูดฝุ่นเป็นประจำ เครื่องฟอกอากาศอาจไม่สามารถกำจัดสารก่อภูมิแพ้ที่มีขนาดใหญ่ได้ เช่น ไรฝุ่นและขนสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งอาจจะอยู่บนเฟอร์นิเจอร์และพรม ดังนั้นคุณควรใช้เครื่องดูดฝุ่นพร้อมตัวกรองที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน HEPA สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อทำความสะอาดพื้นและเฟอร์นิเจอร์ หรือถ้าหากมีเครื่องดูดไรฝุ่นก็จะยิ่งดี เพราะเครื่องนี้สามารถกำจัดไรฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ใช้เครื่องดูดควันในห้องครัว คุณควรใช้เครื่องดูดควันในห้องครัวด้วยและหาพัดลมระบายอากาศห้องน้ำหรือห้องซักรีดเพื่อให้อากาศทายเทอย่างมีประสิทธิภาพ
- หยุดสูบบุหรี่ในอาคาร หยุดการสูบบุหรี่หรือทำการจุดไฟในอาคารอย่างเช่นการจุดธูปจุดกำยาน เพราะอาจจะเพิ่มปริมาณฝุ่น ควัน และสิ่งสกปรก

- ระบายอากาศ เปิดหน้าต่างของคุณในวันที่อากาศดี เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเทบ้าง ทั้งนี้หากคุณแพ้เกสรดอกไม้ หรือเป็นโรคภูมิแพ้ให้คุณปิดหน้าต่างและใช้งานเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องระบายอากาศภายในบ้านแทน
- ลดการใช้สารเคมี ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลงอาจจะเพิ่มมลพิษให้กับบ้านของเราได้
References :