อาหารไทยเป็นอาหารที่มีความโดดเด่นในเรื่องของรสชาติที่จัดจ้านและกลิ่นของเครื่องเทศค่อนข้างจะโดดเด่นเฉพาะตัวเลยแหละ และเครื่องเทศหลัก ๆ ที่เราใช้กันอย่างแพร่หลายก็จะมีข่า, ตะไคร้, หอมแดง, กระเทียม, พริก และใบมะกรูด ถ้าสังเกตคืออาหารไทยแทบจะทุกชนิดจะมีสมุนไพรเหล่านี้ผสมอยู่อย่างน้อยหนึ่งชนิดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด รวมถึงน้ำจิ้มและน้ำพริกต่าง ๆ นานา และ “ต้มยำ” ก็เป็นหนึ่งในอาหารที่มีการผสมผสานสมุนไพรหลากหลายชนิดเข้าด้วยกันและมีทั้งกลิ่นและรสชาติที่เป็นลักษณ์จนเรียกได้ว่าเจ้าต้มยำนี่แหละคืออาหารที่สะท้อนถึงความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี และเป็นอาหารที่ชื่นชอบของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
สำหรับคำว่าต้มยำเนี่ยเป็นคำประสมที่มาจากคำว่า “ต้ม” ที่เป็นกิริยาหมายถึงการนำของเหลวต่าง ๆ มาใส่ลงในภาชนะแล้วนำไปทำให้ของเหลวเหล่านั้นสุกด้วยความร้อน ส่วนคำว่า “ยำ” มีความหมายแปลว่าการคลุกเคล้าหรือการนำผักและเนื้อสัตว์มาผสมรวมกัน (1) เมื่อนำมารวมกันก็จะหมายความว่า ต้มยำคือแกงชนิดหนึ่งที่นำเสื้อสัตว์และผักมาต้มรวมเข้าด้วยกันนั่นเองค่ะ
สูตรเมนูต้มยำ
โดยทั่วไปอาหารประเภทยำจะมีรสชาติเปรี้ยวและเผ็ดโดดเด่น ดังนั้นต้มยำจึงมีรสชาติเผ็ดเปรี้ยวเหมือนกับยำนั่นเองค่ะ ซึ่งต้มยำเองก็สามารถแบ่งได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นต้มยำน้ำใส ต้มยำน้ำข้น โป๊ะแตก หรือต้มโคล้งก็เป็นต้มยำอีกหนึ่งชนิดเหมือนกันค่ะ ดังนันวันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าต้มยำแต่ละชนิดจะใช้วัตถุดิบและมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
1. ต้มยำกุ้งน้ำใส

พูดถึงต้มยำ เมนูแรกของเราก็ต้องเป็นอาหารไทยที่ครองใจคนทั้งโลกอย่างต้มยำกุ้งใช่ไหมคะ แหม ถ้าไม่พูดถึงเมนูนี้ก็คงจะเกินไปหน่อย สำหรับเมนูนี้หลายคนคงจะเคยทานกันมาบ้างแล้วและก็คงจะทราบกันดีว่าความเผ็ดร้อนและรสชาติเปรี้ยว ๆ ของต้มยำกุ้งทำให้เรารู้สึกสดชื่นและตื่นตัวมากแค่ไหน สำหรับวันนี้เราจะชวนเพื่อน ๆ มาเข้าครัวทำต้มยำกุ้งน้ำใสทานกันที่บ้านค่ะ น้ำต้มยำร้อน ๆ ใส ๆ ดูเหมือนจะไม่มีรสชาติอะไรแต่ซดเข้าไปคำแรกจะรับรู้ได้ถึงรสชาติเปรี้ยวและเผ็ดกระจายไปทั่วทั้งปาก ตักเนื้อกุ้งขึ้นมาเคี้ยวตามเข้าไปก็จะได้ความหวานจากเนื้อกุ้งตามเข้าไปช่วยปลอบประโลมจิตใจของเราได้เป็นอย่างดี ต้มยำกุ้งน้ำใสเป็นเมนูที่เหมาะมาก ๆ ที่จะทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ในวันที่มีอากาศหนาวเย็น
วัตถุดิบต้มยำกุ้งน้ำใส
- กุ้งสด
- ข่า
- ตะไคร้
- ใบมะกรูด
- เห็ดฟาง
- ผักชี
- มะเขือเทศ
- หอมใหญ่
- พริกขี้หนู
- น้ำปลา
- น้ำมะนาว
- น้ำเปล่า
วิธีทำต้มยำกุ้งน้ำใส
ขั้นตอนแรกเราจะนำกุ้งมาล้างทำความสะอาดก่อนค่ะ แกะเปลือกและผ่าหลังเอาไส้ออกให้เรียบร้อย ส่วนเปลือกกุ้งเราจะล้างเบา ๆ แล้วนำมาใส่หม้อที่จะใช้ทำต้มยำเพื่อต้มให้เป็นน้ำสต๊อกกุ้งค่ะ จากนั้นหันมาหั่นและทุบรากผักชีใส่ลงในหม้อ ตามด้วยข่าและตะไคร้บุบ เทน้ำใส่ลงไปตามต้องการแล้วนำหม้อขึ้นตั้งไฟกลางจนน้ำเดือดปุด ๆ เลยค่ะ
ระหว่างรอน้ำเดือดเราจะหันมาหั่นหอมใหญ่, มะเขือเทศ และเห็ดฟางรอไว้ หันมาเช็กหม้อต้มอีกนิด ถ้าน้ำเดือดดีแล้วเราจะตักเอาเปลือกกุ้งออกให้หมดแล้วนำเห็ดฟาง, หอมใหญ่ และมะเขือเทศใส่ลงไปในหม้อ ต้มต่อจนหอมใหญ่สุกใสแล้วเราจะใส่กุ้งตามลงไปเลยค่ะ ระหว่างรอกุ้งสุกก็หันมาบุบพริกให้พอแตกแล้วบีบน้ำมะนาวใส่ลงไปนิดหน่อยเพื่อป้องกันไม่ให้พริกดำ หลังจากกุ้งสุกดีแล้วเราจะปิดเตาแล้วปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาว ชิมรสชาติตามชอบแล้วปิดท้ายด้วยการฉีกใบมะกรูดใส่ลงไป ตามด้วยพริกบุบและผักชี เสร็จเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ
2. ต้มยำทะเลน้ำข้น

ทำน้ำใสไปแล้วก็มาต่อกันด้วยต้มยำน้ำข้น แต่ความนี้แค่กุ้งอย่างเดียวคงไม่พอเพราะเรามาทั้งทะเล ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู หรือปลาต่างกันมาอัดแน่นรวมกันอยู่ในต้มยำถ้วยนี้ สำหรับต้มยำน้ำข้นก็จะมีน้ำซุปที่เข้มข้นและขุ่นกว่าต้มยำน้ำใส รวมไปถึงความแซ่บซี๊ดที่มีทั้งน้ำมะนาว พริกขี้หนูสด และพริกเผาที่ช่วยให้เมนูนี้มีทั้งสีและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ มาปะทะกับเครื่องสมุนไพรต้มยำสามสหาย ทั้งข่า ตะไตร้ และใบมะกรูดต่างก็ช่วยกันเสริมให้ต้มยำกุ้งน้ำข้นมีกลิ่นหอมลอยไปไกลทั่วโลกเลยทีเดียว
วัตถุดิบต้มยำทะเลน้ำข้น
- อาหารทะเล
- กระเทียม
- หอมแดง
- ผักชี
- ข่า
- ตะไคร้
- ใบมะกรูด
- พริกขี้หนู
- น้ำพริกเผา
- น้ำปลา
- น้ำมะนาว
- นมข้นจืด
- น้ำเปล่า
วิธีทำต้มยำทะเลน้ำข้น
ก่อนอื่นเราจะมาเตรียมเครื่องต้มยำก่อนค่ะ เริ่มจากทุบกระเทียม, หอมแดง, รากผักชี, ข่า, ตะไคร้ และพริกขี้หนูมาบุบให้แตกก่อนค่ะ บุบแยกทีละชนิดนะคะไม่รวมกัน เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็จะมาทำความสะอาดอาหารทะเลเตรียมไว้ให้พร้อมเลย เพื่อน ๆ อยากทานอาหารทะเลชนิดไหนก็สามารถเลือกได้ตามชอบเลยค่ะ เสร็จแล้วเราก็จะต้มน้ำให้เดือดจัด ๆ แล้วนำข่า, ตะไคร้, กระเทียม, พริกไทย และรากผักชีลงต้มจนสุกหอม จากนั้นตามด้วยน้ำพริกเผาและนมสด คนให้เข้ากันและรอน้ำเดือดอีกครั้งหนึ่งค่ะ เมื่อน้ำเดือดได้ที่แล้วเราจะเช็กก่อนนะคะว่าอาหารทะเลสุกดีหรือยัง ถ้าสุกดีแล้วเราจะปิดเตาแล้วปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาว ชิมรสชาติตามชอบ จากนั้นนำพริกบุบและใบมะกรูดใส่ตามลงไป ขยำใบมะกรูดนิดหน่อยด้วยนะคะน้ำต้มยำจะได้หอม ๆ ปิดท้ายด้วยผักชีโรยหน้าต้มยำทะเลน้ำข้นของเราก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทานแล้วจ้า
3. ต้มยำโป๊ะแตก

ถัดมาเป็นเมนูต้มยำทะเลที่เรียกกันว่าโป๊ะแตกค่ะ สำหรับโป๊ะแตกก็จะมีทั้งวัตถุดิบและวิธีการทำที่คล้าย ๆ กับการทำต้มยำน้ำใสเลย แต่สิ่งที่ทำให้โป๊ะแตกแตกต่างจากต้มยำน้ำใสก็คือใบกะเพราค่ะ เมนูนี้นอกจากความเผ็ดร้อนจากพริกขี้หนูแล้วเราจะได้ความเผ็ดร้อนจากใบกะเพราด้วย ซึ่งนอกจากรสชาติ การใส่ใบกะเพราลงไปในต้มยำก็จะช่วยดับกลิ่นคาวและเพิ่มกลิ่นหอม ในส่วนของรสชาติก็จะมีรสเปรี้ยว เผ็ด เค็มนิด ๆ หวานจากเนื้อสัตว์ และมีกลิ่นหอมสมุนไพรสุด ๆ แถมอาหารทะเลที่ใส่ลงไปยังสามารถเลือกได้ตามความชอบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู หรือปลาก็อร่อยเหมือนกันหมดเลย เรียกว่ายกทั้งทะเลมารวมอยู่ในโป๊ะแตกหม้อเดียว
วัตถุดิบต้มยำโป๊ะแตก
- อาหารทะเล
- ข่า
- ตะไคร้
- ใบมะกรูด
- ใบกะเพรา
- หอมแดง
- กระเทียม
- พริกขี้หนู
- น้ำปลา
- น้ำมะนาว
- น้ำเปล่า
วิธีทำต้มยำโป๊ะแตก
เรามาเตรียมสมุนไพรให้พร้อมกันก่อนดีกว่าค่ะ นำพริก, ข่า, ตะไคร้, หอมแดง และกระเทียมมาบุบให้พอแตก ส่วนใบมะกรูดและใบกะเพราเราจะนำมาเด็ดเป็นใบ ๆ เตรียมไว้ค่ะ ถ้ามีดอกกะเพราจะนำมาใส่ด้วยก็ได้นะคะเพราะดอกกะเพราจะช่วยให้ต้มยำมีกลิ่นหอมมากขึ้นค่ะ จากนั้นเราจะนำอาหารทะเลมาล้างทำความสะอาดต่อเลยค่ะ ล้างอาหารทะเลจนเกลี้ยงเลยนะคะ
ต่อมาเราจะต้มน้ำให้เดือดแล้วนำอาหารทะเลลงต้มทีละชนิดจนสุกเลยค่ะ ก่อนจะต้มอาหารทะเลชนิดต่อไปต้องรอให้น้ำเดือดจัดก่อนะคะไม่อย่างนั้นน้ำจะคาวค่ะ จากนั้นนำอาหารทะเลที่สุกแล้วมาจัดเรียงใส่ภาชนะเตรียมไว้ได้เลยค่ะ จากนั้นเราจะนำน้ำที่ใช้ต้มอาหารทะเลมาปรุงต่อ เราจะต้มน้ำให้เดือดก่อนค่ะ จากนั้นนำตะไคร้, ข่า, หอมแดง และกระเทียมลงต้มก่อนเลยค่ะ รอจนน้ำเดือดดีแล้วเราจะปิดเตาแล้วปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาว ชิมรสชาติตามชอบ จากนั้นใส่พริก, ใบมะกรูด และใบกะเพราปิดท้าย กดให้กะเพราจมน้ำอีกเล็กน้อยแล้วตักราดลงบนอาหารทะเลที่เตรียมไว้ได้เลยค่ะ
4. ต้มยำปลากะพงน้ำใส

สำหรับใครที่ชอบทานปลาเป็นพิเศษเราก็จัดต้มยำปลากะพงไปเลยค่ะ สำหรับเมนูนี้เราจะทำเป็นต้มยำปลากะพงน้ำใส สีดูอ่อน ๆ คลีน ๆ แต่ขอบอกว่าน้องคนนี้เขาแอบซ่อนความจี๊ดจ๊าดไว้ข้างใน เราจะเริ่มจากนำปลามาล้างทำความสะอาดก่อนค่ะ เคล็ดลับสำหรับเมนูนี้ก็คือเราจะต้องเลือกปลาที่มีความสดใหม่ ไม่มีกลิ่นและไม่ช้ำค่ะ เพราะเนื้อปลายิ่งสดก็จะยิ่งหวานและไม่มีกลิ่นคาว เมื่อนำมาทำอาหารคนทานก็จะแฮปปี้ เตรียมเนื้อปลาเสร็จเราก็จะมาต้มน้ำและต้มสมุนไพรจนหอมฟุ้ง ไม่ว่าจะเป็นข่า ตะไคร้ หรือใบมะกรูดก็ใส่ลงไปจัดเต็มไม่ต้องเสียดายเพราะเครื่องสมุนไพรเหล่านี้จะช่วยดับกลิ่นคาวของปลาได้อีกทางค่ะ จากนั้นก็นำเนื้อปลาลงต้มจนสุกได้ที่แล้วนำมาปรุงน้ำต้มยำให้แซ่บจัดจ้าน เมนูนี้จะต้องมีรสชาติเปรี้ยวนำมาก่อนเลยค่ะ ตามด้วยความเผ็ด และรสชาติเค็มอ่อน ๆ ส่วนรสหวานจะออกมาตอนที่เราเคี้ยวเนื้อปลาเข้าไปแล้ว สำหรับวัตถุดิบและวิธีทำแบบละเอียดจะอยู่ที่ เมนูปลา: ต้มยำปลากะพงน้ำใส เพื่อน ๆ สามารภกดเข้าไปดูรายละเอียดได้เลยจ้า
5. ต้มโคล้งปลากรอบ

ต้มโคล้งเป็นอีกหนึ่งเมนูต้มยำรสแซ่บที่ค่อนข้างจะมีความจัดจ้านของทั้งกลิ่นและรสชาติ เมนูนี้เราจะนำเครื่องสมุนไพรไปคั่วให้หอมก่อนค่ะ จากนั้นนำมาต้มแล้วปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกที่ให้รสเปรี้ยว บิเนื้อปลาทอดหอม ๆ กรอบ ๆ ตามลงไป ปิดท้ายด้วยพริกทอดรสชาติเผ็ดร้อน สำหรับเมนูนี้จะมีรสชาติเผ็ดของพริกทอด รสเปรี้ยวอมหวานของมะขามเปียก ได้รสเค็มอ่อน ๆ และมีกลิ่นหอมสมุนไพรจัดเต็ม เนื้อปลาจะนุ่มนอกกรอบในและดูดความแซ่บของน้ำต้มโคล้งไว้อย่างเต็มที่ เมนูนี้จะทานเป็นกับข้าวหรือกับแกล้มก็เหมาะสุด ๆ ค่ะ
วัตถุดิบต้มโคล้งปลากรอบ
- ปลาแห้ง
- ข่า
- ตะไคร้
- ใบมะกรูด
- หอมแดง
- ผักชีฝรั่ง
- มะเขือเทศ
- พริกแห้ง
- เกลือ
- น้ำปลา
- มะขามเปียก
- น้ำเปล่า
- น้ำมันพืช
วิธีทำต้มโคล้งปลากรอบ
ขั้นตอนแรกเราจะตั้งกระทะ ใส่น้ำมันแล้วนำปลาแห้งลงทอดให้เหลืองกรอบก่อนค่ะ จากนั้นใช้กระดาษอเนกประสงค์ซับน้ำมันออกให้เกลี้ยงเลยค่ะตอนนำไปต้มน้ำซุปจะได้ไม่มันมากจนเกินไป จากนั้นปรับเตาเป็นไฟอ่อน ๆ แล้วนำพริกแห้งลงทอดต่อจนสุกเลยค่ะ ปิดเตาแล้วหันมาซอยผักชีฝรั่ง, หั่นข่า, หั่นตะไคร้, หั่นมะเขือเทศ แล้วทุบหอมแดงเตรียมไว้ให้พร้อมเลยค่ะ จากนั้นนำสมุนไพรที่เราหั่นเตรียมไว้ทั้งหมดมาคั่วในกระทะจนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งครัวเลยค่ะ
เครื่องสมุนไพรสุกหอมได้ที่แล้วตักออกมาพักไว้ก่อน เปลี่ยนมาตวงน้ำใส่หม้อแล้วนำขึ้นตั้งไปจนน้ำเดือด จากนั้นนำมะขามเปียกใส่ลงไปเลยค่ะ สำหรับมะขามเปียกต้องกะปริมาณให้พอดีนิดนึงนะคะเพราะความเปรี้ยวของมะขามจะแก้ได้ค่อนข้างยาก ใส่มะขามลงไปแล้วรอน้ำเดือดอีกครั้งเราก็จะนำสมุนไพรคั่วและมะเขือเทศใส่ลงไปเลยค่ะ ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อยก่อนแล้วรอจนน้ำเดือดเราก็จะบิเนื้อปลาเป็นชิ้นแล้วใส่ลงไปเลย กดให้เนื้อปลาจมแล้วทิ้งไว้สักครู่ให้ปลาดูดน้ำเข้าไป เพิ่มความเค็มด้วยน้ำปลาอีกนิดแล้วชิมรสชาติตามชอบ ได้รสชาติที่พอใจแล้วเราจะใส่พริกแห้งและผักชีฝรั่ง ตำพริกให้แหลกเล็กน้อยด้วยนะคะ ชิมรสชาติอีกครั้ง ถ้าได้รสชาติที่พอใจแล้วก็ปิดเตาแล้วตักเสิร์ฟได้เลย
6. ต้มยำขาหมู

เปลี่ยนจากสัตว์ทะเลมาเป็นสัตว์บกกันบ้าง ต้มยำขาหมูเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบ เมนูนี้จะแตกต่างจากอาหารทะเลตรงที่น้ำซุปจะมีความลื่น ๆ เบา ๆ คล่องคอ รสชาติของน้ำซุปจะมีทั้งเผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม ครบรสแต่รสชาติจะอ่อน ๆ หน่อย ไม่เผ็ดจัดจ้านมาก ส่วนขาหมูของเราจะมีลักษณะเปื่อยนุ่ม หนังหมูจะนุ่มนิ่มเป็นเจลลีที่ทานเข้าไปแล้วจะฟินสุด ๆ นอกจากความฟินแล้วเรายังได้คอลลาเจนเน้น ๆ ที่ละลายออกมาจากชั้นไขมันอีกด้วย สำหรับเมนูนี้จะทานเป็นกับแหล้มหรือกับข้าวก็อร่อยค่ะ เพื่อน ๆ สามารถดูวัตถุดิบและวิธีทำเมนูนี้อย่างละเอียดได้ที่ เมนูจากขาหมู: ต้มยำขาหมู
7. ต้มยำกระดูกอ่อน

ใครไม่ชอบขาหมูเด้ง ๆ มัน ๆ ก็ลองเปลี่ยนมาทานต้มยำกระดูกอ่อนดูบ้างค่ะ ขอกระซิบนิดนึงว่าเมนูนี้เป็นเมนูโปรดของเราเลยค่ะ สำหรับเมนูนี้เราจะเลือกกระดูกอ่อนส่วนซี่โครงที่ได้ทั้งเนื้อและและกระดูกมาใช่ หลังจากหั่นเป็นชิ้นตามชอบแล้วเราก็จะมาเตรียมน้ำต้มยำกันต่อ วันนี้เราจะทำต้มยำแบบน้ำใสเราก็จะตัดนมและน้ำพริกเผาออก ต้มน้ำเดือดได้ที่แล้วก็นำกระดูกอ่อนลงไปต้มโลดดดดด ต้ม ๆ ตุ๋น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระดูกเปื่อยนุ่มได้ที่แล้วก็ปรุงรสชาติให้แซ่บแล้วตักเสิร์ฟได้เลย หรือถ้าใครทนรอไม่ไหวอยากทานเร็ว ๆ ก็เปลี่ยนจากต้มในหม้อธรรมดามาเป็นหม้ออัดแรงดันก็รวดเร็วทันใจดีค่ะ พูดแล้วก็น้ำลายสอตามไปดูวัตถุดิบและวิธีทำเมนูนี้กันได้ที่ เมนูจากซี่โครงหมู: ต้มแซ่บกระดูกอ่อน
8. ต้มยำปลากระป๋อง

เปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบที่หาง่ายอย่างปลากระป๋องกันบ้างค่ะ นอกจากคลุกข้าวแล้วเรายังสามารถนำปลากระป๋องมาทำเป็นต้มยำได้อีกด้วยนะคะ สำหรับต้มยำปลากระป๋องใช้วัตถุดิบน้อยและมีวิธีการทำง่ายมาก ๆ เลยค่ะ เพียงแค่เพื่อน ๆ ต้มน้ำให้เดือด ใส่เครื่องต้มยำลงไป ปรุงรสชาติให้ได้รสชาติที่ชอบ แล้วปิดท้ายด้วยปลากระป๋องแบบจัดเต็ม ใช้เวลาไม่นานต้มยำปลากระป๋องก็พร้อมทานแล้วค่ะ สำหรับเมนูนี้จะมีรสชาติเผ็ด เปรี้ยว เค็ม และหวาน ซึ่งรสชาติส่วนใหญ่ก็จะมาจากซอสปลากะป๋องที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวอยู่แล้ว สิ่งที่เราจะต้องเพิ่มลงไปก็คือกลิ่นหอมสมุนไพรและเพิ่มน้ำมะนาวอีกเล็กน้อย เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ทำง่ายและทานได้ไม่เบื่อเลยค่ะ เพื่อน ๆ สามารถกดเข้าไปดูวัตถุดิบและวิธีการทำได้ที่ เมนูจากปลากระป๋อง: ปลากระป๋องต้มยำ
9. ต้มยำเห็ดเจ

ขอเปิดท้ายเมนูต้มยำด้วยต้มยำเห็ดเจเอาใจคนไม่ทานเนื้อกันสักหน่อย พูดถึงอาหารเจแล้วหลายคนคงจะคิดว่าอาหารเจเนี่ยจะต้องมีรสชาติจืด ๆ มัน ๆ ไม่อร่อย แต่เราขอบอกว่าคุณคิดผิดค่ะ วันนี้เราลองมาทำต้มยำสูตรเจทานกันดู ต้มยำสูตรนี้จะมีแค่เห็ดและสมุนไพรล้วน ๆ แต่ก็อร่อยได้แม้ไม่มีเนื้อสัตว์ รสชาติก็จะเข้มข้นทั้งเผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม อร่อยกลมกล่อม นอกจากนี้เรายังทำเป็นต้มยำน้ำข้นที่ใช้กะทิมาแทนนมสดทำให้ได้รสชาติมัน ๆ ของกะทิเพิ่มเข้ามาอีกด้วย ส่วนเนื้อเห็ดก็จะหวานและดูดความเข้มข้นของน้ำต้มยำไว้ทุกซอกทุกมุม กัดเข้าไปนี้ทั้งฉ่ำและหนึบสุด ๆ ถ้าได้ลองแล้วเพื่อน ๆ จะต้องติดใจแน่นอนเลย
วัตถุดิบต้มยำเห็ดเจ
- เห็ดตามชอบ
- ตะไคร้
- ข่า
- ใบมะกรูด
- พริกขี้หนูสด/ พริกแห้ง
- ผักชีฝรั่ง
- เกลือ
- น้ำตาล
- น้ำพริกเผาเจ
- น้ำมะนาว
- น้ำเปล่า
- ซีอิ๊วขาว
- กะทิ
วิธีทำต้มยำเห็ดเจ
วิธีทำง่ายมาก ๆ เลยค่ะ เราจะนำเห็ดมาล้างทำความสะอาดก่อนเลย แนะนำให้ใช้เห็ดฟาง, เห็ดนางรม หรือเห็ดชิเมจิจะอร่อยมาก ๆ เลยค่ะเพราะเนื้อเห็ดจะเยอะและมีเท็กซ์เจอร์มากกว่าเห็ดเข็มทองหรือเห็ดหูหนู เตรียมเห็ดเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจะมาหั่นตะไคร้, ข่า, ผักชีฝรั่ง และบุบพริกขี้หนู/พริกแห้ง เตรียมไว้เลย จากนั้นเราก็จะตั้งหม้อใส่น้ำ นำขึ้นตั้งไฟกลางจนน้ำเดือดแล้วนำเครื่องต้มยำใส่ลงไปได้เลย ต้มจนเครื่องต้มยำหอมแล้วเราก็จะใส่เห็ดตามลงไป จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือ, น้ำตาล, น้ำพริกเผาซีอิ๊วขาว และพริกบุบ ต้มต่อจนเห็ดสุกดีแล้วเราจะใส่กะทิเป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อป้องกันไม่ให้กะทิแตกมันค่ะ ปิดเตาแล้วเพิ่มรสเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวและใส่ผักชีฝรั่งเพิ่มกลิ่นหอม เสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทาน
เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ กับ 10 สูตรเมนูต้มยำที่เรานำมาฝากในบทความนี้ แต่ละเมนูนี่ชวนน้ำลายสอกันทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะจ๊ะ ยิ่งใครเป็นคนชอบทานอาหารรสจัด อาหารแซ่บ ๆ เหมือนเรานี่ต้องลอบกลืนน้ำลายไปหลายอึกแน่นอน สำหรับสูตรต้มยำที่เรานำมาแนะนำจริง ๆ แล้วเครื่องปรุงต่าง ๆ ก็จะไม่แตกต่างกันมากค่ะ ดังนั้นเพื่อน ๆ สามารถเปลี่ยนจากหมูหรืออาหารทะเลมาเป็นไก่, เนื้อสัตว์ หรือพืชผักชนิดอื่นได้ตามชอบเลย ส่วนรสชาติก็ปรุงให้แซ่บจัดจ้านเข้าไว้ ชอบน้ำข้นก็เติมน้ำพริกเผาและนมสดเข้าไปอีกหน่อย ง่าย ๆ แค่นี้ต้มยำแสนอร่อยก็พร้อมเสิร์ฟแล้วจ้า นอกจากต้มยำแล้วเรายังมีเมนูอื่น ๆ อีกน๊าาา ไม่ว่าจะเป็นกับแกล้ม, เมนูยำต่าง ๆ , อาหารอีสาน, อาหารเช้า, เมนูเนื้อวัว, เมนูผัก, เมนูวุ้นเส้น หรือจะเป็นขนมไทยเราก็มีจ๊ะ เพื่อน ๆ สามารถกดเข้าไปดูได้เลยน้าาา สำหรับวันนี้ต้องขอตัวก่อน ไว้เจอกันใหม่บทความถัดไป สวัสดีค่ะ
Reference