ถึงแม้ว่าจำนวนเด็กที่ติดเชื้อโควิด 19 จะมีจำนวนค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ติดเชื้อในวัยผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามเด็กยังคงมีโอกาสในการติดเชื้อ ทั้งยังเกิดอาการป่วยจากการติดเชื้อโควิด 19 และแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ทุกเมื่อ ดังนั้น CDC หรือ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ จึงได้มีการแนะนำให้เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ควรจะได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อที่จะป้องกันและต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด 19
เมื่อประชากรได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง ผลที่ตามมาคือมันจะหยุดการแพร่กระจายของเชื้อ และทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดังนั้นวันนี้เราจะมาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันว่าเมื่อคุณและคนในครอบครัวได้รับวัคซีนโควิด 19 ครบโดสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครอบครัวของคุณจะใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างไร รวมไปถึงเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป สามารถที่จะรับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ได้หรือไม่ ?
การปกป้องบุตรหลานและสมาชิกในครอบครัว ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19
การรับวัคซีนโควิด 19 สามารถที่จะช่วยบุตรหลานของคุณให้ห่างไกลจากการติดเชื้อโควิด 19 ได้ (แต่ยังคงมีโอกาสในการติดเชื้ออยู่) เนื่องจากข้อมูลสถิติและการวิจัยในเบื้องต้นพบว่า วัคซีนอาจช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไปยังผู้อื่นได้ นอกจากนี้ยังช่วยไม่ให้เด็กเกิดอาการป่วยขั้นรุนแรงเมื่อเกิดการติดเชื้อโควิด 19
โดยมีการคาดการณ์ว่าเด็กที่ติดเชื้อในประเทศไทยช่วงตั้งแต่ เมษายน ไปจนถึงกันยายน พ.ศ. 2564 ประมาณ 1 แสนคน (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะอยู่ที่ 10 – 12 %) ฉะนั้นวิธีที่จะปกป้องบุตรหลานและคนในครอบครัวที่ดีที่สุดคือการเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 นั่นเอง
ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน mRNA ในเด็กและวัยรุ่น
มีการรายงานว่าเคสที่เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบในวัยเด็กและวัยรุ่น ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในโดสที่ 2 ในกรณีการฉีดวัคซีน mRNA (ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา) แต่เคสเหล่านี้เกิดขึ้นได้ยากมาก และอาการเหล่านี้ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
เด็กและวัยรุ่นควรจะได้รับวัคซีนโควิด 19
- วัคซีนโควิด 19 มีการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มข้นในประเทศสหรัฐอเมริกา(ไฟเซอร์) และผ่าน อย. ของไทยแล้วเรียบร้อย
- บุตรหลานของคุณจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 หลังจากผ่านการฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้ว 3 สัปดาห์
- เด็กและวัยรุ่นจะได้รับปริมาณวัคซีน (โดส) ในปริมาณที่เท่ากับผู้ใหญ่ และจะไม่มีข้อกำหนดในเรื่องของน้ำหนักเข้ามาเกี่ยวข้องกับปริมาณของวัคซีน
- ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับนักเรียน
- ควรศึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีด ระหว่างการฉีด และหลังจากฉีด
- พูดคุยกับเด็กให้เข้าใจก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19
- แจ้งแพทย์หรือพยาบาลเกี่ยวกับประวัติการแพ้ก่อนเข้ารับวัคซีน
- พยายามให้กำลังใจและปลอบเด็กเมื่อถึงวันนัดหมาย
- เพื่อป้องกันอาการเป็นลมและอุบัติเหตุจากการล้ม แนะนำให้บุตรหลานของคุณนอนในแนวราบประมาณ 15 นาทีหลังจากฉีดวัคซีน
- พยายามถามและเช็กอาการอย่างต่อเนื่องในช่วง 15 – 30 นาที เพื่อสังเกตอาการ เพราะหากเกิดอาการแพ้จะได้รักษาได้ทันท่วงที
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับนักเรียน
บุตรหลานของคุณอาจเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยได้หลังจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะมันเกิดขึ้นจากการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทั้งนี้อาการมักจะเกิดขึ้น 3 – 4 วันแรก และไม่เกิน 7 วัน (บางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ) หลังจากการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข้าร่างกาย
ผลข้างเคียงบริเวณแขนที่ฉีดวัคซีน
- อาการปวดแขน
- รอยแดง
- อาการบวม
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
- อาการปวดหัว
- ปวดกล้ามเนื้อ
- อาการไข้
- อาการหนาวสั่น
- อาการคลื่นไส้
- อาการเหนื่อย
คุณสามารถขอคำแนะนำและยาจากแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญในการบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ โดยการรับยาพาราเซตามอลหรือยาแก้ปวดที่ไม่ใช่แอสไพริน ทั้งนี้แนะนำว่าไม่ควรทานยาแก้ปวดใด ๆ ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน
ปกป้องสมาชิกในครอบครัวที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด 19 อย่างไร ?
วิธีการปกป้องคนในครอบครัวและบุตรหลานที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่ดีที่สุด มีดังนี้
- เริ่มจากที่ตัวของคุณเองเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ก่อน เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ (แต่ยังมีโอกาสติดเชื้อได้อยู่ เพราะยังไม่มีวัคซีนยี่ห้อใดสามารถป้องกันได้ 100%) และลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อให้คนในครอบครัวได้อีกด้วย
- ควรพาทุกคนในครอบครัวที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19
- สวมหน้ากากอนามัย
- การสวมหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังระบาดอย่างหนัก ทั้งยังลดการแพร่เชื้อให้คนอื่นและคนในครอบครัวได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าจะได้รับวัคซีนแล้ว การสวมหน้ากากอนามัยก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในทุกครั้งที่ออกจากบ้านหรืออยู่ในสถานที่สาธารณะ ซึ่งมีโอกาสการติดเชื้อสูง
- ควรแนะนำให้คนในครอบครัวใส่หน้ากากทุกครั้งเมื่อต้องออกจากบ้าน แม้ว่าจะไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง
- สมาชิกในครอบครัวที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน รวมไปถึงเด็กที่อายุ 2 ขวบขึ้นไป ควรจะต้องใส่หน้ากาก เมื่ออยู่ภายในอาคารสาธารณะ
- คุณควจะสวมด้วยเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับทุกคน
- ไม่ควรสวมหน้ากากให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ
ปกป้องสมาชิกในครอบครัวที่มีโรคประจำตัวหรือต้องรับประทานยาที่กดภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างไร ?
- ให้คุณเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อให้คนในครอบครัวที่มีโรคประจำตัวหรือมีภูมิคุ้มกันที่ไม่ดี
- ถึงแม้ว่าผู้มีโรคประจำตัว (บางโรค) และผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันจะได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่สูงในการติดเชื้อมากกว่าคนปกติทั่วไป ดังนั้นคนในกลุ่มนี้ควรจะใส่หน้ากากอนามัยป้องกันและถ้าให้ดีควรจะแปะแทบกาวหรือใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้น (หน้ากากอนามัยตามด้วยหน้ากากผ้า)เพื่อให้หน้ากากไม่มีช่องโหว่ที่เชื้อจะหลุดเข้าไปได้
- หากคุณพักอาศัยร่วมกับคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป คุณจะต้องใส่หน้ากากป้องกันทุกครั้งเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นในอาคารหรือนอกอาคาร
ไทม์ไลน์และตารางการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กนักเรียน
วันที่ 10 – 17 กันยายน 64 | โรงเรียนและสถานศึกษาจะต้องมีการส่งรายชื่อและจำนวนนักเรียน |
วันที่ 17 – 22 กันยายน 64 | โรงเรียนและสถานศึกษาต้องจัดการประชุม เพื่อให้ผู้ปกครองได้รับรายละเอียดและทำความเขาใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียน ที่มีอายุตตั้งแต่ 12 – 18 ปี |
วันที่ 21 – 24 กันยายน 64 | โรงเรียนและสถานศึกษา ต้องมีการเชิญผู้ปกครองเพื่อแจ้งความประสงค์และอนุญาตให้นักเรียนฉีดวัคซีน |
วันที่ 25 กันยายน 64 | ให้โรงเรียนและสถานศึกษาส่งรายชื่อของนักเรียน ที่มีความประสงค์จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับทาง ผอ.สพม. และ อศจ. จากนั้นจึงนำส่งต่อให้ทาง ศธจ. |
วันที่ 26 กันยายน 64 | ให้ทาง ผอ.สพม. / อศจ. / ผู้แทนหน่วยงานในจังหวัด เข้าร่วมการประชุมเและสรุปจำนวนรายชื่อของนักเรียนที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ส่งให้กับทาง สธจ. |
วันที่ 28 – 30 กันยายน 64 | ทาง สธจ. จะมีการวางแผนและกำหนดการฉีดให้กับโรงเรียนและสถานศึกษาทุกที่ |
วันที่ 1 ตุลาคม 64 | ทางโรงเรียนและสถานศึกษาจะทราบถึงตารางหรือกำหนดการในการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียน เพื่อจัดเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อย |
วันที่ 4 ตุลาคม 64 | เริ่มการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนตามแผนที่กำหนดเอาไว้ |
References :