สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ หลายบทความที่ผ่านมาเราได้นำเสนอเมนูอาหารไปมากมายหลายเชื่อชาติ ทั้งอาหารไทยภาคเหนือ, ภาคใต้, ภาคอีสาน, อาหารญี่ปุ่น, อาหารเกาหลี, เมนูสปาเกตตี้, แซนด์วิช, น้ำสลัดต่าง ๆ หรือจะเป็นเมนูที่ใคร ๆ ต่างก็ตีตราว่าสิ้นคิดอย่าปลากระป๋อง มาม่า และไข่เราก็ได้หยิบมาดัดแปลงเป็นเมนูอร่อย ๆ และนำมาแบ่งปันเพื่อน ๆ ไปแล้ว คราวนี้ก็มีถึงคิววัตถุดิบยอดฮิตที่หลาย ๆ คนรอคอย นั่นก็คือ “เมนูจากเนื้อวัว” นั่นเองค่ะ เรียกว่าบทความนี้เขียนขึ้นมาเพื่อเอาใจสายเนื้อหรือบีฟเลิฟเวอร์โดยเฉพาะเลยทีเดียว แต่ช้าก่อน!! วันนี้เราไม่ได้นำเสนอเมนูเนื้อธรรมดา ๆ เพราะนี่คือบทความเทศกาลเนื้อนานาชาติที่เราจะรวบรวมเมนูเนื้อสูตรเด็ดจากประเทศต่าง ๆ มาร่วมเข้าประกวดว่าเนื้อจากประเทศไหนจะโดนใจคุณมากที่สุด
ทำไมถึงกิน เนื้อหมู เนื้อไก่ ดิบไม่ได้ ?! (12,13)
อย่างที่เพื่อน ๆ ทราบกันไปแล้วว่าเนื้อวัวเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่มีความอร่อยและเป็นที่ชื่นชอบของคนแทบจะทุกมุมโลก ซึ่งสิ่งที่ทำให้เนื้อวัวแตกต่างจากเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็คือคุณสามารถเลือกระดับความสุกของเนื้อได้ตามต้องการ ในขณะที่เนื้อหมูหรือเนื้อไก่นั้นจะต้องปรุงสุกแบบ 100% เท่านั้นถึงจะปลอดภัย ทำไมล่ะ? นั่นก็เป็นเพราะในเนื้อหมูหรือเนื้อไก่เนี่ยจะมีแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่จะพบได้จำนวนมากเลยค่ะ แต่มันจะพบได้น้อยมากในเนื้อวัว ซึ่งแบคทีเรียตัวนี้มีชื่อว่า สเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus Suis) ที่หากเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์แล้วเชื้อจะมุ่งหน้าไปยังเยื่อหุ้มสมองและเยื่อบุหัวใจก่อน ถ้าหากได้รับเชื้อชนิดรุนแรงเข้าไปก็อาจจะส่งผลถึงชีวิตได้ ซึ่งนอกจากทำลายเยื่อหุ้มสมองแล้วสมองของเราอาจจะติดเชื้อและจะทำให้เกิดอาการประสาทหูอักเสบจนทำให้หูหนวกได้ หรือที่หลายคนเรียกง่าย ๆ ว่าโรคหูดับนั่นเองค่ะ สิ่งเดียวที่สามารถฆ่าแบคทีเรียชนิดนี้ได้ก็คือการนำเนื้อหมูหรือไก่ไปปรุงสุกจนไม่มีส่วนสีแดง และการแยกอุปกรณ์เครื่องใช้ระหว่างเนื้อสุกและเนื้อดิบออกจากกันก็สามารถลดความเสี่ยงได้ค่ะ
ระดับความสุกของเนื้อ : สั่งสเต๊กอย่างไรให้อร่อย?
กลับมาที่เนื้อวัวกันบ้าง สำหรับเนื้อวัวนั้นถึงแม้จะไม่มีแบคทีเรีย Streptococcus Suis อยู่เหมือนกัน แต่เนื้อวัวเองก็มีพยาธิที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งการเกิดพยาธิและเชื้อโรคต่าง ๆ มักจะเกิดขึ้นตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงวัวเลยค่ะ ดังนั้นการเลือกซื้อเนื้อวัวที่มาจากแหล่งผลิตที่ดีและถูกสุขอนามัยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม รวมไปถึงการเก็บรักษาเนื้อวัวในอุณหภูมิที่เหมาะสมก็จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ โดยการเลือกซื้อเนื้อควรควรจะพกพาถุงหรือกล่องเก็บความเย็นไปด้วยทุกครั้งเพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่ค่ะ ถึงเนื้อหมูที่ดีจะมีราคาแพง แต่เมื่อเทียบกับความปลอดภัยก็ถือว่าคุ้มค่า และนอกเหนือจากความปลอดภัยแล้วคุณภาพของเนื้อที่ได้กลับมาก็จะดีและอร่อยมากกว่า เมื่อนำมาปรุงอาหารก็จะช่วยให้เมนูเหล่านั้นมีรสชาติที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสเต๊กที่มักจะนิยมใช้เนื้อวัวเป็นวัตถุดิบหลัก โดยทั่วไปแล้วเนื้อสเต๊กจะสามารถแบ่งความสุกออกเป็น 6 ระดับ ดังนี้ค่ะ
- Blue – rare เป็นการนำชิ้นเนื้อลงจี่ในกระทะที่ใช้ความแรงสูงในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นเพื่อทำให้ผิวด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ในขณะที่เนื้อด้านในส่วนใหญ่ยังมีสีแดงอยู่ ความสุกในระดับนี้จะไม่เป็นที่นิยมและไม่พบเห็นบ่อยนักในประเทศไทยเพราะประมาณ 90% ของเนื้อยังคงดิบอยู่นั่นเองค่ะ แต่จะนิยมมาก ๆ ในหมู่ชาวต่างชาติ
- Rare เนื้อระดับนี้จะมีการนำไปผ่านความร้อนนานกว่าระดับ Blue – rare เพียงเล็กน้อย เนื้อด้านนอกจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ส่วนเนื้อด้านในจะมีความสุกประมาณ 75% อุณหถูมิภายในของเนื้อจะอยู่ที่ 48 – 55 องศาเซลเซียส เนื้อจะยังมีความฉ่ำแดงแต่เหนียวขึ้นเล็กน้อย ซึ่งความสุกในระดับนี้ก็ยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยเช่นกันค่ะ
- Medium – rare ระดับความสุกที่เรียกว่าสวรรค์ของคนรักเนื้อ ความสุกในระดับนี้เป็นที่นิยมไปทั่วทั้งโลกเพราะเป็นระดับที่เหมาะสมกับเนื้อวัวมากที่สุด เป็นการนำเนื้อลงไปจี่ในกระทะด้วยอุณหภูมิสูงจนผิวด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั่วทั้งชิ้น อุณหภูมิด้านในจะอยู่ที่ 54 – 57 องศาเซลเซียสโดยประมาณ เมื่อตัดแบ่งออกมาเนื้อด้านในจะมีความสุกประมาณ 50% เนื้อจะไล่ระดับความสุกจากขอบเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงตรงกลางที่ยังเป็นสีแดงอยู่ ความสุกระดับนี้จะทำให้เนื้อมีความฉ่ำกำลังดีและมีรสหวานธรรมชาติ
- Medium เพิ่มระดับความสุกขึ้นมากอีกนิด เนื้อในระดับนี้จะมีความฉ่ำพอ ๆ กับระดับ Medium – rare แต่เนื้อด้านในมีสีชมพูอ่อนกว่าและอุณหภูมิภายในจะอยู่ที่ 60 องศาเซลเซียสโดยประมาณ ซึ่งในระดับนี้จะเหมาะสำหรับเนื้อวาวิว A4 มากที่สุดค่ะ
- Medium – well ความสุกของเนื้อจะเพิ่มขึ้นมากอีกหนึ่งระดับแต่ความสุขของคนทานจะลดลงมาอีกนิด เพราะเนื้อในระดับนี้จะมีความชุ่มฉ่ำน้อยลงและเนื้อเริ่มแข็งกระด้างมากขึ้น เนื้อด้านในจะยังคงสีชมพูอ่อนไว้เพียงเล็กน้อยและไม่ค่อยจะมีความนุ่มมากนัก
- Well done เป็นระดับความสุกที่ไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมเลยค่ะ เพราะเนื้อที่อยู่ในระดับนี้จะสุกแบบ 100% มีสัมผัสที่แข็ง แห้ง เนื่องจากความชื้นในเนื้อได้หายออกไปหมดแล้ว เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั่วทั้งชิ้น มีความเหนียวจนแทบจะเคี้ยวไม่ออก ซึ่งเนื้อในระดับนี้เหมาะกับการนำไปตุ๋นต่อจนเปื่อยนุ่มมากกว่านำมาทานเป็นสเต๊กค่ะ
สูตรเมนูอาหารจากเนื้อวัว
เมนูที่เรานำมาประชันในวันนี้จะมาจากหลากหลายทวีปทั่วโลก เรียกว่าเนื้อวัวนี่เป็นนื้อสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่เป็นที่นิยมไปทั่วทั้งโลกเลยค่ะ ไม่ว่าเป็นทวีปเอเชีย, ยุโรป หรืออเมริกาต่างก็ติดใจในความหอมและความอร่อยของเนื้อวัวกันทั้งนั้น แต่เมนูไหนดี เมนูไหนเด็ด มีเพียงคุณเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน ถ้าพร้อมแล้วเราไปพบกับเมนูเนื้อนานาชาติของเรากันเลยค่ะ
1. สเต๊กเนื้อ – ประเทศฝรั่งเศส 🇫🇷

พูดถึงเมนูเนื้อแล้วจะพลาดเมนูยอดฮิตอย่างสเต๊กเนื้อไปได้อย่างไร สเต๊กเป็นคำที่เรียกอาหารประเภทเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นหนาที่กันใช้กันมากมายในหลายประเภท ส่วนจุดกำเนิดของสเต๊กนั้นยังไม่แน่ชัดสักเท่าไหร่ว่าใครเป็นเจ้าของ บ้างก็ว่ามาจากแถบสแกนดิเนเวีย บ้างก็ว่ามาจากเมืองฟลอเรนช์ในอิตาลี (1) แต่สูตรวิธีการทำสเต๊กถูกเขียนขึ้นในตำราอาหารอย่างเป็นทางการโดย “ออกุส เอาคอฟฟีเยร์” พ่อครัวชาวฝรั่งเศสที่เลื่องชื่อลือชาว่าเป็น King of Chef เพราะเขาผู้นี้เป็นพ่อครัวที่เคยทำอาหารถวายพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 มาแล้วค่ะ นอกจากนี้เขายังเป็นคนแรก ๆ ที่เขียนตำราอาหารฝรั่งเศสออกมาเผยแพร่และกลายเป็นที่ชื่นชอบมาจนถึงทุกวันนี้ (2) และสเต๊กเนื้อก็คือหนึ่งในเมนูที่เขาเขียนขึ้น โดยสเต๊กจะสามารถแบ่งออกเป็นหลายระดับ แต่หลัก ๆ Rare, Medium Rare และ Well Done ซึ่งเนื้อที่สามารถนำมาทำสเต๊กก็จะมีหลายส่วนและแต่ละส่วนจะมีวิธีการทำและรสสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับคนที่เพิ่งหัดทำสเต๊กทานเองแนะนำให้เป็นเนื้อส่วนริบอายเพราะลายไขมันที่แทรกอยู่จะช่วยให้เนื้อนุ่มและปรุงง่าย
วัตถุดิบสเต๊กเนื้อ
- เนื้อวัวส่วนริบอาย
- โรสแมรี่สด
- ไธม์สด
- กระเทียม
- เกลือ
- พริกไทย
- เนย
- น้ำมันมะกอก
วิธีทำสเต๊กเนื้อ
เราจะเริ่มจากขั้นตอนการเตรียมเนื้อค่ะ นำเนื้อที่เลือกออกจากช่องแช่แข็งมาเก็บไว้ในตู้เย็นช่องปกติ 1 คืนก่อนที่จะเริ่มทำสเต๊ก หลังจากพร้อมที่จะทำแล้วเราจะนำเนื้อออกมาพักในอุณหภูมิห้องอีก 10 – 15 นาทีเพื่อให้เนื้อได้คลายความเย็นลงอย่างช้า ๆ วิธีนี้จะช่วยลดแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากนั้นนำเนื้อมาซับเอาเลือดหรือน้ำสีแดงที่ไหลออกมาจนเนื้อแห้งเลยค่ะ
เนื้อพร้อมแล้วต่อมาเราจะปรุงรสเนื้อกันต่อ เริ่มจากนวดเนื้อด้วยน้ำมันมะกอกบาง ๆ จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยป่น ยิ่งเป็นพริกไทยที่เพิ่งบดใหม่ ๆ ก็จะยิ่งช่วยให้เนื้อมีกลิ่นหอมมากขึ้น หมักและนวดเกลือพริกไทยให้ทั่วทั้งชิ้นเนื้อเลยค่ะ อาจจะใส่เยอะหน่อยก็ได้เพราะรสชาติส่วนหนึ่งจะหายไปตอนนำไปย่าง นวดจนเกลือละลายดีแล้วหมักเนื้อทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
เนื้อใกล้จะได้ที่แล้วหยิบกระทะออกมาค่ะ ยิ่งเป็นกระทะก้นหนาก็จะยิ่งดีนะคะเพราะเราจะใช้ไฟค่อนข้างแรง จากนั้นหันมาเตรียมเครื่องเทศโดยการนำเนย, กระเทียม, โรสแมรี่ และไธม์ใส่จานวางไว้ใกล้ ๆ เตา จากนั้นก็เปิดเตาในระดับแรงที่สุด วางกระทะลงไปแล้วรอจนกระทะร้อนได้ที่จนมีควันลอยขึ้นมา เราจะไม่ใช้น้ำมันนะคะ คราวนี้เราจะนำเนื้อลงไปวางให้เกิดเสียงฉ่า ๆ โดยเราจะต้องวางเนื้อให้หันออกจากตัวเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันกระเด็นมาโดนตัวเรา ย่างเนื้อในกระทะไปเรื่อย ๆ น้ำมันในเนื้อจะออกมาเองค่ะ เราจะใช้น้ำมันเนื้อนี่แหละเป็นตัวทำให้สุก ย่างเนื้อไปได้สักพัก ประมาณ 1 – 2 นาทีค่อยเปิดชิ้นเนื้อขึ้นดู ถ้าเนื้อเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลสวยแล้วพลิกกลับด้านแล้วย่างต่อตามระดับความสุกที่ต้องการ หรือจะใช้เป็นที่วัดอุณหภูมิเนื้อจิ้มดูก็ได้ค่ะ

เนื้อใกล้จะได้ที่แล้วเราจะดันเนื้อไปพักไว้ที่ขอบกระทะ ลดไปลงเป็นไฟกลางค่อนอ่อน ดันและเอียงกระทะขึ้นเล็กน้อยให้เนื้อไม่โดนความร้อนโดยตรงแล้วนำเครื่องเทศใส่ลงไปเลยค่ะ รอให้เนยละลายและเครื่องเทศส่งกลิ่นหอมดีแล้วใช้ช้อนตักเนยราดให้ทั่วชิ้นเนื้อ วิธีนี้จะช่วยให้เนื้อมีกลิ่นหอมมากขึ้น ราดไปเรื่อย ๆ จนกระเทียมสุกดีแล้วคีบเนื้อออกมาพักอีก 5 – 7 นาที สามารถนำเครื่องเทศมาวางลงไปด้านบนเนื้อได้เพื่อเพิ่มความหอมค่ะ ขณะพักเนื้อที่ยังร้อน ๆ จะดูดซึมกลิ่นเครื่องเทศและน้ำในเนื้อกลับเข้าไปทำให้เนื้อมีความฉ่ำและนุ่มมากขึ้น ครบเวลาแล้วนำเนื้อใส่จานเสิร์ฟทั้งชิ้นหรือหั่นเป็นชิ้นหนาตามต้องการพร้อมเครื่องเคียงตามชอบ
2. เสือร้องไห้ – ประเทศไทย 🇹🇭

มาที่สเต๊กเนื้อสไตล์ไทย ๆ กันบ้าง ในส่วนของเสื้อร้องไห้เราขอบอกเลยว่าเด็ดสุด ๆ ใครที่เบื่อสเต๊กฝรั่งที่ต้องราดซอสเกรวี่รสเค็ม ๆ หวาน ๆ แล้วต้องทานกับมันบด ลองหันมาทานกับแกล้มอย่างเสือร้องไห้จิ้มน้ำจิ้มแจ่วแซ่บ ๆ พร้อมข้าวเหนียวร้อน ๆ ดูค่ะ มันฟินจนหยุดไม่ได้ เนื้อจะมีความกรอบนอก นุ่มในแบบมีเดียมแรร์ มันเนื้อกรอบและหอมเข้ากันได้ดีกับเนื้อ กัดเนื้อเปล่า ๆ เข้าไปคำแรกจะรู้สึกได้ถึงความเค็มอ่อน ๆ จากเกลือที่หมักไว้ แต่พอได้เคี้ยวไปเรื่อย ๆ รสหวานกลมกล่อมของเนื้อจะเริ่มออกมาทักทายและแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก หยิบอีกชิ้นออกมาจิ้มน้ำจิ้มแจ่วแซ่บ ๆ รสชาติเผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน เข้ากันได้ดีกับเนื้อหอม ๆ ปั้นข้าวเหนียวตามไปอีกหนึ่งก้อนเพื่อลดเผ็ดและเตรียมตัวสำหรับคำต่อไป ส่วนสาเหตุที่เมนูนี้เรียกว่าเสือร้องไห้นั้นมีหลักฐานไม่แน่ชัดสักเท่าไหร่ค่ะ บางคนก็บอกว่าเมนูนี้มีความเหนียว เสือเคี้ยวยากเลยร้องไห้ออกมา, บางคนก็บอกว่าเสือล้มวัวได้แล้วและกัดกินส่วนอื่น ๆ จนอิ่มแปล้เพิ่มจะมาเจอส่วนอก แต่ตอนนั้นอิ่มจนท้องตึงแล้วเลยร้องไห้ออกมาด้วยความเสียดาย หรือบางคนก็เล่าว่านายพรานย่างเนื้อวัวจนส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งป่า เสือได้กลิ่นเลยออกมาขโมยเนื้อไป แต่กัดคำแรกก็ต้องร้องไห้ออกมาเพราะความร้อนค่ะ
วัตถุดิบเสือร้องไห้
- เนื้อวัวส่วนอก
- ต้นหอม
- ผักชีฝรั่ง
- หอมแดง
- พริกป่น
- ข้าวคั่ว
- เกลือ
- น้ำตาล
- น้ำปลา
- น้ำมะขามเปียก
- ซีอิ๊วขาว
วิธีทำเสือร้องไห้
ก่อนจะถึงขั้นตอนการหมักเราจะมาเตรียมเนื้อกันก่อน เริ่มจากเช็กว่าเนื้อที่เรามีอยู่นั้นมีขนาดประมาณไหน ถ้าใหญ่และหนาเกินไปสามารถแบ่งครึ่งให้เนื้อบางลงได้อีกค่ะ ถ้าเนื้อชิ้นหนามากเกินไปจะทำให้เหนียวและสุกยาก จากนั้นตัดแต่งในส่วนของไขมันเนื้อออก ให้เหลือไว้พอประมาณ หรือถ้าใครชอบทานมันเนื้อจะไม่ทิ้งก็ได้ค่ะแต่ตอนย่างอาจจะต้องคอยพลิกบ่อย ๆ เพราะไฟจะลุกแรงมาก จากนั้นใส่สันมีดทุบเนื้อให้แผ่ออกอีกเล็กน้อยแล้วหมักด้วยเกลือและซีอิ๊วขาวตามสูตรดั้งเดิม หมักทิ้งไว้ประมาณ 40 – 60 นาทีเลยค่ะ อย่าใส่เกลือมากเกินไปนะคะ
หมักเนื้อใกล้จะได้ที่แล้วเราจะทำน้ำจิ้มแจ่วรอเลยค่ะ เริ่มจากซอยต้นหอม, ผักชีฝรั่ง และหอมแดงไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นใส่น้ำตาล, น้ำปลา, น้ำมะขามเปียก, พริกป่น และข้าวคั่วลงในถ้วยใบเล็ก ๆ แล้วคนผสมให้เข้ากันและน้ำตาลละลายดี ชิมรสชาติตามชอบ เสร็จแล้วโรยผักที่ซอยไว้ลงไปด้านบนก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ
หันมาเตรียมเตาปิ้งย่างให้พร้อม ใช้ควบคุมไฟให้กลาง ๆ แล้วนำเนื้อลงไปย่างเลยค่ะ ย่างไปเรื่อย ๆ เมื่อมันเนื้อโดนความร้อนจัด ๆ ไขมันก็จะละลายไหลลงกระทบไฟทำให้ไฟลุกขึ้นมาเป็นจังหวะพร้อมเสียงซู่ซ่าฟังแล้วสดชื่นสุด ๆ พลิกเนื้อไปมา 3 – 4 รอบจนสุกหอมทั้งสองด้าน ขั้นตอนนี้ระวังหน่อยนะคะควรใช้ที่คีบอาหารเพื่อป้องกันไอความร้อนสัมผัสมือ จากนั้นนำลงมาพักบนเขียงอีกประมาณ 5 – 6 นาทีเพื่อให้เวลาเนื้อได้ดูดความชุ่มฉ่ำกลับเข้าไป จากนั้นหั่นเอียง ๆ ตัดลายเนื้อให้เป็นชิ้นขนาดพอดีคำด้วยมีดหั่นเนื้อโดยเฉพาะ จัดเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วแซ่บ ๆ
3. กิวด้ง – ประเทศญี่ปุ่น 🇯🇵

เดินทางมาถึงญี่ปุ่นกันแล้ว และเมนูเนื้อยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่นคืออาหารจานด่วนที่หาทานได้ง่ายมาก ๆ นั่นก็คือข้าวหน้าเนื้อหรือกิวด้ง (牛丼) ค่ะ คำว่า กิว (牛) แปลว่าเนื้อวัว ส่วนคำว่า ด้ง ย่อมาจาก ดงบุริ (丼) ที่แปลว่าถ้วยข้าวค่ะ ซึ่งดงบุริก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาใช้วางบนข้าว สำหรับกิวด้งนั้นถือกำเนิดขึ้นมานานกว่า 150 ปีแล้วและยังเป็นเมนูยอดฮิตที่สามารถหาทานได้ทั่วไปในญี่ปุ่น ซึ่งกิวด้งนั้นพัฒนามาจากเมนูหม้อไฟเนื้อวัวหรือกิวนาเบะ (牛鍋) และเนื้อวัวก็โดนแบนในช่วงปี ค.ศ. 1912 เนื่องเหตุผลทางศาสนาค่ะ แต่หลังจากญี่ปุ่นได้รู้จักกับชาติตะวันตกการทานเนิ้อวัวและกิวนาเบะก็กลับมาฮิตอีกครั้ง แต่คราวนี้แตกต่างออกไปเพราะเริ่มมีคนญี่ปุ่นบางคนได้นำกิวนาเบะที่ทานไม่หมดราดลงบนข้าว แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่เมนูนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมา แต่ตอนนั้นคนเรียกเมนูนี้ว่ากิวมิชิ (牛飯) ส่วนกิวด้งเป็นชื่อที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งตั้งขึ้นมาภายหลังค่ะ (3)
วัตถุดิบกิวด้ง
- ข้าวญี่ปุ่นหุงสุก
- ไข่เป็ด
- เนื้อวัวสไลซ์บาง
- หอมใหญ่
- ขิง
- ต้นหอม
- ผงดาชิ
- ขิงดอง
- งาขาวคั่ว
- น้ำตาล
- สาเก
- มิริน
- โชยุ
- น้ำเปล่า
วิธีทำกิวด้ง
วิธีการทำง่ายมาก ๆ เลยค่ะ ขั้นตอนแรกเราจะหยิบไข่ออกมาพักให้คลายความเย็น จากนั้นนำหอมใหญ่, ขิง และต้นหอมมาซอยแยกกัน นำหม้อขึ้นตั้งบนเตา เปิดไฟกลางแล้วใส่น้ำลงไปกะให้พอท่วมเนื้อ ปรุงรสด้วยผงดาชิ, น้ำตาล, สาเก, มิริน และโชยุในปริมาณที่เท่า ๆ กัน ใครชอบรสชาติเข้มข้นจะเพิ่มโชยุก็ได้นะคะ คนจนน้ำตาลละลายดีแล้วหยิบหอมใหญ่และขิงใส่ลงไป รอจนน้ำเดือดดีแล้วใส่เนื้อลงไปได้เลยค่ะ เกลี่ยให้เนื้อกระจายตัวโดนนำซุปจนทั่วแล้วเคี่ยวจนน้ำงวดและเนื้อเปื่อยนุ่ม ระหว่างนี้คอยตักฟองออกด้วยนะคะ
ระหว่างรอเนื้อเปื่อยเราจะหยิบหม้ออีกหนึ่งใบขึ้นตั้งเตาเพื่อทำไข่ออนเซน ใส่น้ำลงไปเยอะหน่อยและเปิดไฟแรงรอจนน้ำเดือดจัดแล้วปิดเตา นำไข่ลงต้มแล้วปิดฝาจับเวลา 5 – 7 นาทีค่ะ ครบเวลาแล้วนำไข่ออกมาตอกใส่ถ้วยใบเล็ก ๆ รอไว้ก่อน หรือจะใช้เป็นเครื่องต้มไข่อัตโนมัติก็ได้ค่ะ หันมาเช็กเนื้อกันบ้าง ถ้าน้ำในหม้องวดและเนื้อสุกดีแล้วจัดการปิดเตา ตักข้าวใส่ถ้วยแล้วตักเนื้อราดลงไปด้านบนให้ท่วมเลยค่ะ เจาะช่องตรงกลางเล็กน้อยแล้วเทไข่ออนเซนลงไป วางขิงดองลงไปข้าง ๆ โรยหน้าด้วยต้นหอมและงา พร้อมรับประทาน
4. บุลโกกิ – ประเทศเกาหลีใต้ 🇰🇷

ถัดมาเป็นเมนูยอดฮิตที่ประเทศเกาหลีส่งเข้าประกวดค่ะ และเมนูที่หลายคนต้องห้ามพลาดเมื่อเดินทางไปเยือนประเทศเกาหลีก็คือบุลโกกิ (불고기) นั่นเอง คำว่าบุล (불) แปลว่าไฟ ส่วนโกกิ (고기) ไม่ใช่แป้งทอดกรอบนะคะ แต่หมายถึงเนื้อในภาษาเกาหลีค่ะ สำหรับบุลโกกิสามารถใช้เนื้อสัตว์ได้หลากหลายประเภทเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู, เนื้อไก่ หรือเนื้อวัวตามสูตรที่เรานำมาแนะนำวันนี้ค่ะ ซึ่งเมนูบุลโกกิก็สามารถนำมาผัดในกระทะหรือย่างด้วยตะแกรงบนเตาถ่านหอม ๆ ก็จะอร่อยมากขึ้นค่ะ สำหรับบุลโกกินี่เกิดขึ้นในเกาหลีมานานมากแล้วค่ะ ตั้งแต่สมัยรายวงศ์โชซอนเลย ส่วนวิธีการปรุงหรือขั้นตอนการทำเมนูนี้ก็จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละพื้นที่และมีการเปลี่ยนแปลงไปมาหลากหลายรูปแบบ มีตั้งแต่การนำเนื้อมาเสียบไม้ย่างหรือนำเนื้อไปผัดในกระทะอย่างทุกวันนี้ (4) และเครื่องเคียงที่มักจะทานพร้อมกันก็คือข้าวและกิมจิ หรือใครจะห่อใบงาแล้วจิ้มซอสซัมจังก็อร่อยไปอีกแบบ
วัตถุดิบบุลโกกิ
- เนื้อวัวสไลซ์
- แครอท
- ต้นหอม
- หอมใหญ่
- กระเทียม
- งาขาวคั่ว
- พริกไทยป่น
- น้ำตาลทราย
- น้ำเชื่อม
- ซอสหอยนางรม
- ซอสถั่วเหลืองเกาหลี
- น้ำมันงา
- น้ำมันพืช
วิธีทำบุลโกกิ
ก่อนอื่นเราจะปอกเปลือกหอมใหญ่และแครอทและซอยบาง ๆ จากนั้นสับกระเทียมให้ละเอียด นำต้นหอมมาแบ่งครึ่งแล้วหั่นเป็นท่อนสำหรับส่วนโคน ส่วนใบเขียวซอยเตรียมไว้สำหรับโรยหน้า จากนั้นหันมาเตรียมในส่วนของซอสหมักกันต่อค่ะ เริ่มจากเทซอสถั่วเหลืองลงในภาชนะ ตามด้วยกระเทียมสับ, น้ำตาลทราย, น้ำเชื่อมเล็กน้อย, พริกไทยป่น, ซอสหอยนางรม และน้ำมันงา คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำเนื้อ, หอมใหญ่ และแครอทตามลงไป คลุกคล้าและนวดให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีหรือข้ามคืนก็จะยิ่งอร่อย
ครบเวลาแล้วตั้งกระทะบนเตา เปิดไฟกลางแล้วใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย รอจนน้ำมันร้อนได้ที่แล้วนำเนื้อที่หมักไว้ลงไปผัดเลยค่ะ พลิกไปพลิกมาเรื่อย ๆ จนเนื้อสุกและหอมใหญ่สุกนิ่ม ชิมรสชาติอีกครั้ง ถ้าได้รสชาติที่ต้องการแล้วปิดเตาแล้วตักบุลโกกิใส่จาน โรยหน้าด้วยงาและต้นหอมซอยให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ
5. สปาเกตตี้ซอสโบลองเนส – ประเทศอิตาลี 🇮🇹

บินลัดฟ้าไปสูดเส้นที่ประเทศอิตาลีกันบ้าง และอาหารขึ้นชื่อในตำนานของอิตาลีก็หนีไม่พ้นเมนูพาสต้าต่าง ๆ ค่ะ ที่นี่ถือว่าเป็นแห่งพาสต้าแบบออริจินอลเลย นอกจากเส้นพาสต้ากว่าร้อยแบบที่เรียงเป็นภูเขาให้คุณได้เลือกแล้วซอสที่ทานคู่กันก็ยังมีอีกมากมายอีกด้วย มีตั้งแต่ซอสครีมที่ใครหลายคนชื่นชอบ, ซอสเพสโตสำหรับสายคลีน หรือทีเด็ดที่เราตามหาก็คือซอสโบลองเนสค่ะ สำหรับซอสโบลองเนส (ragù alla bolognese) ได้เกิดขึ้นที่เมืองโบลองญาในประเทศอิตาลี (5,6) ซึ่งชื่อของซอสหรืออาหารหลาย ๆ เมนูของอิตาลีมักจะตั้งตามชื่อเมืองนั้น ๆ ค่ะ ตัวซอสจะมีความเข้มข้น เนื้อหนักเพราะจัดเต็มทั้งเนื้อวัวสับและเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอม ซอสจะมีสีแดงเข้มและเต็มไปด้วยเนื้อเน้น ๆ และซอสชนิดนี้มักจะเสิร์ฟพร้อมกับเส้นสปาเกตตี้หรือเส้นตัลยาเตลเล (Tagliatelle) เพื่อน ๆ สามารถดูวัตถุดิบและวิธีการทำสปาเกตตี้ซอสโบลองเนสได้ที่ เมนูสปาเกตตี้: ซอสโบลองเนส
6. บีฟ สโตรกานอฟ – ประเทศรัสเซีย 🇷🇺

เมนูนี้ถือกำเนิดขึ้นในกลางศตวรรษที่ 19 ในประเทศรัสเซียค่ะ เดิมทีเมนูนี้เป็นอาหารที่คิดค้นขึ้นโดยเชฟชาวฝรั่งเศสที่ทำอาหารให้กับตระกูลสโตรกานอฟที่มีอิทธิพลมาก ๆ ในตอนนั้น หลายคนคงจะคิดว่าในเมื่อเชฟฝรั่งเศสเป็นคนทำ งั้นเมนูนี้ก็ต้องเป็นอาหารฝรั่งเศสสิ แน่นอนว่ามันคงจะเป็นแบบนั้นถ้าไม่มีการศึกษาค้นคว้าแล้วพบว่าแท้จริงแล้วเมนูนี้อาจจะดัดแปลงมาจากอาหารรัสเซียเก่าแก่อีกทีหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการถกเถียงกันเรื่อยมาในส่วนของชื่อเมนูค่ะ สูตรดั้งเดิมของบีฟ สโตรกานอฟจะมีเพียงเกลือ, เครื่องเทศ, เนย, มัสตาร์ต, น้ำซุป, ซาวร์ครีม และเนื้อวัวหั่นเต๋าเท่านั้น แต่เวลาผ่านมานานนับร้อยปี วิธีการทำเมนูนี้ก็แพร่กระจายออกไปเรื่อย ๆ และมีการปรับเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบที่สามารถหาได้และปรุงให้มีรสชาติถูกปากคนในยุคนั้น ๆ มากขึ้นค่ะ และวันนี้เราจะทำบีฟ สโตรกานอฟ (Beef Stroganoff) สูตรในปีค.ศ. 1909 (7) ที่มีการเพิ่มเติมหอมใหญ่และซอสมะเขือเทศเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติ โดยเมนูนี้มักจะเสิร์ฟพร้อมกับข้าว, พาสต้า หรือมันบดก็ได้
วัตถุดิบบีฟ สโตรกานอฟ
- เนื้อวัวส่วนสันใน
- หอมใหญ่
- กระเทียม
- เห็ดแชมปิญอง
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- ซอสมะเขือเทศเข้มข้น
- แป้งสาลี
- เนย
- ซาวร์ครีม
- ซุปกระดูกวัว
วิธีทำบีฟ สโตรกานอฟ
นำเนื้อมาล้างให้สะอาดก่อนค่ะ จากนั้นเราจะซับเนื้อให้แห้งแล้วหั่นเนื้อออกเป็นชิ้นบาง ไม่หนามากจะได้นุ่มและทานง่าย ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยเล็กน้อย หันมาซอยหอมใหญ่ เห็ดแชมปิญอง และสับกระเทียมให้ละเอียดเตรียมไว้ เมื่อเนื้อพร้อมแล้วเราจะตั้งกระทะ เปิดไฟแรงแล้วใส่เนยลงไปพอประมาณ เนยละลายดีแล้วนำเนื้อลงไปผัดจนสุกได้ที่ ตักเนื้อออกมาพักไว้แล้วปรับเป็นไฟกลาง ใส่เนยลงไปอีกเล็กน้อยแล้วนำหอมใหญ่, กระเทียม และเห็ดลงไปผัดจนหอมใหญ่สุกใสและมีสีน้ำตาลอ่อน ๆ หรี่ไฟอ่อน ๆ พักไว้
หยิบหม้อเล็ก ๆ ขึ้นมาอีกหนึ่งใบ น้ำขึ้นตั้งไฟกลาง ใส่ซาวร์ครีมลงไปอุ่นให้ร้อน ตามด้วยเนยและแป้งสาลี ผัดทุกอย่างให้เข้ากันแล้วใส่ซอสมะเขือเทศตามลงไป ถ้าครีมที่ได้มีลักษณะข้นมากจนเกินไปสามารถเติมน้ำซุปได้อีกเล็กน้อย ระวังไม่ให้ส่วนผสมในหม้อเดือดนะคะ หลังจากครีมในหม้อเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมส้มอ่อน ๆ แล้วนำมาเทลงในกระทะผัดหอมใหญ่ ตามด้วยเนื้อที่ผัดไว้ก่อนหน้า ปรับเป็นไฟกลางแล้วผัดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันแต่ระวังไม่ให้ซอสเดือด ซอสของเราร้อนและเข้ากันได้ที่แล้วตักใส่ภาชนะและเสิร์ฟตอนที่ยังร้อน ๆ ได้เลยค่ะ
7. กูลาช – ประเทศฮังการี 🇭🇺

สำหรับอาหารฮังการีอาจจะมีหลายคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่เพราะมักจะเน้นทานอาหารอิตาลีหรือฝรั่งเศสกันมากกว่า แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบรสชาติเผ็ดร้อนแล้วไม่ควรพลาดซุปกูลาชเลยค่ะ เพราะเมนูนี้มีสีสันจัดจ้านและมีรสชาติเผ็ดจากพริกปาปริกาและพริกคาเยนเพื่อช่วยคลายหนาว เดิมทีคำว่ากูลาช (gulyás) แปลว่าคนเลี้ยงวัวหรือคาวบอย ต่อมาคำนี้ก็มีความหมายรวมไปถึงเนื้อวัวด้วย (8) ซึ่งเมนูกูลาชก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่นิยมทานกันในหมู่คาวบอยเนื่องจากมีส่วนผสมหลักเป็นเนื้อวัวและนำมาต้มกับผักต่าง ๆ เพิ่มรสชาติให้เข้มข้นจัดจ้านขึ้นค่ะ และเครื่องเทศสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับอาหารฮังกาเรียนเลยก็คือพริกปาปริกาที่เข้ากันได้ดีกับทุกเมนูและเป็นที่ชื่นชอบของชาวฮังกาเรียนมาก ๆ เลย เนื่องจากกูลาชเป็นเมนูที่ทำง่ายและใช้วัตถุดิบพื้นฐานที่หาได้ไม่ยากทำให้เมนูนี้แพร่หลายออกไปในหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอัลบาเนีย, อลาสกา, ออสเตรีย, โครเอเชีย, เนเธอร์แลนด์, เยอรมัน หรืออิตาลีก็มีค่ะ
วัตถุดิบกูลาช
- เนื้อวัว
- กระเทียม
- หอมใหญ่
- แครอท
- เซเลอรี
- พริกหยวก
- พริกคาเยนป่น
- ใบกระวาน
- ไธม์อบแห้ง
- เมล็ดผักชี
- ปาปริกา
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- ซอสมะเขือเทศเข้มข้น
- น้ำมันหมู
- ซุปกระดูกวัว
วิธีทำกูลาช
ขั้นตอนแรกเราจะนำเนื้อสัตว์และผักมาหั่นก่อนค่ะ เริ่มจากล้างทำความสะอาดทั้งเนื้อสัตว์และผักให้เรียบร้อย ซับเนื้อให้แห้งด้วยกระดาษอเนกประสงค์แล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเต๋าขนาดตามต้องการ ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยป่น ตามด้วยหอมใหญ่, กระเทียม, แครอท, เซเลอรี และพริกหยวก สำหรับหอมใหญ่จะใส่เยอะพอ ๆ กับปริมาณของเนื้อวัวเพราะต้องการความหวานและหอมใหญ่จะช่วยให้เนื้อเปื่อยนุ่มเร็วขึ้นค่ะ
ตั้งหม้อใบใหญ่บนเตา เปิดไฟกลางค่อนแรง ใส่น้ำมันหมันหมูลงไปเล็กน้อยแล้วนำเนื้อลงไปทอดจนผิวด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งทั้งชิ้น จากนั้นตักออกมาพักไว้ก่อน เติมน้ำมันหมูลงไปอีกนิดแล้วนำแครอทและหอมใหญ่ลงไปผัดจนหอมใหญ่สุกนิ่มและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วตักออกมาพักไว้ คราวนี้เราจะนำเครื่องเทศทั้งหมด ได้แก่เมล็ดผักชี, ไธม์, พริกคาเยน, ปาปริกา, ใบกระวาน และเกลือเล็กน้อยลงไปผัดจนสุกหอม เติมซอสมะเขือเทศและน้ำซุปเล็กน้อย ผัดจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันแล้วนำเนื้อวัว, หอมใหญ่และแครอทผัด, พริกหยวก และเซเลอรีตามลงไป ผัดให้ส่วนผสมในหม้อเข้ากันก่อนแล้วเติมน้ำซุปลงไปให้พอท่วมส่วนผสม ปรับเตาเป็นไฟอ่อนแล้วเคี่ยวส่วนผสมทั้งหมดไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือจะใช้เป็นหม้อตุ๋นไฟฟ้าอัดแรงดันก็ได้ค่ะจะประหยัดเวลามากกว่า
หลังจากเคี่ยวส่วนผสมในหม้อจนเนื้อเปื่อยนุ่มดีแล้วซุปในหม้อจะข้นขึ้น มีสีออกแดงเข้ม และมีกลิ่นหอมเครื่องเทศ เมื่อจะรับประทานให้ตักซุปใส่ถ้วยแล้วเสิร์ฟพร้อมข้าวหรือราดลงบนเส้นพาสต้าแล้วทานขณะที่ซุปกำลังร้อน ๆ จะได้รสชาติและอร่อยกว่าปล่อยทิ้งให้เย็น ส่วนซุปที่ทานไม่หมดสามารถนำกลับมาเคี่ยวและทานในมื้อถัดไปได้
8. บีฟเวลลิงตัน – ประเทศอังกฤษ 🏴

Beef Wellington เมนูอาหารที่คนอังกฤษชอบทำกินที่บ้าน คุณเองก็สามารถทำเมนูปราบเซียนอย่างบีฟเวลลิงตันได้เองที่บ้านเช่นกัน โดยบีฟเวลลิงตันเป็นเมนูของชาวอังกฤษที่ว่ากันว่าเมนูนี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของ ดยุกอาเธอร์ วิลสลีย์ ที่สามารถเอาชนะนโปเลียนแห่งฝรั่งเศสได้ในยุทธการวอเตอร์ลูและขึ้นเป็นดยุกที่ 1 แห่งเวลลิงตัน (9,10) สำหรับเมนูนี้จะเป็นการนำเนื้อสเต๊กมาย่างจนหอมและนำมาห่อด้วยเห็ดผัด, ไขมันเช่นฟัวส์กราหรือแฮม และปิดท้ายด้วยแป้งพัฟฟ์ หลังจากนำเข้าเตาอบเป็นเวลา 30 นาทีแป้งพัฟฟ์จะกรอบขึ้น เมื่อหั่นลงไปจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มของเนื้อที่ยังคงความเป็น midium-rare ไว้เป็นอย่างดี ตัวเนื้อสีชมพูฉ่ำและมีรสหวานธรรมชาติของเนื้อเข้ากันได้ดีกับซอสไวน์แดงที่ถูกเคี่ยวมาเป็นอย่างดี เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับมื้อเย็นที่ทานกันเป็นครอบครัวเพราะบีฟเวลลิงตันหนึ่งชิ้นสามารถแบ่งทานได้ทั้งครอบครัวเลยค่ะ
วัตถุดิบบีฟเวลลิงตัน
- เนื้อวัวส่วนสันใน
- พาร์มาแฮม
- ไข่ไก่
- กระเทียม
- เห็ดแชมปิญอง
- อิงลิชมัสตาร์ต
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- แป้งพัฟฟ์สำเร็จรูป
- น้ำมันมะกอก
วิธีทำบีฟเวลลิงตัน
ก่อนอื่นเราจะนำเนื้อออกมาพักในอุณหภูมิห้องประมาณ 5 นาทีค่ะ จากนั้นนำเนื้อมาซับน้ำให้แห้ง ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยให้ทั่ว ตั้งกระทะแล้วเปิดไฟแรงให้ร้อนจัด ใส่น้ำมันลงไปให้พอเคลือบหน้ากระทะ น้ำมันร้อนได้ที่แล้ววางเนื้อลงไปให้มีเสียงดังฉู่ฉ่า เอียงกระทะเล็กน้อยแล้วนาบเนื้อกับขอบกระทะเพื่อให้เนื้อสุกสวยเร็วขึ้น พลิกกลับไปมาให้ผิวด้านนอกเป็นสีน้ำตาลแต่ด้านในยังคงมีสีแดงอยู่ อย่าลืมนำส่วนหัวและท้ายนาบกะทะด้วยนะคะ จากนั้นปิดเตา นำเนื้ออกมาพักในจานแล้วรีบนำมัสตาร์ตมาทาบาง ๆ ให้ทั่วชิ้นเนื้อด้วยความรวดเร็ว ความร้อนจะช่วยให้เนื้อดูดซับมัสตาร์ตได้ดีขึ้น
พักเนื้อไว้แล้วหันมาหั่นเห็ดออกเป็นชิ้นแล้วนำลงโถปั่น สับกระเทียมตามลงไปอีกประมาณหนึ่งกลีบ ปรุงรสชาติด้วยเกลือและพริกไทยเล็กน้อยแล้วปั่นจนเห็ดเนียนละเอียด นำออกมาผัดจนเห็ดมีสีเข้มและแห้งขึ้น ตักออกมาพักใส่จานแล้วเกลี่ยให้เรียบเสมอกันเพื่อไล่ความร้อน
มาถึงขั้นตอนสำคัญกันแล้วค่ะ เราจะปูพื้นด้วยพลาสติกห่ออาหารก่อน จากนั้นค่อยวางแฮมเรียงลงไปให้ซ้อนทับกันนิดหน่อย พยายามวางแฮมให้เป็นระยะสวยเท่ากันนะคะ วางลงไปจนแน่ใจว่าแผ่นแฮมมีขนาดใหญ่กว่าเนื้อ จากนั้นตักเห็ดผัดวางลงไปแล้วเกลี่ยให้เป็นแผ่นบางเสมอกันจนทั่วแผ่นแฮม หยิบชิ้นเนื้อมาวางลงบนเห็ดบริเวณค่อนมาทางใกล้ลำตัวเล็กน้อย จับแผ่นพลาสติกยกขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ม้วนไปข้างหน้าช้า ๆ กดให้แฮมติดกับชิ้นเนื้อ ม้วนจนแน่ใจว่าแฮมคลุมชิ้นเนื้อจนมิดแล้วกดและม้วนแผ่นพลาสติกให้แน่นเพื่อล็อกให้เนื้อคงรูป บีบเบา ๆ จากบริเวณกลางชิ้นเนื้อมาจนถึงขอบแล้วม้วนพลาสติกให้แน่น นำเข้าตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง

ครบหนึ่งชั่วโมงแล้วเราจะนำแผ่นแป้งมารีดให้บางลงจนแน่ใจว่ามีขนาดใหญ่กว่าเนื้อ จากนั้นปูพื้นด้วยพลาสติกอีกครั้ง วางแผ่นแป้งลงไป นำเนื้อออกจากตู้เย็นแล้วนำพลาสติกออกให้เรียบร้อย จากนั้นวางลงไปบนแผ่นแป้งแล้วม้วนแป้งให้คลุมเนื้อจนมิด ตัดแป้งส่วนที่เหลือออก กดให้แน่นแล้วบีบแป้งบริเวณหัวและท้ายให้ติดกันคลุมพลาสติกแล้วม้วนให้แน่นเพื่อล็อกให้แป้งเป็นทรงสวยงาม นำเข้าตู้เย็นอีกประมาณ 10 นาที เมื่อครบ 10 นาทีแล้ววอร์มเตาอบให้พร้อม นำเนื้อออกมาแกะเอาพลาสติกออก ตอกไข่แล้วแยกเอาเฉพาะไข่แดงมาทาให้ทั่วแผ่นแป้ง วางบนถาดรองอบ ใช้สันมีดกดแผ่นแป้งเบา ๆ ให้เป็นลวดลายตามชอบแล้วนำเข้าเตาอบอุณหภูมิประมาณ 200 องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 35 นาทีค่ะ ครบเวลาแล้วนำเนื้อออกมาพักอีก 10 นาทีแล้วหั่นเสิร์ฟได้เลย
9. ชีสเบอร์เกอร์ – ประเทศสหรัฐอเมริกา 🇺🇸

เขยิบมาอีกนิดก็จะถึงเมืองใหญ่ในฝันอย่างสหรัฐอเมริกาแล้วค่ะ และเมนูสตรีทฟู้ดฉบับวัยรุ่นเมกาก็คือชีสเบอร์เกอร์จ้า เบอร์เกอร์นี่เรียกว่าเป็นเมนูยอดฮิตที่หาทานได้ง่ายทุกหัวมุมถนนไม่ต่างจากร้านชาเย็นบ้านเราสักเท่าไหร่ และด้วยความที่อเมริกาเป็นเมืองใหญ่ที่ผู้คนค่อนข้างจะใช้ชีวิตกันแบบเร่งรีบทำให้อาหารฟาสต์ฟู้ดกลายเป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ เพราะทานง่าย ใช้เวลาน้อย และราคาเป็นมิตรสุด ๆ สำหรับเมนูชีสเบอร์เกอร์นี่ก็มีมาค่อนข้างยาวนานตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เลยค่ะ ส่วนสูตรออริจินัลนี่ขอบอกว่าหายากมากเพราะต่างคนต่างก็ขิงกันว่าตระกูลฉันนี่แหละที่เป็นคนคิดค้นเอาชีสมาแปะลงบนก้อนเนื้อแล้วนำไปวางบนขนมปังอีกที ถกเถียงกันไปกันมาจนหาหลักฐานที่แน่ชัดไม่ได้ ดังนั้นหลาย ๆ ร้านจึงหันไปหาลูกเล่นและกิมมิคเด่น ๆ ให้กับร้านตัวเองเพื่อเรียกลูกค้า สูตรในการทำชีสเบอร์เกอร์จึงมีมากมายหลายสูตรเลยค่ะ บางสูตรก็จะมีแค่ขนมปัง เนื้อ และชีส เรียกว่าชีสเบอร์เกอร์ล้วน ๆ ไม่มีผักผสมเลยทีเดียว หรือบางร้านก็จะมีแตงกวาดองเอย ผักคอสเอย ผักกาดเอย นำมาทานคู่กับตัวเบอร์เกอร์เพื่อตัดเลี่ยน หรือบางร้านเล่นให้จัดหนักจัดเต็มมาพร้อมเฟรนช์ฟรายส์และของทอดจนแทบจะล้นโต๊ะก็มีค่ะ
วัตถุดิบชีสเบอร์เกอร์
- เนื้อวัวบดติดมัน
- หอมใหญ่
- มะเขือเทศ
- ผักกาดแก้ว
- แตงกวาดอง
- อเมริกันชีส
- เนยจืด
- ซอสมะเขือเทศ
- มัสตาร์ต
- มายองเนส
- ขนมปังเบอร์เกอร์
วิธีทำชีสเบอร์เกอร์
ก่อนอื่นมาเตรียมเนื้อกันก่อนค่ะ สำหรับชีสเบอร์เกอร์เราจะใช้เนื้อวัวติดมันที่ให้ทั้งเนื้อสัมผัสแน่น ๆ และมีกลิ่นหอมมันเนื้อแทรกออกมาช่วยให้รสชาติของเบอร์เกอร์อร่อยยิ่งขึ้น เราจะแช่เนื้อให้เย็นจัดก่อน จากนั้นนำออกจากตู้เย็นแล้วนวดเนื้อเล็กน้อยค่ะ ใช้มือจุ่มน้ำเล็กน้อยแล้วหยิบเนื้อขึ้นมาเพื่อปั้นเป็นก้อนกลมขนาดตามต้องการ กะให้แผ่ออกมาแล้วมีขนาดเท่า ๆ กับก้อนขนมปังจะสวยค่ะ จากนั้นปั้นเนื้อเป็นก้อนกลม กดให้เรียบแนบเล็กน้อยแล้ววางลงบนกระดาษไขเพื่อกันไม่ให้เนื้อติดภาชนะ ใช้นิ้วกดด้านบนเล็กน้อยให้เป็นรอยบุ๋ม จากนั้นนำเนื้อกลับไปแช่เย็นทันทีเลยค่ะ
ต่อมาเราจะล้างทำความสะอาดผักทั้งหมด จากนั้นหยิบผักกาดแก้วออกมาซอย ตามด้วยหั่นมะเขือเทศ, หอมใหญ่ และแตงกวาดองเป็นแว่นเตรียมไว้ สำหรับผักเราจะนำไปแช่เย็นให้กรอบค่ะ จึงหันมาเตรียมกระทะให้ร้อน ทาเนยบาง ๆ ให้ทั่วกระทะแล้วนำเนื้อที่ปั้นไว้ลงทอด เอาด้านบุ๋มลงก่อนนะคะ นำเนื้อลงไปแล้วปรุงรสชาติด้วยเกลือและพริกไทยป่นเล็กน้อยแล้วใช้หลังตะหลิวกดให้เนื้อแบนลงอีกเล็กน้อย เนื้อสุกจนพอใจแล้วพลิกกลับด้านและวางชีสลงไปด้านบน ตอนนี้เราจะแบ่งครึ่งขนมปังตามแนวขวางแล้วทาเนยลงไปให้ทั่ว นำขนมปังลงไปจี่กับกระทะเดียวกันจนร้อนและผิวสุกกรอบขึ้น พลิกกลับด้านเพื่อจี่ต่ออีกนิด นำขนมปังออกมาทาซอสมะเขือเทศและมัสตาร์ต ตามด้วยหอมใหญ่และแตงกวาดอง นำเนื้อที่สุกแล้ววางทับลงไป ตามด้วยมะเขือเทศและผักกาดแก้ว นำขนมปังอีกหนึ่งแผ่นมาทามายองเนสลงไปตามชอบแล้วประกบลงไปปิดท้าย พร้อมเสิร์ฟ
10. ทาโก้ – ประเทศเม็กซิโก 🇲🇽

ปิดท้ายเมนูเนื้อด้วยการย้ายมาทานอาหารขึ้นชื่อจากประเทศเม็กซิโกกันดีกว่าค่ะ และเมนูเด็ดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมไปทั่วโลกก็คือทาโก้ (Taco) นั่นเอง ทาโก้เป็นอาหารสตรีทฟู้ดเม็กซิโกที่จะใช้แป้งตอร์ติญญาที่เป็นแผ่นแป้งคล้าย ๆ กับแป้งโรตี ทำมาจากแป้งข้าวโพดหรือแป้งสาลีก็ได้ค่ะ จากนั้นนำแป้งมาห่อเนื้อที่หมักแล้วย่างจนสุกในระดับมีเดียมแรร์ (Medium Rare) และซอสต่าง ๆ ที่มีรสชาติเข้มข้น ในส่วนของต้นกำเนิดหรือทาโก้สูตรดั้งเดิมจะมีหลักฐานไม่ค่อยแน่ชัดสักเท่าไหร่เนื่องจากครั้งหนึ่งเม็กซิโกเคยเป็นเมืองขึ้นของสเปน ดังนั้นอาหารหลาย ๆ ชนิดของทั้งสองประเทศจะมีความคล้ายคลึงกันค่ะ แต่ก็มีการกล่าวว่าจริง ๆ แล้วทาโก้เกิดขึ้นในเม็กซิโกก่อนที่จะมีการมาถึงของสเปนเสียอีกค่ะ (11) ถึงจะไม่รู้ที่มาอย่างแน่ชัดแต่ที่รู้กันแน่ ๆ ก็คือทาโก้เป็นเมนูที่ชาวเม็กซิกันชื่นชอบเป็นอย่างมากและหากคุณเดินทางไปเยือนเม็กซิโกแล้วคุณจะสามารถพบเจอกับร้านขายทาโก้แทบจะทุกมุมถนนและมีให้เลือกกว่าสิบรสชาติเลยทีเดียว
วัตถุดิบทาโก้
- เนื้อวัวส่วนกระบังลม
- แป้งตอร์ติญญา
- ผักชี
- กระเทียม
- มะนาว
- เลมอน
- อะโวคาโด
- ซาวร์ครีม
- ผงยี่หร่า
- น้ำตาล
- เกลือ
- พริกไทยดำป่น
- น้ำมันมะกอก
- ซอสโชยุ
วิธีทำทาโก้
เราจะนำเนื้อกะบังลมหรือ beef skirt มาซับเอาน้ำออกให้แห้งก่อนนะคะ ถ้าเนื้อมีพังผืดติดอยู่เยอะเราก็จะต้องลอกเอาพังผืดออกด้วยเพราะส่วนนี้จะเป็นตัวทำให้เนื้อเหนียวค่ะ จากนั้นเราจะหันมาเตรียมหมักเนื้อโดยการสับผักชีและกระเทียมหยาบ ๆ แล้วนำมาผสมกับน้ำและผิวมะนาว เพิ่มรสชาติด้วยน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย ใส่ผงยี่หร่าลงไปอีกนิด จากนั้นใส่น้ำมันมะกอกและโชยุตามลงไป ผามให้เข้ากันแล้วนำเนื้อลงหมัก นวดเนื้อให้ทั่วแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีค่ะ
เนื้อใกล้เสร็จแล้วเราจะมาทำซอสกันต่อค่ะ วันนี้เราจะทานทาโก้กับซอสกัวคาโมเล (Guacamole) เริ่มจากผ่าครึ่งอะโวคาโดแล้วตักเอาเฉพาะเนื้ออะโวคาโดใส่ภาชนะ จากนั้นสับหอมใหญ่ตามลงไป ตามด้วยซาวร์ครีมอีกประมาณหนึ่งช้อนแล้วคนให้เข้ากัน ใส่เกลือตามลงไปอีกนิด ขูดผิวและบีบน้ำเลมอนตามลงไปอีกหน่อย คนให้เข้ากันอีกนิดแล้วพักไว้ค่ะ
ครบเวลาแล้วเราจะนำเนื้อออกมาย่างไฟกลางค่อนแรงจนเนื้อสุกและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเกรียม ๆ นิดหน่อย ย่างจนสีเสมอกันทั้งสองด้านแล้วนำเนื้อลงมาพักไว้ประมาณ 6 – 7 นาทีเพื่อความจุ๊ยซี่ฉ่ำ ๆ ระหว่างรอเราจะนำแป้งตอร์ติญญามาจี่ให้ร้อนและมีสัมผัสกรอบขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นหั่นเนื้อเป็นชิ้นรอไว้ ตักกัวคาโมเลหยอดลงไป ตามด้วยเนื้อ ซาวร์ครีม และโรยเกลือพริกไทยตามลงไปอีกนิด พร้อมรับประทานค่ะ
และนี่ก็คือ 10 เมนูจากเนื้อวัวที่ส่งตรงมาจากหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก เป็นอย่างไรบ้างคะ มีเมนูไหนทำให้เพื่อน ๆ รู้สึกท้องร้องและต้องลอบกลืนน้ำลายกันบ้าง สำหรับเราแล้วทุกเมนูมีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหมดเลยค่ะ ถ้าจะให้ตัดสินเมนูเด็ดที่สุดคงจะเลือกยากเพราะทุกเมนูน่าทานไปเสียหมด โดยเฉพาะเมนูเสือร้องไห้นี่ขอบอกเลยว่าเราแอบกลืนน้ำลายไปหลายอึกเพราะแค่นึกถึงเสียงตอนที่มันเนื้อหยดกระทบไฟส่งเสียงดังซู่ซ่าพร้อมกลิ่นหอมตลบอบอวลก็แทบจะทิ้งงานผสมน้ำจิ้มแจ่วรอแล้วค่ะ หรือจะเป็นบีฟเวลลิงตันจากเกาะอังกฤษที่มีวิธีการทำพิถีพิถันให้กลิ่นอายของความประณีตและหน้าตาออกมาสวยงามสมกับเป็นเมืองผู้ดีสุด ๆ ยิ่งได้ทานกับซอสไวน์สุดเข้มข้นก็อร่อยจนแทบจะไม่อยากกลืนลงท้องเลยล่ะ ทานอาหารคาวไปเยอะแล้วต้องมีของหวานล้างปากกันสักหน่อยจะได้จบมื้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้, บราวนี่ หรือขนมไทยก็สามารถกดเข้าไปเลือกดูได้ตามลิงก์เลยค่ะ
References