หลาย ๆ คนเมื่อได้ยินคำว่า รถยุโรป ก็คงจะนึกถึงแต่รถหรู หรือรถยนต์ระดับพรีเมียม ราคาสูง ๆ ที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสุดไฮเทคทั่วทั้งคัน และมีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ดีเยี่ยม ซึ่งแน่นอนครับว่า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนคิดว่ารถหรูเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความฝัน หรือเป้าหมายในชีวิตเท่านั้น เพราะคิดว่ามันต้องแพงแน่ ๆ! แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดในปัจจุบัน มันส่งผลให้ความคิดนี้ล้าหลังไปแล้วครับ ซึ่งหากคุณลองมองไปที่รถญี่ปุ่นในยุคนี้ คุณจะเห็นว่า รถญี่ปุ่นหลาย ๆ ค่ายเริ่มมีมาตรฐานที่เทียบชั้นกับรถยุโรปได้แล้ว ดังนั้นมันจึงส่งผลให้ใน ตลาดรถยนต์ ปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงขึ้นมาก ๆ ครับ
ทำให้ในปัจจุบันนี้ เราจึงเห็นว่า รถยุโรป แบรนด์ดังระดับโลกหลาย ๆ ค่าย ไม่ว่าจะเป็น Mercedes Benz, Audi, BMW, Volvo และอีกหลาย ๆ ค่าย ต่างก็ตบเท้าส่งน้องเล็กสุดของค่ายมาต่อสู้กันในตลาดนี้ ดังนั้นในวันนี้เราขอพาทุกคนไปส่อง ตลาดรถหรู ค่ายดังจากยุโรป กันครับว่า ในงบประมาณ 2 ล้านบาท (บวกลบนิดหน่อย) นี้ จะมีรุ่นอะไร จากค่ายไหนน่าสนใจบ้าง ? หากทุกคนพร้อมแล้ว ไปดูกันครับ
รถญี่ปุ่น กับ รถยุโรป ต่างกันอย่างไร ?
เราทราบกันดีครับว่า ในอดีต รถญี่ปุ่น โดดเด่นในเรื่องของ ความคุ้มค่า และราคาที่ประหยัด เนื่องจากมีการควบคุมเกรดของวัสดุที่ใช้ รวมไปถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์ให้อยู่ในกรอบราคาที่เป็นความต้องการของตลาด ส่วน รถยุโรป นั้นก็จะโดดเด่นในเรื่องของ คุณภาพ ไล่ตั้งแต่ วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และสมรรถนะเครื่องยนต์ที่จัดเต็ม ซึ่งทำให้มันมาพร้อมราคาที่แพงมากเช่นกันครับ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ รถยุโรป ถูกมองว่า เป็นรถหรูไปโดยปริยายครับ
แต่เมื่อมี รถญี่ปุ่น บางกลุ่มเช่น รถ MPV, รถ SUV หรือรถในคลาส C-Segment และ D-Segment มีการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนอาจเทียบชั้นกับรถยุโรปบางรุ่นได้แล้ว แต่กลับมาในราคาที่ถูกกว่า แน่นอนครับว่า มันส่งผลให้ค่ายรถยุโรปอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป จึงส่งรุ่นประหยัดออกมาต่อสู้แย่งชิงในตลาดนี้ด้วย แต่เนื่องจากรถยุโรป ได้รับอานิสงส์ จากมาตรการภาษีแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญเรื่อง การปล่อยไอเสีย เป็นอย่างมาก ซึ่งดันไปตรงกับแนวทางการพัฒนาของรถยุโรป ที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้ว ส่งผลให้รถยุโรปแม้จะมีราคาถูกลง แต่มันยังสามารถคงคอนเซ็ปต์ความหรูหราและพรีเมี่ยมไว้ได้เช่นเดิมครับ
Mercedes-Benz A 200 Progressive

ราคา 1,990,000 บาท*
Mercedes-Benz ชื่อนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักครับ เพราะเป็นรถหรูที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนานหลายสิบปี โดย A 200 Progressive เป็นรถเบนซ์น้องเล็กสุด ซึ่งป้ายแดงเปิดราคาจำหน่ายไว้เพียง 1,990,000 บาท เท่านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นในระดับ Entry Level แต่ฟีเจอร์และออปชันต่าง ๆ ที่มีมาให้ บอกเลยว่าครบครันครับ โดยดีไซน์ภายนอกของ A 200 รุ่นนี้เป็นรถในพิกัด C-Segment กลุ่มเดียวกันกับเจ้า Civic, Altis และ Mazda 3 นั่นเองครับ
โดยดีไซน์ด้านหน้ามาพร้อมกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ เป็นลายเส้นสีเงินคาดตรงกลาง 1 เส้น สอดรับกับโลโก้ Mercedes-Benz หรือดาวสามแฉกขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมเซ็นเซอร์เตือนการชน ประกบคู่ด้วยไฟหน้า LED High Performance และไฟท้าย ที่ดีไซน์มาแบบเดียวกับรุ่น AMG พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวในตัว ปรับ และพับเก็บด้วยไฟฟ้า พร้อมทั้งกระจกมองข้างฝั่งผู้ขับและกระจกมองหลังมีการปรับลดแสงอัตโนมัติ สะดวกสบายด้วยกุญแจ Keyless Go และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลายแบบ 10 ก้าน ช่วยให้ดูสปอร์ตแบบเรียบหรูมาก ๆ ครับ
ส่วนภายในมาแบบสปอร์ตเรียบหรู ตัวเบาะทรงพื้นฐาน มีการหุ้มหนัง Artico ล้วน ปรับระดับด้วยไฟฟ้า (ฝั่งผู้ขับขี่) พร้อมบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง หน้าปัดเรือนไมล์ All-digital Instrument Display ขนาด 7 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต สวยงาม หน้าจอตรงกลางเป็นระบบสัมผัสขนาด MBUX ขนาด 10.25 นิ้ว สามารถรองรับได้มั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ระบบปรับอากาศ ควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ 1 โซน และระบบเชื่อมต่อ Mercedes me connect เป็นต้น ด้านระบบความปลอดภัย A 200 Progressive ก็มีมาครบครันครับ อาทิเช่น ถุงลมนิรภัย 10 ตำแหน่ง, ระบบช่วยเบรก ABA, ระบบเบรก ABS, ระบบช่วยเบรกแบบแอ็คทีฟ พร้อมฟังก์ชั่น Hold และ Hill-Start Assist, เซ็นเซอร์ช่วยจอด และทีเด็ดคือ ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist เป็นต้น
สำหรับขุมพลังของ Mercedes-Benz A 200 Progressive มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ เบนซิน ความจุ 1.3 ลิตร 4 สูบเรียง เทอร์โบ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย สามารถทำพละกำลังสูงสุดได้ถึง 163 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,620-4,000 รอบ/นาที โดยมันสามารถจะเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 8.1 วินาที เท่านั้น และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 230 กม./ชม. เลยทีเดียวครับ โดยที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 16.7-17.5 กม./ลิตร (ไม่เป็นทางการ) เท่านั้นครับ
BMW 2 Series 220i Gran Coupé Sport

ราคา 1,999,000 บาท*
มี Mercedes-Benz แล้ว ก็ต้องมี BMW ครับ ซึ่งถ้าหากพูดถึงรถยุโรปที่มีสไตล์การขับขี่ที่ดุดัน และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ก็ต้องยกให้กับ BMW ครับ รถหรูขวัญใจวัยรุ่น และวัยทำงาน โดยเจ้า 220i Gran Coupe Sport เป็นสปอร์ตซีดานคันเล็กในพิกัด C-Segment คู่แข่งโดยตรงของ Mercedes-Benz A200 นั่นแหละครับ ซึ่งราคาป้ายแดง เปิดราคาจำหน่ายไว้เพียง 1,990,000 บาท เท่ากัน
โดยดีไซน์ภายนอกมาพร้อมกับการตกแต่งแบบ Sport Line ด้วยกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ออกแบบมาให้มีมิติมากขึ้น ชุดไฟหน้าและไฟตัดหมอกคู่หน้าเป็น LED และไฟท้ายก็เป็น LED ทรงเพรียวบางตามแนวนอน เคลือบผิวหน้า High-gloss Black พร้อมทั้งเชื่อมไฟท้ายทั้งสองข้างด้วยโลโก้ของ BMW ที่อยู่ตรงกลาง มีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบกุญแจ Comfort Access พร้อมกระจกมองข้างระบบไฟฟ้า โดยจะปรับมุมต่ำอัตโนมัติ เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยกระจกประตูข้างใช้แบบไร้ขอบทั้ง 4 บาน ช่วยเสริมรูปลักษณ์ให้ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยลาย Double Spoke ขนาด 17 นิ้ว ครับ
ส่วนภายในมีการเอาใจวันรุ่นโดยเฉพาะครับ โดยตกแต่งในโทนสีดำ ใช้วัสดุ illuminated Boston ช่วยให้สัมผัสที่พรีเมี่ยม เบาะนั่งดีไซน์สปอร์ต ออกแบบมาโอบรับสรีระ หุ้มด้วยหนัง Dakota พร้อมรูระบายอากาศ โดยเบาะนั่งตอนหน้าปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบจดจำตำแหน่งฝั่งเบาะผู้ขับ แสดงผลข้อมูลด้วยชุดมาตรวัดขนาด 5.1 นิ้ว พร้อมจอทัชสกรีนสำหรับแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ BMW Live Cockpit Plus ขนาด 8.8 นิ้ว ที่ดูสปอร์ต ลงตัว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ชุดไฟแอมเบียนท์สร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังมีหลังคา Sunroof รวมไปถึงระบบช่วยเหลืออัจฉริยะต่าง ๆ เช่น ระบบถอยจอด หรือระบบถอยหลังย้อนกลับ เป็นต้น ถือเป็นรถยุโรปรุ่นเล็กที่มีความเนกประสงค์พอสมควรเลย
The new Audi Q2 35 TFSI

ราคา 1,999,000 บาท*
มาต่อกันที่ Audi Q2 รถอเนกประสงค์ SUV ไซส์เล็ก ที่มาพร้อมสมรรถนะที่ดีเยี่ยม เพื่อตอบโจทย์วัยรุ่นยุคใหม่โดยเฉพาะ ด้วยการนำภาพลักษณ์ที่หรูหรา พรีเมี่ยมตามสไตล์ Audi มาบวกกับความกะทัดรัด ช่วยให้มีความปราดปราด โฉบเฉี่ยว ขับขี่สนุก ซึ่งเหมาะมาก ๆ ครับ สำหรับใช้งานภายในเมือง และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Audi Q2 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจก็คือ ราคาเริ่มที่ถูกตั้งไว้เพียง 1.999 ล้านบาท เท่านั้นครับ
สำหรับดีไซน์ภายนอกของเจ้า Audi Q2 นั้น ต้องบอกเลยว่า โดดเด่นสะดุดตาเอามาก ๆ ครับ ด้วยไซส์ที่มินิ ลงตัวกับเส้นสายที่เฉียบคม บวกกับสีสันที่เน้นความสดใส ทำให้รุ่นนี้เหมาะกับคนรุ่นใหม่มาก ๆ ผสานเข้ากับความหรูตามสไตล์ Audi ได้อย่างลงตัว โดยกระจังหน้าทรงเหลี่ยมคม มาพร้อมสัญลักษณ์ 4 ห่วง อันเป็นเอกลักษณ์ ไฟหน้า และไฟ Daytime แบบ LED พร้อมที่ฉีดทำความสะอาดโคมไฟ ติดตั้งมาคู่กับระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ ส่วนไฟท้ายก็เป็น LED พร้อมมีไฟตัดหมอกหลังให้ด้วย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยยามค่ำคืน กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมทั้งกระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้าเช่นกัน แถมปรับลดแสงอัตโมมัติ และมีระบบไล่ฝ้าอีกด้วย
ส่วนภายในเจ้า Audi Q2 ก็จัดเต็มไม่แพ้กันครับ เน้นความพรีเมี่ยม และล้ำสมัย ผสมผสานความสปอร์ตได้อย่างลงตัว เริ่มจากเบาะนั่งคู่หน้าดีไซน์สปอร์ต หุ้มด้วยหนัง เบาะแถวสองแบบพับได้อิสระ ตกแต่งด้วยแสงไฟสีขาว Lighting Package ช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ระบบเครื่องเสียง Audi sound system พร้อมจออินโฟเทนเมนท์ตรงกลาง ขนาด 7 นิ้ว ระบบ MMI Radio plus รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมความเร็ว, ระบบกุญแจ Comfort Keyless Entry รวมไปถึงฝาท้ายที่มีระบบเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าครับ
ในด้านสมรรถนะ Audi Q2 มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ เบนซิน ขนาด 1.4 ลิตร 4 สูบแถวเรียง Direct Injection พ่วงเทอร์โบ จับคู่กับระบบเกียร์เกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 สปีด ช่วยมอบพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-3,500 รอบ/นาที สามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 8.5 วินาที โดยมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 20 กม./ลิตร ครับ
MINI Countryman Entry

เอาใจคุณผู้หญิงกันบ้างครับ กับแบรนด์รถหรูยอดนิยม ขวัญใจสาว ๆ ทุกคนอย่าง MINI ซึ่งเจ้า Countryman มาในรูปแบบรถอเนกประสงค์สุดหรู ไซส์มินิ โดยเป็นรุ่นปรับโฉมใหม่ มีการปัดแก้ม ทาปาก แต่งหน้าใหม่ พร้อมกับการออกแบบภายในที่เน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นวัยมันส์โดยเฉพาะ ซึ่งจะมีให้เลือกอยู่ 2 รุ่น ด้วยกัน โดยในรุ่น Entry เปิดราคามาเพียงแค่ 1.999 ล้านบาท เท่านั้น ส่วนรุ่น Hightrim มีราคาอยู่ที่ 2.529 ล้านบาท ครับ
ซึ่งดีไซน์ภายนอกของ MINI Countryman ได้นำเอารูปลักษณ์ที่โดดเด่น มีความโค้นมน ดูน่ารัก ของมินิเดิม มาผสมผสานเข้ากับสัดส่วนของผู้ชายที่ดูแข็งแกร่ง เน้นการผจญภัยมากขึ้น เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ทำให้มีความอเนกประสงค์ยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมชุดตกแต่ง MINI ALL4 exterior styling เสริมด้วยเส้นขอบสีดำและโครมเมี่ยมตกแต่งภายนอก สะดุดตาด้วยไฟหน้า LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ไฟตัดหมอก LED และไฟท้าย LED ดีไซน์โค้งมนสอดรับกับเส้นสายของตัวรถ ที่ประตูท้ายมีระบบเปิดปิดอัตโนมัติ Automatic Tailgate ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ไฟส่องพื้น MINI Logo หลังคาสีดำ ตัดกับราวหลังคาโครมเมี่ยมช่วยให้ดูลงตัวขึ้น และล้ออัลลอย Black Pin Spoke 18 นิ้ว พร้อมยาง Runflat Tyres ขนาด 225/50 R18
ภายในตกแต่งในสไตล์ MINI Yours Piano Black illuminated โทน Carbon Black เน้นทรงกลม ทำให้ดูเป็นรถที่มีทั้ง ความสปอร์ต และละมุนในเวลาเดียวกัน เบาะนั่งคู่หน้า ดีไซน์สปอร์ต หุ้มด้วยหนัง Leather Cross Punch Carbon Black ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง เบาะนั่งแถวสองแยกพับอิสระ เสริมคมส่วนด้วยเส้นโครเมียมตามขอบต่าง ๆ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง ตรงกลางมีจอสัมผัส ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมระบบเครื่องเสียงที่รองรับการเชื่อมต่อได้หลากหลาย และระบบชาร์จไร้สาย ชุดมาตรวัดแบบฟลูดิจิตอลที่สวยงาม พร้อม Head-up Display แสดงข้อมูลการขับขี่ มีระบบปรับอากาศ แบบอัตโนมัติ กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ และอื่น ๆ อีกมากมายครับ ซึ่งต้องบอกเลยว่าฟังก์ชันอัดแน่นจริง ๆ ครับ
Countryman ได้รับขุมพลังจาก เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร Twin Power Turbo ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ แบบคลัทช์คู่ Dual Clutch 7 สปีด มีพละกำลังสูงสุดถึง 192 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,350-4,600 รอบ/นาที เลยทีเดียวครับ โดยมันสามารถทำความเร็ว จาก 0-100 กม./ชม. ใช้ภายในเวลาเพียง 7.4 วินาที เท่านั้น และทำความเร็วสูงสุดถึง 224 กม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เฉลี่ยประมาณ 15.9 กม./ลิตร ครับ
Volvo XC40 Recharge T5 R-Design Expression

ราคา 2,090,000 บาท*
มาต่อที่รถหรูที่มาในรูปแบบ Plug-In Hybrid กันบ้างครับ สำหรับ New Volvo XC40 Recharge ยนตกรรมเอสยูวีน้องเล็กของค่ายรถยนต์จากแดนไวกิ้ง ที่จะมาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคนที่ต้องการความคุ้มค่าในรถหรู ซึ่งรุ่นนี้ในด้านดีไซน์ยังคงมาในรูปโฉมเดิมครับ แต่จะมีการปรับเสริม เติมแต่งออปชันเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น โดยมี 3 รุ่นย่อย ให้เลือกกันครับ ได้แก่ T5 R-Design Expression สนนราคาอยู่ที่ 2.09 ล้านบาท (รุ่นเริ่มต้น), T5 R-Design สนนราคา 2.39 ล้านบาท และ R5 Inscription สนนราคา 2.39 ล้านบาท
โดย Volvo XC40 Recharge T5 เป็นรถยนต์ SUV แบบปลั๊กอินไฮบริด สไตล์สแกนดิเนเวียน มาในบอดี้ที่มีขนาดกลาง เน้นการขับขี่ที่คล่องตัว ปราดเปรียว เหมาะมากกับการใช้งานในเมือง ภายนอกมาในลุคแบบผู้ใหญ่ มีความสุขุมหล่อเนี๊ยบแบบผู้ดี ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยโครเมี่ยมมันวาว แบบคลีน ๆ พร้อมไฟหน้า LED ซึ่งมีระบบปรับองศาของแสง ตามพวงมาลัย ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำ และเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ส่วนท้ายรถมาพร้อมไฟท้าย LED ทรง L Shaped ที่รับกับเส้นสายของตัวรถ หลังคาเป็นแบบ Panoramic Sunroof และเพิ่มความสะดวกสบายด้วยฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมกับ Hand-free Tailgate เปิดปิด โดยไม่ต้องใช้มือ และเพิ่มความหรูด้วยล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว แบบ 5-Spoke Black Diamond Cut
ส่วนภายในห้องโดยสารมีการตกแต่งด้วยโทนสีดำ Charcoal เสริมด้วยลาย Cutting Edge Decor ให้ความรู้สึกที่พรีเมี่ยมเหนือระดับ เบาะนั่งคู่หน้ามีการดีไซน์โอบรับสรีระได้อย่างพอดี โดยหุ้มด้วยหนัง สลับกับหนังกลับ Nuback Fine Nappa Perforated Leather เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบปรับดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง และการบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง มีระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone พร้อมระบบควบคุมคุณภาพอากาศภายในห้อง แสดงข้อมูลการขับขี่ ด้วยมาตรวัดดิจิตอล ขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว
หน้าจอสัมผัสตรงกลาง ขนาด 9 นิ้ว ที่รองรับได้ ทั้ง คำสั่งเสียง, Apple Car Play, Andriod Auto, Bluetooth และอื่น ๆ โดยใช้ระบบเสียงจาก Harman Kardon Amplifier ที่มีกำลัง 600 วัตต์ ขับด้วยลำโพง 13 จุด พร้อม SubWoofer เต็มระบบ พร้อมมอบเสียงรอบทิศทางแบบ Quantum Logic นอกจากนี้ยังมี แป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย, แท่นชาร์จมือถือไร้สายรวมไปถึงหลังคา Panoramic Sunroof ระบบไฟฟ้าอีกด้วย
Volvo XC40 Recharge T5 ได้รับขุมพลังจากระบบ Plug-in Hybrid ที่ทำงานร่วมกันระหว่าง เครื่องยนต์ เบนซิน 3 สูบเรียง ความจุ 1.5 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จ Turbocharge ส่งกำลังด้วยเกี่ยร์อัตโนมัติ คลัชต์คู่ 7 สปีด ให้พละกำลังสูงสุดถึง 180 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิด 265 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 - 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มอบกำลังสูงสุด 82 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิด 160 นิวตัน-เมตร ครับ พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน ความจุมากถึง 10.7 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
เมื่อทำงานร่วมกันเครื่องยนต์ตัวนี้ จะมีกำลังสูงสุดถึง 262 แรงม้า และทำแรงบิดได้สูงสุดถึง 425 นิวตัน-เมตร เลยทีเดียวครับซึ่งจะทำให้ Volvo XC40 Recharge T5 ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.3 วินาที เท่านั้น และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 180 กม./ชม โดยทาง Volvo เครมว่า หากใช้งานระบบไฟฟ้าล้วน จะสามารถเดินทางได้ระยะทาง ประมาณ 44 กม. และถ้าหากมีการทำงานร่วมกัน อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจะเฉลี่ยอยู่ที่ 43.5 กม./ลิตร ครับ ซึ่งถือว่าประหยัดมาก ๆ
Mercedes-Benz GLA 200 Progressive

ราคา 2,199,000 บาท*
หลังจากที่ GLA 200 AMG Dynamic ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดี และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทาง Mercedes-Benz ก็ได้รุกตลาดนี้อย่างต่อเนื่องครับ โดยการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ด้วยรุ่นย่อยตัวใหม่ อย่างเจ้า GLA 200 Progressive ที่เป็นยนตรกรรมคอมแพ็คเอสยูวีรุ่นเริ่มต้น เล็กที่สุดในตระกูล GLA ในปัจจุบัน ได้รับการดีไซน์ออกแบบมาให้มีความอเนกประสงค์ที่สุด บนบอดี้ขนาดคอมแพ็ค เพื่อให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคปัจจุบันที่สุดครับ โดยได้มีการลดทอนออพชั่นบางรายการทิ้งไป เพื่อทำราคาให้ถูกลง ทำให้ GLA 200 Progressive สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.199 ล้านบาท เท่านั้น หั่นราคาลงจาก GLA 200 AMG Dynamic กว่า 2 แสนบาท
สำหรับดีไซน์ภายนอกของเจ้า GLA 200 Progressive มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Diamond Radiator Grille ดีไซน์โค้งมน ตรงกลางมีเส้นเดี่ยวแนวนอนและลากเชื่อมต่อกับโลโก้ของ Mercedes-Benz ขนาดใหญ่ ใช้ไฟหน้า LED High Performance มาพร้อมไฟ Daytime Running Lights แบบ LED บนโคมดีไซน์เฉียบคม สะท้อนภาพลักษณ์ของความเป็นเมอร์เซเดสเบนซ์ได้อย่างชัดเจน มีการเสริมด้วยชุดแต่งรอบคันแบบ Progressive ทั้งกันชนหน้าและหลัง พร้อมราวหลังคา และปลายท่อไอเสียคู่ แบบโครเมียม ช่วยเพิ่มความเป็น Crossover อย่างเต็มตัว และมีการเพิ่มความสปอร์ตให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยล้ออัลลอย ลาย 5 ก้านคู่ ขนาดใหญ่ถึง 18 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารของ GLA 200 Progressive มาพร้อมกับเบาะนั่งคู่หน้าแบบ Comfort Seats ปรับระดับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งฝั่งผู้ขับ หุ้มด้วยหนัง ARTICO สีดำ มีการเดินตะเข็บด้วยด้ายสีเงิน ซึ่งเข้ากันกับการตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยลวดลาย 3 มิติ แบบ H60 Spiral-Look Trim elements พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ Sport Steering Wheel หุ้มด้วยหนังอย่างดี มาตรวัด Digital ขนาด 7 นิ้ว มาคู่กับหน้าจอกลางระบบสัมผัส ขนาด 10.25 นิ้ว ที่ดูล้ำสมัย ด้วยการออกแบบทรงปีกนก ที่ทอดยาวตั้งแต่หลังพวงมาลัย ไปถึงคอนโซลกลาง ถัดลงมาเป็นส่วนของช่องลม และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากใบพัดของเครื่องบินเจ็ต ช่วยให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น นอกจากนี้พื้นที่บรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ สามารถจุสัมภาระได้ประมาณ 435-1,430 ลิตร ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิมถึง 14 ลิตร และมีกล่องเก็บสัมภาระใต้เบาะนั่งคู่หน้าให้ด้วย
GLA 200 Progressive ได้รับขุมพลังจาก เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง ความจุ 1.3 ลิตร (1,332 ซีซี.) พ่วงด้วยเทอร์โบ มอบกำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,620 - 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ Dual Clutch 7G-DCT ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งรุ่นนี้สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 8.7 วินาที เท่านั้น และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 210 กม./ชม. เลยทีเดียว และสามารถรองรับเชื้อเพลิงได้ถึง E85 ได้
BMW X1 sDrive20d xLine

ราคา 2,359,000 บาท*
BMW X1 หนึ่งในรุ่นยอดนิยมของ BMW ที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องครับ ซึ่งตัวนี้เป็นโมเดลล่าสุด ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ที่ดูสปอร์ต และล้ำสมัยยิ่งขึ้น โดย BMW X1 เป็นรถในกลุ่ม Crossover ที่เน้นคุณสมบัติในด้านการใช้งานที่หลากหลาย มีความอเนกประสงค์ ตอบโจทย์ทั้ง การขับขี่ในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเดินทางไกลออกต่างจังหวัด สำหรับ BMW X1 ถือว่าเหมาะมาก ๆ ครับ สำหรับใช้งานในครอบครัว มีให้คุณได้ทุกอรรถรส ไม่ว่าจะเป็น ความสะดวกสบาย ความอเนกประสงค์ มีพื้นที่เก็บสัมภาระรวมสูงสุดถึง 1,550 ลิตร รวมถึงความแรง และความสปอร์ต ทั้งหมดนี้สนนราคาเริ่มต้นที่ 2.359 ล้านบาท ครับ ซึ่งอาจจะเกินงบไปพอสมควร แต่ก็คุ้มค่ากับเงินที่เพิ่มไปอย่างแน่นอนครับ
ดีไซน์ภายนอกของ BMW X1 ออกแบบตามสไตล์รถ SAV ที่มีดีไซน์สปอร์ต ดูปราดเปรียว และแฝงด้วยพละกำลังที่สูง ด้านหน้าโดดเด่น ด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW ไฟหน้าดีไซน์เฉียบคม แบบ Projector LED ที่มาพร้อมระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟตัดหมอก LED และไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ ที่ช่วยให้ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมปรับมุมต่ำอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง ระบบเปิดปิดประตูท้ายรถระบบไฟฟ้า และที่โดดเด่นเลยก็คือ ล้ออัลลอยลาย Y-spoke แบบสลับสี ขนาดใหญ่ถึง 18 นิ้ว
มาต่อที่ภายในห้องโดยสารของ BMW X1 ครับ ซึ่งมาในดีไซน์ที่เน้นความเรียบง่าย แต่ดูหรูหรา และที่สำคัญมาพร้อมกับความกว้างขวาง ตกแต่งในโทนสีดำ ตัดกับเส้นขอบโครเมี่ยม และมีการเสริมด้วยไม้ลาย 'Oak grain' แบบด้าน ซึ่งให้ความรู้สึกที่พรีเมี่ยมหนือระดับครับ เบาะนั่งคู่หน้าดีไซน์สปอร์ต มีการโอบรับสรีระอย่างพอดี หุ่มด้วยหนัง Dakota ที่มีการเจาะรูระบายอากาศ ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งฝั่งผู้ขับขี่ ส่วนเบาะนั่งแถมสอง พับแยกอิสระ 40 : 20 : 40 ครับ พวงมาลัย แบบมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง พร้อม Paddle Shift ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา คอนโซลกลางมาพร้อมหน้าจอ ขนาด 10.25 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อได้หลากหลาย ใช้ระบบเสียง Hi-Fi LoudSpeaker ช่วยขับเสียงที่สมบูรณ์แบบ ปุ่มต่าง ๆ ถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวก
BMW X1 sDrive20d xLine ได้รับขุมพลังมาจาก เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง ความจุ 2.0 ลิตร เสริมสมรรถนะการขับขี่ด้วยเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ที่สามารถทำกำลังสูงสุดได้ถึง 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 - 2,500 รอบ/นาที เลยทีเดียว ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Steptronic โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 7.9 วินาที เท่านั้น และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 222 ก.ม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยสูงถึง 19.2 ก.ม./ลิตร ครับ ซึ่งถือว่าประหยัดมาก สำหรับรถที่มีพละกำลังระดับนี้
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
ข้อดี-ข้อเสีย ระหว่าง รถญี่ปุ่น กับ รถยุโรป มีอะไรบ้าง ?
หากจะถามว่าระหว่าง รถญี่ปุ่น กับ รถยุโรป ประเภทไหนดีกว่ากัน? คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีเท่ากับตัวคุณเองครับ เนื่องจากทั้งรถญี่ปุ่น และรถยุโรป มันมีดีกันคนละอย่างครับ เพราะฉะนั้นแบบไหนจะดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่ตัวคุณเป็นหลักครับ ซึ่งในปัจจุบันมีหลาย ๆ คนบอกว่า รถญี่ปุ่นดีกว่ารถยุโรปมาก ซึ่งมันก็จริงครับ ถ้าหากเราเอาตัวเงินมาเป็นตัวตั้ง แต่ถ้าหากคุณไม่สนใจตัวเงิน แต่สนใจเฉพาะสิ่งที่คุณจะได้รับ ยังไง รถยุโรป มันก็ให้ความพิเศษกับคุณได้มากกว่าหลายเท่าครับ
|
1. รถยุโรปแน่นอนครับว่า รถยุโรป เป็นเหมือนรถในฝันของทุก ๆ คน เพราะตัวรถมาจากแบรนด์ดังระดับโลก และทุก ๆ คนก็ให้การยอมรับ โดยจะมาพร้อมกับความสปอร์ตแบบพรีเมี่ยม ให้สัมผัสที่หรูหรา ทั้ง ภายนอก ภายใน รวมไปถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ และต่อไปนี้เป็นข้อดีของรถยุโรปครับ |
- เสริมภาพลักษณ์ให้เจ้าของ : เราปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า รถยุโรป คือตัวแทนของความหรูและความแพง ฉะนั้นรถยุโรปมันย่อมช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ผู้ขับขี่ดูดีมากขึ้นครับ
- ดีไซน์ที่โดดเด่น สะดุดตา : เราเชื่อว่า คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นรถหรูหรือรถสปอร์ตบนท้องถนน ทุกคนต้องหันไปมองอย่างแน่นอน ต่อให้ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เพราะเส้นสายการออกแบบของตัวรถมันโดดเด่น แปลกตากว่ารถทั่วไป นั่นเองครับ
- ภายในที่หรูหรา และพรีเมี่ยม : อย่างที่บอกครับว่า รถยุโรปจะเน้นความหรูหราและพรีเมี่ยม โดยเฉพาะในห้องโดยสาร ซึ่งรถยุโรปแทบทุกรุ่น มักจะมาพร้อมภายในที่พรีเมี่ยมมาก ๆ วัสดุต่าง ๆ ให้สัมผัสที่ดีเยี่ยม และมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่เหมือนรถญี่ปุ่น
- สมรรถนะเครื่องยนต์ที่โดดเด่น : รถยุโรปมักจะมาพร้อมกับแรงม้าที่เหนือกว่า เหมาะสำหรับสายซิ่ง ที่ต้องการความเร็วแบบเดิม ๆ จากโรงงาน
- อะไหล่ที่มีคุณภาพ : อย่างที่บอกไปในตอนต้นครับว่า รถยุโรป มักจะเน้นที่คุณภาพเป็นหลัก ทำให้มันมีความคงทนที่สูงมาก สังเกตุได้จากอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมักจะบาดเจ็บเล็กน้อย
- ระบบช่วงล่างที่โดดเด่น : แน่นอนครับ เมื่อมีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่สูงแล้ว ก็ต้องมีช่วงล่างที่แข็งแรง และแน่นหนึบด้วย ช่วยให้คุณขับสนุกมากขึ้น
- มาตรฐานการบำรุงรักษาที่สูง : เมื่อมีการบำรุงรักษาที่มีมาตรฐานสูงมาก ๆ โดยมีการเลือกใช้ น้ำมันเครื่อง ระดับท็อป น้ำมันเบรค ที่มีคุณภาพ และอื่น ๆ ซึ่งเหล่านี้ก็จะช่วยลดปัญหาจุกจิกไปได้ครับ
- สร้างมลพิษน้อย : ในปัจจุบันกฎหมายในหลายประเทศทางยุโรป ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญครับ ส่งผลให้รถที่ทำตลาดอยู่ในโซนยุโรปเป็นหลักต้องปรับตัวมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน ช่วยให้รถยุโรปรุ่นใหม่ ๆ มีการสร้างมลพิษน้อยลงมาก
โดยข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าคุณขับรถรุ่นท็อปสุด หรือขับรุ่นเล็กสุดของค่าย เพราะมันผลิตด้วยมาตรฐานระดับเดียวกัน แม้จะถูกลดสเปกวัสดุลงมา แต่มาตรฐานของค่ายก็ยังสูงอยู่ คุณภาพก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก และแน่นอนครับว่าเพื่อแลกกับข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้คุณก็จะต้องยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่ารถญี่ปุ่น ซึ่งไม่เพียงเฉพาะราคารถเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าบำรุงรักษา ค่าประกัน และค่าอื่น ๆ คุณก็จะต้องยอมจ่ายมากกว่ารถญี่ปุ่นครับ ซึ่งก็อย่างที่บอกไปครับว่าหากคุณไม่ได้สนใจตัวเงิน แต่สนใจเฉพาะสิ่งที่คุณจะได้รับจากรถที่คุณขับ รถยุโรป ก็จะให้ความพิเศษกับคุณได้มากกว่าครับ
|
2. รถญี่ปุ่นถึงแม้ว่า รถญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ วัสดุที่ใช้ คุณภาพวัสดุ และความหรูหราต่าง ๆ อาจจะยังไม่สามารถเทียบชั้นกับรถยุโรปได้โดยตรง แต่รถญี่ปุ่นก็มีข้อดีอีกมากมายมาทดแทนครับ โดยเฉพาะในเรื่องของ ราคา และต่อไปนี้ก็เป็นข้อดีที่รถญี่ปุ่นมีเหนือกว่ารถยุโรปครับ |
- รถญี่ปุ่นทีราคาประหยัด : อย่างที่บอกไปครับว่า รถญี่ปุ่นมีการควบคุมราคาโดยการลดสเปกที่ไม่จำเป็นออก และมีการลดคุณภาพวัสดุบางส่วน เพื่อคุมราคาให้อยู่ในเกณฑ์ อีกทั้งยังมีโรงงานผลิตในประเทศไทย หรือโซนเอเชียด้วย ช่วยให้ราคาลดลงไปอีก เนื่องจากไม่ต้องบวกค่าขนส่ง แถมอะไหล่ต่าง ๆ ก็หาได้ง่ายในราคาประหยัด
- มีความคุ้มค่าในระยะสั้น : หากเทียบกันระหว่างรถญี่ปุ่น กับรถยุโรป ในราคาที่เท่ากัน รถญี่ปุ่นจะคุ้มค่ากว่าอย่างชัดเจนครับ ซึ่งในงบ 2 ล้าน ถ้าเป็น รถญี่ปุ่น คุณอาจจะได้รุ่นท็อป แต่ถ้าเป็นรถยุโรป คุณอาจจะแค่รุ่นเริ่มต้นเท่านั้น ส่งผลให้รถญี่ปุ่นมีฟังก์ชันต่าง ๆ คุ้มกว่าครับ
- มีความคุ้มค่าในระยะยาว : รถญี่ปุ่น ถือเป็นรถที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มกระบะ, กระบะ 4 ประตู หรือ B-Segment เป็นต้น เพราะมีราคาประหยัดมาก ๆ ครับ และด้วยความที่เป็นรถตลาดทำให้รถญี่ปุ่นขายได้ราคาดีอีกด้วย เพราะสามารถขายได้ง่าย เนื่องจากตลาดมีความต้องการสูง
- ประหยัดน้ำมัน : รถญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะชูจุดเด่นเรื่องการประหยัดเชื่อเพลิง ต่างจากรถยุโรปที่จะชูจุดเด่นเรื่องสมรรถนะตัวรถที่สูง ซึ่งรถญี่ปุ่นมีหลาย ๆ รุ่นครับ ที่เป็นอีโค่คาร์ และไฮบริด
- มีรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัย : รถญี่ปุ่นมีดีไซน์ที่ดูทันสมัยอยู่เสมอ บางรุ่นดูสปอร์ตมากขึ้น อาทิเช่น Honda Civic, Mazda CX-30, Toyota Corolla Cross และอื่น ๆ ซึ่งถ้าเทียบกันที่การดีไซน์เพียว ๆ รถญี่ปุ่นไม่ได้ด้อยไปกว่ารถยุโรปเลยครับ
- ดูแลรักษาง่าย และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ : นี่ถือเป็นจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของรถญี่ปุ่นครับ นั่นก็คือ ศูนย์บริการที่มีมากมายทั่วประเทศ และแถมค่าบำรุงรักษาก็ยังต่ำมาก ๆ อีกด้วย
ซึ่งถึงแม้ รถจากญี่ปุ่น จะได้เปรียบในเรื่องราคา และความคุ้มค่า ทั้ง ในมุมมองของการใช้รถก็ดี หรือในมุมมองของการขายต่อ แต่ถ้าเทียบกับรถยุโรป สิ่งที่คุณจะได้คือ ความธรรมดา ครับ รถญี่ปุ่นนิสัยของรถจะใกล้เคียงกันหมด เน้นความนุ่มนวล นั่งสบาย เดินทางใกล้หรือไกลก็ไปได้หมด ภายในก็คล้าย ๆ กัน ไม่ได้หรูหราเทียบเท่ากับรถยุโรป อีกทั้งอะไหล่และวัสดุต่าง ๆ ก็อาจจะไม่ทนทานเท่ากับของรถยุโรปเช่นกันครับ ทำให้มีความจุกจิกมากกว่า
แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าคุณวางแผนไว้ว่า จะใช้งานสัก 3-4 ปี แล้วขายต่อ เพื่อซื้อคันใหม่ ยังไงเสียรถญี่ปุ่นก็ได้เปรียบในข้อนี้ครับ เพราะมันเป็นรถตลาดขายได้ง่ายกว่า ส่วนรถยุโรปที่มาพร้อมกับราคาสูง ๆ การขายย่อมยากเป็นธรรมดาราคาจึงถูกกดลงเรื่อย ๆ นั่นเองครับ ดังนั้นถ้าคุณต้องการคุณภาพที่พิเศษกว่า ภาพลักษณ์ที่ช่วยเสริมให้คุณดูดี มีระดับ พร้อมกับได้สมรรถนะเครื่องยนต์ที่ไม่มีกั๊ก รถยุโรปก็เหมาะกับคุณครับ
บทส่งท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับ รถยุโรป ในงบไม่เกิน 2 ล้านบาท (บวกลบ) ที่เราได้นำมาแนะนำในวันนี้ ซึ่งก็อย่างที่บอกไปครับว่า ถ้าหากคุณเอาเงินเป็นตัวตั้ง ยังไงรถญี่ปุ่นก็คุ้มค่ากว่าอยู่แล้ว แต่หากคุณต้องการสิ่งที่เหนือกว่าโดยไม่ได้สนใจตัวเงิน รถยุโรปก็คือ คำตอบที่ใช่สำหรับคุณครับ เพราะมันให้คุณได้ทั้ง ภาพลักษณ์ที่เหนือกว่า ด้วยดีไซน์ตัวรถที่ดูโดดเด่น ภายในที่หรูหรา สะดวกสบาย อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ที่ล้ำสมัย ให้สมรรถนะเครื่องยนต์ ที่ตอบสนองดีเยี่ยม มีกำลังสูง ตอบโจทย์ทุกการขับขี่ได้เป็นอย่างดี และสิ่งสำคัญคือ มันสามารถให้ความปลอดภัยที่เหนือกว่า ด้วยระบบอัจฉริยะมากมาย พร้อมทั้งวัสดุที่คุณภาพสูง ซึ่งมันไม่สำคัญ หากคุณอยู่ในวัยที่กำลังสร้างฐานะ สร้างธุรกิจของตัวเอง
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ :
- Mercedes-Benz : www.mercedes-benz.co.th
- BMW : www.bmw.co.th
- Audi : www.audi.co.th
- Mini : www.mini.co.th
- Volvo : www.volvocars.com