สำหรับตลาดรถยนต์ในบ้านเรานั้น ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ถ้าหากเราเทียบกับประมาณ 10 กว่าปี ก่อนหน้านี้ เนื่องจากการเข้ามาของรถยนต์อเนกประสงค์ (Crossover) ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ๆ อย่าง Honda HR-V, Mazda CX-30 หรือ Toyota Corolla Cross ที่เน้นความอเนกประสงค์ รูปลักษณ์ทรงสปอร์ต มีความคล่องตัว ซึ่งมันตอบโจทย์มาก ๆ กับไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก รวมไปถึงรถยนต์ในกลุ่ม C-segment ที่ปัจจุบันมันมีทั้งดีไซน์ที่ดูสปอร์ตมากขึ้น ภายในพรีเมียม และที่สำคัญมันคุ้มค่าคุ้มราคาอีกด้วย โดยเฉพาะรถที่เพิ่งมีการเปิดตัวออกมาสด ๆ ร้อน ๆ อย่าง All-New Honda Civic 2021 ซีวิคเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดที่หลายคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ส่งผลทำให้ รถในกลุ่ม D-segment มีความนิยมลดลงจนน่าใจหายเลยครับ
โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ในกลุ่มนี้จะมีความยาวตัวรถตั้งแต่ 4,500 มม. ถึง 5,000 มม. ซึ่งด้วยขนาดที่ใหญ่เช่นนี้นี่เอง ทำให้รถยนต์ในกลุ่มนี้มักจะมาพร้อมกับพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางและรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสปอร์ต ภายในเน้นความพรีเมียมและหรูหรา โดดเด่นเรื่องความสบายทั้งผู้โดยสารและผู้ขับขี่ ซึ่งด้วยเหตุนี้เอง บวกกับค่าตัวของมัน ส่งผลทำให้ รถในกลุ่ม D-segment ในอดีต ได้ชื่อว่าเป็น รถยนต์ระดับผู้บริหาร เลยทีเดียว
ซึ่งปัจจุบันหลาย ๆ คนอาจจะลืม รถในกลุ่ม D-segment กันไปบ้างแล้ว เนื่องจากมีรถประเภทอื่นที่ตอบโจทย์กว่า ฉะนั้นในวันนี้เราขอพาทุกคนมาส่อง ตลาดรถยนต์ D-segment ในบ้านเรากันครับ เพื่อดูกันว่า รถแต่ละรุ่นมีความหรูหราและพรีเมียมมากขนาดไหน ? ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่มีการจำหน่ายอยู่ในประเทศไทยมีการทำตลาดอยู่เพียง 2 รุ่น เท่านั้น ได้แก่ Toyota Camry และ Honda Accord เนื่องจากทาง Nissan ได้ออกประกาศยกเลิกการทำตลาด รถยนต์รุ่น Nissan Teana ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงรถยนต์ที่มีในสต๊อกเท่านั้น
1. Toyota Camry เริ่มต้น 1,455,000 บาท
Toyota Camry | ||
![]() |
รุ่น | ราคา |
---|---|---|
2.0G | 1,455,000 บาท | |
2.5G | 1,599,000 บาท | |
2.5HV | 1,649,000 บาท | |
2.5HV Premium | 1,809,000 บาท |
เรามาเริ่มกันที่ Toyota Camry (โตโยต้า คัมรี่) รถรุ่นยอดนิยมที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี สำหรับรุ่นนี้เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 แล้ว ซึ่งเป็นรถยนต์ซีดานขนาดกลางพิกัดดีเซกเมนท์ โดยโฉมนี้ได้เปิดตัวครั้งแรกในช่วงปลายปี 2018 มาในรูปลักษณ์ที่ต้องบอกเลยว่า เปลี่ยนไปจากรถรุ่นเดิมเป็นอย่างมากแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย ดูสปอร์ตและพรีเมียมกว่าเดิม ถือเป็นการเอาใจกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น โดย Toyota Camry 2021 มีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบ โดยเป็นเครื่องยนต์ปกติ 2 รุ่น ความจุ 2.0 ลิตร และความจุ 2.5 ลิตร และเครื่องยนต์ไฮบริจด์ ความจุ 2.5 ลิตร ครับ

รูปลักษณ์ภายนอก Toyota Camry มาพร้อมกับดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ตพรีเมียมเป็นอย่างมาก ภายในกว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกมีครบครัน โดดเด่นเส้นสายที่คมชัด ดูโฉบเฉี่ยว มีเสน่ห์ในทุกมิติ ตั้งแต่กระจังหน้าขนาดใหญ่ โคมไฟหน้าที่ดูเฉียบคมแบบ LED พร้อม LED Day Time Running Lights ไฟตัดหมอกด้านหน้า ไฟเลี้ยวที่กระจกข้าง รวมไปถึงไฟท้ายทั้งหมดใช้ไฟแบบ LED กระจกหน้าบังลมหน้า AC HSEA ช่วยป้องกันเสียงรบกวนและแสงแดดได้เป็นอย่างดี กระจกมองข้างไฟฟ้า แบบลดการเกาะตัวของหยดน้ำ และอื่น ๆ แล้วแต่รุ่นย่อย ซึ่งตั้งแต่หน้ารถไปจนถึงไฟท้าย ลากด้วยเส้นสายที่สอดรับกันอย่างลงตัว ทำให้มันดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้นครับ

สำหรับภายในห้องโดยสาร Toyota Camry (โตโยต้า คัมรี่) มาพร้อมกับดีไซน์ที่บ่งบอกถึงตัวตนความสปอร์ตอย่างชัดเจน แต่ยังคงไว้ซึ่งความเรียบหรู ดูดีมีระดับ และแนวคิดที่จะให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง มาพร้อมกับห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบาย เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังและวัสดุสังเคราะห์แบบต่าง ๆ ให้ความรู้สึกพรีเมียมในทุก ๆ การสัมผัส เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางและสามารถปรับดันหลังไฟฟ้าได้ที่เบาะผู้ขับขี่ พร้อมทั้งมีระบบบันทึกตำแหน่งเบาะผู้ขับขี่และตำแหน่งของกระจกมองข้างด้วย ในส่วนเบาะหลังก็มีที่วางแขน พร้อมกับที่วางแก้วน้ำ ในส่วนความบันเทิงมาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ มีช่องเชื่อมต่อ USB ที่ด้านหน้า 1 จุด และด้านหลัง 2 จุด ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาดใหญ่ ระบบเบรกมือไฟฟ้า ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย และอื่น ๆ อีกมากมายแล้วแต่รุ่นย่อย ซึ่งนี่เป็นอุปกรณ์พื้นฐานมีในทุกรุ่นย่อย เรียกได้ว่าคุ้มค่าตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นเลยทีเดียว

ในส่วนของสมรรถนะเครื่องยนต์ Toyota Camry มาพร้อมเครื่องยนต์ 3 แบบครับ โดยจะแบ่งเป็นเครื่องยนต์รุ่นเล็ก ความจุ 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ไฮบริจด์ ความจุอ 2.5 ลิตร ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
- A25A-FXS : เครื่องยนต์ 2,487 ซีซี 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D-4S แบบ VVT-iE มีอัตราส่วนกำลังอัด 14.0 ส่งกำลังด้วยเกียร์ E-CVT สามารถมอบกำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 221 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600-5,200 รอบ/นาที ทำงานคู่กับมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร ซึ่งให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 202 นิวตัน-เมตร โดยจะอยู่ในรุ่น 2.5HV Premium และ 2.5HV
- A25A-FKB : เครื่องยนต์ 2,487 ซีซี 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D-4S แบบ VVT-iE มีอัตราส่วนกำลังอัด 13.0 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มอบกำลังสูงสุด 209 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 5,000 รอบ/นาที ไม่มีมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะอยู่ในรุ่นเดียว คือ 2.5G
- 6AR-FBS : เครื่องยนต์ 1,998 ซีซี 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D-4S แบบ VVT-iW มีอัตราส่วนกำลังอัด 12.8 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มอบกำลังสูงสุด 167 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 199 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที ไม่มีมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะอยู่ในรุ่นเริ่มต้น คือ 2.0G
2. Honda Accord เริ่มต้น 1,475,000 บาท
Honda Accord | ||
![]() |
รุ่น | ราคา |
---|---|---|
turbo el | 1,475,000 บาท | |
Hybrid | 1,639,000 บาท | |
Hybrid Tech | 1,799,000 บาท |
มาต่อกันที่รถยนต์เจ้าตลาดอีกหนึ่งรุ่นสำหรับ Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) โดยรุ่นนี้ได้เดินทางมาถึงเจนเนอเรชั่น ที่ 10 แล้ว เป็นรถยนต์ซีดานขนาดใหญ่พิกัดดีเซกเมนท์รุ่นยอดนิยมที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่ง Accord ถือเป็นเป็นรถรุ่นที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด สามารถทำยอดขายสูงสุดได้เป็นประจำ ด้วยดีไซน์การออกแบบภายนอกที่ดูสปอร์ตเรียบหรู ส่วนภายในก็ดูดีมีระดับ ซึ่งมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย 2 เครื่องยนต์ ได้แก่ 1.5 Turbo EL มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร VTEC Turbo เห็นเล็ก ๆ แบบนี้ แต่ให้พละกำลังสูงถึง 190 แรงม้า เลยทีเดียว ส่วนรุ่นรอง Hybrid และรุ่นท็อปสุดเป็น Hybrid Tech ซึ่งทั้งคู่ใช้เครื่องยนต์ Hybrid ความจุ 2.0 ลิตร เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะมีพละกำลังรวมสูงสุดถึง 215 แรงม้า ถือว่ามากที่สุดในกลุ่มครับ

สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้า Honda Accord เราก็ต้องบอกเลยว่ามันมีรูปร่างหน้าตาที่ดูทันสมัยมาก ๆ มาพร้อมกับมิติตัวถังขนาดใหญ่ โดยยาว 4,894 มม. กว้าง 1,862 มม. และสูง 1,450 มม. ใช้กระจังหน้าที่ดูเรียบหรู โคมไฟหน้าแบบ Full LED ที่ดูเฉียบคม พร้อมกับเส้นไฟ Daytime Running Lights แบบ LED และไฟท้ายแบบ Full LED ทำให้ดูลงตัวมาก ๆ พร้อมระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ตัวกระจกมองข้างปรับไฟฟ้า สามารถพับเก็บอัตโนมัติ และระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ และนี่คือดีไซน์พื้นฐานที่ให้มาในทุกรุ่นย่อยครับ
โดยสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในรุ่น Accord 1.5 Turbo EL คือท่อไอเสียแบบคู่ ส่วนในรุ่น Accord Hybrid ทั้ง 2 รุ่น จะเพิ่มไฟตัดหมอกคู่หน้า LED ในส่วนของกันชนหน้าและกระจังหน้า จะมีการเว้าช่องไว้สำหรับติดตั้งกล้องส่องหน้ารถ และเรดาร์ของระบบความปลอดภัย (Honda Sensing) ช่วยให้ด้านหน้าดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น มีระบบกระจกมองข้างปรับลดอัตโนมัติ เมื่อรถถอยหลัง (ด้านซ้าย) และใช้ล้ออัลลอยลายใบพัด 5 ก้าน ขนาด 18 นิ้ว เพิ่มความสปอร์ตพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ส่วนในรุ่น Accord Hybrid Tech จะมีการเพิ่มซันรูฟกระจก ไฟส่องมือจับเปิดประตูด้านนอก และสปอยเลอร์หลังมาให้ครับ เพิ่มความสปอร์ตดุดันมากยิ่งขึ้น

มากันที่ภายในห้องโดยสารของเจ้า Honda Accord ซึ่งเน้นไปที่ความกว้างขวาง และสะดวกสบาย ผสมผสานกับความสปอร์ตได้อย่างลงตัว เบาะนั่งมีการหุ้มด้วยวัสดุหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์ที่ให้สัมผัสที่หรูหรา แทรกด้วยชุดตกแต่งภายในลายไม้ เบาะนั่งของผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มดันหลังอีก 4 ทิศทาง เพิ่มความสบายให้ผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี และเบาะนั่งของผู้โดยสารด้านข้างคนขับก็ปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับได้พร้อมพนักเท้าแขนที่ด้านหลังด้วย พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น กระจกมองหลังสามารถปรับลดแสงอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระซ้าย-ขวาและมีช่องปรับอากาศตอนหลังให้ ในด้านระบบความบันเทิงมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส 8 นิ้วแบบ Advanced Touch ซึ่งสามารถรองรับ Apple CarPlay ได้ พร้อมระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC) และอื่นๆ นี่เป็นเพียงพื้นฐานที่คุณจะได้รับใน Honda Accord ทุกรุ่นย่อย ในส่วนของระบบความปลอดภัยต้องบอกเลยว่า ทางฮอนด้าจัดเต็มมาให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น คุ้มค้าคุ้มราคาอย่างแน่นอน

ในด้านสรรถนะเครื่องยนต์ของ Honda Accord ก็จะมีให้เลือก 2 แบบ เช่นเคยครับ ซึ่งจะมีรายละเอียด ดังนี้
- เครื่องยนต์ i-MMD : เครื่องยนต์ DOHC ความจุ 1,993 ซีซี 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว i-VTEC ส่งกำลังด้วยเกียร์ E-CVT ให้พละกำลังสูงสุดที่ 145 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตร ที่ 3,500 รอบ/นาที ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 135 แรงม้า และแรงบิดถึง 315 นิวตัน-เมตร และเมื่อทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยมอบกำลังที่สูงถึง 215 แรงม้า เลยทีเดียว
- เครื่องยนต์ 1.5 VTEC TURBO HI-POWER : เครื่องยนต์ DOHC ความจุ 1,498 ซีซี 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว i-VTEC TURBO ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ CVT ซึ่งมอบพละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 243 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-5,500 รอบ/นาที
3. Nissan Teana (L33) เริ่มต้น 1,399,000 บาท

Nissan Teana | ||
![]() |
รุ่น | ราคา |
---|---|---|
2.0XE | 1,399,000 บาท | |
2.0XL | 1,426,000 บาท | |
2.0XL Navi | 1,476,000 บาท | |
2.5XV Navi | 1,674,000 บาท |
ปิดท้ายกันที่ Nissan Teana (นิสสัน เทียน่า) เจเนอเรชั่นที่ 3 (รหัส L33) ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับการดีไซน์ออกแบบมาให้ตัวรถแลดูเพรียวยาว และมีความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วยลดแรงต้านอากาศที่เกิดขึ้นในขณะขับขี่ เพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้นโดดเด่นด้วยหน้าตาที่มีเอกลักษณ์ เรียบหรู ภายในห้องโดยสารมีความกว้างขวาง ใหญ่โต พร้อมความหรูหราสะดวกสบายแบบสุด ๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ให้มาคุ้มค่าคุ้มราคามาก ๆ
แต่ นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้ประกาศ ยุติทำตลาดรถยนต์ 3 รุ่น ประกอบด้วย X-Trail, Sylphy และ Teana อย่างเป็นทางการไปแล้ว ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก ๆ เพราะ Teana รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวออกมาในชื่อ Nissan Altima (L34) ที่ต่างประเทศ จะไม่ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า Altima รุ่นใหม่นี้มีดีไซน์ที่ดูสปอร์ตและโดดเด่นมาก ๆ ซึ่งถ้าเข้ามารับรองเลยว่าตลาดรถยนต์พิกัด D-Segment ในบ้านเราคงจะสนุกมากขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน สำหรับ Nissan Teana (L33) ในปัจจุบัน จะเป็นรถที่ค้างสต๊อก ซึ่งเหลืออยู่ไม่กี่คันเท่านั้น โดยมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย 2 เครื่องยนต์ ให้เลือก เป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 136 แรงม้า และเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 173 แรงม้า ครับ

สำหรับ Nissan Teana (L33) มาในแนวคิด “Energetic Flow” ดีไซน์ที่ดูทรงพลัง สง่างาม มีกลิ่นสปอร์ตนิด ๆ ด้วยลายเส้นที่ดูพลิ้วไหว ทำให้มันดูเหมาะสมกับวันรุ่นมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต กระจังหน้าโครเมี่ยมแบบ V-Motion รูปตัววี โคมไฟหน้า Projector Lens แบบ LED ทรงบูมเมอแรงที่ดูโฉบเฉี่ยว มาคู่กับระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ มีไฟตัดหมอกคู่หน้า ส่วนไฟท้ายก็เป็นแบบ LED ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในยามค่ำคืน กระจกมองข้างระบบไฟฟ้า มีไฟเลี้ยว LED พร้อมชุดแต่งโครเมี่ยมรอบคัน และอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วแต่รุ่น ซึ่งออปชั่นที่ให้มาถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก ๆ ครับ

สำหรับภายในห้องโดยสารของ Nissan Teana ยังคงมาพร้อมกับพื้นที่กว้างขวาง มีความสปอร์ตดูพรีเมียม สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดูดีมีระดับ กว้างขวางนั่งสบาย แต่งเติมทุกดีเทลด้วยวัสดุพรีเมียม ให้สัมผัสที่พิเศษ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและมีฟังก์ชันอัจฉริยะครบครัน มีทั้ง ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์จากรีโมท Engine Remote Start ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่สตาร์ทรถรอเอาไว้ได้ เพื่อเปิดระบบปรับอากาศ โดยประตูรถยังล็อคอยู่ เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำตกแต่งเป็นอย่างดี ฝั่งเบาะผู้ขับขี่ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง มีปรับดันหลังด้วย พร้อมตั้งบันทึกตำแหน่งที่นั่งผู้ขับขี่ ตัวเบาะผู้ขับขี่มีการเลื่อนอัตโนมัติเพื่อการเข้าออกที่ง่ายขึ้น เบาะผู้โดยสารที่อยู่ด้านข้างผู้ขับขี่ก็สามารถปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง ใช้หน้าจอแสดงข้อมูล (MID) แบบสี 3 มิติที่มันดูสวยงาม บอกข้อมูลครบ กระจกมองหลังปรับลดแสงแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา และช่องแอร์ตอนหลัง และก็มีอื่น ๆ อีกมากมาย

ในส่วนของสมรรถนะเครื่องยนต์ มีให้เลือกทั้งหมด 2 ขนาด ครับ คือ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร และนี่คือรายละเอียดของเครื่องยนต์ทั้งสองตัว ดังนี้
- 2.0 CVT รหัส MR20DE : เครื่องยนต์ DOHC 4 สูบ แถวเรียง ความจุ 1,997 ซีซี C-VTC มอบพละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT
- 2.5 CVT รหัส QR25DE : เครื่องยนต์ DOHC 4 สูบ แถวเรียง ความจุ 2,488 ซีซี C-VTC มอบพละกำลังสูงสุดถึง 173 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 234 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT
สำหรับ รถยนต์พิกัดดีเซกเมนต์ (D-Segment) จากฝั่งรถญี่ปุ่นในปี 2021 จะมีอยู่ทั้งหมด 3 รุ่น นี้ด้วยกันครับ โดยรุ่นหนึ่งในนี้อย่าง Nissan Teana ได้ประกาศยกเลิกทำการตลาดอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก เนื่องจาก Teana ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่มาในชื่อ Altima (L34) ในต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าตาที่ดูสปอร์ต เฉียบคมมาก ทำให้ ณ ปัจจุบันนี้ ตลาดรถยนต์กลุ่มพิกัด D-Segment ในบ้านเราเหลือตัวเลือกเพียง 2 รุ่น เท่านั้น ได้แก่ Toyota Camry และ Honda Accord ซึ่งเราก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า รถยนต์รุ่นอื่น ๆ อาทิเช่น Mazda 6 จะเข้ามาทำตลาดในบ้านเราหรือไม่ ? ซึ่งเราก็หวังลึก ๆ ว่า ในอนาคตจะมี รถยนต์ในพิกัดดีเซกเมนต์ เข้ามาให้มากกว่านี้ เพื่อเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ครับ ซึ่งแน่นอนครับ ถ้าหากมีการเปิดตัว รถยนต์กลุ่มพิกัด D-Segment ออกมาเมื่อไหร่ เราจะรีบนำมามาอัพเดทกันอีกครั้งนะครับ
บทส่งท้าย
ในปัจจุบันรถยนต์ถูกแยกย่อยออกเป็นหลายประเภทมาก ๆ มีทั้ง B-Segment, C-Segment อีโค่คาร์, กระบะแค็บ, กระบะดับเบิ้ลแค็บ, รถ MPV, รถครอบครัว, รถ PPV หรือรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งแน่นอนครับ รถทุกประเภทถูกออกแบบมาเพื่อให้มันตอบโจทย์การใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่งมากที่สุด ดังนั้นถ้าคุณกำลังมองหารถยนต์นั่งขนาดกลาง มาใช้ภายในครอบครัวเน้นความสะดวกสบาย ช่วงล่วงหนึบ มีความนุ่มนวล สมรรถนะเครื่องยนต์สูง เด็ก ๆ สามารถนั่งได้ ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุนั่งสบาย รถในพิกัดดีเซกเมนต์ (D-Segment) เหมาะสมที่สุดแล้วครับ
สุดท้ายนี้ไม่ว่ารถยนต์ที่คุณใช้อยู่จะใหม่หรือเก่าก็อย่าลือดูแลมันด้วยนะครับ หมั่นล้างรถ เคลือบแว็กซ์บ่อย ๆ พาไปตรวจเช็คเพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะ ตรวจสอบยางรถยนต์อยู่เป็นประจำ รวมถึงหาซื้อน้ำยาปะยางแบบฉุกเฉินมาติดรถเอาไว้ เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน เพื่อให้คุณสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย ส่วนใครที่มีรถยนต์แล้ว แต่ยังไม่มีที่จอดรถ ยังคงจะต้องจอดกลางแจ้งอยู่ คุณสามารถหาซื้อร่มรถยนต์มาใช้ก่อนได้ เพื่อเป็นการปกป้องรถของคุณจากแสงแดด ยางไม้ และสิ่งสกปรกอื่น ๆ ครับ เพื่อให้รถยนต์ของคุณสวยอยู่แบบนั้นไปนาน ๆ เวลาที่ต้องการขาย ราคาจะได้ไม่ตกลงมาเกินไป
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Honda : www.honda.co.th
- เว็บไซตอย่างเป็นทางการ Toyota : www.toyota.co.th
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Nissan : www.nissanusa.com