ปัจจุบันการเลือกซื้อ รถยนต์ สักคันนึง หลายๆ คนคงคำนึงถึงฟังก์ชันในการใช้งานกันเป็นหลัก เนื่องจากต้องการให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด ซึ่งถ้าหากเรามองหารถสำหรับครอบครัวโดยเฉพาะ เชื่อว่าหลายๆ คนต้องนึงถึง รถเอสยูวี (SUV) เป็นอันดับแรกกันอย่างแน่นอน เพราะรถเอสยูวี SUV ถือว่าเป็นรถยอดนิยมของผู้คนในยุคสมัยนี้ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ถูกออกแบบมาในลักษณะรถครอบครัวโดยเฉพาะ มีที่นั่ง 2-3 แถว ทั้งหมด 5-7 ที่นั่ง ตอบโจทย์มาก ๆ กับคนที่มีสมาชิกในครอบครัวหลายๆ คน นอกจากนี้ยังมีความอเนกประสงค์สูงมากและที่สำคัญรถ SUV รุ่นใหม่ๆ ต่างได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย เพื่อให้ตอบโจทย์ในแง่ของความประหยัดมากขึ้นด้วย
สำหรับในบ้านเราตอนนี้ รถอเนกประสงค์ เอสยูวี หรือ รถครอบครัว ที่ทำตลาดอยู่มีให้เลือกมากมายหลายรุ่นครับ จากหลายค่ายเลยทีเดียว ไล่ตั้งแต่ รถยนต์ที่เน้นความประหยัดที่มีราคาเริ่มต้นหลักแสน ไปจนถึงรุ่นที่จัดเต็มทั้งสมรรถนะ และเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย ดังนั้นในวันนี้เราขอพาทุกคนมาดูกันว่า ในตลาด รถ SUV ปี 2021 นี้มีรุ่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง? ลองมาดูข้อมูลเปรียบเทียบกันครับว่า แต่ละรุ่นมีสเปคเบื้องต้นเป็นอย่างไร? และฟีเจอร์เด่น ๆ อะไรน่าสนใจบ้าง ? ไปดูกันเลยครับ
เอสยูวี (SUV) คืออะไร ?
รถยนต์ SUV หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Sport Utility Vehicle คือรถที่ได้รับการออกแบบมาโดยเน้นไปที่ความอเนกประสงค์เป็นหลักมีประโยชน์ในการใช้งานหลากหลายด้าน ทั้งยังดูสปอร์ตและสวยงามอีกด้วย รถยนต์ SUV มาพร้อมมิติตัวถังที่ค่อนข้างใหญ่ มีที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง โดยจะมาในรูปแบบ 5-7 ที่นั่ง ที่ตัวเบาะสามารถพับได้หลากหลายรูปแบบ ส่งผลทำให้สามารถบรรทุกสัมภาระในการเดินทางได้มากกว่ารถยนต์ประเภทอื่น ๆ รวมไปถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามา และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน บวกกับหน้าตาที่สปอร์ต ดูโฉบเฉี่ยว สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้รถยนต์ SUV ได้รับความสนใจได้ไม่ยากครับ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับใช้เป็นรถยนต์สำหรับครอบครัว
ในปัจจุบันเราสามารถพบเห็นรถยนต์อเนกประสงค์ เอสยูวี หรือ Sport Utility Vehicle วิ่งบนท้องถนนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นรถที่มีความอเนกประสงค์สูง รองรับผู้โดยสารได้หลายที่นั่ง ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ และยังขนสัมภาระได้เยอะอีกด้วย เรียกได้ว่า มันสามารถตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้ทั้งหมด ซึ่งในปีนี้ก็มีรถเอสยูวีให้เลือกซื้อหลายรุ่นเลยทีเดียวครับ แต่จะมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง? มาดูกันเลย! ซึ่งเราได้รวบรวมมาหมดแล้ว
1. All New Honda CR-V เริ่มต้น 1,369,000 บาท
All New Honda CR-V | ||
![]() |
รุ่น | ราคา |
---|---|---|
2.4 S | 1,369,000 บาท | |
2.4 E | 1,419,000 บาท | |
2.4 BLACK EDITION | 1,467,000 บาท | |
2.4 ES 4WD | 1,529,000 บาท | |
2.4 EL 4WD | 1,579,000 บาท | |
DT-EL 4WD | 1,759,000 บาท |
เรามาเริ่มกันที่แบรนด์รถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Honda กันครับ ซึ่งเป็นค่ายรถยนต์ยอดฮิตในตลาดรถบ้านเรา มีรถยนต์หลายรุ่นที่ทำยอดขายได้อย่างถล่มทลาย สำหรับ All New Honda CR-V 2021 เป็นรถ SUV ที่มีทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง ครับ โดยมีทั้งหมด 2 ขุมพลัง 6 รุ่นย่อย ให้เลือก โดยจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,369,000 บาท !

All New Honda CR-V เป็นรถในกลุ่ม รถอเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็กต์ หรือซี-เอสยูวี (C-SUV) ได้มีการเปิดตัวโฉมใหม่ออกมาในช่วงเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมาพร้อมกับดีไซน์ภายนอกที่ดูหรูหรา มีความสปอร์ตแบบพรีเมี่ยม เพิ่มมากขึ้น และยังดูแข็งแกร่งในทุกมิติ โดดเด่นด้วยกระจังหน้าลวดลายรังผึ้ง Gloss Black ที่มีการตกแต่งด้วยโครเมียมรมดำ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวรถ ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED ที่มาในดีไซน์เฉียบคม ไฟเลี้ยวแบบ LED Sequential และไฟตัดหมอกก็เป็น LED เช่นกัน ซึ่งยังคงสไตล์ความเป็นฮอนด้าเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งยังมาพร้อม ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ ดีไซน์สปอร์ต เสริมความสปอร์ตพรีเมี่ยมมากขึ้นไปอีก

ในส่วนภายในห้องโดยสารของเจ้า Honda CR-V นั้น บอกเลยว่าไม่ธรรมดาครับ ซึ่งเน้นไปที่ความกว้างขวาง และสะดวกสบายครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย ในส่วนของคอนโซลหน้าได้รับการดีไซน์มาให้ดูหรูหราและพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น มีการตกแต่งด้วยลายไม้ ทั้งยังเสริมด้วยวัสดุสีดำ Piano Black และมีการออกแบบตำแหน่งของเกียร์ใหม่ ช่วยเพิ่มความหรูหราขึ้นอีกระดับ โดยเฉพาะในรุ่นท็อปสุด (เครื่องยนต์ดีเซล) ที่มาพร้อมระบบเกียร์ไฟฟ้า ในการควบคุมและเปลี่ยนเกียร์จะถูกปรับให้เป็นแบบสวิตช์ทั้งหมด ตอกย้ำความพรีเมียมด้วยหลังคาซันรูฟระบบไฟฟ้าแบบพาโนรามา ที่มาพร้อมกับระบบเปิดปิดแบบ One Touch ส่วนในด้านระบบความปลอดภัยก็จัดเต็มไม่แพ้กันครับ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ อย่าง Honda SENSING และ Honda CONNECT ช่วยให้คุณมั่นใจในทุก ๆ การเดินทาง
Honda CR-V มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 ขุมพลังขับเคลื่อน ได้แก่
- เครื่องยนต์ ดีเซล : ความจุ 1,597 ซีซี. ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 สูบ 16 วาล์ว i-DTEC 2 STAGE TURBO ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่นแบบคอมมอนเรล และส่งกำลังด้วยเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ แบบ 9 สปีด มอบพละกำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที โดยให้ทั้ง อัตราเร่ง และอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม สูงถึง 17.9 กิโลเมตร/ลิตร
- เครื่องยนต์ เบนซิน : ความจุ 2,356 ซีซี. ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ระบบจ่ายน้ำมันหัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันต่อเนื่อง CVT พร้อม Shifting Control of Cornering Gravity & G Design Shift ที่มอบพละกำลังสูงสุดถึง 173 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 224 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที
2. NEW MG HS เริ่มต้น 919,000 บาท
NEW MG HS | ||
รุ่น | ราคา | |
---|---|---|
MG HS TURBO C | 919,000 บาท | |
MG HS TURBO D | 1,019,000 บาท | |
MG HS TURBO X | 1,119,000 บาท |
อีกหนึ่งค่ายรถที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด กับ NEW MG HS ซึ่งเน้นความคุ้มค่าเกินราคา อีกระดับของ รถ SUV ที่ผสานความพรีเมี่ยมเข้ากับความสปอร์ตได้อย่างลงตัว มีเส้นสายการออกแบบตัวถัง ที่โดดเด่นในทุกมิติ เต็มเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ตามสไตล์อันโดดเด่นในแบบของ MG โดยเจ้า NEW MG HS รุ่นใหม่นี้ มีราคาเริ่มต้นเพียง 919,000 บาท เท่านั้น

มากันที่ดีไซน์ภายนอกของ New MG HS รถ SUV รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นรถในกลุ่ม ซี-เอสยูวี (C-SUV) ที่มาพร้อมกับ ความหรูหราและหน้าตาที่ดูสปอร์ตดุดัน ด้วยการใช้เส้นสายที่โค้งมน กระจังหน้า มาในแบบ Stellar Magnetic Field ติดตั้งโลโก้ขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทางเอ็มจี ไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมกับไฟส่องสว่างตอนกลางวัน Daytime Running Lights ไฟท้ายแบบ LED Space Light Field และไฟเลี้ยวแบบ Sequential ซึ่งทั้งหมดมาในดีไซน์โคมที่ดูโฉบเฉี่ยว อีกทั้งยังตกแต่งด้วยสปอยเลอร์หลัง และล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น

สำหรับภายในห้องโดยสาร มีความกว้างขวาง คอนโซลหน้า ขอบประตู และส่วนอื่น ๆ ตกแต่งด้วยวัสดุแบบ Soft Touch ช่วยให้สัมผัสที่นุ่ม ให้ความรู้สึกหรูหรา ภายในออกแบบโดยเน้นความโค้งมน เบาะนั่งโอบรับสรีระผู้ขับขี่ เบาะนั่งคนขับ ปรับไฟฟ้าแบบ 6 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้ 2 ส่วน (60:40) พวงมาลัยหุ้มหนังปรับระดับได้ 4 ทิศทาง มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งมีระบบกรองอากาศ PM 2.5 เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน ในด้านระบบเครื่องเสียง ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 10 นิ้ว พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันที่ควบคุมได้ง่าย และที่โดดเด่นเลยก็คือ ระบบสั่งการอัจฉริยะ i-SMART ส่วนในความปลอดภัยก็จัดเต็มมาให้แบบสุดๆ ครับ โดยมีระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System ที่มากถึง 25 ระบบ (แล้วแต่รุ่นย่อย)
ในด้านของขุมพลัง MG HS มาพร้อมกับ เครื่องยนต์เบนซิน ความจุ 1,490 ซีซี. 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo TGI จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย GDI-Gasoline Direct Injection ส่งกำลังด้วยเกียร์ Twin Clutch Sportronic Transmission (TST) แบบ 7 สปีด ให้พละกำลังสูงสุด 162 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-4,400 รอบต่อนาที
3. Subaru Forester เริ่มต้น 1,330,000 บาท
Subaru Forester | ||
![]() |
รุ่น | ราคา |
---|---|---|
FORESTER 2.0i-S | 1,330,000 บาท | |
FORESTER 2.0i-S EyeSight | 1,380,000 บาท | |
FORESTER 2.0i-S GT LITE | 1,450,000 บาท | |
FORESTER 2.0i-S EyeSight GT | 1,550,000 บาท |
ค่ายรถชั้นนำในตลาดรถยนต์นั่งสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Subaru เปิดตัว Subaru Forester 2021 รถครอบครัวเอนกประสงค์ SUV ขนาดกลางรุ่นยอดนิยม ซึ่งมาพร้อมกับสมรรถนะที่สูง เน้นไปที่การขับขี่ที่มีกำลังสูง มีการเกาะถนนดีเยี่ยม รองรับทุก ๆ เส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ภายในเมืองหรือบุกตะลุยผ่านเส้นทางที่ยากลำบาก โดย Subaru Forester จัดเป็นรถยนต์นั่งรุ่นยอดนิยมของค่าย ซึ่งมีราคาเริ่มต้นทีเร้าใจมาก ๆ ครับ เพียง 1,330,000 บาท เท่านั้น !

Subaru Forester เป็น รถอเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็กต์ มาในสไตล์ของรถครอบครัว 5 ที่นั่ง เจ้าของรางวัล “รถ SUV ที่คุ้มค่าที่สุดแห่งปี ประจำปี 2021” จาก กรังด์ปรีซ์กรุ๊ป ซึ่งเป็นการชนะรางวัลนี้เป็นปีที่สองติดต่อกัน เจ้า Subaru Forester 2021 รุ่นใหม่นี้ มีการปรับปรุงใหม่ในหลาย ๆ จุด โดยเริ่มต้นตั้งแต่ทางด้านหน้าตัวรถ ที่ได้มีการปรับปรุง ดีไซน์ใหม่ตามแนวคิด “BOLDER” กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ มีการปรับลายเส้นบางส่วน ทำให้มันมีหน้าตาที่ดูบึกบึนมากขึ้นพร้อมลุยทุกเส้นทาง แต่ก็ยังคงสไตล์ของ Subaru ไว้อย่างชัดเจน โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติและระบบปรับองศาไฟหน้า ตามการหักเลี้ยวของพวงมาลัย ไฟตัดหมอกที่ด้านหน้าและหลังแบบ LED และไฟท้ายก็เป็นแบบ LED ซึ่งทั้งหมดได้มีการปรับดีไซน์โคมใหม่ เพิ่มความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ในรุ่นท็อปสุด จะมาพร้อมกับ ระบบ Eyesight ซึ่งเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัย ที่แตกต่างไปจากค่ายอื่น ๆ โดยมันเปรียบเสมือนเป็นดวงตาของรถยนต์ เป็นกล้องคู่ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วน ทั้ง Adaptive Cruise Control ที่มีการแปรผันความเร็วตามรถคันหน้าอัตโนมัติ, Lead Vehicle Start Alert ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถคันหน้าออกตัว, Lane Sway and Departure Warning ระบบเตือนการออกนอกเลน, ระบบเบรคอัตโนมัติ ก่อนการชน, ระบบถอนคันเร่งก่อนการชน และอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุให้กับคุณและเพื่อนร่วมทางได้อย่างยอดเยี่ยม

สำหรับภายในห้องโดยสารของ Subaru Forester ยังคงมาในดีไซน์ที่คล้ายกับโฉมก่อนหน้า เน้นไปที่ความสปอร์ตดุดัน เบาะนั่งรูปทรงรับกับสรีระห่อหุ่มด้วยหนังอย่างดี ซึ่งเบาะนั่งคู่หน้า สามารถปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลัง แยกพับอิสระ 60 : 40 และสามารถปรับเอนได้ด้วยการกดปุ่ม คอนโซลหน้าขนาดใหญ่ มีการออกแบบและตกแต่งได้อย่างลงตัว พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับได้ 4 ทิศทาง หน้าปัดเรือนไมล์ หรือหน้าจอแสดงข้อมูลแบบ MID บริเวณแดชบอร์ดด้านหน้า มาตรวัดเรืองแสง Optitron มีระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB ที่มาคู่กับฟังก์ชัน Auto Vehicle Hold ในส่วนของระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ซึ่งแยกอิสระ Dual Zone พร้อมทั้งช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังด้วย
ส่วนขุมพลัง Subaru Forester มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ เบนซิน ความจุ 1,995 ซีซี. 2.0 ลิตร 4 สูบ Boxer DOHC 16 วาล์ว Di จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดตรง ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT บนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร AWD Symmetrical All-Wheel Drive ให้พละกำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที และสามารถรองรับน้ำมันสูงสุด E10 นอกจากนี้ยังมี X-MODE เป็นโหมดการขับขี่ สำหรับเพิ่มสมรรถนะการขับขี่บนสภาพเส้นทางที่ท้าทาย
4. Mitsubishi Outlander PHEV เริ่มต้น 1,640,000 บาท
New Mitsubishi Outlander PHEV | ||
รุ่น | ราคา | |
---|---|---|
GT | 1,640,000 บาท | |
GT-Premium | 1,749,000 บาท |
อีกหนึ่งค่ายรถยนต์ชั้นนำอย่าง Mitsubishi ที่มาพร้อมกับ รถเอสยูวี ไฮบริด รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เข้ามาเพิ่มตัวเลือก ให้กับคนที่ต้องการรถยนต์ในคลาส C-SUV ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเจ้า Mitsubishi Outlander PHEV เป็นรถยนต์ไฮบริดที่ผสาน 2 พลัง ทั้ง ไฟฟ้า และน้ำมัน โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,640,000 บาท

สำหรับมิติตัวถังของ Mitsubishi Outlander PHEV เป็นรถอเนกประสงค์ SUV ในคลาส Compact Crossover SUV แบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง แต่ด้วยการออกแบบในบางมุมมอง ชวนให้คิดถึงพี่ใหญ่ในค่ายอย่าง Pajero Sport เอามาโหลดเตี้ยอยู่เหมือนกันครับ ด้านรูปลักษณ์ภายนอกก็ยังคงมาใน คอนเซ็ปต์ Advanced Dynamic Shield กระจังหน้าดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของค่าย โดดเด่นด้วยเส้นสายที่ดูเฉียบคม ไฟหน้าแบบ Projector Twin LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟตัดหมอก LED ที่มีการตกแต่งขอบด้วยสีเงิน (ไฟ LED เฉพาะรุ่น GT-Premium เท่านั้น) และใช้ไฟท้ายแบบ LED ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นทำให้ขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีไฟ Daytime Running Lights ที่เปิดอัตโนมัติเมื่อรถวิ่ง ส่วนล้อมาในขนาด 18 นิ้ว ลวดลายสวยงาม ให้อารมณ์สปอร์ต ซึ่งดูเรียบหรู และลงตัวในทุกมุมมอง

เปิดเข้ามาที่ภายในห้องโดยสารของ Outlander PHEV ซึ่งมาพร้อมกับการออกแบบที่ดูเรียบง่าย ตั้งแต่คอนโซลหน้าตลอดถึงคอนโซลกลางตกแต่งด้วยลายกราฟฟิกสีดำเงา เน้นพื้นที่ด้านฝั่งคนขับ และห้องโดยสารให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้าด้านคนขับ ซึ่งตัวเบาะได้รับการออกแบบมาให้โอบรับกับลำตัวของผู้ขับขี่ ช่วยให้นั่งสบายมากขึ้น วัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังและหนังสังเคราะห์ที่มาพร้อมลวดลาย Diamond Quilting ส่วนเครื่องเสียงมาพร้อมหน้าจอทัชสกรีน ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto หน้าปัดเรือนไมล์เรืองแสงสีขาวที่แสดงผลข้อมูลการขับขี่ครบครันและมีการเพิ่มจอแสดงผลข้อมูลระบบไฮบริด และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 4 ก้าน ทรงสปอร์ต เกียร์มาในดีไซน์ล้ำสมัย รูปแบบ Joystick พร้อมปุ่ม EV ไว้สำหรับปรับโหมดการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียว ๆ

เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าของ Mitsubishi Outlander PHEV ทั้ง 2 รุ่นย่อย จะพบกับ เครื่องยนต์ เบนซิน ความจุ 2,360 ซีซี. 2.4 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว MIVEC พร้อมวาล์วไอดีแปรผัน ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ S-AWC ให้พละกำลังสูงสุด 128 แรงม้า ที่ 4,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 199 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous Permanent Magnetic Motor ทั้งหมด 2 ตัว โดยมอเตอร์ตัวแรกติดตั้งที่ด้านหน้า มอบพละกำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิด 137 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์อีกตัว ติดตั้งที่ด้านหลัง มอบกำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิด 195 นิวตัน-เมตร ช่วยให้มีพละกำลังรวมสูงถึง 305 แรงม้า แรงบิด 531 นิวตัน-เมตร (แรงม้าที่ลงล้อจริง ๆ อาจจะน้อยกว่านี้)
สำหรับแบตเตอรี่ไฮบริดใช้แบบ Lithium-ion ความจุ 13.8 kWh สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียว ๆ ได้ระยะทางประมาณ 55 กม. พร้อมทั้งมีการระบุอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 52.6 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก Eco Sticker) ในส่วนของการชาร์จแบตฯ จะใช้เวลา 4 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จแบบปกติ และรองรับการชาร์จไว Fast Charge 0-80% ซึ่งใช้เวลาเพียง 32 นาที เท่านั้น แต่ใช้หัวชาร์จมาตรฐาน CHAdeMO ของประเทศญี่ปุ่น แต่ในประเทศไทยใช้มาตรฐาน Type 2 ซึ่งเราก็คงต้องติดตามกันต่อไป (สำหรับ Mitsubishi Outlander PHEV เราได้เจาะลึกเอาไว้แล้ว หากสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ รีวิว New Mitsubishi Outlander PHEV 2021 ใหม่)
5. All-New Mazda CX-8 เริ่มต้น 1,599,000 บาท
All-New Mazda CX-8 | ||
![]() |
รุ่น | ราคา |
---|---|---|
SKYACTIV-G 2.5 S (7-SEAT) | 1,599,000 บาท | |
SKYACTIV-G 2.5 SP (7-SEAT) | 1,699,000 บาท | |
SKYACTIV-D XDL (7-SEAT) | 1,899,000 บาท | |
SKYACTIV-D XDL EXCLUSIVE (6-SEAT) | 2,069,000 บาท |
อีกหนึ่งรุ่นที่มีดีไซน์โดดเด่น เน้นที่ความเรียบหรู พรีเมี่ยม สไตล์รถยุโรป สำหรับ All-New Mazda CX-8 ซึ่งเป็นการรวมเอาจุดเด่นของรุ่นน้องอย่าง Mazda CX 5 และพื้นฐานจากรุ่นพี่อย่าง Mazda CX 9 นำมารวบกันและพัฒนาขึ้นใหม่ กลายมาเป็น All-New Mazda CX-8 ที่มีรูปลักษณ์ที่ดูลงตัวในทุกมิติ เป็นยนตรกรรมครอสโอเวอร์แบบที่นั่ง 3 แถว ซึ่งมีให้เลือกทั้ง แบบ 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง ทำให้รถรุ่นนี้เหมาะมาก ๆ กับครอบครัวขนาดใหญ่ ที่ต้องการความสปอร์ต แบบพรีเมี่ยม โดยรุ่นนี้มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,599,000 บาท

สำหรับ All New Mazda CX-8 เป็นรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีขนาดใหญ่ ซึ่งยังคงมีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของทาง มาสด้า ภายใต้ปรัชญา KODO design: Soul of Motion โดดเด่นด้วยเส้นสายที่เฉียบคม แฝงด้วยความสปอร์ตแบบพรีเมี่ยม ตามคอนเซ็ปต์ Less is More มาพร้อมกระจังหน้าทรง Signature Wing ขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยเส้นขอบโครเมียม และติดตั้งโลโก้มาสด้าเอาไว้ตรงกลาง ไฟหน้าเป็นไฟ Projector แบบ LED ใหม่ เปรียบเสมือนดวงตาที่ดุดัน พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติและระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟส่องส่วางตอนกลางวัน ไฟตัดหมอกแบบ LED (เฉพาะในรุ่นท็อปสุด) ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED Signatrue รูปทรงสอดรับกับเส้นสายด้านข้างตัวรถ
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งสปอยเลอร์หลัง, เสาอากาศแบบครีบฉลาม, ท่อไอเสียแบบคู่ และก็ใช้ล้อเป็นล้ออัลลอยที่มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ ขนาดใหญ่ 19 นิ้ว โดยใช้สีโครเมียมรมดำ เพิ่มความสปอร์ต ดุดันมากยิ่งขึ้น มาคู่กับยางขนาด 225/55 R19 ซึ่งทั้งหมดนี้ใส่มาในทุกรุ่นย่อย ช่วยให้ตัวรถดูสปอร์ตลงตัวมากยิ่งขึ้น

เข้ามาภายในห้องโดยสารของเจ้า All New Mazda CX-8 กันบ้างครับ ซึ่งได้รับการดีไซน์ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เน้นความเรียบง่าย แต่ดูหรูหรา ด้วการเลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพสูง โดยห้องโดยสารจะเป็นแบบ 3 แถว ที่มาในโทนสีดำ ตกแต่งด้วยวัสดุ Real Wood ซึ่งเป็นไม้แท้ผสมกับสีเงินซาติโครม คอนโซลหน้ารวมไปถึงแผงประตู เลือกใช้วัสดุ Soft Touch ทั้งหมด เพื่อมอบสัมผัสที่หรูหรา ส่วนเบาะนั่งรูปทรงกระชับ ช่วยลดอาการเมื่อยล้า มีการหุ้มด้วยหนัง Nappa เดินตะเข็บด้วยด้ายสีน้ำตาล เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า โดยเบาะผู้ขับขี่ปรับได้ 8 ทิศทาง และเบาะนั่งข้างคนขับปรับ 6 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกแบบสี มาตรวัดความเร็วอนาล็อก ทำงานคู่กับหน้าจอแสดงผลแบบสี ขนาด 4.6 นิ้ว มี ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Tri Zone พร้อมแผงควบคุมที่เบาะนั่งแถวที่ 2 และช่องแอร์สำหรับผู้โดรสารแถวที่ 2 และ 3
ในส่วนของระบบความบันเทิง มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล แบบสี ระบบสัมผัส Center Display ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งควบคุม ผ่านปุ่ม Center Commander ที่ออกแบบมาอย่างลงตัว ใช้งานง่าย รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Mazda Connect ที่มาพร้อม ระบบ Apple CarPlay รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ และยังรองรับระบบสั่งการด้วยเสียงด้วย
ในส่วนสมรรถนะของ All New Mazda CX-8 เป็นอีกขั้นของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ โดยมี 2 เครื่องยนต์ ให้เลือก ได้แก่
- Skyactiv-G 2.5 เครื่องยนต์เบนซิน ความจุ 2,488 ซีซี. 2.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC Direct Injection Dual S-VT ส่งกำลังด้วยเกียร์ Skyactiv Drive อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมด Avtivematic ให้กำลังสูงสุด 194 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 258 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที
- Skyactiv-D 2.2 เครื่องยนต์ดีเซล ความจุ 2,191 ซีซี. 2.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC กับวาล์วไอเสียแปรผันอัจฉริยะ Commonrail Direct Injection VVT และระบบเทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น ส่งกำลังด้วยเกียร์ Skyactiv Drive อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมด Avtivematic ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที
6. New Mazda CX-5 เริ่มต้น 1,300,000 บาท
มาต่อกันที่ค่ายรถยนต์ชั้นนำที่มาในรูปลักษณ์เรียบหรูแบบสุด ๆ อย่าง Mazda ที่ได้ส่งรถยนต์ในคลาส C-SUV ของค่ายเข้ามาทำตลาดในบ้านเรามาเนิ่นนาน ตั้งแต่ปี 2012 ในชื่อ Mazda CX-5 เจเนอร์เรชั่นแรก ต่อมาก็มีการปรับโฉม All New ในปี 2017 ใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 1,300,000 บาท

New Mazda CX-5 เป็นรถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวี ขนาด 5 ที่นั่ง ซึ่งมาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่ดูโดดเด่น สะดุดตาเอามาก ๆ โดยรุ่นนี้ เน้นด้านการดีไซน์เป็นหลัก แน่นอนครับ Mazda CX-5 ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Kodo : Soul of Motion ที่พัฒนาขึ้นอีกขั้น โดดเด่นด้วยเส้นสายที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความโฉบเฉี่ยว หรูหราและดูปราดเปรียว ในสไตล์สุดพรีเมี่ยม ภายใต้คอนเซ็ปต์ Less is More มาพร้อมกับกระจังหน้าดีไซน์เฉียบคม ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED ที่มีระบบปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติและระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ Daytime Running Lamp ไฟส่องสว่างตอนกลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกแบบ LED และไฟท้าย LED ที่มีโคมรับกับเส้นสายรอบ ๆ ตัวรถ กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมกับไฟเลี้ยว มีการติดตั้งสปอยเลอร์หลัง และเสาอากาศแบบครีบฉลาม เพิ่มความสปอร์ต ท่อไอเสียคู่ พร้อมปลายท่อตกแต่งด้วยโครเมี่ยม

เปิดประตูเข้ามาที่ภายในห้องโดยสารของ New Mazda CX-5 ซึ่งต้องสะดุดตากับการออกแบบดุจงานศิลปะ ทุกอย่างมีการจัดวางอย่างประณีต ตามแนวคิด Hand-Crafted Design โดยคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลัก ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาไปจากถนน มาในโทนสีเข้ม ตกแต่งด้วย Real Wood และสีเงินซาตินโครมที่ดูลงตัว เบาะดีไซน์โอบรับสรีระ พร้อมระบบระบายอากาศ เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และมีระบบดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งด้านหลัง 3 ส่วน พับอิสระ 40 : 20 : 40 พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน หุ้มหนัง ปรับได้ 4 ทิศทาง หน้าปัดเรือนไมล์แบบสี MID พร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ แบบสี บนกระจกหน้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ ระบบความบันเทิงก็จัดเต็มมาให้ ด้วยหน้าจอกลางระบบสัมผัส Center Display ขนาด 7 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุม Center Commander อีกทั้งตัวเครื่องเสียงยังรองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto และยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ อีกมากมาย
สำหรับขุมพลังของ New Mazda CX-5 ซึ่งถือเป็นอีกขั้นของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ โดยจะมี 3 เครื่องยนต์ให้เลือก ได้แก่
- 2.0 Skyactiv-G เครื่องยนต์ เบนซิน ความจุ 1,998 ซีซี. 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC Direct Injection Dual S-VT ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า มอบพละกำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที มีแรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที
- 2.2 Skyactiv-D เครื่องยนต์ ดีเซล ความจุ 2,191 ซีซี. 2.2 ลิตร 4 สูบ DOHC Commonrail Direct Injection พ่วงด้วยระบบเทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,500 รอบต่อนาที มีแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ i-ACTIV AWD
- 2.5 Skyactiv-TURBO เครื่องยนต์ เบนซิน ความจุ 2,488 ซีซี. 2.5 ลิตร 4 สูบ DOHC Direct Injection Dual S-VT พร้อมระบบเทอร์โบแบบ Dynamic Pressure ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-DRIVE ขับเคลื่อน 4 ล้อ i-ACTIV AWD ให้กำลังสูงสุด 231 แรงม้า ที่ 5,000 รอบต่อนาที มีแรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที
7. Nissan X-Trail เริ่มต้น 1,350,000 บาท
Nissan X-Trail 2020 | ||
![]() |
รุ่น | ราคา |
---|---|---|
2.5S 2WD | 1,350,000 บาท | |
2.5V 2WD | 1,460,000 บาท | |
2.0V 4WD Hybrid | 1,481,000 บาท | |
2.0 VL 4WD Hybrid | 1,617,000 บาท |
New Nissan X-Trail เป็นรถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวี จากค่ายชั้นนำอย่าง Nissan ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งถึงแม้ว่าโฉมนี้จะเปิดตัวในไทยไปตั้งแต่ปี 2019 แล้ว และอาจจะมีการเปิดตัวโฉมใหม่ในเร็ว ๆ แต่ทาง นิสสันประเทศไทย ยังไม่มีแผนที่จะนำเข้าโฉมใหม่มาจำหน่าย ดังนั้น Nissan X-Trail 2020 ที่มีทั้งแบบเครื่องยนต์เบนซินปกติและระบบไฮบริดให้เลือก จึงยังคงน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,350,000 บาท

Nissan X-Trail มาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่แข็งแกร่งและบึกบึน เน้นความเรียบง่าย ดูเป็นผู้ใหญ่ มีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมภายนอกใหม่บางส่วน เริมตั้งแต่กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม รูปตัววี ตามสไตล์ V-motion อันเป็นเอกลักษณ์ การออกแบบของค่าย ไฟหน้าเป็นแบบ Projector Lens LED พร้อมระบบปรับระดับสูงต่ำไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟ Daytime Running Lights LED ไฟตัดหมอกด้านหน้า ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ และไฟท้ายแบบ LED ที่ดูโดดเด่น รับกับเส้นสายของตัวรถ เพิ่มความสปอร์ตด้วย เสาอากาศแบบครีบฉลาม Shark Fin ติดตั้งสปอยเลอร์หลังและมาพร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่

สำหรับภายในห้องโดยสารของเจ้า Nissan X-Trail เน้นไปที่ความกว้างขวาง ซึ่งเป็น รถเอสยูวี 3 แถว 7 ที่นั่ง มาพร้อมภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เบาะนั่งดีไซน์เรียบหรูหุ้มด้วยหนัง โดยเบาะนั่งผู้ขับเป็นแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมกับระบบดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะนั่งแถว 2 แยกพับอิสระ 3 ส่วน 40 : 20 : 40 และเบาะนั่งแถวที่ 3 แยกพับอิสระ 2 ส่วน 50 : 50 ซึ่งพับได้เรียบไปพื้นที่เก็บสัมภาระ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระ ซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (แถว 2) พวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง แบบท้ายตัด D-Cut เพิ่มความสปอร์ต มีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT 3D Meter และสวิตซ์ปรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนระบบเครื่องเสียงใช้แบบ A-IVI Mid NAVI พร้อมหน้าจอระบบสัมผัส 7 นิ้ว
ในด้านขุมพลังของ Nissan X-Trail จะมีเครื่องยนต์ 2 แบบ ให้เลือก ดังนี้
- เครื่องยนต์ เบนซิน ความจุ 2,488 ซีซี. 2.5 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Twin C-VTC ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT บนระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ มอบพละกำลังสูงสุด 171 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 233 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที
- เครื่องยนต์ไฮบริด มาพร้อม เครื่องยนต์เบนซิน ความจุ 1,997 ซีซี 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว TWIN C-VTC ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์แปรผันอัจฉริยะ XTRONIC CVT พร้อมโหมดแมนนวล 7 สปีด มอบพละกำลังสูงสุดที่ 144 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า Synchronous Electric Motor มอบพละกำลังสูงสุด 41 แรงม้า แรงบิด 160 นิวตัน-เมตร
8. All New HAVAL H6 Hybrid เริ่มต้น 1,149,000 บาท
All New HAVAL H6 Hybrid SUV | ||
![]() |
รุ่น | ราคา |
---|---|---|
PRO | 1,149,000 บาท | |
ULTRA | 1,249,000 บาท |
มาปิดท้ายกันกับค่ายรถยนต์น้องใหม่ อย่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์ กันครับ ที่ได้นำ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ซึ่งถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของค่ายที่ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตัวรถได้มีการออกแบบตามหลักสุนทรียศาสตร์ มีการใช้เส้นสายที่เฉียบคม เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนไทย มาในลุคที่ดูสปอร์ต สุดพรีเมียม ล้ำสมัย พร้อมอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีมากมาย โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 1,149,000 บาท เท่านั้น

All New HAVAL H6 Hybrid SUV เป็นรถยนต์เอสยูวีที่เพียบพร้อมในทุกด้าน ทั้ง ด้านการดีไซน์ มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และระบบความปลอดภัยที่จัดเต็ม ในราคาที่แสนคุ้มค่า สำหรับรุ่นนี้ ออกแบบโดย Phil Simmons ผู้ที่มีประสบการณ์ในการออกแบบรถยนต์แบรนด์ดังหลายรุ่นในฝั่งยุโรป โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตหรูหรา และทันสมัยตามสไตล์รถยุโรป เริ่มตั้งแต่ กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยโครเมียม ขนาบข้างด้วยโคมไฟหน้ารูปทรงเฉียบคม รับกับเส้นสายที่เดินไปรอบตัวรถ พร้อมไฟหน้าอัจฉริยะ Intelligent LED และไฟ Daytime Running Lights LED ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์และความปลอดภัย ไฟท้าย LED แบบ Cross-Sectional พาดยาวทั้งชิ้น ซึ่งดูลงตัวมาก ๆ และมาพร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 19 นิ้ว เป็นลายสปอร์ต ช่วยเสริมลุคความปสปอร์ตพรีเมียมมากยิ่งขึ้น

เปิดเข้ามาภายในห้องโดยสารของ All New HAVAL H6 Hybrid SUV คุณจะพบกับการตกแต่งภายในเรียบหรูมีสไตล์ มีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง โดดเด่นด้วยดีไซน์การออกแบบสไตล์สปอร์ตที่ดูโฉบเฉี่ยว เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร มีการหุ้มหนังอย่างดี ตกแต่งด้วยสีทูโทนที่เข้ากันได้อย่างลงตัว พร้อมแทรกด้วยชุดโครเมี่ยม และไฟตกแต่งแบบ Ambient Light ใช้หน้าปัดเรือนไมล์ดิจิตอลขนาด 10 นิ้ว ที่มาในแบบลอยตัวและหน้าจอ Head Up Display (HUD) ที่แสดงข้อมูลการขับขี่อย่างครบครันบนกระจก ซึ่งดูล้ำสมัยมาก ๆ ส่วนระบบอินโฟเทนเมนต์ใช้หน้าจอ ขนาด 9 นิ้ว พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ตกแต่งด้วยสีทูโทน มีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่ ใช่ระบบปรับอากาศแบบดูโอโซน แยกอิสะซ้ายชวา มาพร้อมระบบกรอง CN 95 และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เบาะนั่งคูห่น้าออกแบบมาอย่างดี รับกับสรีระ ปรับด้วยระบบไฟฟ้าทั้งคู่ โดยฝั่งผู้ขับขี่จะปรับได้ 8 ทิศทาง ส่วนผู้โดยสารข้างคนขับปรับได้ 4 ทิศทาง เบาะนั่งตอนหลังพับได้แบบ 40/60 ช่วยให้สามารถเพิ่มพื้นที่ ในการขนของและยังมาพร้อม Wireless Charger ที่ชาร์สมาร์ทโฟนแบบไร้สายด้วย
ในด้านขุมพลัง All New HAVAL H6 Hybrid SUV ใช้ขุมพลังจาก เครื่องยนต์เทอร์โบซูเปอร์ชาร์จ VGT ความจุ 1.5 ลิตร GW4B15 GDIT EVO พร้อมทั้งทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยมอบพละกำลังรวม สูงสุด 243 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 530 นิว-ตันเมตร เพลาขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิกส์แบบมัลติโหมด DHT ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ High Gross โดยจะเป็นระบบเกียร์ไฮบริดที่มีเกียร์ 2 ชุด ซึ่งอยู่ที่เครื่องยนต์ 1 เกียร์ และที่มอเตอร์ขับเคลื่อน 1 เกียร์ ทำให้รองรับการขับเคลื่อนได้หลากหลาย พร้อมโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดประหยัด และโหมดถนนเปียกนอกจากนี้ยังมีระบบอัจฉริยะ LIFE+ (LIFE PLUS) เข้ามาช่วยตอบสนองความต้องการ และรองรับทุกเส้นทางการขับขี่ ซึ่งถือเป็นระบบความปลอดภัยที่มักจะอยู่ในรถยุโรป
บทส่งท้าย
ในปัจจุบัน รถยนต์ มีให้เลือกมากมายหลายประเภทครับ ไม่ว่าจะเป็น รถเก๋งอีโค่คาร์, กระบะแค็บ, กระบะดับเบิ้ลแค๊บ, รถครอบครัวขนาดเล็ก, รถครอบครัว (MPV), รถอเนกประสงค์ พื้นฐานกระบะ (PPV) หรือรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น หรือหากแบ่งตามกลุ่มหรือตามคลาสก็จะมีทั้ง B-Segment, C-Segment, D-Segment และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งแน่นอนครับว่า รถ ๆ ทุกประเภทมีข้อดีข้อเสียต่างกัน อย่างเช่น รถเก๋งนั่งสบาย ขับง่าย ใช้งานในเมืองสะดวก แต่ขนข้าวของได้น้อย ส่วนรถกระบะขนของได้มาก แต่ก็มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ อาจจะต้องใช้ความชำนาญในการขับขี่ภายในเมือง ด้วยเหตุนี้ การมาของรถยนต์ SUV ถือเป็นคำตอบที่ใช่มาก ๆ ครับ เพราะมันถูกออกแบบมาโดยอยู่ตรงกลางระหว่างรถเก๋ง กับรถกระบะ ส่งผลทำให้รถยนต์ SUV มีข้อดีของรถยนต์ทั้งสองประเภทนี้อยู่ในตัวเองด้วย
อย่างที่เราได้บอกไปในตอนต้นครับว่า รถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวี (Sport Utility Vehicle) ใช้ฐานจาก รถเก๋ง นำมาเพิ่มขนาด เพิ่มมิติตัวรถ ทำให้ห้องโดยสารกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ดังนั้งรถยนต์ SUV จึงยังคงมีช่วงล่วงที่แน่นหนึบ มีความนุ่มนวล สมรรถนะเครื่องยนต์สูง และมีรูปลักษณ์ที่เน้นความสปอร์ต ภายในก็เต็มไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ มากมายโดยเฉพาะการบรรทุก ซึ่งรถยนต์เอสยูวีสามารถพับเบาะนั่งได้หลากหลายแบบเพื่อใช้บรรทุกสัมภาระได้ ดังนั้นถ้าหากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่มีความอเนกประสงค์ สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายรถยนต์ SUV นี่แหละครับ คือ ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เหมาะมากกับไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูล และรูปภาพ จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ :
- Honda : www.honda.co.th
- MG : www.mgcars.com
- Subaru : www.subaru.asia
- Mitsubishi : www.mitsubishi-motors.co.th
- Mazda : www.mazda.co.th
- Nissan : www.nissan.co.th
- Haval : www.gwm.co.th