วงการแรปเปอร์ในยุคนี้ถ้าหากจะพูดถึงศิลปินชั้นนำแน่นอนว่า ‘Post Malone’ เป็นหนึ่งในชื่อที่หลายคนนึกถึงอย่างแน่นอน เนื่องจากดนตรีและเสียงที่เป็นเอกลักษณ์สามารถสะกดจิตและดึงดูดคนฟังให้อินไปได้ตลอดเพลง อีกทั้งท่องฮุคของเพลงส่วนใหญ่ก็มีความ Catchy ติดหู เปิดกี่ครั้งก็ไม่มีคำว่าเบื่อ ในขณะเดียวกัน Post Malone เองก็ไม่ได้มีดีเพียงแค่การทำ Hip-hop เท่านั้น แต่เขายังร้องเพลง Pop, Rock และ R&B ด้วยเช่นเดียวกัน

ถ้าพูดถึงเรื่องของความสามารถในการทำเพลง ต้องบอกว่า Post ไม่น้อยหน้าใครอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าปล่อยมากี่ซิงเกิลก็จะต้องมีกระแสและมีคนร้องกันแบบทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้คงรู้จักเขาในฐานะของศิลปินคนเก่งอยู่แล้ว แต่เบื้องลึกเบื้องหลังก่อนจะมาเป็นศิลปินหลายคนก็อาจจะไม่เคยทราบมาก่อน ดังนั้นเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักศิลปินหนุ่มคนนี้มากขึ้น ผมจึงเขียน ‘ประวัติและผลงานเพลง Post Malone’ มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ

ประวัติของ Post Malone

Post Malone มีชื่อจริงว่า ‘Austin Richard Post’ เกิดในนครนิวยอร์คประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเติบโตและได้รับการเลี้ยงดูโดยคุณพ่อ Richard Post และแม่เลี้ยงชื่อว่า Jodie โดยในวัยเด็ก Post Malone ได้ฟังเพลงหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น Country, Hip hop และ Pop เนื่องจากคุณพ่อของเขามีเป็นอาชีพเป็นดีเจ ดังนั้น Post จึงซึมซับการร้องรวมไปถึงดนตรีตลอดเวลาและทำให้เขารักเสียงดนตรีมาก ๆ เมื่อก้าวเข้าสู่อายุ 9 ขวบ Post ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่ Texas เนื่องจากคุณพ่อของเขาต้องไปทำงาน ส่วน Post เองก็เริ่มหยิบจับเครื่องดนตรีมาเล่น ซึ่งเขาเล่นกีตาร์ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เมื่อเล่นเก่งแล้วเขาก็ตัดสินใจเข้าไปออดิชันกับวง Crown the Empire แต่โดนปฎิเสธไปเนื่องจากสายกีตาร์ของเขาดันมาขาดในระหว่างออดิชัน

Post ชอบเพลงสไตล์ alternative rock เป็นพิเศษ โดยก่อนที่เขาจะเป็นนักร้องโซโล่อย่างเต็มตัว เขาเคยเป็นดีเจและเล่นดนตรีแนว Rock และ heavy metal หลังจากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนแนวดนตรีของตัวเองมาเป็นซอฟต์ Rock และ Hip-hop มากขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 14 – 15 ปีเขาก็เริ่มออกงานแสดงโชว์บนเวทีมากขึ้น และก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เขาตั้งชื่อในวงการของตัวเองว่า ‘Post Malone’ หลังจากนั้นเมื่ออายุ 16 ก็เริ่มโปรดิวซ์เพลงด้วยตัวเองและทำมิกซ์เทปออกมาชื่อว่า ‘Young and After Them Riches’ เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ให้เพื่อนร่วมคลาสในโรงเรียนฟังกัน ซึ่งทุกคนชอบมาก ๆ และมีการโหวตกันอีกด้วยว่าในอนาคต Post จะกลายเป็นคนดัง

เมื่อจบการศึกษาในวัยมัธยมเขาก็มีโอกาสและสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่เขาตัดสินใจดร็อปเพื่อไปตามความฝันของตัวเองใน Los Angeles ไปพร้อมกับเพื่อนสนิท หลังจากย้ายไปแล้วเขาก็เจอกับโอกาสเยอะมาก โดยเข้าได้พบกับโปรดิวเซอร์คนเก่งอย่าง ‘FKi 1st’ จนได้มีการทำเพลงร่วมกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเพลงที่ชื่อว่า ‘White Iverson’ ที่ Post ปล่อยลง SoundCloud และปล่อย MV ลงเว็บไซต์ จนได้รับคำชมจาก Wiz Khalifa และ Mac Miller ว่าเป็นเพลงที่ดีมาก ๆ

เมื่อมียอดคนชม MV แตะถึงหลักล้านค่ายเพลงดังอย่าง Republic Records ก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปดีลกับ Post เพื่อเซ็นสัญญาทันที และเขาก็ได้ร่วมงานกับแรปเปอร์ชื่อดังเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Kanye West, 50 Cent และ Young Thug ทั้งยังมีคอนเนคชันกับศิลปินดังอย่าง Justin Bieber อีกด้วย ความสามารถของ Post ทำให้เขาเติบโตในวงการเพลงอย่างรวดเร็ว โดยเข้าเซ็นสัญญากับ Republic Records ปี 2015 แต่ในปี 2016 เขาก็ดันเพลงของตัวเองขึ้นไปใน Top 100 ในชาร์จ Billboard และเพลง Congratulations ที่ร่วมกับ Quavo ก็ไต่ขึ้นไปใน Top 10 สำเร็จ

แต่ที่พีคมาก ๆ จนดังไปทั่วโลกคงต้องยกให้กับปี 2017 เพราะอัลบั้ม Beerbongs & Bentleys ดังไปทั่วโลก อีกทั้งซิงเกิล ‘Rock Star’ ก็ขึ้นอันดับ 1 ติดต่อกันยาวนานถึง 8 สัปดาห์ ซึ่งการครองชาร์จอันดับ 1 นานขนาดนี้เป็นอะไรที่ไม่ได้ง่ายเลยครับ อีกทั้ง Post เองก็เข้าวงการได้ไม่นาน ดังนั้นการทำสถิติได้ขนาดนี้จึงเป็นอะไรที่เกินฝันมาก ความดังของเพลง Rockstar ทำให้ฐานแฟนคลับของเขามีอยู่ทั่วโลก และหลังจากนั้นไม่ว่าจะปล่อยเพลงอะไรก็มีกระแสอยู่เสมอ กลายเป็นศิลปินแนวหน้าของโลกอย่างเต็มตัว เดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกและหนึ่งในจุดหมายของการทัวร์ปีนี้คือการมาโชว์แสดงที่ไทยในวันที่ 14 กันยายนนี้

1. Rockstar

ต้องบอกว่าคอรัสและแพทเทิร์นของดนตรีฟังแล้วค่อนข้างแปลก แต่ถือได้ว่าเป็นกิมมิคฟังแล้วเหมือนโดนสะกดจิต แล้วถ้าฟังดี ๆ ตัวเพลงจะให้ฟิลลิ่งลัคชูรีเหมือนกับการเป็น Rockstar อีกทั้งเสียงและเทคนิคการแรปแบบ Cloud Rap ที่เป็นการแรปเอื่อย ๆ ก็ไหลไปกับเพลงได้อย่างเพอร์เฟค เสริมด้วยดนตรี Trap เป็นจังหวะเพื่อความคูลให้กับเพลง ถือเป็นบีทที่ฟังได้ไม่มีเบื่อ เปิดในงานปาร์ตี้หรืองานสังสรรก็ชวนให้ทุกคนร้องตามและลุกขึ้นมาเต้นได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเพลงนี้ถึงดังเปรี้ยงขึ้นอันดับ 1 ติดต่อกันนานกว่า 8 สัปดาห์ หากใครได้มีโอกาสไปคอนเสิร์ตก็อย่าลืมไปฝึกร้องเพลงนี้กันนะครับ รับรองว่าได้ร้องกันสนุกแน่นอน

2. Circles

เพลงนี้ Post มาในสไตล์ของดนตรี Pop Rock ผสมกับ Soft Rock ดังนั้นเพลงจะฟังค่อนข้างง่าย ไม่ดุเดือดเหมือนกับเพลงฮิปฮอปที่ทำมา มีความเป็น Acoustic ฟังแล้วอบอุ่นเหมือนกับอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องเบา ๆ เมโลดี้ของเพลงก็ฟังไปได้เรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกันเพลงนี้ก็มีเนื้อเพลงที่ค่อนข้างเศร้า พูดถึงความผิดหวังในเรื่องความรักและการวนลูปกับความรักเดิม ๆ ที่ต่างคนต่างทะเลาะแต่สุดท้ายก็กลับมาเหมือนเดิมจนความสัมพันธ์เกิดความ Toxic ดังนั้นเพลงนี้จึงค่อนข้างหลายอารมณ์ แต่ภาพรวมแล้วก็ต้องบอกว่าดีเลยละครับ

3. Psycho

‘Psycho’ พูดถึงความลัคชูรีและความฟุ่มเฟือยของทั้ง Post Malone และ Ty Dolla $ign ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถเปิดประทุน นาฬิกาหรู หรือเพชรพลอยต่าง ๆ โดยเพลงนี้เป็นเหมือนกับการแต่งถึงความสำเร็จในปัจจุบัน เพราะก่อนหน้านี้ Post ก็แต่งเพลงเกี่ยวกับความเหนื่อยในการทำงาน เพื่ออนาคตของตัวเอง ดังนั้นเมื่อประสบความสำเร็จตามฝันแล้วก็แต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อฉลองให้กับตัวเอง ส่วนทางด้านดนตรีก็เบลนเข้ากับเนื้อเพลงไปได้อย่างเพอร์เฟคครับ เป็นดนตรีสาย R&B ผสมกับ Trap ให้ความรู้สึกลัคชูรีและแพง ฟังแล้วรู้สึกรวยเลยละ

4. Sunflower

‘Sunflower’ เป็นซาวด์แทร็คในภาพยนตร์เรื่อง ‘Spider-Man: Into the Spider-Verse’ ซึ่งเพลงนี้อยู่บนชาร์ต Billboard นานกว่า 45 สัปดาห์และไต่ไปได้สูงสุดถึง Top 10 เลยทีเดียว โดยเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ฟังค่อนข้างง่ายครับ เพราะใช้ดนตรี Dream Pop เมื่อฟังแล้วจะรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในฝัน ทั้งนี้ดนตรียังผสมความเป็น Funky ลงไปเพื่อเพิ่มความสนุกให้กับเพลง เป็นเพลงที่ปนความหวานและความอบอุ่นเอาไว้ เหมาะกับการฟังในช่วงวันหยุดหรือฟังช่วงไปเที่ยวทะเลก็เหมาะมาก ปรับมู้ดให้อารมณ์ดีขึ้นในทุกครั้งที่ฟัง ทั้งยังการันตีด้วยการเข้าชิงรางวัล Grammy ในสาขาใหญ่อีกด้วย

5. Wow.

‘Wow.’ มาในสไตล์ของ Pop-Rap คือมีความดุเดือดและบีทที่หนักของ Rap แต่ก็ยังคงความพริ้วไหวอ่อนนุ่มของ Pop เอาไว้อยู่ ฟังแล้วจะรู้สึกเพลินไหลไปตามเพลง ส่วนเนื้อหาของเพลงนี้จะเป็นแนวเดียวเพลง Psycho คือพูดถึงความรวยและความมั่นคั่งของตัวเอง แต่แรงบันดาลใจของเพลงนี้มาจากการที่เขาเคยมีคนมาดูถูกดูแคลนว่าเขาไม่มีวันประสบความสำเร็จหรือมีชื่อเสียงหรอก ดังนั้นเขาจึงแต่งเพลงนี้มาเพื่อตอกหน้าและโชว์ว่าเขาเป็นคนมีความสามารถที่พาตัวเองมาได้ไกลถึงขนาดนี้ หากใครกำลังหาเพลงเป็นแรงบันดาลใจว่าสักวันตัวเองจะรวย เพลงนี้น่าจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณได้เป็นอย่างดี

6. Goodbyes Featuring Young Thug

‘Goodbyes’ เป็นการร่วมงานกันระหว่าง Post Malone และ Young Thug โดยเพลงนี้พูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขาและแฟนคนเก่าอย่าง Ashlen Diaz ที่ทั้งคู่เคยมีปัญหาจนเลิกรากันไป และทางด้านของ Post เองก็อยากจะลบเธอออกไปจากชีวิต ถือเป็นอีกเพลงหนึ่งที่เศร้าและค่อนข้าง Emotional พอสมควร ทั้งนี้ดนตรีจะเป็น Pop ผสม Trap และใส่ Hip-hop ในช่องที่ Young Thug แรป ดังนั้นไดนามิกเพลงค่อนข้างดี ฟังแล้วไม่น่าเบื่อ ส่วนใครที่อกหักอยู่ก็อาจมีน้ำตาไหลและอินกันไม่มากก็น้อย

7. I Like You (A Happier Song) Featuring Doja Cat

‘I Like You’ น่าจะเป็นเพลงโรแมนติกอันดับต้น ๆ ของ Post Malone เลยก็ว่าได้ ฟังแล้วจะรู้สึกแฮปปี้ เพราะบีทมีความ Catchy ติดหูอยู่พอสมควร รวมไปถึงยังให้ความรู้สึกสดใสสดชื่นเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ ส่วนเนื้อหาของเพลงก็หวานหยดย้อยเลยละครับ เพราะเป็นการพูดถึงมุมมองความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายที่ส่งความรักให้กัน หากมีโอกาสเปิดกับแฟนน่าจะมีบิดตัวด้วยความเขินกันบ้างละ ในขณะเดียวกันการดึง Doja Cat เข้ามาร่วมงานก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ เพราะเสียงของโดจาหวานและสื่ออารมณ์เก่งอยู่แล้ว ทำให้เพลงนี้สมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิม

8. Better Now

‘Better Now’ คือหนึ่งในซิงเกิลจากอัลบั้มดังอย่าง Beerbongs & Bentleys โดยซิงเกิลนี้มียอดขายสูงถึงระดับ Diamond ในอเมริกาหรือยอดขายรวมมากกว่า 10 ล้านยูนิต ซึ่งดนตรีของเพลงนี้จะผสมกันระหว่าง Rap และ R&B คือบีทจะดุเดือดแต่ใส่ความเป็น R&B ให้ตัวเพลงดูมีลูกเล่น ฟังไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกปวดหัว ฟังแล้วสนุกแต่ก็รู้สึกผ่อนคลายไปด้วยในตัว เป็นเพลงที่เหมาะมากในการเปิดช่วง Summer ทั้งนี้ Taylor Swift เองก็การันตีคุณภาพให้กับเพลงนี้ด้วยครับ เพราะเธอบอกกับ Post เองว่าเธอชอบเพลงนี้ โดยเฉพาะท่อนฮุคของเพลงที่ดีมาก ๆ หากใครยังไม่เคยได้ฟัง อยากให้ไปฟังกันครับรับรองว่าไม่ผิดหวัง