ก่อนหน้านี้ผมได้แนะนำเพลงสากลสุดฮิตในแต่ละยุคให้ทุกคนได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็น เพลงสากลยุค 70 ซึ่งคนในยุคนั้นจะมีเทรนด์การฟังแนวดนตรีแบบ Disco หรือ Soul จากนั้นในเพลงในยุค 80 ก็จะเปลี่ยนแปลง เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มจะไปฟัง R&B มากขึ้น ต่อมาในยุค 90 เพลง Pop ก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยศิลปินชื่อดังอย่าง Michael Jackson ได้ทำการบุกเบิกดนตรีป็อปไว้ในช่วงปลายปี 80 จนเราเห็นศิลปินหน้าใหม่ที่มาทางสายนี้โดยเฉพาะ อย่างเช่น Britney Spears, Cristina Aguilera หรือ Justin Timberlake ซึ่งศิลปินที่ว่ามานี้ก็เป็นแรงบันดาลใจต่อศิลปินชื่อดังในปัจจุบันมากมาย นั่นคือ Lady Gaga, Ariana Grande, Taylor Swift, Bruno Mars หรือ Justin Bieber
แต่หากพูดกันตามจริงก็ต้องบอกว่าเพลง POP ไม่ได้รุ่งเรืองเพียงแค่ปลายยุค 80 หรือ 90 เท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้ว มันเคยฮิตมาก่อนตั้งแต่ ‘เพลงสากลยุค 60’ เพราะหากสังเกตให้ดี เพลงที่สามารถขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ได้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นป็อปแทบทั้งสิ้น โดยถ้าถามว่าทำไมคนในยุคนั้นถึงนิยมเพลงแนวนี้กัน
ก็ต้องบอกว่ายุค 60 มีเหตุการณ์เกี่ยวกับสังคมโลกหลายอย่าง การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับคนผิวสี หรือ สงครามเวียดนาม แต่ละเหตุการณ์ถือว่าล้วนจะสร้างความตึงเครียดให้กับผู้คน แน่นอนว่าการที่จะฮีลความรู้สึกของคนได้ดี คงหนีไม่พ้นเพลงสนุก ๆ อย่าง Pop และยังมีศิลปินหลายคนที่ใช้เพลงนี้ในการขับเคลื่อนและสร้างความเท่าเทียมในสังคมอีกด้วย ทั้งนี้อาจจะมีการแซมด้วย Rock & Roll หรือ Soul เข้ามาบ้างเพื่อเพิ่มสีสันให้วงการ ซึ่งจะมีเพลงฮิตอะไรบ้าง ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันครับ
1. Are You Lonesome Tonight? – Elvis Presley

แนวเพลง | Pop |
---|---|
ค่ายเพลง | RCA Victor |
ผู้แต่งเพลง | Lou Handman และ Roy Turk |
โปรดิวเซอร์ | Steve Sholes และ Chet Atkins |
เพลงในปี | 1960 |
ถึงแม้ศิลปินระดับตำนานอย่าง Elvis Presley จะจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่บทเพลงและเสียงร้องอันไพเราะของเขายังคงฝังอยู่ในใจของใครหลายคน ซึ่งหนึ่งในเพลงอันโด่งดังของเขาในยุค 60 คือ ‘Are You Lonesome Tonight?’ เป็นเพลงแนว Country Pop จังหวะช้า ๆ กับเสียงหล่อของเขาที่ร้องคลอไปกับกีตาร์ โดยเนื้อหาของเพลงจะเกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวัง หลังจากที่ความสัมพันธ์จบลงแต่ความห่วงหาอาทรยังคงมีอยู่ ในการที่จะถามว่า “คุณรู้สึกเหงาหรือป่าว ?” บอกได้เลยว่าเป็นเพลงที่คนอกหักฟังคงจะต้องอกแตกตายร้องไห้ฟูมฟายกันไปทั้งโลก แต่ในแง่ของเพลงต้องบอกว่าเสียงของ Elvis ดีมากจนดึงให้คนฟังสามารถฟังไปได้เรื่อย ๆ ทั้งเพลง
2. Hey Jude – The Beatles

แนวเพลง | Pop rock |
---|---|
ค่ายเพลง | Apple |
ผู้แต่งเพลง | Lennon–McCartney |
โปรดิวเซอร์ | George Martin |
เพลงในปี | 1968 |
Hey Jude เป็นเพลงที่เขียนขึ้นโดย Paul McCartney แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยกเครดิตให้กับ Lennon–McCartney โดยเบื้องลึกเบื้องหลังของเพลงนี้มาจากการที่ Paul ต้องการให้กำลังใจกับ Julian ลูกชายของ Lenon ที่มีอายุเพียงแค่ 5 ขวบในตอนนั้น แต่เขากำลังจะต้องเผชิญกับพ่อแม่ที่หย่าร้างกัน ซึ่งความจริงใจและการให้กำลังใจที่ออกมาจากหัวใจของเขาจริง ๆ เลยทำให้เพลงนี้กินใจคนฟังกันไปถ้วนหน้า กลายเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ให้กำลังใจหลายคนได้ดี จนสามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และถูกยกให้เป็นเพลงอันดับที่ 8 จากทั้งหมด 500 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ หากใครที่กำลังหาเพลงให้กำลังใจดี ๆ สักเพลง “Hey Jude” จะปลอบประโลมหัวใจของคุณได้
3. I’m a Believer – The Monkees

แนวเพลง | Pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Colgems |
ผู้แต่งเพลง | Neil Diamond |
โปรดิวเซอร์ | Jeff Barry |
เพลงในปี | 1966 |
“I’m a Believer” คือเพลงที่ขายดีมากที่สุดในปี 1967 และมียอดขายซิงเกิ้ลทั่วโลกมากกว่า 10 ล้าน ก็อปปี้ ทั้งยังสามารถขึ้นอันดับ 1 ได้ถึง 12 ประเทศ ซึ่งสาเหตุที่เพลงนี้ค่อนข้างจะดัง ก็เนื่องจากเพลงมีความ Easy Listening ฟังได้ง่ายและเต้นตามดนตรีได้เรื่อย ๆ ตามสไตล์เพลง Pop อีกทั้งหลังจากปล่อยเพลงออกมาสื่อทุกสำนักที่วิจารณ์เพลงต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเพลงนี้จะดัง และแน่นอนว่ามันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ โดยความดังของเพลงนี้ทำให้มีเวอร์ชันโคฟเวอร์ประกอบอนิเมชั่นชื่อดังอย่าง “Sherk” ที่เด็กหลายคนอาจเคยดูกันผ่านตากันมาบ้าง
4. Tossin’ and Turnin’ – Bobby Lewis

แนวเพลง | R&B |
---|---|
ค่ายเพลง | Beltone |
ผู้แต่งเพลง | Ritchie Adams และ Malou Rene |
โปรดิวเซอร์ | – |
เพลงในปี | 1961 |
หลายคนอาจเคยได้ฟังเพลงนี้ผ่านหูมาโดยไม่รู้ว่าเพลงชื่ออะไรและใครเป็นคนร้อง โดย Tossin’ and Turnin’ จะเป็นแนวเพลง R&B ซึ่งเป็นดนตรีจังหวะสนุก ๆ ซิกเนเจอร์ของเพลงจะเป็นคอรัสที่ร้อง “จู๊ดจูดจู๊ดู๊ดจู๊ด” เป็นอะไรที่คลาสสิกมากของยุค 60 หากใครอยากฟังและสัมผัสในยุคนี้จริง ๆ เพลงนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก สร้างความสนุกให้กับทุกคนที่ฟังได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ความโด่งดังของเพลงคือการอยู่บนชาร์ตอันดับ 1 ได้ยาวนานถึง 7 สัปดาห์ ซึ่งต้องบอกว่าน้อยคนมากที่จะทำได้ อีกทั้ง Billboard ยังวางเพลงนี้ไว้บนหิ้ง ด้วยการจัดอันดับให้ Tossin’ and Turnin’ อยู่ในอันดับ 27 ที่โด่งดังมากที่สุดตลอดกาลบนชาร์ต Billboard
5. Sugar, Sugar – The Archies

แนวเพลง | Bubblegum pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Calendar, Kirshner และ RCA Records |
ผู้แต่งเพลง | Andy Kim และ Jeff Barry |
โปรดิวเซอร์ | Jeff Barry |
เพลงในปี | 1969 |
Sugar, Sugar ถูกเขียนขึ้นโดย Andy Kim และ Jeff Barry โดยทุกคนที่เคยดู Music Video ของเพลงนี้จะคุ้นชินกับตัวการ์ตูนที่เป็นวงดนตรี ซึ่งในแง่ของแนวดนตรีของเพลงจะเป็น Bubblegum Pop ที่สนุกและฟังไปได้จนจบเพลงแบบไม่มีเบื่อ โดยหาของเพลงจะเป็นเชิงจีบสาว ที่หนุ่ม ๆ หลายคนในช่วงยุคนั้นใช้เป็นสื่อกลางในการบอกรักกัน ถึงแม้เพลงจะสนุกที่ก็แซมด้วยความโรแมนติกหวาน ๆ หากใครอยากสร้างโรแมนติกกับแฟนของตัวเองด้วยเพลงสุดคลาสสิก ผมแนะนำเพลงนี้ของวง The Archies เลยครับ
6. In the Year 2525 – Zager and Evans

แนวเพลง | Folk rock และ psychedelic rock |
---|---|
ค่ายเพลง | RCA Victor |
ผู้แต่งเพลง | Rick Evans |
โปรดิวเซอร์ | Zager and Evans |
เพลงในปี | 1969 |
ถึงแม้ว่า Zager และ Evans จะถูกตั้งฉายาให้ว่าเป็น ‘one-hit wonder’ หรือศิลปินที่มีเพลงดังหรือพีคเพียงแค่เพลงเดียว แต่ก็บอกได้เลยว่าเพลงสุดฮิตที่เขาฝากไว้กับวงการเพลงอย่าง ‘In the Year 2525’ เป็นอะไรที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใครเลยในยุคนั้น โดยเนื้อเพลงจะเป็นการสันนิษฐานเรื่องราวในอนาคต ที่มนุษย์ทุกคนจะอยู่ในความศิวิไลซ์ ทุกอย่างในชีวิตจะเป็นระบบออโต้ทั้งหมด จนคนไม่จำเป็นจะต้องขยับเขยื่อนตัวแม้แต่น้อย รวมไปถึงวันอวสานโลกที่จะเกิดขึ้นในปี 7510 ซึ่งต้องบอกเลยว่าในปี 1969 มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะดูแปลกใหม่มาก ๆ ยิ่งในช่วงที่ Apollo 11 สามารถลงจอดบนดวงจันทร์ได้ เพลงนี้ก็สามารถไต่ขึ้นไปยังอันดับ 1 ในทันที สำหรับคนที่อยากฟังอะไรคลาสสิกแต่ยังคงดูแปลกใหม่เพลงนี้ถือว่าตอบโจทย์ ความพิเศษอีกอย่างคือเรื่องราวภายในเพลงหลายอย่างสะท้อนและตรงกับหลายเหตุการณ์ในปัจจุบันจนน่าตกใจ
7. Where Did Our Love Go – The Supremes

แนวเพลง | Pop-soul |
---|---|
ค่ายเพลง | Motown |
ผู้แต่งเพลง | Holland–Dozier–Holland |
โปรดิวเซอร์ | Brian Holland และ Lamont Dozier |
เพลงในปี | 1964 |
The Supremes เป็นวงศิลปินหญิงที่ดังมากในช่วงนั้น ซึ่งหนึ่งในศิลปินที่หลายคนรู้จักกันดีคือ Diana Ross ซึ่งเป็น Lead Vocal หรือนักร้องนำของวง โดยเบื้องหลังก่อนที่เพลงนี้จะเรกคอร์ตเสียงโดย The Supreme ‘Where Did Our Love Go’ เคยถูกเสนอให้กับวงอื่นมาก่อนนั่นคือ The Marvelettes แต่ได้รับการปฎิเสธเพราะมองว่าเพลงมีท่อนฮุคที่ไม่น่าสนใจพอ จนในที่สุดทาง Brian Holland และ Lamont Dozier จึงได้มอบเพลงนี้ให้กับ The Supremes แทน และมีการเปลี่ยนคีย์ให้เข้ากับไดอาน่า จากนั้นเมื่อเรกคอร์ตเสียงเสร็จแล้วก็ปล่อยออกมา จนในที่สุดเพลงนี้ก็ดังเป็นพลุแตก เพราะด้วยดนตรีจังหวะ Pop-soul น่ารัก ๆ สามารถเบลนเข้ากับความหวานของเสียงไดอาน่าได้แบบลงตัวทุกมิติ
8. Ode to Billie Joe – Bobbie Gentry

แนวเพลง | Country และ Blues |
---|---|
ค่ายเพลง | Capitol |
ผู้แต่งเพลง | Bobbie Gentry |
โปรดิวเซอร์ | Kelly Gordon และ Bobby Paris |
เพลงในปี | 1967 |
หนึ่งในเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คงต้องยกให้ ‘Ode to Billie Joe’ ของ Bobbie Gentry เพราะเพลงนี้สามารถเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ได้ถึง 8 สาขา และได้รับรางวัลกลับมาถึง 3 สาขาด้วยเพียงนี้เพียงแค่เพลงเดียว นอกจากนี้สื่อชื่อดังที่วิจารณ์เพลงแบบตรงไปตรงมาอย่าง Pitchfork และ Rolling Stones ก็ยกให้เพลงนี้คือหนึ่งในเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ถ้าให้วิเคราะห์ว่าทำไมเพลงถึงดังและได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางบวกได้มากขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่าเนื้อเพลงที่ดี รวมไปถึงเสียงของ Bobbie ที่มีเอกลักษณ์และเท่ห์ ขอเพียงแค่มีกีตาร์เล่นคลอไปกับเสียงของเธอ ทุกอย่างก็ออกมาได้อย่างเพอร์เฟคแล้วครับ
9. Downtown – Petula Clark

แนวเพลง | Soul |
---|---|
ค่ายเพลง | Pye และ Warner Bros. |
ผู้แต่งเพลง | Tony Hatch |
โปรดิวเซอร์ | Tony Hatch |
เพลงในปี | 1964 |
Downtown น่าจะเป็นที่ถูกใจชาวเมือง เนื่องจากเนื้อเพลงของมันจะบอกเกี่ยวกับความศิวิไลซ์ในตัวเมือง หากคุณรู้สึกเบื่อก็เดินไปดูหนัง ถ้าไม่มีอะไรทำก็เพียงแค่เดินมองไฟที่ส่องประกายอยู่ตามถนน อีกทั้งคุณยังมีโอกาสที่จะเจอคนดี ๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งด้วยเนื้อเพลงที่เหมือนกับชีวิตผู้คนนับล้านในอเมริกา มันจึงทำให้คนเปิดเพลงนี้กันแบบทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งตัวเพลงที่เป็นดนตรีเร็วจังหวะสนุกผสมกับการร้องแบบ Soul ตามสไตล์ Petula Clark ก็ทำให้เพลงนี้สามารถเปิดฟังได้โดยไม่มีเบื่อ จนในที่สุดก็สามารถคว้า Grammy Awards และชาร์ตอันดับ 1 มาครองได้แบบไม่ยากเย็น
10. Chapel of Love – The Dixie Cups

แนวเพลง | Pop, R&B และ soul |
---|---|
ค่ายเพลง | Red Bird |
ผู้แต่งเพลง | Jeff Barry, Ellie Greenwich และ Phil Spector |
โปรดิวเซอร์ | Jerry Leiber, Mike Stoller, Ellie Greenwich และ Jeff Barry |
เพลงในปี | 1964 |
เพลงนี้เป็นเพลงแนวความรักที่มีการถ่ายทอดถึงความรู้สึกจริง ๆ จาก Jeff Barry and Ellie Greenwich (ผู้แต่งเพลง) ในเหตุการณ์ความตื่นเต้นในวันแต่งงาน ที่พวกเขาจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป ซึ่งด้วยความน่ารักของเพลงที่ฟังและเข้าถึงได้ง่ายตามสไตล์ Pop และ R&B รวมไปถึงประสานอันไพเราะของวง The Dixie Cups ทำให้เพลงนี้สามารถเขี่ยเพลงของ The Beatles ลงมาจากบัลลังก์อันดับ 1 ได้ และครองตำแหน่งอยู่ได้นานถึง 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ด้วยความเป็นตำนานและความคลาสสิก ปัจจุบันเพลงนี้ยังถูกใช้ในซีรีส์ Station 19 ที่ถ่ายทอดออกอากาศเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เองครับ
11. Happy Together – The Turtles

แนวเพลง | Psychedelic pop และ pop rock |
---|---|
ค่ายเพลง | White Whale |
ผู้แต่งเพลง | Alan Gordon และ Garry Bonner |
โปรดิวเซอร์ | Joe Wissert และ Chip Douglas |
เพลงในปี | 1967 |
Happy Together เป็นเพลงซึ่งอยู่ในอัลบั้มที่ 3 ของ The Turtles วงร็อกสัญชาติอเมริกัน โดยเบื้องหลังของเพลงนี้ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Alan Gordon แต่กว่าเพลงนี้จะมาลงตัวที่ The Turtles มันเคยถูกปฎิเสธจากศิลปินอื่นมาแล้วกว่า 12 ครั้ง ฉะนั้นเพลงนี้เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อวงนี้โดยเฉพาะ ถึงขนาดที่สมาชิกบอกกันเป็นเสียงเดียวว่าตัวเพลงลงตัวเข้ากับวงของพวกเขามาก ซึ่งความโดดเด่นของเพลงจะอยู่ที่ดนตรี Pop แต่ยังคงแซมด้วยบีทที่ไม่ความเป็น Rock & Roll ตามสไตล์ของวงไว้อยู่ เมื่อฟังจะทำให้คุณรู้สึก Feeling Good ในทุกครั้งที่ได้ฟัง
12. People Got to Be Free – The Rascals

แนวเพลง | Blue-eyed soul |
---|---|
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Felix Cavaliere และ Eddie Brigati |
โปรดิวเซอร์ | The Rascals และ Arif Mardin |
เพลงในปี | 1968 |
เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ขับเคลื่อนและสะท้อนสังคมได้เป็นอย่างดี ตามที่ชื่อเพลงบอกนั่นคือ “ทุกคนจะต้องมีอิสระ” โดยจุดประสงค์ของเพลงต้องการที่จะให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม ที่ในอเมริกามีการเหยียดผิวค่อนข้างจะเยอะมาก ทั้งนี้ด้วยการทำเพลงออกมาเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียมก็ทำให้มันกินใจอเมริกันชนหลายคน จนเพลงนี้สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้นานถึง 5 สัปดาห์ และยังคงอิมแพคจนถึงทุกวันนี้
13. Get Back – The Beatles with Billy Preston

แนวเพลง | Blues rock |
---|---|
ค่ายเพลง | Apple |
ผู้แต่งเพลง | Lennon–McCartney |
โปรดิวเซอร์ | George Martin และ Phil Spector |
เพลงในปี | 1969 |
‘Get Back’ เป็นอีกหนึ่งเพลงตำนานของทาง The Beatles ที่ได้ร่วมร้องกับ Billy Preston โดยความโด่งดังของเพลงคือการที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงได้ทุกทวีป เนื่องจากตัวเพลงที่มีความเป็น Blues Rock ผสมรวมเข้ากับการร้องของ The Beatles ได้พอดิบพอดี ทำให้เพลงนี้ฟังได้ค่อนข้างจะเพลิน ส่วนในแง่ของดนตรีก็ทำออกมาได้อย่างละเมียดละไมตามมาตรฐานของวง ที่เสียงกีตาร์โดดเด่น ทำให้เพลงนี้มีกลิ่นอายของความคลาสสิก ที่ไม่ว่าจะเปิดฟังในยุคไหนก็ไม่มีเบื่อ
14. Save the Last Dance for Me – The Drifters

แนวเพลง | Pop และ soul |
---|---|
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Doc Pomus และ Mort Shuman |
โปรดิวเซอร์ | Jerry Leiber และ Mike Stoller |
เพลงในปี | 1960 |
Save the Last Dance for me คือเพลงรักระดับตำนานที่เหมาะกับการเปิดเรียกความโรแมนซ์ให้กับคู่ของคุณได้ในงานเต้นรำหรืองานสังสรรค์ โดยออริจินอลของเพลงได้ถูกร้องโดยวง The Drifters ที่บอกได้เลยว่าเพราะจับใจมาก อีกทั้งดนตรีที่มีความเป็น Pop ผสมเข้ากับ Soul ก็ค่อนข้างลงตัวคือเปรียบเสมือนกับการผสมความหวานเข้ากับความเค็ม เพิ่มรสชาติให้เกิดมิติใหม่ขึ้นมา ซึ่งความโดดเด่นตรงนี้ทำให้เพลงประสบความสำเร็จไปทั่วอเมริกา และมีศิลปินดังหลายคนที่นำไปโคฟเวอร์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Dolly Parton หรือ Michael Bublé ที่ทำออกมาได้เพราะไปอีกแบบ
15. He’s So Fine – The Chiffons

แนวเพลง | Pop และ doo-wop |
---|---|
ค่ายเพลง | Laurie Records |
ผู้แต่งเพลง | Ronald Mack |
โปรดิวเซอร์ | Phil Margo, Mitch Margo, Jay Siegal และ Hank Medress |
เพลงในปี | 1963 |
He’s So Fine มีกลิ่นอายของยุค 60’s เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือคอรัสที่ประสานในแนว golden oldies หรือที่ร้องว่า “doo-lang” ซึ่งถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเพลง เมื่อฟังจะทำให้เราเหมือนได้นั่งไทม์แมคชีนกลับไปในยุคนั้นเสมอ ในขณะเดียวกันมันยังเหมาะกับการฟังในวันสบาย ๆ ตามสไตล์ Doo-wop และ Pop ที่ชวนคุณให้ลุกขึ้นเต้นไปตามจังหวะเพลง
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเพลงที่ผมได้แนะนำไป ถ้าหากสังเกตจะเห็นได้ว่าเพลงสากลยุค 60 ถือเป็นยุคหนึ่งที่มีคุณภาพและครบรสทั้ง เพลงรัก, เพลงโรแมนติก, เพลงอกหัก หรือแม้แต่เพลงขับเคลื่อนสังคมอย่าง เพลงให้กำลังใจ ก็มีให้เลือกฟังมากมาย ซึ่งถ้าหากใครที่เริ่มเบื่อความเป็นอิเล็กโทรอย่าง HipHop ในปัจจุบัน ก็ลองกลับมาหาความคลาสสิกอีกครั้งได้ด้วยเพลย์ลิสต์เพลงยุค 60 ที่ผมแนะนำกันไปครับ