โรคนอนไม่หลับถือเป็นภัยใกล้ตัวของทุกคนใบโลกใบนี้เลยละครับ เพราะด้วยทุกวันนี้มีปัญหาทางสังคมมากมายทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจที่แย่เนื่องจากโรคระบาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง ในขณะเดียวกันความเครียดในเรื่องของการเรียนและการทำงานก็ต้องมีการแข่งขันกันในทุกวัน มองไปทางไหนก็มีแต่ความเครียดเต็มไปหมด

ซึ่งความเครียดเป็นจุดชนวนหรือจุดเริ่มต้นของ ‘โรคนอนไม่หลับ’ นั่นเองครับ โดยอย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อร่างกายไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ ผลที่ตามมาคือร่างกายจะเริ่มอ่อนล้า ทำกิจวัตรประจำวันในชีวิตได้ไม่สะดวก เช่น ไม่มีสมาธิในการเรียน หรือประสิทธิภาพในการทำงานถดถอยลง รวมไปถึงมีอาการหงุดหงิดหรือกระสับกระส่าย ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่าการนอนหลับของตัวเองไม่เป็นปกติ เราก็ควรจะรีบหาทางแก้ไข ก่อนที่อาการเหล่านี้จะพัฒนาเป็นโรคเรื้อรังจนยากจะจัดการครับ
อาการของโรคนอนไม่หลับ มีอะไรบ้าง ?
อาการของโรคนอนไม่หลับจะมีหลายอย่าง โดยหากใครมีอาการเหล่านี้เป็นประจำนั่นหมายความคุณเข้าข่ายที่จะเป็นโรคนอนไม่หลับ

- นอนหลับยาก
- สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกหลายครั้ง
- ตื่นขึ้นมาในช่วงกลางคืน
- ตื่นเช้ามากและไม่สามารถกลับไปนอนได้
- รู้สึกเหนื่อยหลังจากตื่น
- งีบระหว่างวันยาก แม้จะรู้สึกว่าเหนื่อย
- รู้สึกเหนื่อยและหงุดหงิดระหว่างวัน
- รู้สึกไม่มีสมาธิเพราะเหนื่อย
หากคุณเริ่มมีอาการของโรคนอนไม่หลับในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือไม่เกิน 3 เดือน อาการนี้จะเรียกว่า ‘การนอนไม่หลับเป็นครั้งคราว’ แต่ถ้ามีอาการนานกว่า 3 เดือนเป็นต้นไปจะเรียกว่า ‘โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง’ ซึ่งอาจจะต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง
นอนกี่ชั่วโมงจึงจะเพียงพอ ?
ระยะเวลาในการพักผ่อนของคนในแต่ละกลุ่มจะไม่เหมือนกัน โดยระยะเวลาของการพักผ่อนที่เพียงพอจะควรจะเป็น ดังนี้

- ผู้ใหญ่ควรนอนอย่างน้อย 7 ถึง 9 ชั่วโมง
- เด็กควรนอนอย่างน้อย 9 ถึง 13 ชั่วโมง
- เด็กวัยหัดเดือนและทารกควรนอนอย่างน้อย 12 ถึง 17 ชั่วโมง
ทั้งนี้เกณฑ์ข้างต้นจะใช้ได้กับคนที่ไม่ได้เหนื่อยมากในระหว่างวัน แต่สำหรับใครที่มีกิจกรรมหรือทำงานหนักในระหว่างวัน ระยะเวลาในข้างต้นก็อาจไม่เพียงพอครับ
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับ ?
โรคนอนไม่หลับมีอยู่หลากหลายเหตุผลมากครับ แต่โดยปกติแล้วปัจจัยส่วนใหญ่จะเกิดมาจากสาเหตุ ดังนี้

- ความเครียด, โรควิตกกังวล หรือโรคซึมเศร้า
- รอบข้างมีเสียงรบกวน
- อุณหภูมิในห้องหนาวหรือร้อนมากจนเกินไป
- เตียงนอนไม่ค่อยมีคุณภาพหรือนอนไม่ค่อยสบาย
- ดื่มแอลกอฮอล์, กาแฟ หรือนิโคติน
- อาการเจ็ตแล็ก
- ทำงานไม่เป็นเวลา (ทำงานเป็นกะ)
วิธีการรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยตัวเอง
โรคนอนไม่หลับสามารถแก้ไขง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง
สิ่งที่ควรทำ
|
สิ่งที่ไม่ควรทำ
|

ปรึกษาเภสัชกรเพื่อหายาที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
คุณสามารถเดินเข้าร้านยาเพื่อปรึกษากับทางเภสัชกรให้ทำการจ่ายยาได้ โดยยาบางตัวที่จ่ายจะมีสารสกัดจากทางธรรมชาติ อย่างเช่น ลาเวนเดอร์, วาเลอเรี่ยน หรือเมลาโทนิน ทั้งนี้ยาข้างต้นไม่สามารถช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับได้ แต่อาจช่วยให้เรานอนหลับง่ายยิ่งขึ้นในระยะเวลาประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ เมื่อนอนหลับก็ควรหยุดใช้ทันที เพราะตัวยามีผลกระทบในระยะยาว เช่น รู้สึกง่วงในระหว่างวัน หรือมีอันตรายต่อการขับขี่ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและตรวจเกี่ยวกับสาเหตุของตัวโรคก่อน

ใครบ้างที่ควรพบแพทย์เพื่อรักษาโรคนอนไม่หลับ
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วก็ไม่สามารถทำให้อาการดีขึ้น
- มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนนานกว่า 1 เดือน
- การนอนไม่หลับส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การเรียนหรือการทำงาน
แพทย์รักษาโรคนอนไม่หลับอย่างไร ?
แพทย์จะประเมินอาการและวินิจฉัยก่อนว่าสาเหตุจากการนอนไม่หลับเกิดจากอะไร เพื่อจะได้รักษาคนไข้อย่างถูกต้อง ในบางเคสกับต้องเข้าพบนักบำบัดเพื่อรักษาด้วยวิธีการ CBT หรือที่เรียกว่า ‘การบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม’ เพื่อให้การนอนหลับดียิ่งขึ้น ส่วนในบางรายอาจส่งตัวไปเช็กว่ามีอาการอื่น ๆ หรือไม่ เช่น ภาวะหยุดหายใจ เป็นต้น
ทั้งนี้ในปัจจุบันแพทย์จะไม่ค่อยจ่ายยานอนหลับสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากตัวยามีผลข้างเคียงจากยาค่อนข้างมาก โดยถ้าหากแพทย์จ่ายยานอนหลับส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดให้รับประทานยาเพียงแค่ไม่กี่วันหรือเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
Reference:
- Insomnia – https://www.nhs.uk/conditions/insomnia/