ในวงการแรปเปอร์หรือฮิปฮอปต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าผู้ชายจะค่อนข้างดังและมีอิทธิพลมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากความสนุกและเทคนิคการแรปของผู้ชายจะดุเดือดกว่า จะมีเพียงแรปเปอร์หญิงเพียงไม่กี่คนที่ขึ้นมายืนเป็นตัวท็อปของวงการเพลงได้ ถ้าในอดีตเราคงจะนึกถึง Lil’ Kim, Missy Elliott หรือ Lauryn Hill แต่ถ้าในยุคนี้แน่นอนว่าคงจะหนีไม่พ้น Nicki Minaj และอีกคนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับของแฟนเพลงในยุคนี้คือ ‘Cardi B’ เพราะด้วยการแต่งเพลงและการทำเพลงที่ดุเดือด บวกกับสกิลการแรปและเอกลักษณ์เสียงที่ไม่เหมือนใคร
ความดังของคาร์ดิไม่ได้หยุดแค่เพียงในแถบอเมริกาเท่านั้น แต่ดังไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ‘Bodak Yellow’ หรือเพลงฮิตติดชาร์ตอย่าง ‘WAP’ ที่เปิดกันแทบจะทุกคลับในทั่วโลก แน่นอนว่าผลงานเพลงของ Cardi B ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เบื้องลึกเบื้องหลังก่อนจะมาเป็นนักร้องดังในทุกวันนี้ ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนคิด ดังนั้นในวันนี้เราจึงอยากจะมาเขียน ‘ประวัติและผลงานเพลง Cardi B’ ให้ทุกคนได้รู้จักเธอมากขึ้น
ประวัติของคาร์ดิ บี (Cardi B)
Cardi B หรือชื่อเต็มที่คุณพ่อและคุณแม่ตั้งให้เธอว่า ‘Belcalis Marlenis Almánzar’ เกิดในรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณพ่อของเธอโดยพื้นเพแล้วเป็นคนโดมินิกันส่วนคุณแม่ชาวตรินิแดด ดังนั้นเธอจึงเป็นลูกครึ่งเชื้อสายแอฟโฟร–ละติน ในวัยเด็กเธอเติบโตในบร็องซ์กับคุณย่า ทั้งนี้เมื่อเธอร่วมเข้าสู่วงการและเป็นที่รู้จักมาขึ้นบนโลกโซเชียล เธอก็ได้เปลี่ยนชื่อให้มีซิกเนเจอร์มากขึ้น ด้วยแรงบันดาลใจจากเหล่ารัมที่ชื่อว่า ‘Bacardi’ และตัดคำว่า ‘Ba’ ออกจากเหลือคำว่า ‘Cardi’ ซึ่งเป็นชื่อที่เธอใช้มาจนถึงวันนี้

ในช่วงวัยรุ่นคาร์ดิได้เข้าเรียนไฮท์สคูลเกี่ยวกับละครเวทีและเทคโนโลยี อีกทั้งเธอยังทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต ‘Amish deli’ แต่ไม่นานเธอก็ถูกไล่ออก แต่ด้วยเธอจำเป็นต้องทำงานและใช้เงิน เธอจึงตัดสินใจทำงานเป็นนักเปลื้องผ้า แม้ว่าหลังจากตัดสินใจเธอจะต้องทะเลาะกับคุณแม่จนถึงขนาดโดนไล่ออกจากบ้าน เพราะในช่วงแรกเธอโกหกแม่ว่าเธอไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในบ้านคนรวย ซึ่งนี่เป็นสาเหตุว่าทำไมคุณแม่ถึงโกรธเธอหนักมาก แต่เธอให้สัมภาษณ์ว่าอย่างน้อยเธอก็มีเงินใช้ในชีวิตประจำวันและไม่ต้องทนเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว
หลังจากที่เธอเก็บเงินได้ถึงจำนวนหนึ่งแล้ว คาร์ดิก็ตัดสินใจเลิกเป็นนักเปลืองผ้าและเข้าเรียนชั้นมหาวิทยาลัยใน ‘Borough of Manhattan Community College’ แต่ไม่นานเธอก็ดร็อปเรียนเพื่อออกมาทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง
ก่อนที่คาร์ดิจะเข้าวงการเพลงอย่างจริงจัง เธอเคยมีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกออนไลน์ทั้งในแพลตฟอร์ม Instagram และ Vine ช่วงปี 2013 ต่อมาในปี 2015 เธอก็ได้เข้าร่วมรายการเรียลลิตี้ชื่อว่า ‘Love & Hip Hop: New York’ เป็นรายการที่เกี่ยวกับความรักและการทำดนตรี Hip-hop ซึ่งการเข้าร่วมรายการทำให้เธอยิ่งดังกระฉูดขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อชื่อเสียงดังขึ้นเธอก็มีโอกาสในการทำเพลงและรีมิกซ์เพลงต่าง ๆ

โดยอัลบั้มมิกซ์เทปอัลบั้มแรกอาจจะไม่ได้ปังสักเท่าไหร่นัก แต่มันก็สามารถต่อยอดให้เธอมีคอนเนคชั่นในวงการเพลงมากยิ่งขึ้น จนมาถึงในปี 2017 เธอก็ได้เซ็นสัญญาร่วมกับค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง ‘Atlantic Records’ และเข้าชิงรางวัล BET Awards อีกด้วย แต่ซิงเกิลที่เปิดประตูให้เธอดังไปทั่วโลกและดึงเธอขึ้นมาเป็นตัวแม่ในวงการนั่นคือซิงเกิล ‘Bodak Yellow’ ที่ขึ้นอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 และยังสร้างสถิติเป็นแรปเปอร์หญิงคนแรกในรอบ 19 ปี ที่ปล่อยซิงเกิลเดี่ยวออกมาแล้วสามารถขึ้นอันดับ 1 ได้
ความปังของคาร์ดิยังมาแรงอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ว่าจะปล่อยซิงเกิลอะไรออกมา เพลงก็ไต่ขึ้น Top 10 ตลอด แต่ที่สร้างความฮือฮากันทั้งวงการนั่นคือการที่เธอสามารถคว้ารางวัล Grammy Awards ในสาขา อัลบั้มแรปแห่งปี ซึ่งคู่แข่งของเธอแต่ละคนเรียกว่าหินมาก แต่เธอก็สามารถคว้ารางวัลมาได้สำเร็จ ถือเป็นแรปเปอร์หญิงคนแรกในรอบหลายสิบปีที่ทำได้ ดังนั้นคาร์ดิจึงเป็นที่ยอมรับมากขึ้น จนตอนนี้เธอไม่ได้เป็นแค่ตัวท็อปในฝั่งของแรปเปอร์หญิงเท่านั้น แต่กลายเป็นศิลปินชั้นนำของวงการเพลงระดับโลกไปแล้วเรียบร้อย
1. Bodak Yellow (Money Moves)
แนวเพลง | Hip Hop และ Trap |
ค่ายเพลง | Atlantic และ KSR |
ผู้แต่งเพลง | Belcalis Almánzar, Dieuson Octave, Klenord Raphael, Jorden Thorpe, Anthony White และ Laquan Green |
โปรดิวเซอร์ | J. White Did It และ Laquan Green |
เพลงในปี | 2017 |
‘Bodak Yellow’ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตส่วนตัวของเธอในพาร์ทของการเป็นนักเต้นเปลื้องผ้า โดยเธอบอกเล่าผ่านเพลงอย่างจริงใจ ความพิเศษของเพลงนี้คือเธอฟังบีทและลงมือเขียนด้วยตัวเอง ทั้งนี้บีทจะมีความมินิมอล ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรมากมาย แต่ด้วยการแรปอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เราติดอยู่ในภวังค์ของเพลงและไหลไปตามเพลงได้ตลอด 3 นาที แม้แต่นักวิจารณ์เพลงเองยังบอกว่าเพลงนี้ไม่ต้องมีท่อนฮุคให้จดจำอะไรมากมาย เพราะการแรปของคาร์ดิแบบเรียล ๆ ทำให้เราฟังได้อย่างไม่มีเบื่อ เรียกว่าเป็น Masterpiece ของคาร์ดิที่ฟังกี่ครั้งก็คลาสสิกไม่มีคำว่าเบื่อ
2. Girls Like You
แนวเพลง | Pop และ Pop Rock |
ค่ายเพลง | 222 และ Interscope |
ผู้แต่งเพลง | Adam Levine, Henry Walter, Belcalis Almanzar, Brittany Talia Hazzard, Jason Evigan และ Gian Stone |
โปรดิวเซอร์ | Cirkut และ Jason Evigan |
เพลงในปี | 2018 |
เพลง ‘Girls Like You’ เป็นการร่วมงานระหว่างคาร์ดิและวงดังระดับตำนานอย่าง Maroon 5 โดยตัวเพลงจะเป็น Pop Rock ฟังสบาย ๆ มีความเป็น Easy Listening ซึ่งการดึงคาร์ดิมาแรปในเพลงก็ช่วยให้เพลงฟังดูมีมิติสนุกมากขึ้น สร้างสีสันให้กับเพลงได้ดีมาก ถึงขนาดที่นักวิจารณ์เพลงบางสื่อบอกเลยว่าท่อนแรปของคาร์ดิช่วยเซฟชีวิตของเพลงนี้เลยทีเดียว ดังนั้นนอกจากในแง่ของการตลาดแล้ว ต้องยอมรับว่าคาร์ดิช่วยดึงให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงคุณภาพมากขึ้นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
3. WAP
แนวเพลง | Hip Hop, Dirty Rap และ Trap |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Cardi B, Megan Pete, Austin Owens, James Foye III, Frank Rodriguez และ Jorden Thorpe |
โปรดิวเซอร์ | Ayo the Producer และ Keyz |
เพลงในปี | 2020 |
‘WAP’ เป็นอีกซิงเกิลหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับคาร์ดิเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลายคนมองว่าเพลงนี้ดังได้เพราะเนื้อหาที่ Sexy และพูดถึงเรื่อง Sexual กันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ความเป็นจริงแล้วดนตรีและบีทของเพลงนี้มันส์ถึงใจมาก ๆ เปิดมาแค่ท่อนแรกก็ดังตึ๊บ ๆ พร้อมที่จะลุกขึ้นเต้นตามบีท ทั้งนี้ด้วยเสียงคาร์ดิและเมแกนซึ่งเข้ามา Collabration ในครั้งนี้มีการแรปที่เดือดและค่อนข้างดิบ ทำให้เพลงยิ่งมันส์เข้าไปใหญ่ อีกทั้งบีทยังติดหู Replay 500 รอบก็ยังคงสนุกได้เรื่อย ๆ
4. I Like It
แนวเพลง | Latin trap และ Hip Hop |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Belcalis Almanzar, Benito Ocasio, José Osorio, Tony Pabón, Marcos Masis,Jesus Nieves, Manny Rodriguez, Jorden Thorpe, Anthony White, Vincent Watson, Edgar Machuca, Xavier Vargas, Edgar Vargas และ Benny Bonnilla |
โปรดิวเซอร์ | J. White Did It, Tainy, Craig Kallman และ Invincible |
เพลงในปี | 2018 |
‘I Like It’ น่าสนใจตรงที่คาร์ดิได้เอาความเป็น Latin ใส่เข้ามาในเพลง ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความแปลกใหม่อยู่พอสมควรสำหรับการทำเพลงของคาร์ดิ ซึ่งดนตรีที่ใช้จะผสมผสานระหว่าง Trap และ Hip-hop ถือเป็นการจับชนกันที่ดีมาก ๆ เพราะบีทสนุกแต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงความสบายไม่หนักจนเกินไปเหมือนกับ Hip-hop จ๋า ๆ นอกจากนี้การดึง J Balvin และ Bad Bunny เข้ามาร่วมสร้างสีสันก็ถือว่าเป็นช้อยส์ที่ถูกต้องมาก เพราะสาย Latin ทั้งคู่ร้องออกมาได้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเพลงนี้ถึงขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ
5. Up
แนวเพลง | Hip Hop, Pop และ Trap |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Belcalis Almanzar, Joshua Baker, Jorden Thorpe, Edis Selmani, CEO Mark Savage, James Steed และ Matthew Allen |
โปรดิวเซอร์ | Yung Dza, DJ SwanQo, Sean Island และ DJ Prince |
เพลงในปี | 2020 |
ความเดือดและสกิลในการแรปของเพลง ‘Up’ เรียกได้ว่าทะลุปรอทเลยละครับ ไม่มีจังหวะให้แฟนเพลงได้หยุดหายใจแม้แต่วินาทีเดียว ส่วนเนื้อหาที่หลายคนอาจมองว่า Shade แต่ความเป็นจริงแล้วถ้าหากวิเคราะห์เพลงนี้ดี ๆ เพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่ให้กำลังใจและฝ่าฝันอุปสรรคซะด้วยซ้ำ เพราะคาร์ดิได้เอาประสบการณ์ในชีวิตของเธอ เปลี่ยนจากการดูถูกและการเหยียบย่ำกลายเป็นพลังในการที่ทำให้เธออยู่ในจุดสูงสุดตอนนี้เหมือนกับชื่อเพลง ‘Up’ ที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
6. Finesse
แนวเพลง | New jack swing, Hip Hop Soul และ Funk |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Bruno Mars, Philip Lawrence, Christopher Brody Brown, James Fauntleroy,Johnathan Yip, Ray Romulus, Jeremy Reeves, Ray McCullough II, Belcalis Almanzar และ Klenord Raphael |
โปรดิวเซอร์ | Shampoo Press & Curl และ The Stereotypes |
เพลงในปี | 2018 |
ในช่วงปี 2017 – 2018 ถือว่าเป็นช่วงยุคทองของคาร์ดิ และมีศิลปินแนวหน้าหลายคนอยากจะร่วมงานกับคาร์ดิ ซึ่งหนึ่งในคนที่อยากร่วมงานกับคาร์ดิมาก ๆ คือ Bruno Mars โดยเพลงนี้ก็เป็นการนำเอา Hip-hop Soul และ Funk ช่วงยุค 90 เข้ามาใส่ทำให้เพลงดูมีความคลาสสิก แต่เทคนิคการร้องสไตล์ R&B ก็ทำให้ยังดูโมเดิร์น อีกทั้งการแรปก็เบลนไปกับดนตรีได้ไร้ที่ติ เรียกว่าเป็นอีกเพลงหนึ่งที่ทั้งคู่ทำออกมาได้ดีและเป็นที่น่าจดจำครับ
7. Please Me
แนวเพลง | R&B, Hip Hop และ Soul |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Belcalis Almanzar, Bruno Mars, James Fauntleroy, Jonathan Yip, Ray Romulus, Jeremy Reeves และ Ray McCullough II |
โปรดิวเซอร์ | Bruno Mars และ The Stereotypes |
เพลงในปี | 2019 |
‘Please Me’ เป็นเพลงหวานโรแมนติกซ์ที่มีจังหวะสนุก ๆ เป็นอีกหนึ่งเพลงที่นักวิจารณ์และแฟนเพลงค่อนข้างเซอร์ไพร์สในตัวคาร์ดิ เพราะหลายคนคุ้นชินกับการแรปสไตล์ดุเดือดและเนื้อหาในเพลงที่มีความรุนแรง แต่ในเพลงนี้เธอกลับเปลี่ยนเทคนิคการแรปให้ดูหวานขึ้นช้าขึ้น จนเบลนเข้ากับเพลงได้พอดีมาก ๆ มีความหวานตามสไตล์ของเธอเอง ส่วนทางด้านของบรูโน่ที่ร้องเพลงรักดีอยู่แล้วก็ช่วยทำให้เพลงนี้มีความ Sweet Charming เหมาะมากสำหรับการเปิดสร้างบรรยากาศกับแฟนในช่วงวันครบรอบหรือวันวาเลนไทน์
8. No Limit
แนวเพลง | Trap และ dirty rap |
ค่ายเพลง | RCA |
ผู้แต่งเพลง | Gerald Gillum, Rakim Mayers, Belcalis Almanzar, Edgar Machuca, Klenord Raphael, Allen Ritter, Matthew Samuels, Earl Taylor และ Jordan Thorpe |
โปรดิวเซอร์ | Boi-1da และ Allen Ritter |
เพลงในปี | 2017 |
หากใครชอบสไตล์การแรปแบบเรียล ๆ ดุเดือดบอกเลยว่า ‘No Limit’ เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีเลยครับ เพราะเพลงนี้เป็นการรวมตัวกันของแรปเปอร์มากกว่า 3 คน ไม่ว่าจะเป็น Cardi B, G-Easy และ A$AP Rocky ซึ่งทั้งสามคนถือว่าเป็นแรปเปอร์ชั้นนำของวงการที่มีการแรปเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เพลงนี้ดุเดือดในทุกจังหวะชองเพลง อีกทั้งในท่อนของคาร์ดิก็มีการนำเอา Sample ดนตรีมาจาก ‘Slob On My Knob’ เป็นเพลงในปี 1999 ทำให้เพลงนี้คลาสสิกแตกต่างไม่เหมือนใคร จัดว่าเป็นเพลงแรปคุณภาพอันดับต้น ๆ ของปีนั้นเลยครับ