Kodaline อาจไม่ใช่วงที่ดังทะลุปรอทหรือสร้างสถิติระดับโลกอะไรมากมาย แต่วงนี้สามารถยืดหยัดอยู่ในวงการเพลงได้ยาวนาน เพราะความสามารถทางด้านการทำเพลงและการแต่งเพลงที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน โดย Kodaline เป็นวงที่เน้นทำดนตรีออกมาในสไตล์ Indie Pop หรือ Alternative Rock ฟังแล้วลื่นหูรู้สึกเหมือนร่างกายได้รีเฟรชกลับมาให้รู้สึกสดชื่นอีกครั้งหนึ่ง แต่ที่เป็นไฮไลท์ของวงนี้เลยคือเนื้อหาของเพลงที่ไม่ได้ใส่เพียงแค่ความสนุกหรือเขียนส่ง ๆ
แต่ทุกคนพูดกันเป็นเสียงเดียวกัน Kodaline ทำให้ใครหลายคนสามารถก้าวเดินต่อไปในชีวิตและมีกำลังใจมากขึ้น เป็นเพลงที่เซฟชีวิตหลายคน ดังนั้นใครที่ยังไม่เคยรู้จักวงนี้มาก่อน Kodaline เป็นวงที่ผมแนะนำรับรองว่าไม่มีผิดหวัง และในวันเสาร์ที่ 16 ตุลาคมก็จะมาแสดงที่ประเทศไทยของเราด้วย ซึ่งในวันนี้ผมจึงถือโอกาสมาแชร์ ‘ประวัติและผลงานเพลง Kodaline’ ให้ทุกคนได้ทำการบ้านเพื่อไปร้องเพลงตามศิลปินดัง ๆ ในคอนเสิร์ตครับ
ประวัติของวง Kodaline (โคดาไลน์)
ในอดีตช่วงปี 2005 – 2011 วง Kodaline เคยมีชื่อว่า ‘21 Demands’ มาก่อน แต่สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อวงก็เนื่องจากสอดคล้องกับแนวเพลงใหม่ ๆ และความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ทั้งนี้สมาชิกในวงจะมีทั้งหมด 4 คน ได้แก่ Steve Garrigan, Mark Prendergast, Vincent May และ Jason Boland โดย Steve และ Mark รู้จักกันตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ในขณะที่ Vincent และ Jason เข้ามาตั้งวงดนตรีกันในช่วงวัยรุ่น

ตั้งแต่สมัยที่วงยังคงใช้ชื่อ 21 Demands ทางวงได้มีการเข้าร่วมรายการโชว์แสดงความสามารถที่ชื่อว่า ‘You’re a Star’และคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศมาได้ หลังจากนั้นก็เริ่มทำเพลงเป็นของตัวเองและปล่อยซิงเกิล ‘Give Me a Minute’ ออกมาให้แฟนเพลงฟังกันในเว็บไซต์ จนเพลงนี้สามารถพิชิตอันดับ 1 ในประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งในช่วงนั้นวงมีชื่อเสียงในประเทศของตัวเองมาก ๆ
แต่ช่วงที่ทำให้วงมีชื่อเสียงมากขึ้นในระดับนานาชาติคือปี 2012 เพราะได้มีการ EP (อัลบั้มย่อย) พร้อมกับซิงเกิลระดับตำนานอย่าง ‘All I Want’ ออกมาทางวิทยุและรายการ BBC ในประเทศอังกฤษ เมื่อวงเริ่มมีกระแสมากขึ้นก็เลยได้ทำอัลบั้มแรกอย่าง ‘In a Perfect World’ ออกมา และต้องบอกว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นเพลง Love Like This, High Hope และ All I Want ก็เป็นเพลงที่โด่งดังในยุโรปและแม้แต่ในแถบเอเชียอย่างประเทศไทยก็ตกหลุมรักวงนี้กันไปเยอะมาก

หลังจากปี 2012 เป็นต้นมาวงก็มีกระแสและปล่อยอัลบั้มออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งในปี 2015, 2018 และ 2020 ทั้งยังได้มีโอกาสทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก แม้ว่าวงอาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงชนิดที่สั่นสะเทือนวงการอุตสาหกรรมเพลง แต่ในแง่ของคุณภาพเพลงที่ปล่อยออกมา ไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าวงนี้คือวงชั้นนำที่สร้างความสุขให้กับแฟนเพลงและส่งเอเนอร์จี้ดี ๆ ให้กับคนทั่วโลกครับ
1. All I Want
แนวเพลง | Alternative rock และ folk rock |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | James Flannigan, Steve Garrigan, Vincent May และ Mark Prendergast |
โปรดิวเซอร์ | Stephen Harris |
เพลงในปี | 2013 |
‘All I Want’ เป็นเพลงระดับตำนานของทางวงที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน เพราะทั้งเนื้อหาเพลงและดนตรีเรียกว่าเพอร์เฟคในทุกมิติ มีความนุ่มนวลฟังสบายหูบวกกับดนตรีที่ทำให้เราชิลและเอ็นจอยไปได้ตลอดทั้ง มีการนำเอาดนตรี Alternative Rock ที่ให้ความดุดันไม่น่าเบื่อ แต่แซมเอาความเป็น Folk เข้าไปให้แข็งกร้าวจนเกินไป ถึงแม้ว่าเนื้อเพลงอาจจะเศร้านิดหน่อยเรียกน้ำตาของคนอกหักไปบ้าง แต่องค์รวมของเพลงทำให้ทุกคนรู้สึกอินและเปิดฟังวนไปได้แบบไม่มีเบื่อครับ
2. High Hopes
แนวเพลง | Indie rock และ indie folk |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | Steve Garrigan, Mark Prendergast และ Vincent May |
โปรดิวเซอร์ | Stephen Harris |
เพลงในปี | 2013 |
‘High Hopes’ น่าจะเป็นเพลงที่ทัชใจใครหลาย ๆ คน เป็นเหมือนเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่กำลังประสบปัญหาในชีวิตกำลังจะหาทางออกให้กับตัวเอง หวังเพียงว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะผ่านพ้นเวลาอันเศร้าหมองไปได้ ทั้งนี้ด้วยเพลงที่มาในจังหวะช้า ๆ บวกกันเสียงร้องอันทรงพลังและดนตรีสไตล์ Indie Rock ก็เป็นดนตรีที่ฟังสบายเข้าถึงง่าย ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนกับหลุดเข้าไปในเพลง ยิ่งสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีแต่ความเครียด เพลงนี้จึงได้รับความนิยมและเหมือนเป็นตัวแทนของชีวิตใครหลายคน
3. Brother
แนวเพลง | Indie pop |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | Jason Boland, Vincent May, Corey Sanders, Jon Maguire, Mark Prendergast,Alex Davies และ Stephen Garrigan |
โปรดิวเซอร์ | Two Inch Punch และ Stephen Harris |
เพลงในปี | 2017 |
สำหรับคนที่มีพี่น้องหรือมีการสูญเสียเกิดขึ้น เพลงนี้อาจเรียกน้ำตาของคุณได้ไม่มากก็น้อย เพราะเพลงนี้ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพี่น้องที่มีความห่วงใยซึ่งกันและกัน แม้ว่าสุดท้ายแล้วคนหนึ่งอาจจะต้องจากไปแต่ความรักและห่วงใยยังคงเต็มเปี่ยมอยู่ภายในหัวใจ ถือเป็นเพลงที่ค่อนข้าง Emotional และด้วยดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ที่ใช้อย่าง Indie Pop ก็ทำให้พลังความอบอุ่นและเนื้อเพลงมีความลึกซึ้งมากขึ้น จนแฟนเพลงยกให้เพลงนี้เป็นหนึ่งใน Masterpiece ที่สร้างความประทับใจให้ใครหลายคน
4. The One
แนวเพลง | Indie rock และ alternative rock |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | Steve Garrigan, Mark Prendergrast, Vincent May และ Jacknife Lee |
โปรดิวเซอร์ | Jacknife Lee |
เพลงในปี | 2015 |
‘The One’ เป็นเพลงที่เปิดในงานแต่งงานค่อนข้างบ่อย เพราะเพลงนี้ถ่ายทอดความรู้สึกเกี่ยวกับความรักของคน ๆ หนึ่งที่มอบความรักความจริงใจให้แก่คนที่ตัวเองรักและเชื่อมั่นว่าคน ๆ นั้นจะเป็นหนึ่งเดียวที่จะอยู่กันไปได้ตลอดชีวิต ส่วนดนตรีที่ใช้ก็ยังคงความเป็น Indie และ Alternative Rock ที่อบอวลไปด้วยความสุข ฟังแล้วสัมผัสด้วยถึงเอเนอร์จี้ดี ๆ ไม่ว่าฟังในสถานการณ์ไหนก็ทำให้แฟนเพลงยิ่มได้เสมอ ยิ่งถ้าเปิดกับแฟนตัวเองก็ทำให้โรแมนติกขึ้นอย่างแน่นอน
5. One Day
แนวเพลง | Alternative rock และ indie folk |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | Steve Garrigan, Mark Prendergrast และ Vincent May |
โปรดิวเซอร์ | Stephen Harris |
เพลงในปี | 2014 |
‘One Day’ ไม่ได้แค่เป็นเพลง Indie หรือ Alternative เพราะ ๆ เท่านั้น แต่เพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ให้กำลังใจและสอดแทรกคำสอนดี ๆ เอาไว้ เพราะเนื้อหาของเพลงพูดถึงการไม่ยึดติด ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและหายไปเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปยึดติดกับอะไรเดิม ๆ ที่เรียกคืนมาไม่ได้ เพราะเวลาเดินอยู่ตลอด ใช้เวลาเหล่านี้ไปทำอะไรที่มีประโยชน์กว่าการนั่งจมปลักอยู่กับที่ให้เสียเวลาชีวิต เป็นเพลงที่ทุกคนควรฟังครับความหมายดีมาก ส่วนดนตรีก็ไม่ต้องห่วงอยู่แล้วเพราะวงนี้โปรดิวซ์เพลงออกมาได้ดีอยู่แล้ว
6. Ready
แนวเพลง | Rock |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | Jason Boland, Vincent May, Mark Prendergast และ Steve Garrigan |
โปรดิวเซอร์ | Stephen Harris |
เพลงในปี | 2015 |
‘Ready’ มาในสไตล์ของ Rock ฟิลลิ่งกู้ด เพราะดนตรีและมู้ดของเพลงมีความสดใส ฟังแล้วเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ ถ้าเปิดในช่วงซัมเมอร์หรือช่วงพักผ่อนในวันหยุดจะเหมือนได้รีเฟรชอารมณ์ให้สดใสมากยิ่งขึ่น ในขณะที่เนื้อเพลงก็ยังคงความซิกเนเจอร์คือเป็นเพลงที่ Meaningful มีความหมายแฝงให้เราได้คิดและเหมือนได้เรียนรู้อะไรดี ๆ จากเพลง โดยเพลงนี้จะพูดถึงการกล้าลองและกล้าทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เป็นเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน
7. Follow Your Fire
แนวเพลง | Alternative Pop |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | Steve Garrigan, Johnny McDaid และ Steve Mac |
โปรดิวเซอร์ | Steve Mac |
เพลงในปี | 2018 |
‘Follow Your Fire’ อาจฉีกแนวดนตรีจากเพลงอื่นมาเล็กน้อย เพราะโดยปกติแล้ว Kodaline ค่อนข้างทำดนตรีที่ให้กลิ่นอายของความเป็น Rock ค่อนข้างเยอะ แต่ในเพลงนี้ทางวงเลือกที่จะเน้นไปทาง Pop ซะมากกว่า ถึงแม้ว่าดนตรีจะมีความเบาลงแต่ความลึกซึ้งและความเพราะของเพลงไม่ได้จางหาย แถมยังเพิ่มความ Catchy หรือทำให้เพลงติดหูมากขึ้นด้วยครับ ส่วนเนื้อเพลงก็น่ารักเป็นการเล่าถึงความสัมพันธ์ที่มีให้กันตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่นจนถึงปัจจุบันที่โตแล้วความรักดี ๆ เหล่านั้นก็ยังคงเดินไม่มีเปลี่ยน ดังนั้นเพลงนี้จึงเป็นอีกเพลงที่เปิดในงานแต่งค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
8. Love Will Set You Free
แนวเพลง | Rock |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | Steve Garrigan, Johnny McDaid, Vincent May และ Mark Prendergast |
โปรดิวเซอร์ | Johnny McDaid |
เพลงในปี | 2015 |
ถึงแม้ว่า ‘Love Will Set You Free’ อาจจะไม่ใช่เพลงฮิตที่สุดของทางวง แต่เพลงนี้ปลุกกำลังใจให้ใครหลายคนเดินก้าวต่อไปในชีวิตของตัวเอง แม้ว่าเราจะแบกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้บนบ่า แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีด้วยความรักที่มีให้กับตัวเอง ความเศร้าหมองเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเพียงแค่คุณ แต่ทุกคนย่อมผ่านหนทางนี้ไม่มากก็น้อยดังนั้นต้องก้าวเดินต่อไปเดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง ทั้งนี้ด้วยเมโลดี้ที่เพราะในทุกโน้ตและการร้องที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี ทำให้เพลงนี้มู้ดค่อนข้างดีฟังแล้วรู้สึกมีกำลังใจยิ่งถ้าเปิดในตอนเช้าจะเป็นอะไรที่ชาร์ตพลังให้กับเราได้ดีมาก ๆ
9. Wherever You Are
แนวเพลง | Pop และ indie pop |
ค่ายเพลง | B-Unique |
ผู้แต่งเพลง | Mark Prendergast, Vincent May, Steve Garrigan และ Jason Boland |
โปรดิวเซอร์ | Kodaline |
เพลงในปี | 2020 |
เบื้องหลังของเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นแต่งโดย Steve Garrigan ในช่วงที่เขากำลังออกไปทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ทำให้เขาไม่มีเวลาในการเจอกับแฟนของตัวเองนานหลายเดือน ซึ่งในเพลงนี้จะถ่ายทอดถึงความคิดถึงของเขาที่มีให้แฟน ที่ไม่ว่าทั้งคู่จะอยู่ห่างกันแค่ไหนแต่หัวใจยังใกล้กันอยู่เสมอ ถือเป็นอีกเพลงที่น่ารักความหมายดี ทั้งยังเป็น Indie Pop ฟังง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร สำหรับใครที่มีคู่น่าจะชอบเพลงนี้กันเป็นพิเศษครับ