ช่วงปลายปีนี้ถือเป็นช่วงที่ศิลปินระดับโลกหลายคนเดินทางเข้ามาโชว์ในไทยกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Sam Smith, Post Malone และที่พูดถึงกันมากคือ ‘Charlie Puth’ นักร้องและนักแต่งเพลงคุณภาพที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผลงานเพลงที่คนไทยหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างเช่น See You Again, We Don’t Talk Anymore หรือ Degerously ที่ร้องกันได้แบบทั่วบ้านทั่วเมือง ดังนั้นก่อนที่จะเข้าไปรับชมคอนเสิร์ตกันในวันที่ 6 ตุลาคม 2566 นี้ อยากให้แฟนเพลงทุกคนมาทำความรู้จักชาร์ลีมากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าไปสนุกในคอนเสิร์ต ซึ่งในบทความนี้ผมจะมาแชร์ ‘ประวัติ/ผลงานเพลง Charlie Puth’ ที่หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนครับ
ประวัติของ Charlie Puth (ชาร์ลี พูท)
Charlie Puth เกิดในเมืองรัมสัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวัยเด็กชาร์ลีเคยได้รับอุบัติเหตุจากการโดนสุนัขกัดบริเวณคิ้ว ทำให้เกิดรอยแผลเป็นหรือรอยบากระหว่างคิ้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นรอยแผลเป็นแต่มันก็ทำให้ใครหลายคนจดจำเหมือนเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ในวัยเด็กคุณแม่ของเขาพยายามผลักดันชาร์ลีให้ได้พัฒนาการร้องและการเล่นดนตรีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้ได้เรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบและเริ่มฟังเพลงคลาสสิกมากขึ้น ความสามารถทางด้านดนตรีของชาร์ลีพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ติดมากับตัว
เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 10 ขวบ ชาร์ลีได้เรียนเพลงแจ๊สและเข้าร่วมชมรมดนตรีในโรงเรียนที่สอนการละครเวที จากนั้นเพียง 2 ปีเขาก็ได้รับการจ้างงานให้ไปแสดงใน Count Basie Center for the Arts ในวัยเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยมัธยมต้นชาร์ลีก็ได้ทำอัลบั้มด้วยตัวเอง แต่งทั้งเนื้อเพลงและโปรดิวซ์ซึ่งอัลบั้มนั้นเขาขายได้ประมาณ 600 ดอลล่าร์หรือประมาณ 2 หมื่นกว่าบาทไทย ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก

ด้วยพรสวรรค์ทางด้านดนตรีของเขาโดดเด่นมากทำให้ชาร์ลีเข้าเรียนในโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับดนตรีโดยเฉพาะ เมื่อเขาเรียนจบแล้วเรียบร้อยก็ได้เปิดช่องใน Youtube ของตัวเองเพื่อเผยแพร่ผลงานเพลง จนกระทั่งวิดีโอของเขาไปแตะตา Perez Hilton จนได้เงินสปนเซอร์ รวมไปถึงการโคฟเวอร์เพลงดังอย่าง ‘Someone Like You’ ของ Adele จนคลิปโคฟเวอร์เริ่มเป็นไวรัล ทำให้เขาได้ไปแสดงโชว์ในรายการชื่อดัง ‘The Ellen DeGeneres Show’ และการแสดงโชว์ตามเทศกาลเพลงต่าง ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดังจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือการได้เป็นหนึ่งในนักร้องและโปรดิวเซอร์ที่ทำเพลง ‘See You Again’ ร่วมกับ Wiz Khalifa เพื่อประกอบภาพยนตร์ดัง Furious 7 และรำลึกถึงนักแสดงดัง ‘Paul Walker’ โดยเพลงนี้ดังมากจนสามารถขึ้นอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 ได้ต่อเนื่อง 3 เดือน ทั้งยังเข้าชิงรางวัล Grammy ถึง 3 สาขา ทำให้ชาร์ลีกลายเป็นนักร้องดังในชั่วข้ามคืน ปี 2015 ถือเป็นปีทองและการเปิดตัวที่สวยงาม หลังจากนั้นไม่ว่าจะปล่อยซิงเกิลอะไรก็มีกระแสอยู่เสมอ
ชาร์ลีได้รับโอกาสในการร่วมงานกับศิลปินมากความสามารถเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น G-Easy, Selena Gomez, Liam Payne, Jungkook และแต่งเพลงให้กับศิลปินในวงการเยอะมาก ตั้งแต่ปี 2015 มาจนถึงปี 2023 ระยะเวลากว่า 8 ปี Charlie Puth ก็ยังคงมีชื่อในกระแสอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยความสามารถในการร้องและการทำเพลงที่แฟนเพลงทั่วโลกต่างยอมรับ
1. See You Again
แนวเพลง | Hip hop และ pop rap |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Cameron Thomaz, Charlie Puth, Justin Franks, Andrew Cedar, Dann Hume,Josh Hardy และ Phoebe Cockburn |
โปรดิวเซอร์ | Charlie Puth, DJ Frank E, Andrew Cedar, Kevin Weaver และ Mike Caren |
เพลงในปี | 2015 |
‘See You Again’ เป็นเพลงที่ชาร์ลีได้เข้าไปร่วมแต่งเพลงและโปรดิวซ์ให้กับภาพยนตร์ดังฟอร์มยักษ์อย่าง ‘Furious 7’ ในตอนนั้นเพลงนี้ถือว่าเป็นกระแสดังไปทั่วโลกและเป็นเพลงที่เหมือนกับการเปิดตัว Charlie Puth อย่างเต็มตัวในวงการอุตสาหกรรมเพลง ความโด่งดังของเพลงในตอนนั้นทำลายสถิติเยอะมากไม่ว่าจะเป็นยอดใน Youtube มากที่สุดในช่วงนั้น และยังขึ้นเป็นอันดับ 1 นานติดต่อกันถึง 12 สัปดาห์ หากใครชอบฟังเพลงแร็ปนุ่ม ๆ กับเสียงคอรัสหล่อ ๆ ผสมกับเนื้อเพลงที่เศร้าปนความคิดถึงต้องลองฟังเพลงนี้กันครับ
2. I Hope
แนวเพลง | Country และ country pop |
ค่ายเพลง | Warner Music Nashville |
ผู้แต่งเพลง | Gabby Barrett, Zach Kale และ Jon Nite |
โปรดิวเซอร์ | Zach Kale และ Ross Copperman |
เพลงในปี | 2019 |
Gabby Berrett ได้ปล่อยเพลงที่ชื่อว่า ‘I Hope’ ออกมา ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงคันทรีฟังง่าย ๆ หลังจากปล่อยออกมากระแสของเพลงก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเข้าชาร์ตและมียอดสตรีมมิ่งขึ้นแบบพุ่งทะยาน ด้วยการตอบรับที่ดี Gabby เลยได้ชวน Charlie เข้ามาร่วมร้องเป็นเวอร์ชัน Remix ทำให้เพลงนี้ยิ่งดังมากขึ้น เพราะเมื่อใส่เสียงของชาร์ลีเข้าไปทำให้เพลงนี้มีความเป็นคันทรี่ผสมกับป็อบ ฟังง่ายติดหูยิ่งขึ้นเหมือนเป็นการเพิ่มมิติใหม่ให้กับเพลง จนเพลงนี้สามารถขึ้นไปได้สูงถึงอันดับที่ 3 บน Billboard Hot 100
3. Attention
แนวเพลง | Pop rock |
ค่ายเพลง | Artist Partner และ Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Charlie Puth และ Jacob Kasher |
โปรดิวเซอร์ | Charlie Puth |
เพลงในปี | 2017 |
บีทของเพลง ‘Attention’ ให้ฟิลลิ่งเหมือนกับหลุดเข้าไปในช่วงยุค 80’s เพราะดนตรีมีความ Funk ผสมกับ Soul แต่ยังคงมีกลิ่นอายของ Pop Rock ในยุคใหม่ที่ทำให้กลมกล่อมเข้ากับยุคสมัย ถือเป็นบีทที่ติดหูหรือจะเรียกว่าหลอนหูในช่วงนั้นเลยก็ว่าได้ ต่อให้ฟังไปสัก 20 รอบก็ไม่มีเบื่อ ยิ่งถ้าได้เปิดในช่วงซัมเมอร์จะเป็นอะไรที่เข้ากับบรรยากาศมาก!! หลายคนยกให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ Timeless คือไม่ว่าจะฟังในยุคไหนเพลงก็ยังคงเฟรชเสมอ
4. We Don’t Talk Anymore
แนวเพลง | Pop |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Charlie Puth, Selena Gomez และ Jacob Kasher Hindlin |
โปรดิวเซอร์ | Charlie Puth |
เพลงในปี | 2016 |
‘We Don’t Talk Anymore’ น่าจะทำให้หลายคนรู้จักชาร์ลีมากขึ้น เพราะเพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นเพลงฮิตขึ้นหิ้งของทางชาร์ลีเลยก็ว่าได้ โดยเพลงมาในสไตล์ของ Pop ช้าหวาน ๆ ทั้งนี้ยังใส่กลิ่นอายของ trop-house ที่เข้ากับช่วงซัมเมอร์ เป็นเพลงที่เพราะแบบไม่ต้องคิดมากฟังครั้งแรกก็เข้าโสตประสาทหูเลยครับ ยิ่งการได้เซเลน่าเข้ามาร่วมร้องเพลงนี้ก็ยิ่งเพราะเข้าไปใหญ่ เพราะเสียงของทั้งคู่มีความนุ่มทำให้การประสานเสียงเพราะแบบไม่ต้องพยายาม แม้ว่าเนื้อเพลงอาจจะเศร้าสักหน่อยแต่เพลงนี้ก็เพราะจนทำให้เราเพลินไปได้ตลอดทั้งวัน
5. One Call Away
แนวเพลง | Pop-soul |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Charlie Puth, Justin Franks, Matt Prime, Shy Carter, Maureen McDonald และ Breyan Isaac |
โปรดิวเซอร์ | DJ Frank E และ Prime |
เพลงในปี | 2015 |
‘One Call Away’ อาจไม่ใช่เพลงที่ทำลายสถิติบนชาร์ตอะไรมากมาย แต่ในแง่ของคุณภาพเพลงต้องบอกว่าเพลงนี้ได้รับการยอมรับทั่วโลก เพราะด้วยเพลงนี้เป็น Pop-Soul ถือว่าเป็นเพลงที่ขายเสียงของชาร์ลีได้แบบเต็มที่ เพราะจังหวะของเพลงจะช้า ๆ มีเวลาให้ชาร์ลีได้ปล่อยเทคนิค แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับดนตรีนุ่ม ๆ ของ Pop ที่เบลนเข้ากับเสียงของชาร์ลีได้เป็นอย่างดี แฟนคลับหลายคนยกให้เพลงนี้เป็น Masterpiece ที่ไม่ว่าผ่านกี่ปีก็ยังคงเป็น One Of The Best Song
6. Marvin Gaye
แนวเพลง | Doo-wop, soul และ pop |
ค่ายเพลง | Artist Partner และ Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Charlie Puth, Julie Frost, Jacob Luttrell และ Nick Seeley |
โปรดิวเซอร์ | Charlie Puth |
เพลงในปี | 2015 |
‘Marvin Gaye’ ใช้ดนตรีในสายของ Doo-wop ดังนั้นเพลงนี้จะเด่นในเรื่องของบีทที่มีความหนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพลงช้าที่เป็นเพลงช้าแต่สนุกมีจังหวะของบีทที่ทำให้เราเต้นตามดนตรีไปได้ แต่ก็ยังมีการผสมผสานของ Soul และ Pop ทำให้เพลงกลมกล่อมมีความสมูธอยู่ในตัว ถือเป็นเพลงรักน่ารัก ๆ อีกหนึ่งเพลงที่ฟังได้เรื่อย ๆ แบบไม่มีเบื่อ ทั้งนี้การดึง Meghan Trainor เข้ามาในเพลงก็ทำให้เพลงยิ่งเพราะมากขึ้น เพราะท่อน Harmony ที่ทั้งสองคนร้องประสานเสียงกันเพราะจนต้องวนฟังซ้ำไปหลายรอบ ถ้าเปิดในช่วงดินเนอร์กับแฟนคงต้องมีหวานเลี่ยนกันบ้าง
7. Left And Right
แนวเพลง | Pop |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Charlie Puth และ Jacob Kasher Hindlin |
โปรดิวเซอร์ | Charlie Puth |
เพลงในปี | 2022 |
เป็นการร่วมงานที่ค่อนข้างเซอร์ไพร์สสำหรับแฟนเพลงหลายคน เรียกว่าในตอนนั้นกลายเป็นที่พูดถึงกันเยอะมากกับการร่วมงานของ Charlie Puth และ Jungkook จากวงบอยแบนด์ชื่อดังอย่าง BTS โดยดนตรีที่ใช้ในเพลงนี้จะเป็น Bubble Pop ที่ค่อนข้าง Catchy ฟังสบาย ๆ ในวันหยุด บีทของเพลงฟังได้เรื่อย ๆ ดนตรีไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนเน้นติดหู ฟังแค่ท่อนแรกก็หลุดเข้าไปในเพลงเหมือนได้ผ่อนคลายจากความวุ่นวาย ยิ่งเสียงนุ่ม ๆ ของทั้งสองคนก็ยิ่งทำให้เพลงนี้เพอร์เฟคแบบ 100% จนทำให้ยอดขายในอเมริกาแตะถึงระดับ Gold หรือยอดขายกว่า 5 แสนยูนิตและเข้าสู่ Billboard Hot 100 ในอันดับ 22 ได้สำเร็จ
8. Light Switch
แนวเพลง | Funk |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Charlie Puth, Jacob Kasher Hindlin และ Jake Torrey |
โปรดิวเซอร์ | Charlie Puth |
เพลงในปี | 2022 |
‘Light Switch’ ใช้ดนตรี Funk เหมือนได้นั่งไทม์แมคชีนที่ย้อนกลับไปในช่วง 70’s – 80’s อีกครั้ง ถึงแม้ว่าดนตรีจะวินเทจแต่ก็ต้องยอมรับว่าชาร์ลีทำออกมาได้ค่อนข้างถึง เพราะแม้แต่คนเจเนอร์เรชั่นใหม่ก็สามารถฟังได้ติดหูไม่ยาก และด้วยที่ Charlie Puth เป็นคนแต่งเพลงและโปรดิวซ์ด้วยมือของตัวเองก็ทำให้เพลงนี้เข้าปากมาก แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพลงดังอะไรมากมายแต่ก็เป็นเพลงคุณภาพที่ชาร์ลีฝากไว้ในวงการอีกหนึ่งเพลง
9. Dangerously
แนวเพลง | Pop |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Charlie Puth, Jonathan Rotem, Marco Rodriguez-Diaz, Jr., James Abrahart และ Alexander Izquierdo |
โปรดิวเซอร์ | Charlie Puth |
เพลงในปี | 2016 |
เพลงนี้คนไทยหลายคนน่าจะรู้จักหรือเคยได้ยินผ่านหูกันมาเยอะ เนื่องจากเป็นเพลงไวรัลที่สมาชิกในวง Baby Monster อย่าง Ahyeon นำไปโคฟเวอร์จนดึงเพลงนี้กลับมาฮิตอีกครั้ง ซึ่งจริง ๆ แล้วเพลงนี้ปล่อยออกมาตั้งแต่ปี 2016 เป็นเพลงที่ใช้ดนตรี Pop แต่เทคนิคการร้องถือว่าค่อนข้างโหด บวกกับเนื้อเพลงที่ค่อนข้างบาดลึกทำให้เพลงนี้มีความ Emotional ฟังกี่ครั้งก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์เพลง ถ้าหากใครกำลังอกหักแล้วได้ฟังเพลงนี้อาจจะมีน้ำหูน้ำตาไหลกันบ้าง