ในโลกปัจจุบัน หลาย ๆ คนคงทราบกันดีว่าโลกของเรากำลังประสบกับปัญหา “ภาวะโลกร้อน” ซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด อาทิเช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น ภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้มันส่งผลให้คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และเริ่มมีการหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น
ซึ่ง “รถยนต์“ เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ปัญหา ที่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้น เนื่องจากมันมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์, รถออโต้เมติด, รถบิ๊กไบค์, รถสปอร์ตไบค์, กระบะแค็บ, กระบะ 4 ประตู, รถครอบครัว (เล็ก), รถ SUV, รถ MPV, รถ PPV, B-Segment, C-Segment, D-Segment หรือแม้แต่รถอีโค่คาร์ก็ยังมีการปล่อยไอเสียออกมา ฉะนั้นคุณลองคิดเล่น ๆ ดูครับว่า บนโลกของเราใบนี้มันมีการใช้รถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์อยู่กี่ประเภท และมันมีจำนวนมากมายมหาศาลขนาดไหน ? ถึงแม้ว่าจะมีกฏหมายออกมาควบคุมการปล่อยไอเสีย แต่ก็นั่นแหละครับถึงแม้จะปล่อยออกมาเพียงน้อยนิด แต่เมื่อรวมกันก็มีปริมาณมหาศาลอยู่ดี ฉะนั้น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ดี และสะอาดที่สุด
รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) มีมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ส่งผลให้รถ EV ขับได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น ชาร์จได้รวดเร็วขึ้น มีสมรรถนะสูงขึ้น และใช้งานง่าย สะดวกสบายมากขึ้น จนสามารถพูดได้ว่า รถ EV มีประสิทธิภาพเทียบเท่า หรืออาจจะสูงกว่ารถยนต์ปกติไปแล้ว ซึ่งค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ต่างก็เริ่มพัฒนารถยนต์ในกลุ่มนี้กันมากขึ้น โดยปัจจุบันประเทศไทยของเรา ก็เริ่มมีการเปิดตัวออกมาเรื่อย ๆ และวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันครับว่า ปี 2021 นี้ ในบ้านเรามี รถ EV รุ่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง ?
1. NEW MG ZS EV
มากันที่รุ่นแรกครับกับเจ้า NEW MG ZS EV รถยนต์ SUV ที่มีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ รุ่นแรกของค่าย MG เป็นวัตกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง อยู่ภายใต้แนวคิด “Brit Dynamic” ทำให้ตัวรถสมบูรณ์แบบทุกด้าน ทั้งในด้าน สมรรถนะของรถ, การขับขี่, การออกแบบ, ความปลอดภัย รวมไปถึงการใช้งานที่เน้นความสะดวกสบาย พร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ต โฉบเฉี่ยว มีความคล่องตัว สมกับเป็นรถอเนกประสงค์ ตอบโจทย์ทุก ๆ การใช้งานได้เป็นอย่างดี

ดีไซน์ภายนอก หากมองเผิน ๆ จะใกล้เคียงกับ MG ZS รุ่นปกติ มีความต่างอยู่เล็กน้อย แต่ยังคงมีความหรูหรา มีสไตล์ที่ชัดเจน ตามแบบของ MG พร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ซ่อนปลั๊กสำหรับชาร์จอยู่หลังโลโก้ ล้อแม็กซ์ลายใหม่ และใช้สีที่ดูเหมาะกับ รถ EV อย่างสีฟ้า Copenhagen Blue ส่วนภายใน ออกแบบมาเป็นอย่างดี ตกแต่งด้วยวัสดุ Soft Touch ห้องโดยสารกว้าง เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า หน้าจอระบบสัมผัส 8 นิ้ว จัดองศาเอียงเข้าหาคนขับ ระบบปรับอากาศดิจิตอล ระบบกรองอากาศ สามารถกรอง PM2.5 หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา ซึ่งมีสัดส่วนกระจกถึง 90% ของหลังคา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อมหน้าปัดอัจฉริยะที่แสดงผลข้อมูลได้ครบถ้วนชัดเจน และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่จะทำให้คุณสะดวกสบายทุก ๆ การเดินทาง

ส่วนในด้านความปลอดภัย ก็ต้องบอกว่าอัดแน่น ระบบอัจฉริยะต่าง ๆ มีมาให้แบบครบครัน อาทิเช่น ระบบป้องกันล้อล็อก, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบเสริมแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์, ระบบตรวจสอบความผิดปกติลมยาง, ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน และอื่น ๆ อีกมากมาย ด้านสมรรถนะรุ่นนี้ใช้ มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า มีแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ความจุแบตเตอรี่ 44.5 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ทำระยะทางได้สูงสุดถึง 337 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อีกทั้งมีระบบ Regenerative Brake ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ในระหว่างขับขี่ได้ โหมดการขับขี่อีก 3 โหมด พร้อมให้คุณสนุกได้อย่างเต็มที่ มั่นใจทุกการขับขี่ ตอบโจทย์ทุกเส้นทาง
MG ZS EV สามารถรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ได้ ทั้งหมด 2 รูปแบบ ดังนี้ แบบแรกคือชาร์จแบบธรรมดา โดยใช้ MG Home Charger จะใช้เวลา 6.5 ชั่วโมง (100%) และอีกแบบคือชาร์จแบบเร็ว โดยชาร์จไฟผ่านสถานีชาร์จ จะใช้เวลา 30 นาที (80%) สำหรับ MG ZS EV มีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 1,190,000 บาท เท่านั้น ซึ่งถือเป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่เข้าถึงได้ไม่ยากเลย
2. All-New NISSAN LEAF
มาต่อกันที่ The All-New NISSAN LEAF กับความมหัศจรรย์ใหม่ แห่งการขับขี่ เป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% เจนเนอเรชั่นที่ 2 แล้วจากทาง Nissan ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ด้วยนวัตกรรมที่สมบูรณ์แบบ พร้อมกับดีไซน์ที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วยให้มันสามารถวิ่งทะลุผ่านอากาศได้ดียิ่งขึ้น และด้วยมิติของตัวรถที่มันไม่เล็กไม่ใหญ่ ทำให้มันมีความคล่องตัวสูง พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมาย ช่วยให้ทุก ๆ วันของคุณเต็มไปด้วยสีสัน ขับสนุก เร้าใจ ในทุกเส้นทาง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

รูปลักษณ์ภายนอก โดดเด่นด้วยกระจังหน้า V-Motion ที่ดูสปอร์ตล้ำสมัยเสริมลุครถยนต์ไฟฟ้า ไฟหน้าเป็นแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light โคมไฟหน้าและไฟท้าย รูปทรงบูมเมอแรง รับกับเส้นสายของตัวรถ ส่วนภายในได้รับการออกแบบมาอย่างปราณีต หรูหรา มีระดับ ด้วยเบาะนั่งหุ้มหนังเดินด้ายสีฟ้า พื้นที่กว้างขวาง พร้อมกับหน้าปัด Multi Information ที่สามารถบอกข้อมูลทุกอย่างได้ครบถ้วนและมองเห็นได้ง่าย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ทรง D-Shape ที่ให้อารมณ์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น และยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ จุได้ประมาณ 435 ลิตร เลยทีเดียว ถือเป็นรถที่ตอบโจทย์มาก สำหรับการใช้งานในเมือง

ในด้านความปลอดภัยจัดเต็มตามแบบรถยนต์แห่งอนาคตด้วยระบบต่าง ๆ ครบครัน อาทิเช่น ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชน, ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน, ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าขณะขับขี่, กล้องอัจริยะมองภาพรอบทิศทาง, ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง และระบบอื่น ๆ อีกมากมาย ในด้านขุมพลังมาพร้อม มอเตอร์ไฟฟ้า AC synchronous ที่ให้พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า มีแรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ Single Speed Gear Reduction ซึ่งจะส่งกำลังทันทีที่แตะคันเร่ง ขับเคลื่อนด้วยแบตฯลิเธียมไอออน ความจุ 40 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ทำระยะทางได้สูงสุด 311 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง พร้อมให้คุณมุ่งไปสู่ จุดหมายปลายทาง ด้วยความสนุก เร้าใจ และด้วยการผสานทุกเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสุด ช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกเส้นทาง
ในส่วนของระบบชาร์จไฟใน NISSAN LEAF เป็นรุ่นล่าสุด ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่ของคุณสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นขึ้น พร้อมมีแอปพลิเคชั่นที่ให้คุณเข้าถึงและค้นหาสถานที่ชาร์จได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มความปลอดภัยด้วยขั้วต่อชาร์จที่สามารถสั่งให้ล็อคได้ ส่วนการชาร์จมี 2 แบบ คือ การชาร์จแบบธรรมดา (มี 2 แบบ Normal Charge และ Double Speed Charge) และการชาร์จแบบเร็ว มาตรฐาน CHAdeMO สำหรับ NISSAN LEAF ตั้งราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,990,000 บาท (เป็นการนำเข้า CBU)
3. Hyundai IONIQ Electric
สำหรับเจ้า Hyundai IONIQ Electric เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ที่ Hyundai ได้มีการทำตลาดอย่างจริงจัง มาพร้อมกับดีไซน์การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ โฉบเเฉี่ยว ลู่ลม ชิ้นส่วนภายนอกถูกนำมารวมไว้บนพื้นผิวตัวถังรถอย่างลงตัว ทำให้ดูเรียบหรู สะอาดตา บวกกับเส้นสายรอบ ๆ ตัวรถ โดยเฉพาะเส้นสายสีทองแดงที่ได้มีการตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสื่อนำไฟฟ้า ช่วยตอกย้ำว่านี่คือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่สามารถพาคุณไปสู่ทุกจุดหมาย

การดีไซน์ภายนอกที่ดูล้ำยุคล้ำสมัย โดยกระจังหน้าถูกออกแบบมาให้ไม่มีช่องลม ช่วยลดแรงต้านอากาศและช่วยทำให้ดูเรียบหรู แปลกตาขึ้น โดดเด่นด้วยไฟหน้า Projector Lens พร้อมไฟ Daytime Running Light ทั้งหมด Full LED มีสปอยเลอร์หลัง ทำให้ตัวรถดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้นช่วยเพิ่มความสปอร์ต ส่วนภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยหนังสีดำตัดด้วยสีทองแดง เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับด้วยไฟฟ้ามาพร้อมระบบ Easy Access และที่ปรับดันหลังแบบไฟฟ้า พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ทรง D-Cut ที่ให้อารมณ์สปอร์ต มาตรวัดแบบดิจิตอล พร้อมหน้าปัดเรือนไมล์ LCD ขนาด 7 นิ้ว หน้าจอแสดงผลระบบสัมผัส ขนาด 5 นิ้ว ที่ชาร์จไร้สาย และอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นรุ่นที่มีทั้งความคล่องตัว ดีไซน์สวยงาม ล้ำสมัย มาพร้อมกับความสะดวกสบายครบครัน

ระบบความปลอดภัยจัดมาให้แบบครบครันไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง, ระบบตรวจสอบลมยาง, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบเตือนจุดอับสายตา, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ และระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ เป็นต้น ซึ่งช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ส่วนในเรื่องของสมรรถนะ IONIQ Electric ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าประเภท Permanent Magnet Synchronous Motor ถูกออกแบบให้ชิ้นส่วนใช้งานร่วมกันอย่างลงตัว สามารถทำพละกำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิด 295 นิวตัน-เมตร ทำความเร็วสูงสุด 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถทำระยะทางไกลสุดได้ 280 กิโลเมตร ถือเป็นรถอเนกประสงค์ที่สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งไลฟ์สไตล์ของคนเมือง
ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ของรุ่นนี้จะใช้เต้ารับ-เต้าเสียบ ชนิด CCS Combo และ Type 2 (7-Pin) ซึ่งสามารถรองรับการชาร์จได้ทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้ 1. ชาร์จ แบบทริคเคิ้ล คือ เต้าเสียบบ้าน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง (100%), 2. ชาร์จ แบบธรรมดา คือ เครื่องชาร์จวอลล์บ๊อกซ์ ใช้เวลา 4.25 ชั่วโมง (100%) และ 3. ชาร์จ แบบชาร์จเร็ว คือ สถานีชาร์จเร็ว ใช้เวลาเพียง 23 นาที (80%) สำหรับ IONIQ Electric พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้วตอนนี้ โดยตั้งราคาจำหน่าย อยู่ที่ 1,749,000 บาท (นำเข้า CBU)
4. Hyundai KONA Electric
มาต่อด้วย KONA Electric รถยนต์ไฟฟ้า 100% อีกหนึ่งรุ่น จากค่าย Hyundai รุ่นนี้ มาในรูปลักษณ์ของรถยนต์อเนกประสงค์ SUV แต่ยังคงมีดีไซน์การออกแบบไปในทิศทางเดียวกันกับ IONIQ Electric กล่าวคือ การออกแบบมีความโดดเด่น ล้ำสมัย ดูเป็นรถแห่งอนาคตจริง ๆ ต้องบอกเลยว่า Hyundai มีการเอาจริงเอาจังในรถยนต์ EV มาก สำหรับ KONA Electric มีตัวเลือกมาให้ 2 รุ่นย่อยด้วยกัน KONA Electric (EV) SE และ KONA Electric (EV) SEL

อย่างที่ได้บอกไปครับ ว่ามีการดีไซน์ไปในแนวทางเดียวกัน กับ IONIQ Electric ที่เริ่มต้นด้วย กระจังหน้าดีไซน์แบบใหม่ที่ไม่มีช่องลม ไฟหน้า Projector Lens พร้อมไฟ Daytime Running Light ไฟท้าย และไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ซึ่งจะเป็นไฟ LED ทั้งหมด ใช้สีตัวถังแบบทูโทนพร้อมกับสปอยเลอร์หลังให้อารมณ์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น ในส่วนของภายในก็หรูหราไม่แพ้กับ IONIQ Electric ตกแต่งด้วยโทนสีดำ ครบครันด้วยอุกปกรณ์อำนวยความสะดวก อาทิเช่น เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมมีระบบอุ่นเบาะและเป่าลม เบาะผู้ขับขี่มีระบบปรับดันหลังด้วยไฟฟ้า มาตรวัดดิจิตอล พร้อมหน้าปัด LCD ขนาด 7 นิ้ว ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ หน้าจอระบบสัมผัส ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว สามารถรองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto และอื่น ๆ ที่ช่วยให้คุณรู้สึกถึงความสะดวกสบาย พรีเมี่ยม ทุกครั้งที่ขึ้นมาอยู่บนรถ

ส่วนในด้านของระบบความปลอดภัยมีไม่ต่างไปจาก IONIQ Electric ทั้ง ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, ระบบจำลองเสียงเครื่องยนต์, ระบบป้องกันล้อล็อค, ระบบกระจายแรงเบรก, ระบบเตือนจุดอับสายตา, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ, ระบบวัดแรงดันลมยาง, กล้องมองภาพขณะถอยจอด, เซนเซอร์กะระยะ และอื่น ๆ ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ส่วนในด้านของสมรรถนะ KONA Electric มี 2 รุ่นย่อย โดนในรุ่น KONA Electric (EV) SE จะใช้ มอเตอร์ไฟฟ้า มีพละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า และมีแรงบิด 395 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่ความจุ 39.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ทำความเร็วสูงสุด 155 กม./ชม. และทำระยะทางวิ่งสูงสุด 312 กม. (WLTP Mode) ในรุ่นของ KONA Electric (EV) SEL จะใช้ มอเตอร์ไฟฟ้า ที่สามารถทำกำลังสูงสุดได้ถึง 204 แรงม้า มีแรงบิด 395 นิวตัน-เมตร มีความจุแบต ฯ อยู่ที่ 64 กิโลวัตต์-ชั่วโมง สามารถทำความเร็วสูงสุด 167 กม./ชม. และที่เด็ดเลยก็คือ รุ่นนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 482 กม. เลยทีเดียว (WLTP Mode) ส่วนการชาร์จไฟของรุ่นนี้ สามารถรองรับการชาร์จได้ 3 แบบ คือ 1.ชาร์จแบบทริคเคิ้ล ด้วยเต้าเสียบบ้าน ใช้เวลา 31 ชั่วโมง (100%), 2. ชาร์จธรรมดา ด้วยเครื่องชาร์จวอลล์บ๊อกซ์ ใช้เวลา 9 ชั่วโมง 35 นาที (100%) และสุดท้าย 3. ชาร์จเร็ว ด้วยสถานีชาร์จใช้เวลา 54 นาที (80%)
สำหรับ Hyundai KONA Electric มีราคาเริ่มต้นในรุ่น KONA Electric (EV) SE อยู่ที่ 1,849,000 บาท และ ในรุ่น KONA Electric (EV) SEL มีราคาอยู่ที่ 2,259,000 บาท (นำเข้า CBU)
5. ORA Good Cat
น้องใหม่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมืองไทยอย่างเจ้าแมวเหมียว ORA Good Cat ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% จากค่ายเกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) ค่ายรถยนต์น้องใหม่สัญชาติจีน ที่ได้นำเข้ามาทำตลาดรถไฟฟ้าในเมืองไทยเป็นรุ่นแรก โดยมาในรูปลักษณ์สุดน่ารักที่เปรียบเสมือนแมวเหมียว ขนาดเล็กกะทัดรัด ช่วยให้มีความคล่องตัวสูง ตอบโจทย์คนที่ใช้ชีวิตในเมืองได้เป็นอย่างดี

ในด้านดีไซน์ภายนอกของ ORA Good Cat ได้รับการออกแบบมาภายใต้คอนเซ็ปต์ “RETRO FUTURISTIC DESIGN” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกัน เริ่มต้นด้วยกระจังหน้าที่ดูเรียบหรู พร้อมมีระบบ Active Air Intake ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ทรงกลม Cat Eye พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน กระจกมองข้างสีทูโทน ระบบไฟฟ้า มีไฟเลี้ยวในตัว ระบบไฟท้ายแบบ LED Tail light Strip ซึ่งพาดยาวบนกระจก และมีไฟตัดหมอกท้ายที่ด้านล่าง ทำให้ดูเด่นชัดและปลอดภัยมากขึ้น ด้านหลังตกแต่งด้วยสปอยเลอร์ พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม ส่วนภายในเน้นความพรีเมี่ยม กว้างขวาง พร้อม ตกแต่งด้วยสีทูโทน แสดงผลข้อมูลต่าง ๆ บนจอขนาดใหญ่ถึง 17.25 นิ้ว โดยแบ่งเป็นจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ (Full TFT) ขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอมัลติมีเดียระบบสัมผัส ขนาด 10.25 นิ้ว โดยติดตั้งแบบพาดยาวบริเวณคอนโซล มีช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 และยังมีระบบอัพเกรด ระบบผ่านออนไลน์ (FOTA – Firmware Over-the-Air) ทำให้เจ้าแมวเหมียวคันนี้ล้ำสมัยอยู่เสมอครับ

ส่วนระบบความปลอดภัยจัดมาให้แบบครบครัน ช่วยให้คุณขับขี่ไดอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลม, ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกทั้งล้อหน้าและล้อหลัง, ระบบป้องกันล้อรถล็อก, เซนเซอร์กะระยะหน้า-หลัง, ระบบตรวจสอบลมยาง, ระบบเตือนและช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบเตือนจุดอับสายตา, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ และอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับสมรรถนะของ ORA Good Cat ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ซึ่งสามารถมอบพละกำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิด 210 นิวตัน-เมตร โดยทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 152 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในรุ่นท็อปยังเครมว่า สามารถทำระยะทางไกลสุดถึง 500 กิโลเมตร ส่วนรุ่นย่อยอื่น ๆ เครมไว้ที่ 400 กิโลเมตร
สำหรับระยะเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ของ ORA Good Cat สามารถรองรับทั้ง การชาร์จเร็ว และการชาร์จปกติ โดยการชาร์จเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สามารถชาร์จจาก 0% ไป 80% จะใช้เวลาเพียง 45 นาที (ในรุ่นปกติ) และ 60 นาที (ในรุ่นท็อป) ส่วนการชาร์จด้วยไฟบ้าน AC จะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง (ในรุ่นปกติ) และ 10 ชั่วโมง (ในรุ่นท็อป) สำหรับ ORA Good Cat มีการทำตลาด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ 500KM ULTRA มาพร้อมแบตเตอรี่ 63.1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 500 กม./แบตเตอรี่เต็ม ส่วนรุ่น 400KM PRO (รุ่นรองท็อป) และ 400KM TECH จะมีแบตเตอรี่น้อยกว่าเหลือ 47.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยจะวิ่งได้ระยะทาง 400 กม./แบตเตอรี่เต็ม โดยจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 989,000 บาท เท่านั้น สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ส่องสเปก ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% เจ้าแมวเหมียวสุดน่ารัก มีอะไรน่าสนใจบ้าง?
6. Volvo XC40 Recharge 
NEW XC40 Recharge Pure Electric เป็นรถ SUV พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นแรกที่ได้นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยของค่ายสุดหรูสัญชาติจากสวีเดนอย่าง วอลโว่ ซึ่งมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่น และล้ำสมัยมาก ๆ มีสมรรถนะอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ XC40 Recharge ยังมาพร้อมกับ Google ที่ติดตั้งมาในตัวที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ทั้ง ระบบนำทางด้วย Google Maps การวางแผนการชาร์จได้อย่างง่ายดาย รองรับการสั่งงานด้วยเสียง และอื่น ๆ เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น

สำหรับดีไซน์ภายนอกของ NEW XC40 Recharge Pure Electric มาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์เรียบหรูเป็นแบบยูนิบอดี้ พร้อมโลโก้วอลโว่ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ไฟหน้า LED ดีไซน์เฉียบคม รับกับเส้นสายของตัวรถ มีระบบปรับองศา ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ระบบปรับระดับ-สูงต่ำอัตโนมัติ และระบบเปิด-ปิดไฟสูงพร้อมปรับมุมส่องสว่างอัตโนมัติ ไฟท้าย LED ขนาดใหญ่ ใต้ฝากระโปรงหน้า ถูกเปลี่ยนเป็นที่เก็บสัมภาระ ซึ่งมีความจุ 31 ลิตร ส่วนฝาท้ายเป็นระบบไฟฟ้า สามารถเตะเพื่อเปิด-ปิดได้ โดยไม่ต้องใช้มือ ตกแต่งด้วยสีตัวรถแบบทูโทนโดยส่วนหลังคาใช้สีดำ ช่วยเพิ่มความสปอร์ตดุดัน สอดรับกับสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ที่ฝาท้าย และในส่วนของล้อมาพร้อมกับล้ออัลลอย ขนาดใหญ่ 19 นิ้ว ลายใบพัด สีทูโทน ซึ่งดูเข้ากับตัวรถมาก ๆ ครับ

ภายในห้องโดยสารมาพร้อมพื้นที่ห้องโดยสารขนาดใหญ่เน้นความพรีเมียมหรูหรา ตกแต่งด้วยวัสดุหนังสีดำชาร์โคลที่ให้สัมผัสที่ยอดเยี่ยมตัดกับอะลูมิเนียมสีเงิน คอนโซลกลางถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่ง ที่เอื้อต่อผู้ขับขี่ ช่วยให้ไม่ต้องละสายตาจากถนน เพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น มาพร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ระบบควบคุมคุณภาพอากาศภายใน มาตรวัดแสดงผลแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังกลับ ให้สัมผัสที่หรูหรามากยิ่งขึ้น เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยไฟฟ้า โดยฝั่งผู้ขับสามารถบันทึกตำแหน่งได้ มีระบบปรับดันหลังไฟฟ้าถึง 4 ทิศทาง เพิ่มความสนุกในการขับขี่ด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย ในส่วนหลังคา ใช้เป็นหลังคากระจก Panoramic Sunroof ระบบไฟฟ้า ซึ่งใช้งานง่าย ส่วนระบบความบันเทิงจัดเต็มมาให้ไม่แพ้กัน โดยมีหน้าจอเครื่องเสียง ระบบสัมผัส ขนาด 9 นิ้ว รองรับทั้ง Apple Car Play และ Andriod Auto พร้อมแท่นชาร์จมือถือไร้สาย สำหรับระบบเสียงเป็น Harman Kardon Amplifier ติดตั้งลำโพง 13 ตำแหน่ง พร้อม SubWoofer มอบระบบเสียงที่กระหึ่มรอบทิศทาง
สมรรถนะของ XC40 Recharge ติดตั้งขุมพลังแบบ P8 AWD ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว Dual Motor สำหรับการขับเคลื่อนที่ล้อหน้าและล้อหลัง โดยสามารถให้พละกำลังรวมสูงสุดถึง 408 แรงม้า และทำแรงบิดสูงสุด 660 นิวตัน-เมตร สามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 4.9 วินาที เท่านั้น และความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 180 กม./ชม. ซึ่งถือว่าเร็วมาก ๆ ในส่วนแบตเตอรี่มาในแบบลิเธียมไอออน ความจุ 78 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งทางวอลโว่เครมไว้ว่า สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 400 กม. เลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถชาร์จผ่าน Wallbox ขนาด 11 กิโลวัตต์ ได้โดยชาร์จจาก 0% ถึง 100% ได้ ภายในเวลาเฉลี่ย 6-8 ชั่วโมง และยังรองรับการชาร์จเร็วจนถึง 80% ได้ ภายในในระยะเวลาประมาณ 40 นาที เท่านั้น ถือเป็นรถที่อเนกประสงค์ มีความสปอร์ต หรูหรา แถมมีสมรรถนะสูงอีกด้วย ซึ่ง Volvo XC40 Recharge Pure Electric มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2,590,000 บาท
7. MINI Electric หรือ MINI Cooper SE
มาปิดท้ายกันที่ MINI Electric หรือชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการว่า MINI Cooper SE ครับ ซึ่งเป็นการนำตัว E ไปต่อท้ายรุ่นเดิม ที่มีอยู่อย่าง Cooper S ที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งพูดง่าย ๆ ว่า ทาง MINI ได้นำเอามอเตอร์ไฟฟ้าไปใส่แทนที่เครื่องยนต์ ในตัวถัง MINI Cooper S นั่นแหละครับ ทำให้เจ้า MINI Cooper SE ยังคงเอกลักษณ์การดีไซน์ภายนอกแบบ MINI Hatch ซึ่งถ้ามาเทียบกันจริง ๆ มันแทบจะไม่ต่างกันเลย โดยทาง MINI เลือกใช้สีเหลือง แทนภาพลักษณ์ของการใช้พลังงานไฟฟ้า ต่างจากรถไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ ที่จะใช้สีฟ้า เมื่อบวกกับรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ สิ่งนี้จึงทำให้เจ้า MINI Cooper SE ดูโดดเด่นกว่ารุ่นอื่น ๆ มาก

อย่างที่ได้เกรินไปในตอนต้นครับว่า MINI Cooper SE ยังคงใข้ดีไซน์ความคลาสสิกในแบบฉบับ MINI Hatch หรือมินิ 3 ประตู ซึ่งมีดีไซน์การออกแบบภายนอกที่เป็นเอกลักษณ์ ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ผสานกับเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตที่ดูล้ำสมัย ใส่กระจังหน้าขนาดใหญ่ที่มีความโค้งมน สอดรับกับเส้นสายไฟหน้าทรงกลม แบบ Adaptive LED Headlights และมีไฟส่องสว่าง MINI Logo Projection ตอกย้ำความเป็นมินิ ส่วนไฟท้ายมาในลวดลาย Union Jack ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว เป็นลาย MINI Electric Power Spoke ที่บ่งบอกความเป็นไฟฟ้าไว้ได้อย่างชัดเจน มาคู่กับยางรันแฟลตพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ส่วนตำแหน่งที่ชาร์จไฟฟ้าจะอยู่เหนือล้อหลังทางด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับฝาถังน้ำมันของ MINI Cooper S อีกทั้งบนฝาปิดก็ยังมีการแสดงสัญลักษณ์ MINI Electric ไว้ด้วย

ในส่วนภายในก็ยังคงมีความใกล้เคียงกับ MINI Cooper S ในโฉมปัจจุบันมากครับ มาพร้อมกับความสปอร์ต แบบคลาสสิก ทุกอย่างดีไซน์ออกมาเป็นทรงกลม ดูหรูหรา ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบครัน แต่ก็มีบางส่วนเท่านั้นที่แตกต่างไปจากเดิม โดยเจ้า MINI Cooper SE มาพร้อมหน้าปัดแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 5.5 นิ้ว ดีไซน์ Black Panel ซึ่งถือเป็นรถมินิรุ่นแรก ที่ได้ใช้หน้าปัดดิจิทัลเต็มรูปแบบ ใช้ทริมสีเหลืองในการตกแต่งส่วนต่าง ๆ ภายในตัวรถ ปุ่ม Start ก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หัวเกียร์มีแถบสีเหลืองเพิ่มเข้ามา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน หุ้มด้วยหนัง เบาะนั่งหุ้มด้วย Carbon Black และตกแต่งด้วยลาย Double Stripe ทำให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น เบาะนั่งผู้ขับปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้ายขวา นอกจากนี้ระบบความปลอดภัยก็อัดแน่นมาให้เต็มที่มีทั้ง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบเบรกต่าง ๆ, ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง, ระบบป้องกันการลื่นไถล, ระบบควบคุมการขับขี่, ถุงลมนิรภัยมี 6 ตำแหน่ง, เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง, กล้องมองภาพขณะถอยจอด และอื่น ๆ อีกมากมาย
ในส่วนขุมพลังของ MINI Cooper SE ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ BMW Group ได้พัฒนามานานหลายปี มาพร้อมกับเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 12 โมดูล ติดตั้งบริเวณใต้รถในลักษณะตัว T ช่วยให้มีที่เก็บของขนาดเท่าเดิม มีความจุ 211 ลิตร สามารถเก็บพลังงานรวม 32.6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง มอบกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ทำความเร็วจาก 0 ถึง 60 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 3.9 วินาที เท่านั้น โดยเมื่อแบตเตอรี่เต็มจะสามารถวิ่งได้ระยะทาง 217 กิโลเมตร ส่วนการชาร์จ ก็รองรับทั้ง AC ด้วย Wall Charge มาตรฐาน และเครื่องชาร์จที่มีกำลัง 11 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งจะสามารถชาร์จจาก 0 ถึง 80% ได้ภายในเวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง และชาร์จเต็ม 100% ได้ภายในเวลา 3.30 ชั่วโมง นอกจากนี้ก็ยังรองรับการชาร์จเร็ว ด้วย DC Fast Charge ด้วย ทำให้คุณชาร์จ 0 ถึง 80% ได้ภายในเวลา 35 นาที และเต็ม 100% ได้ภายในเวลาไม่เกิน 1.30 ชั่วโมง
บทส่งท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับ “รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ 100%” ทั้ง 7 รุ่น ที่เราได้รวบรวมมาในวันนี้ มีรุ่นไหนที่น่าสนใจบ้างมั๊ยครับ สำหรับในปัจจุบันมันเป็นยุคที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน เพื่อรับมือกับโลกของเราที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราเชื่อว่า รถยนต์ไฟฟ้า คือ อนาคตที่กำลังจะเป็นจริงในอีกไม่ช้า ถึงแม้ในตอนนี้รถ EV จะมีตัวเลือกอยู่ไม่กี่รุ่น และที่สำคัญมันมีราคาค่อนข้างสูง แต่หากเราลองนำมาเปรียบเทียบกับรถเครื่องยนต์สันดาปในระดับเดียวกัน ที่จะต้องมีค่าบำรุงรักษาเยอะแยะมากมายตลอดการใช้งาน ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าอื่น ๆ เมื่อนำมารวม ๆ กันแล้ว มันอาจจะแพงกว่า รถยนต์ EV เสียอีก ส่วนในเรื่องแบตเตอรี่ที่เป็นตัวการทำให้รถ EV มีราคาสูงขึ้นที่หลายคนเป็นกังวล ก็ต้องบอกว่าทุกค่ายมีประกันแบตเตอรี่มาให้ครับ คุณสามารถใช้งานตัวรถได้อย่างคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไปอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ :
- MG : www.mgcars.com
- Nissan : www.nissan.co.th
- Hyundai : www.hyundai.co.th
- Great Wall Motor : www.gwm.co.th
- Volvo : www.volvocars.com
- MINI : www.mini.co.th