ตอนเรียนมัธยมในเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์บอกว่ารับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก็เพียงพอกับการดำรงชีวิต แต่พอโตขึ้นมา ต่อให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีความสมดุลต่อร่างกายก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมือนตอนวัยเด็ก อันนี้ก็เพราะร่างกายของคุณเริ่มสึกหรอตามอายุวัย ต่อให้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่างไรก็อาจจะต้องพึ่งอาหารเสริมวิตามิน มารับประทานเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายรับสารอาหารที่เพียงพอ
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าวิตามินตัวไหนคือสิ่งที่ร่างกายของคุณต้องการ คุณสามารถสังเกตได้จากร่างกายของตัวคุณเอง เช่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง ขาเป็นตะคริว เกิดจากการขาดแคลเซียม,เลือดหยุดยาก เกิดจากเลือดขาดวิตามินเค เป็นต้น แต่บางคนก็อาจจะอยากรู้ให้แน่ชัดไปเลยว่าร่างกายขาดวิตามินตัวไหนบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเพราะในปัจจุบันนี้ทางการแพทย์มีโปรแกรมการตรวจระดับวิตามินที่สำคัญในร่างกาย
ดังนั้นคุณจะรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าคุณควรจะรับประทานวิตามินตัวไหน เพราะหากเราทานวิตามินไปโดยไม่ได้สังเกตร่างกายตัวเอง หรือไม่ได้ตรวจวัดระดับวิตามินก็ทำให้ระบบภายในของร่างกายทำงานหนัก เพราะต้องขับวิตามินส่วนเกินออก จึงเป็นเรื่องที่ดีหากเรารับประทานเฉพาะวิตามินที่ร่างกายเราต้องการจริงๆ แล้วในปัจจุบันมีหลากหลายวิตามิน หลายยี่ห้อ สรรพคุณแต่ละอย่างที่โฆษณาก็ดูน่าสนใจไปสะหมด เราจึงต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ให้รู้สึกว่าจ่ายเงินไปแล้วจะได้สิ่งที่คุ้มค่ากลับมา
ความแตกต่างระหว่างวิตามินและแร่ธาตุ (3)
แม้ว่าวิตามินและแร่ธาตุ จะถือว่าเป็นสารอาหารรอง (Micronutrients) ก็เป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุ มีความแตกต่างกัน คือ
- วิตามิน เป็นสารอินทรีย์ วิตามินนั้นถูกสร้างขึ้นโดยพืชและสัตว์ และสามารถย่อยสลายได้ด้วยความร้อนอากาศหรือกรด
- แร่ธาตุ เป็นอนินทรีย์ โดยแร่ธาตุนั้นเกิดในดินและน้ำ เมื่อเรารับประทานพืชและสัตว์ที่ได้ซึมซับแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าไป ร่างกายก็จะได้รับแร่ธาตุเหล่านั้นไปด้วย
โดยปกติแล้วแร่ธาตุจะช่วยส่งเสริมให้วิตามินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนี้ จะสังเกตได้ว่าในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีส่วนประกอบของวิตามินและแร่ธาตุร่วมด้วยเสมอ (2)
วิตามินแต่ละตัว มีประโยชน์อย่างไรกันบ้าง
1. กรดโฟลิก (Folic Acid) (1,7)

กรดโฟลิก หรือ วิตามินบี 9 (Vitamin B 9) เป็นวิตามินที่สำคัญสำหรับคนตั้งครรภ์ หากคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังวางเเผนในการตั้งครรภ์ คุณสามารถรับประทานโฟลิคได้ตั้งแต่ช่วงที่วางแผนจะตั้งครรภ์สัก 1-3 เดือน ทานไปจนกว่าคุณจะตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ การรับประทานโฟลิก ไม่มีผลเสียต่อร่างกายแต่เพียงอย่างใด เพราะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จึงทำให้ไม่สะสมในร่างกาย
ขาดกรดโฟลิกแล้วจะมีอาการอย่างไร
ผู้ชาย – ผู้หญิงทั่วไป | หญิงตั้งครรภ์ |
|
|
![]() | อาหารเสริมกรดโฟลิก Mason Natural Folic Acid | |
![]() | อาหารเสริมกรดโฟลิก Sundown Naturals Folic Acid | |
![]() | อาหารเสริมกรดโฟลิก Blackmores Pregnancy and Breastfeeding Gold |
แหล่งอาหารที่มีกรดโฟลิก
ผักโขม, คะน้า, บร็อคโคลี่, อะโวคาโด, ผลไม้รสเปรี้ยว, ไข่, ตับ, เนื้อ, ไข่แดง, ตับ, แครอท, แคนตาลูป, ฟักทอง, ถั่ว, ผักบุ้ง, ตำลึง, และเอพริคอต เป็นต้น
ปริมาณกรดโฟลิกที่แนะนำต่อวัน (4)
คนปกติ | ให้ได้อย่างน้อย 0.4 มิลลิกรัมต่อวัน |
ผู้หญิงที่ต้องการจะวางแผนตั้งครรภ์ | ในปริมาณ 5 มิลลิกรัมต่อวัน |
ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ | ในปริมาณ 5 มิลลิกรัมต่อวัน |
หญิงวัยเจริญพันธุ์ | ควรกินวิตามินโฟลิกชนิดเม็ด ขนาด 5 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์ |
คำเตือน หากรับประทานโฟลิกมากกว่า 1 มิลลิกรัม เป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อระบบสมองได้
2. วิตามินดี (Vitamin D) (5)

เป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และป้องกันโรคที่เกี่ยวกับกระดูก โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่สามารถรับวิตามินดีได้จากแสงแดด ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายใช่มั๊ยล่ะ แต่พอโดนแดดในปริมาณที่มากเกิน เราก็ต้องมากังวลเรื่องฝ้า เรื่องกระ หลายคนเลยไม่ชอบอยู่กลางแสงแดด จึงเป็นเรื่องยากที่คนที่จะได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ
ขอแนะนำว่า
ทารกที่มีดื่มนมผงในปริมาณ 500 มล. หรือมากกว่านั้นต่อวัน ก็ไม่ควรได้รับประทานวิตามินดีเสริม เพราะนมผงสำหรับทารกนั้นเสริมด้วยวิตามินดีและสารอาหารอื่น ๆอยู่แล้วด้วย
ขาดวิตามินดีแล้วจะมีอาการอย่างไร
- ทำให้ปวดเมื่อย
- เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ในผู้สูงอายุ
- โรคกระดูกอ่อน ในเด็ก
แหล่งอาหารจากวิตามินดี
นม, ไข่, น้ำมันตับปลา หรือเนื้อปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า
ปริมาณวิตามินดีที่แนะนำต่อวัน
ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีภาวะขาดวิตามินดี | โดยผู้ป่วยได้รับปริมาณวิตามินดี ปริมาณ 40,000 IU ต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 6 เดือน |
ทารกที่กินนมแม่ | ควรได้รับอาหารเสริมประเภทวิตามินดี 8.5 ถึง 10 ไมโครกรัม ถึงแม้ว่าคุณแม่จะรับประทานอาหารเสริมที่มีวิตามินดีแล้วด้วยก็ตามแต่ |
หญิงตั้งครรภ์หรือผู้หญิงที่ต้องให้นมบุตร | ควรรับประทานอาหารเสริมที่มีวิตามินดี 10 ไมโครกรัมต่อวัน |
คนที่มีอายุ 1 ถึง 70 ปี | ควรได้รับอาหารเสริมที่มีวิตามินดี 15 ไมโครกรัมต่อวัน |
คนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป | ควรได้รับอาหารเสริมที่มีวิตามินดี 20 ไมโครกรัมต่อวัน |
หากเป็นผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินดี
เด็กที่มีอายุ 0 ถึง 6 เดือน | ควรได้รับอาหารเสริมที่มีวิตามินดี 25 ไมโครกรัมต่อวัน |
เด็กที่มีอายุ 7 ถึง 12 เดือน | ควรได้รับอาหารเสริมที่มีวิตามินดี 38 ไมโครกรัมต่อวัน |
เด็กที่มีอายุ 1 ถึง 3 ปี | ควรได้รับอาหารเสริมที่มีวิตามินดี 63 ไมโครกรัมต่อวัน |
เด็กที่มีอายุ 4 ถึง 8 ปี | ควรได้รับอาหารเสริมที่มีวิตามินดี 75 ไมโครกรัมต่อวัน |
เด็กที่มีอายุ 9 ถึง 18 ปีขึ้นไป | ควรได้รับอาหารเสริมที่มีวิตามินดี 100 ไมโครกรัมต่อวัน |
คำเตือน หากรับประทานวิตามินดีในปริมาณมาก เกินความต้องการของร่างกายต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน
3. วิตามินเอ (Vitamin A) (6)

วิตามินเอ หรืออาจเรียกว่า เรตินอล (Retinol) ซึ่งช่วยในการบำรุงสายตา ทำช่วยในการมองเห็นตอนกลางคืน ,ช่วยบำรุงผิว ให้ผิวดูสุขภาพดี ลดการอักเสบของสิว ลดรอยดำบนผิว, ช่วยเสริมการสร้างกระดูกและฟัน และยังช่วยให้ภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงขึ้น วิตามินเอเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่ต้องการใช้ในทันที แต่จะถูกเก็บไว้ใช้ในอนาคต ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องรับประทานในทุกวัน
ขาดวิตามินเอแล้วจะมีอาการอย่างไร
- มองไม่เห็นในที่แสงน้อย
- อาการตาแห้ง
- ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น และหยาบกร้าน
- สิวและการติดเชื้อทางผิวหนัง
- ภูมิต้านทานต่ำ
แหล่งอาหารวิตามินเอ
อาหารจำพวกฟักทอง, มะละกอ, แครอท, ผักสีเข้ม, ตับ, ไข่แดง, นม, เนื้อสัตว์ และน้ำมันตับปลา
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
ผู้ชาย ตั้งแต่อายุ 19 ถึง 64 ปี | ปริมาณวิตามินเอ 700 มิลลิกรัมต่อวัน |
ผู้หญิง ตั้งแต่อายุ 19 ถึง 64 ปี | ปริมาณวิตามินเอ 600 มิลลิกรัมต่อวัน |
คำเตือน การรับประทานวิตามินเอมากเกินไป จะมีผลต่อกระดูกอาจทำให้แตกหักได้ง่ายในผู้สูงวัย รวมทั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ หากกำลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณวิตามินเอสูง และควรหยุดทานอาหารเสริมวิตามินเอ เพราะอาจจะส่งผลอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้
4. วิตามินซี (Vitamin C) (8)

วิตามินซี หรือที่เรียกว่ากรดแอสคอร์บิก เป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำ โดยที่ร่างกายของเราไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินชนิดนี้จากการรับประทาน โดย มีหน้าที่สำคัญหลายประการโดยเฉพาะการเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันโรคหวัด,ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน, ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร และที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ใบหน้า และผิวพรรณ ในปัจจุบันวิตามินซีในท้องตลาดมีหลากหลายขนาดและรูปแบบ เช่น แบบเม็ด, แบบอม, แบบเม็ดเคี้ยว, แบบเม็ดฟู่, แบบแคปซูล และแบบสารละลายสำหรับฉีด คุณควรรับประทานวิตามินซีพร้อมมื้ออาหาร เนื่องจากวิตามินซีจะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 2-3 ชั่วโมง
ขาดวิตามินซีแล้วจะมีอาการอย่างไร
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
- โรคลักปิดลักเปิด
- เลือดออกตามไรฟัน
แหล่งอาหารจากวิตามินซี
ผักโขม, ผักคะน้า, ผักชี, ผักบุ้ง, มะรุม, ดอกกะหล่ำ, ขึ้นฉ่าย, ต้นหอม, ถั่วลันเตา, มันสำปะหลัง, ใบมะระจีน, ผักกาดขาว, เชอรี, ส้ม, มะนาว, ฝรั่ง, มะขามป้อม, มะขามเทศ, มะละกอ, ส้มโอ และสตรอเบอรี่ เป็นต้น
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
ผู้ใหญ่อายุ 19 ถึง 64 ปีขึ้นไป | ควรรับประทานวิตามินซี 40 มิลลิกรัมต่อวัน |
หากต้องการช่วยในการชะลอวัย | ควรรับประทานวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน |
คำเตือน ไม่ควรทานเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือมากจนเกิดอาการปวดท้อง ถ่ายเหลวนั่นแสดงว่าได้รับวิตามินซีปริมาณมากเกินไป
5. วิตามินเค (Vitamin K) (9)

วิตามินเค โดยปกติร่างกายสามารถผลิตได้เองจากแบคทีเรียในลำไส้ แต่ถ้าคุณเป็นบุคคลที่ต้องการรับประทานยาฆ่าเชื้อเป็นเวลานาน ก็จะทำให้แบคทีเรียในลำไส้ตายไปได้ วิตามินเคสามารถละลายในไขมันได้ดี เมื่อดูดซึมเข้าร่างกายไปแล้วจะถูกดูดซึมไปเก็บสะสมไว้ที่ตับ เป็นกลุ่มวิตามินที่ร่างกายต้องการสำหรับการแข็งตัวของเลือด ป้องกันเลือดออกภายใน และเลือดออกไม่หยุด ช่วยในกระบวนการสร้างลิ่มเลือด นอกจากนี้วิตามินเคช่วยให้กระดูกแข็งแรง
ขาดวิตามินเคแล้วจะมีอาการอย่างไร
- เลือดกำเดาออกง่าย
- เลือดหยุดยาก
- โรค เรื้อรังในระบบทางเดินอาหาร
- โรคทางเดินน้ำดีอุดตัน
- มีจุดจ้ำเลือดที่ผิวหนัง
แหล่งอาหารจากวิตามินเค
สาหร่ายเคลป์, ผักคะน้า, รำข้าว, ข้าวโพด, กะหล่ำดอก, มะเขือเทศ, บร็อคโคลี่, กะหล่ำปลี, ลูกแพร์ ,กล้วย, ราสเบอร์รี่, ผักใบสีเขียว, เนย, นมสด, เนื้อสัตว์, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันตับปลา, น้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันมะกอก เป็นต้น
![]() | น้ำมันมะกอก Bertolli CLASSICO | |
![]() | น้ำมันมะกอก เบอร์ทอลลี่ เอ็กซ์ตร้า ไลท์ เทสติ้ง โอลีฟ ออยล์ | |
![]() | FILIPPO BERIO น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี |
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
ผู้ใหญ่ต้องการวิตามินเควันละประมาณ 1 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ตัวอย่างเช่น :
- คนที่มีน้ำหนัก 65 กก. จะต้องการวิตามินเค 65 ไมโครกรัมต่อวันใน
- คนที่มีน้ำหนัก 75 กก. จะต้องการ 75 ไมโครกรัมต่อวัน
แต่โดยปกติแล้วทางการแพทย์แนะนำว่าให้รับประทานวิตามินเคในปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวัน
6. วิตามินอี (Vitamin E) (10)

วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน โดยวิตามินอีจะช่วยลดการเกิดกระบวนการอักเสบในร่างกาย ป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และการอุดตันของเส้นเลือด และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี วิตามินอีเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่ต้องการใช้ในทันที แต่จะถูกเก็บไว้ใช้ในอนาคต ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องรับประทานในทุกวัน
ขาดวิตามินอีแล้วจะมีอาการอย่างไร
จะส่งผลต่อระบบการไหลเวียนเลือด ที่อาจจะเกิดความผิดปกติ ซึ่งก็ส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นอย่างมาก โดยทำให้การสร้างฮีโมโกลบินเสื่อมลง ทำให้เซลล์ของเม็ดเลือดแดงแตกได้ง่าย และยังลดการดูดซึมธาตุเหล็กที่จำเป็นลงอีกด้วย ส่วนกรณีที่ขาดวิตามินอีมากๆ อาจทำให้ตับและไตถูกทำลาย
![]() | NUTRILITE™ Lecithin E วิตามินอี | |
![]() | Nature's Truth E 400 IU วิตามินอี | |
![]() | วิตามินอี Kirkland Signature Vitamin E 400 I U |
แหล่งอาหาร
อะโวคาโด, น้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันเมล็ดฝ้าย, น้ำมันจมูกข้าวสาลี, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันมะกอก, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันคาโนลา และน้ำมันรำ นอกจากนี้ยังพบในอัลมอนด์, บร็อคโคลี่, เฮเซลนัต, กีวี่, มะม่วง, เนยถั่ว, ผักโขม, เมล็ดทานตะวัน และมะเขือเทศ และยังสามารถพบวิตามินอีได้ในเนื้อ เนย และไข่อีกด้วย
![]() | มิสทิน เวอร์จิ้น โคโคนัท เมค อัพ รีมูฟเวอร์ | |
![]() | เขาค้อทะเลภู น้ำมันมะพร้าวออร์แกนิค บริสุทธิ์สกัดเย็นอินทรีย์ |
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
อายุ 0-6 เดือน | 4 มิลลิกรัมต่อวัน |
อายุ 7-12 เดือน | 5 มิลลิกรัมต่อวัน |
อายุ 1-3 ปี | 6 มิลลิกรัมต่อวัน |
อายุ 4-8 ปี | 7 มิลลิกรัมต่อวัน |
อายุ 9-13 ปีขึ้นไป | 11 มิลลิกรัมต่อวัน |
หญิงตั้งครรภ์ | 15 มิลลิกรัมต่อวัน |
หญิงให้นมบุตร | 19 มิลลิกรัมต่อวัน |
คำเตือน ผู้ที่ได้รับวิตามินอี 300 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ สายตาพร่ามัว ปวดท้อง ท้องเสีย อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ซึม และหากได้รับมากกว่า 2,000 มิลลิกรัม ก็จะส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่มีแรง ริมฝีปากและมุมปากอักแสบได้
7. วิตามินบี 1 (Vitamin B1) (7)

วิตามินบี 1 หรือ ไทอามิน (Thiamin) เป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติในการละลายน้ำ โดยวิตามินบี 1 จะช่วยบำรุงสมอง บำรุงระบบประสาท ช่วย บำรุงกล้ามเนื้อ ช่วยให้หัวใจทำงานเป็นปกติ สามารถรักษาโรคงูสวัดและอาการเหน็บชาได้ สำหรับคนที่ต้องเดินทางและมาอาการเมารถ เมาเรือ หรือเมาเครื่องบิน การทานวิตามินบี 1 เข้าไปก็จะบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่ต้องการใช้ในทันที แต่จะถูกเก็บไว้ใช้ในอนาคต ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องรับประทานในทุกวัน
ขาดวิตามินบี 1 แล้วจะมีอาการอย่างไร
- อาการเหน็บชา
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- หัวใจล้มเหลว
- อารมณ์แปรปรวน
- มีผลต่อระบบประสาท เช่น การกระตุก เดินเซ เป็นต้น
แหล่งอาหาร
เนื้อหมูไม่ติดมัน, ปลา, ตับ, นม, ไข่, ข้าวซ้อมมือ, ข้าวกล้อง, ถั่ว, เห็ด, ปลาน้ำจืด, หอยลาย และหอยแมลงภู่ เป็นต้น
![]() | Wealthy เนยถั่วรสช็อคโกแลตเข้มข้น สูตรหวานน้อย | |
![]() | Healthy Mate เนยถั่วคลีน Unsweetened | |
![]() | SKIPPY เนยถั่วลิสงบดชนิดละเอียด |
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
ผู้ชายในช่วงอายุ 19 ถึง 64 ปี | ปริมาณวิตามิน B1 ควรทาน 1 มิลลิกรัมต่อวัน |
ผู้หญิงในช่วงอายุ 19 ถึง 64 ปี | ปริมาณวิตามิน B1 ควรทาน 0.8 มิลลิกรัมต่อวัน |
คำเตือน หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป อาจจะมีผลต่อการรับวิตามินบี ชนิดอื่นๆ เข้าสู่ร่างกายได้ หากรับประทานมากเกิน 3 มิลลิกรัมต่อวัน ส่งผลให้ชีพจรเต้นเร็ว นอนไม่หลับได้
8. วิตามินบี 2 (Vitamin B2) (7)

วิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Riboflavin) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ช่วยในการทำงานของร่างกาย เช่นเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม ช่วยบำรุงผิว ,บำรุงการทำงานของสายตา, ช่วยในการเผาผลาญไขมันในร่างกาย, ช่วยบำรุงระบบไหลเวียนเลือด และ ช่วยเพิ่มการทำงานที่ดีของระบบประสาท
ขาดวิตามินบี 2 แล้วจะมีอาการอย่างไร
- ต้อกระจก
- ปวดศีรษะไมเกรน
- โรคปากนกกระจอก
- ผิวซีด เลือดจาง
- ผิวแห้ง แตก
แหล่งอาหาร
เนื้อสัตว์, ไข่, ตับ, ยีสต์, เห็ด, นม, โยเกิร์ต, ถั่วและธัญพืชไม่ขัดสีต่าง ๆ และ ผักใบเขียว
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
ผู้ชายในช่วงอายุ 19 ถึง 64 ปี | ปริมาณวิตามิน B2 ควรทาน 1.3 มิลลิกรัมต่อวัน |
ผู้หญิงในช่วงอายุ 19 ถึง 64 ปี | ปริมาณวิตามิน B2 ควรทาน 1.1 มิลลิกรัมต่อวัน |
คำเตือน หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ หรือปัสสาวะมากกว่าปกติ
บทสรุปส่งท้าย
จะเห็นได้ว่าวิตามินแต่ละชนิดมีความจำเป็นต่อร่างกายของคนเรา เมื่อคุณมีโรคประจำตัวบางอย่าง บางครั้งโรคนั้นก็จะส่งผลต่อปริมาณวิตามินในร่างกายของคุณ ทำให้คุณเกิดภาวะขาดวิตามินบางตัวได้ หากคุณเป็นคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ก็จะทำให้ร่างกายขาดวิตามินบางตัวไป และเมื่ออายุมากขึ้น ก็จำทำให้ไปลดประสิทธิภาพหลายอย่างของการทำงานของร่างกายลดลง การรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมจึงเข้าไปช่วยฟื้นฟูร่างกายที่สึกหรอ และช่วยให้ร่างกายทำงานงานได้ดีขึ้น การเลือกซื้อวิตามินควรเลือกที่สกัดมาจากธรรมชาติ ซึ่งดีกว่าวิตามินสังเคราะห์ และควรรับประทานตามความต้องการของร่างกาย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นควรไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำก่อนรับประทานจะเป็นทางที่ดีที่สุด แต่คุณต้องไม่ลืมไปว่าการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ ก็เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นในการดูแลตัวเองด้วยค่ะ
References
- Do I need vitamin supplements?
- วิตามินและแร่ธาตุ โดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- Vitamins and Minerals
- โฟลิก ป้องกันลูกน้อยพิการแต่กำเนิด โดยโรงพยาบาลราชวิถี
- วิตามินดี…ประโยชน์ดีๆ มีมากกว่าที่คิด โดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- Vitamin A
- Vitamin B
- Vitamin C
- Vitamin K
- วิตามินอี (Vitamin E) ดี โทษ อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ! โดยหน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล