หลายคนอาจรู้จัก Selena Gomez ในช่วงที่เธอได้คบหากับ Justine Bieber รวมไปถึงดราม่าต่าง ๆ ซึ่งกำลังเป็นกระแสแรงมากอยู่ ณ ขณะนี้ แต่หากจะพูดถึงเรื่องความสามารถแล้วถือว่าเซลีนาเองก็เป็นคนที่เก่งทั้งทางด้านของการแสดงและการร้องเพลง ความดังของเธอตีคู่กับเพื่อนรักใน Disney อย่าง Miley Cyrus และ Demi Lovato เลยทีเดียว เธอมีผลงานภาพยนต์และเพลงฮิตในวงการมากมายในวงการฮอลลีวูด ดังนั้นวันนี้เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักเบื้องหลังและประวัติความเป็นมาของ Selena Gomez (เซลีนา โกเมซ) มากขึ้น ทางเว็บไซต์ของเราจึงเขียนบทความ ‘ประวัติและผลงานเพลง Selena Gomez’ มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
ประวัติของ Selena Gomez (เซลีนา โกเมซ)
Selena Gomez (เซลีนา โกเมซ) เกิดในรัฐเทกซัส มีคุณแม่ที่ชื่อว่า ‘Mandy Teefey’ เป็นอดีตนักแสดงเชื้อสายอิตาเลียน ส่วนคุณพ่อของเธอมีเชื้อสายแม็กซิกัน ดังนั้นเซลีนาจึงเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแม็กซิกันนั่นเองครับ ชีวิตครอบครัวของเซลีนาอาจไม่สมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากคุณพ่อและคุณแม่ของเธอเลิกกันตั้งแต่เซลีนาอายุได้เพียงแค่ 5 ขวบเท่านั้น หลังจากแยกทางเซลีนาก็ได้รับการเลี้ยงดูจากฝั่งของคุณแม่
ช่วงวัยเด็กเซลีนาได้เข้ารับการศึกษาผ่านระบบของ Home School เนื่องจากเธอมีงานในวงการตั้งแต่อายุยังน้อย เซลีนาเข้าวงการแสดงตั้งแต่ในช่วงปี 2002 หรือช่วงอายุ 8 – 9 ขวบเท่านั้น โดยบทบาทแรกที่เธอได้รับมีคาแรกเตอร์ชื่อว่าเจียน่า ในรายการเด็กชื่อดังอย่าง ‘Barney & Friends’ นอกจากนี้เธอยังมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ดังอย่าง ‘Spy Kids’ อีกด้วย หลังจากที่เธออยู่ในวงการการแสดงไปช่วงหนึ่ง ทาง Disney Channel ก็เริ่มเห็นแววและความสามารถ จึงได้ดึงทางเซลีนาเข้ามาเป็นเด็กในสังกัด

จากนั้นเธอก็ได้รับบทนำในซีรีส์และภาพยนต์ชื่อดังมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า Disney เองก็เป็นค่ายที่ไม่ได้ทำแค่เพียงหนังเท่านั้นแต่ยังทำเพลงประกอบอีกด้วย ส่งผลให้เซลีน่าเลยได้รับโอกาสในการร้องเพลงประกอบอย่าง ‘Tell Me Something I Don’t Know’ ซึ่งสามารถเปิดตัวบน Billboard Hot 100 ชาร์ตได้ที่อันดับ 58 และมีเพลงอื่น ๆ อีกมากมายตามมา
เมื่อเส้นทางการเป็นนักร้องของเซลีนาเริ่มไปได้สวย ทางค่าย Hollywood Records จึงสนใจและดึงเซลีนาให้เซ็นสัญญากับค่าย หลังจากนั้นเธอก็เริ่มทำอัลบั้มและซิงเกิ้ลปล่อยออกมา แม้ว่าอัลบั้มแรก ๆ อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบดังพลุแตก แต่ยอดขายก็ไม่ได้แย่ไต่อันดับขึ้นไปใน Top 10 ของชาร์ต Billboard 200
จนมาถึงปี 2011 เธอก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเพลงมากขึ้นด้วยเพลง ‘Love You like a Love Song’ และเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดปี 2019 เธอก็ทำลายสถิติตัวเองด้วยการนำเพลง ‘Lose You To Love Me’ ขึ้นสู่อันดับ 1 ของชาร์ต และในปี 2022 ก็ได้เข้าชิง Grammy Awards ในสาขาเพลงละตินอีกด้วย ถือเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จทั้งชาร์ตเพลงและรางวัลคนหนึ่งของวงการเพลง
1. Lose You To Love Me
แนวเพลง | Pop |
ค่ายเพลง | Interscope |
ผู้แต่งเพลง | Selena Gomez, Julia Michaels, Justin Tranter, Mattias Larsson และ Robin Fredriksson |
โปรดิวเซอร์ | Mattman & Robin |
เพลงในปี | 2019 |
‘Lose You To Love Me’ เป็นดนตรีป๊อปบัลลาดช้า ๆ ซึ้ง ๆ เป็นเพลงที่ฮีลใจเซเลนาและคนในช่วงนั้นได้ดีมากเรียกว่า จัดว่าเป็นเพลงรักตัวเองประจำชาติกันเลยทีเดียว โดยเนื้อหาของเพลงเป็นการพูดถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของเธอในอดีต แม้ว่าเธอจะเคยรักและทนอยู่กับความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดมามากเท่าไหร่ แต่เมื่อถึงวันหนึ่งเราก็ต้องหันกลับมารักตัวเองมากขึ้น เรียกว่าเป็นเพลงที่ Empower คนอกหักได้ดีมาก จนทำให้เพลงติดหูและขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ
2. Same Old Love
แนวเพลง | Electropop และ synth-pop |
ค่ายเพลง | Interscope |
ผู้แต่งเพลง | Tor Hermansen, Mikkel Eriksen, Benjamin Levin, Charlotte Aitchison และ Ross Golan |
โปรดิวเซอร์ | Stargate และ Benny Blanco |
เพลงในปี | 2015 |
‘Same Old Love’ มีความคลาสซี่และเซ็กซี่อยู่ในตัว ดนตรีจะเป็นป๊อปสังเคราะห์ที่เบลนเข้ากับเสียงหวาน ๆ สูง ๆ ของเซลีนาได้อย่างลงตัว ฟังเพลินวนไปได้หลายรอบแบบไม่มีเบื่อ นอกจากนี้ยังได้ทาง Charlie XCX นักร้องดังจากฝั่งอังกฤษเข้ามาร้องคอรัสเพิ่มมิติให้กับเพลงอีกด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานของเซลีนาที่ทำออกมาค่อนข้างดี จนนักวิจารณ์เพลงต่างยกให้เป็นหนึ่งในเพลงป๊อปที่ดีที่สุดในปี 2015
3. Love You like a Love Song
แนวเพลง | Electropop และ dance-pop |
ค่ายเพลง | Hollywood |
ผู้แต่งเพลง | Antonina Armato, Tim James และ Adam Schmalholz |
โปรดิวเซอร์ | Rock Mafia และ Devrim Karaoglu |
เพลงในปี | 2011 |
‘Love You like a Love Song’ เป็นเพลงที่ทำให้หลายคนรู้จักเซลีนาในฐานะของศิลปินมากขึ้น โดยตัวเพลงจะมาในสไตล์อิเล็กโทรผสมกับแดนซ์ป๊อป ทำให้เพลงมีความสนุกและติดหูง่าย เหมาะกับการเปิดในงานปาร์ตี้ ถึงแม้ว่านักวิจารณ์จะให้ความเห็นเรื่องของเสียงที่มีความโมโนโทนจนเกินไป แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นซิกเนเจอร์ของเซลีนาที่มีเสน่ห์และทำให้แฟนเพลงจำได้ว่าเป็นเสียงร้องของเธอ
4. Good For You
แนวเพลง | Pop และ electro-R&B |
ค่ายเพลง | Interscope |
ผู้แต่งเพลง | Julia Michaels, Justin Tranter, Nick Monson, Nolan Lambroza, Rakim Mayers,Hector Delgado และ Selena Gomez |
โปรดิวเซอร์ | Nick Monson และ Sir Nolan |
เพลงในปี | 2015 |
ศิลปินที่เข้าวงการเร็วโดยปกติแล้วแฟนเพลงจะเห็นพัฒนาการทางด้านดนตรีและการแต่งเพลงอยู่เสมอ อย่างเซลีนาก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะช่วงวัยเด็กส่วนใหญ่เพลงของเธอจะมาในแนวป๊อปแดนซ์หรือป๊อปใส ๆ ฟังง่าย แต่เมื่อเริ่มโตและอยู่ในวงการมานานเธอก็เริ่มชิมลางไป R&B อย่างเช่นเพลง ‘Good For You’ มีการผสมความเป็นอิเล็กโทรลงไปให้น่าตื่นเต้น ส่วนเนื้อเพลงก็ค่อนข้าง Sexual เบา ๆ เป็นเพลงที่ทำให้เห็นว่าเซลีน่าเติบโตทั้งในแง่ของดนตรีและทัศนคติ
5. The Heart Wants What It Wants
แนวเพลง | Pop และ R&B |
ค่ายเพลง | Hollywood |
ผู้แต่งเพลง | Selena Gomez, Antonina Armato, David Jost และ Tim James |
โปรดิวเซอร์ | Rock Mafia |
เพลงในปี | 2014 |
ดนตรีที่ใช้ในเพลงนี้จะเป็น R&B และ Pop แต่มีการใส่ลูกเล่นให้เพลงมีมิติมากขึ้นด้วยบีท Electro Pop ด้วยจังหวะเพลงที่ฟังง่ายและมีบีทสนุก ๆ (ถึงแม้ว่าจะเป็นเพลงเศร้าก็ตาม) ทำให้หลายคนติดเพลงนี้กันอย่างงอมแงม มีคนขอเพลงในวิทยุและสตรีมมิ่งเพลงเยอะมาก เพียงแค่วันแรกหลังจากปล่อยเพลงออกมา เพลงนี้ก็ถูกเปิดแล้วกว่า 10 ล้านครั้ง อีกทั้งยังมียอดขายในอเมริกากว่า 1.4 ล้านยูนิต ซึ่งยอดขนาดนี้ทำให้เพลงเปิดตัวในอันดับ 6 บน Billboard Hot 100 เลยทีเดียว
6. Hands To Myself
แนวเพลง | Dance-pop และ synth-pop |
ค่ายเพลง | Interscope |
ผู้แต่งเพลง | Justin Tranter, Julia Michaels, Robin Fredriksson, Mattias Larsson,Max Martin และ Selena Gomez |
โปรดิวเซอร์ | Mattman & Robin และ Max Martin |
เพลงในปี | 2016 |
นอกจาก ‘Good For You’ แล้วเพลง ‘Hands To Myself’ เองก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่มีความเซ็กซี่พอสมควร โดยจุดเด่นของเพลงจะเป็นบีทที่ใส่เสียงกลอง, เบส และเสียงปรบมือเข้าไป ทำให้ดนตรีมีจังหวะที่คนฟังสามารถลุกขึ้นมาเต้นตามได้ อีกทั้งดนตรีป๊อปสังเคราะห์ก็เป็นอะไรที่มีความสนุกในตัวอยู่แล้ว ทั้งนี้ด้วยเทคนิคการร้องของเซลีนาที่มีความ Breathy ใช้ลมเยอะ ๆ ก็เข้ากับเพลงทำให้ยิ่งเซ็กซี่มากกว่าเดิม ฟังแล้วรู้สึกตัวเองสวยขึ้นหล่อขึ้นเลยแหละ
7. We Don’t Talk Anymore
แนวเพลง | Pop |
ค่ายเพลง | Atlantic |
ผู้แต่งเพลง | Charlie Puth, Jacob Kasher Hindlin และ Selena Gomez |
โปรดิวเซอร์ | Charlie Puth |
เพลงในปี | 2016 |
‘We Don’t Talk Anymore’ เป็นการร่วมงานระหว่างเซลีนากับ Charlie Puth โดยเบื้องหลังการอัดเสียงในท่อนของเซลีนา เธอใช้เวลาเพียงแค่ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ทั้งนี้ตัวเพลงจะมาในสไตล์ Pop Easy-Listening ฟังง่ายและสนุก ฟังกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ ยิ่งทั้งสองคนเป็นนักร้องที่มีเสียงค่อนข้างยูนีคและเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ ทำให้เพลงเพราะติดหูมากกว่าเดิม ในขณะเดียวกันเนื้อเพลงเองก็อาจจะตรงกับชีวิตของใครหลายคน ที่อาจชอบพอกับใครสักคนแต่ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปมากกว่าเพื่อนได้ จนมาถึงจุดที่ความสัมพันธ์เริ่มกระอักกระอ่วนทำให้ไม่สามารถคงความเป็นเพื่อนหรือพูดคุยกันได้เหมือนเดิม
8. Ice Cream With BlackPink
แนวเพลง | Electropop และ bubblegum pop |
ค่ายเพลง | YG และ Interscope |
ผู้แต่งเพลง | Selena Gomez, Tommy Brown, Blackpink, Ariana Grande, Victoria Monét, Bekuh Boom, 24, Teddy Park และ Steven Franks |
โปรดิวเซอร์ | Tommy Brown, 24, Mr. Franks และ Teddy Park |
เพลงในปี | 2020 |
ในช่วงแรกที่มีการปล่อย ‘Ice Cream’ ต้องบอกเลยว่าสะเทือนวงการและสร้างความตื่นเต้นให้วงการเพลงฮอลีวูดมาก ๆ เพราะโอกาสที่ศิลปินจากทางฝากฝั่งเกาหลีจะโคจรมาร่วมงานกับทางอเมริกาเป็นอะไรที่ยากพอสมควร ดังนั้นการร่วมงานของ Black Pink กับ Selena จึงค่อนข้างเป็นกระแสอยู่พอสมควร ทั้งนี้ตัวเพลงจะมาสไตล์ของ Pop ใส ๆ ตามแบบฉบับของเกาหลี และเพิ่มอิเล็กโทรให้เพลงสนุกขึ้น ส่วนเสียงของเซลีนาเองก็กลืนเข้าไปวง Black Pink ดีมาก เสมือนกับวงมีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน หากใครกำลังหาเพลงคลายเครียดสนุก ๆ ในช่วงซัมเมอร์ที่อากาศร้อนระอุ Ice Cream ถือว่าตอบโจทย์เลยครับ