สมาร์ทโฟน มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และก้าวกระโดดมาก ๆ ครับ ทำให้คุณภาพในด้านต่าง ๆ ของมือถือสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในด้าน กล้องถ่ายภาพ ที่เราจะเห็นเลยว่า กล้องมือถือในปัจจุบันนี้ มันมีคุณภาพสูง จนเกือบจะเทียบเท่ากับ กล้องระดับโปรแล้ว โดยเฉพาะมือถือรุ่นใหม่ ๆ แค่คุณหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า เล็ง และกดชัตเตอร์ เท่านี้คุณก็ได้ภาพที่เหมือนกับช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายให้แล้ว แถมยังสามารถแต่งภาพเพิ่มเติมผ่านแอปฯ แต่งรูปต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ อีกด้วย เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว คุณสามารถแชร์รูปลงโซเชี่ยลได้ทันที ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่แปลกเลยครับ ที่คนส่วนใหญ่จะเลือกทิ้งกล้องตัวใหญ่ ๆ อย่างกล้อง Mirrorless, กล้อง DSLR หรือกล้องคอมแพค แต่หยิบเฉพาะมือถือไปท่องเที่ยวแทน ดังนั้น มือถือกล้องสวย จึงได้รับความนิยมขึ้นอย่างรวดเร็วครับ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน มักจะมีการแข่งขันกันที่กล้องถ่ายภาพเป็นหลักเลย แต่ด้วยเทคโนโลยีที่จำกัด ส่งผลให้สเปกกล้องไม่ต่างกันนัก แต่ละค่ายจึงแข่งกันที่ซอฟต์แวร์แทนครับ ดังนั้นภาพที่ออกมาจึงมีความใกล้เคียงกัน จนเราดูไม่ออกแล้วว่า กล้องของรุ่นไหนมันดีกว่ากัน ? ดังนั้นเพื่อให้เพื่อน ๆ ตัดสินใจง่ายขึ้น ในวันนี้เราได้นำข้อมูลการทดสอบคุณภาพกล้องมือถือ จากสถาบันที่น่าเชื่อถือ DxOMark มาฝากกันครับ เดี๋ยวเราไปดูกันว่า มีมือถือรุ่นไหน ที่ได้คะแนนด้านกล้องระดับท๊อป ๆ บ้าง ? และตรงกับรุ่นที่คุณกำลังชั่งใจอยู่รึเปล่า ? ไปดูกันครับ
มือถือถ่ายภาพสวย รุ่นไหนเหมาะกับคุณ ?
- มือถือถ่ายภาพที่ถ่ายภาพสวยที่สุด ทั้ง กล้องหน้า และกล้องหลัง : Huawei Mate 50 Pro
(คะแนนกล้องโดยรวม 149 คะแนน และเซลฟี่ 145 คะแนน) - มือถือถ่ายภาพที่กล้องหลังมีคุณภาพสูง ถ่ายได้ทุกสภาพแสง : Google Pixel 7 Pro
(คะแนนกล้องโดยรวม 147 คะแนน และเซลฟี่ 142 คะแนน) - มือถือถ่ายภาพรุ่นยอดนิยม ที่ให้ภาพสวย ดูเป็นธรรมชาติที่สุด : Apple iPhone 14 Pro Max
(คะแนนกล้องโดยรวม 146 คะแนน และเซลฟี่ 145 คะแนน) - มือถือถ่ายภาพรุ่นยอดนิยม ที่เหมาะกับผู้หญิง ให้ภาพสวย สมจริง : Apple iPhone 14 Pro
(คะแนนกล้องโดยรวม 146 คะแนน และเซลฟี่ 145 คะแนน) - มือถือถ่ายภาพราคาคุ้มค่า เน้นการถ่ายเซลฟี่ ด้วยสกินโทนที่โดดเด่น : Huawei P50 Pro
(คะแนนกล้องโดยรวม 143 คะแนน และเซลฟี่ 144 คะแนน) - มือถือถ่ายภาพรุ่นยอดนิยม ให้ภาพคมชัด สวยสมจริง : Apple iPhone 13 Pro Max
(คะแนนกล้องโดยรวม 141 คะแนน และเซลฟี่ 134 คะแนน) - มือถือถ่ายภาพราคาประหยัด ที่ให้กล้องหลังที่มีคุณภาพ : Xiaomi Mi 11 Ultra
(คะแนนกล้องโดยรวม 141 คะแนน และเซลฟี่ 125 คะแนน) - มือถือถ่ายภาพที่ให้สกินโทนโดดเด่น เหมาะสำหรับถ่ายบุคคล : OPPO Find X5 Pro
(คะแนนกล้องโดยรวม 130 คะแนน และเซลฟี่ 116 คะแนน)
DxOMark คืออะไร ? และเชื่อถือได้หรือไม่ ?
ถ้าเราสังเกตุสมาร์ทโฟนเรือธงที่โดดเด่นด้าน กล้องถ่ายภาพ จากผู้ผลิตแบรนด์ต่าง ๆ อาทิเช่น apple, samsung, Oppo, Huawei, xiaomi, Vivo, realme, infinix, Nokia และอื่น ๆ พวกเขามักจะเปิดเผย คะแนนการทดสอบคุณภาพกล้อง จาก DxOMark ด้วยเสมอ โดย DxOMark เป็นบริษัทอิสระที่ได้จัดทำเว็บไซต์เชิงพาณิชย์ เพื่อทดสอบคุณภาพของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ กล้องถ่ายภาพ ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นมา ในปี 2008 โดยเริ่มทดสอบคุณภาพของ เซ็นเซอร์รับภาพ, เลนส์กล้อง และกล้องถ่ายรูป เป็นหลัก ต่อมาจึงได้เริ่มทดสอบคุณภาพกล้องของมือถือด้วย
ซึ่งในการทดสอบจะยึดตามหลักทางวิทยาศาสตร์ครับ รวมถึงเครื่องมือที่นำมาใช้ทดสอบก็ผ่านการรับรอง โดยมือถือแต่ละรุ่นจะผ่านกระบวนการการทดสอบประสิทธิภาพอย่างจริงจังในห้องทดลอง ดังนั้นเราจึงสามารถเชื่อผลคะแนนของ DxOMark ได้ครับ ซึ่งเมื่อทดสอบเสร็จสิ้น พวกเขาจะนำผลการทดสอบในแต่ละด้านมาคำนวณหาค่าเฉลี่ย เพื่อให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นคะแนน DxOMark Score จึงบอกเราได้ว่า กล้องมือถือแต่ละรุ่น มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับใด ?
มือถือกล้องสวย จัดอันดับตามคะแนนจาก DxOMark !
คุณภาพกล้องโดยรวม ที่ให้ภาพน่าประทับใจที่สุด 3 อันดับ | ||
Huawei Mate 50 Pro
|
Google Pixel 7 Pro
|
iPhone 14 Pro Max
|
กล้องเซลฟี่ ที่ให้ภาพสวยที่สุด 3 อันดับ | ||
iPhone 14 Pro Max
|
Huawei Mate 50 Pro
|
iPhone 14 Pro
|
หน้าจอแสดงผล ที่มีความแม่นยำของสีสูงที่สุด 3 อันดับ | ||
iPhone 14 Pro Max
|
Google Pixel 7 Pro
|
iPhone 13 Pro Max
|
หมายเหตุ เป็นการเปรียบเทียบกันระหว่างสมาร์ทโฟนรุ่นที่เรานำมารีวิวในบทความนี้เท่านั้น โดยอิงคะแนนจาก DxOMark
วิธีเลือก มือถือสำหรับถ่ายภาพ ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ !
1. ความละเอียดสูง ๆ ไม่ใช่ทุกอย่าง
หลาย ๆ คนอาจเข้าใจผิดว่า กล้องความละเอียดสูง ๆ คือ กล้องที่ดีที่สุด ซึ่งมันไม่จริงเสมอไปครับ จริงอยู่ครับว่า ค่าพิกเซลสูง ๆ มันต้องดีกว่าอยู่แล้ว แต่สำหรับสมาร์ทโฟนหลาย ๆ รุ่น มักจะนำจุดนี้มาดึงดูดคุณ ซึ่งคำว่า ความละเอียดของพิกเซล ก็คือ จำนวนจุดที่แสดงอยู่ในภาพบนหน้าจอ จุดหลายจุดรวมกันเป็นขนาดของไฟล์ภาพ เพราะฉะนั้นความละเอียดของพิกเซลจะช่วยให้คุณสามารถขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นได้ โดยที่ยังมีรายละเอียดครบถ้วนอยู่นั่นเองครับ
ยกตัวอย่างเช่น Samsung Galaxy S22 ultra รุ่นใหม่ที่มาพร้อมเลนส์ความละเอียดถึง 108MP แต่กับ iPhone12 หรือแม้แต่ iPhone13 รุ่นใหม่เช่นกัน กลับมาพร้อมเลนส์ที่มีความละเอียดสูงสุดเพียง 12MP เท่านั้น ซึ่งแน่นอนครับ ทั้งสองรุ่นนี้ มีคะแนน DxOMark Score เป็นอันดับต้น ๆ เหมือนกัน ทำให้ถ่ายภาพออกมาได้สวยไม่แพ้กัน หรือถ้าลองเทียบกับมือถือรุ่นเริ่มต้น, มือถือรุ่นกลาง ๆ หรือมือถืองบ 1 หมื่น บางรุ่นก็มาพร้อมกล้องที่ความละเอียดสูงกว่า iPhone เสียอีก แต่ภาพที่ได้กลับแตกต่างกันมาก นั่นก็เป็นเพราะปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายครับ เพราะฉะนั้นความละเอียดสูง ๆ ไม่ใช่ทุกอย่าง
2. รูรับแสง (Aperture) เป็นสิ่งสำคัญ
รูรับแสง คือ ฉากกั้นที่อยู่หน้าเลนส์ครับ ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่จะผ่านเข้าไปยังเซ็นเซอร์รับภาพ ซึ่งหลักการก็คล้าย ๆ กับดวงตาของเราครับ โดยเมื่อเราอยู่ในที่ที่สว่างหรือมืด ม่านตาของเราก็จะมีการขยาย หรือหดตัว เพื่อปรับขนาดของลูกตาดำให้เหมาะสมกับสภาพแสง ลองสังเกตุเวลาเราอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมาก ๆ เช่น ตอนเปิดไฟ จากนั้นปิดไฟกระทันหัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราจะค่อย ๆ มองเห็นในที่มืดชัดขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ซึ่งก็เป็นเพราะลูกตาดำมีการขยายตัว เพื่อเปิดรับแสงมากขึ้นนั่นเอง
ดังนั้นถ้าหากรูรับแสง เปิดได้กว้างมากเท่าไหร่ แสงก็จะยิ่งผ่านเข้าไปได้มากขึ้นเท่านั้น โดย รูรับแสง จะแทนค่าด้วย F/x.x ซึ่งจะคำนวณมาจากทางยาวโฟกัส และขนาดของแผ่นรูรับแสง หากมีค่า F มากขึ้นจะหมายถึง รูรับแสงที่เล็กลง กลับกัน ถ้าหาก F น้อยลง รูรับแสงก็จะกว้างมากขึ้นครับ ดังนั้นหากกล้องมือถือรุ่นที่คุณเลือก มาพร้อมกับรูรับแสงกว้างมากเท่าไหร่ (F/x.x(ตัวเลขน้อย)) มันก็จะส่งผลดีต่อผู้ใช้มากเท่านั้นครับ เพราะรูรับแสงมีส่วนสำคัญที่ช่วยในการถ่ายภาพทั้งแบบชัดลึก แบบชัดตื้น รวมไปถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อยให้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย
3. ขนาดของพิกเซล (Pexel) และ ขนาดเซนเซอร์ (Sensor Size)
ขนาดของพิกเซล และขนาดเซ็นเซอร์ มีความสำคัญเท่ากับรูรับแสงครับ กล่าวคือ ขนาดของแต่ละพิกเซล ก็จะกำหนดคุณภาพของภาพ ซึ่งต่างจากค่ารูรับแสงที่กว้างกว่าก็จะดีกว่า พูดง่าย ๆ ก็คือ เซ็นเซอร์ของกล้องที่มีขนาดใหญ่ก็จะสามารถรวบรวมรายละเอียดของภาพได้มากขึ้น รวมถึงช่วงไดนามิกที่ดีขึ้น และลดสัญญาณรบกวนภาพ ในขณะที่ขนาดพิกเซลที่ใหญ่กว่า ก็จะช่วยให้แสงส่องเข้ามามากขึ้นทำงานได้ดีขึ้นในที่แสงน้อย
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วครับว่า ตลาดสมาร์โฟน มีการแข่งขันกันสูงมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Android หรือ IOS ต่างอัดสเปกกันมาเต็มที่ โดยเฉพาะ กล้อง ที่มีการเพิ่มเลนส์เสริมเข้าไป ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้ง การซูม โหมดถ่ายภาพ และเพิ่มลูกเล่นอีกมากมาย ช่วยให้ใช้ถ่ายภาพได้หลายแนว สำหรับในวันนี้ เราได้รวม สมาร์ทโฟนที่ได้คะแนนจาก DxOMark สูงๆ มารีวิว โดยเรียงจากรุ่นที่ทำคะแนนได้มากที่สุดก่อน เพื่อไว้เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพครับ
Huawei Mate 50 Pro (8GB/256GB) DxOMark 149 คะแนน

ราคา 43,990 บาท*
อันดับ 1 เป็นของ Huawei Mate 50 Pro เรือธงรุ่นล่าสุดจากหัวเว่ย ที่มาพร้อมสเปกที่โดดเด่นในทุก ๆ ด้าน ไล่มาตั้งแต่ หน้าจอ 120Hz ขนาดใหญ่ ซิปฯ ระดับท๊อป หน่วยความจำแบบเหลือ ๆ และกล้องถ่ายภาพ ที่ทำคะแนนจาก DxOMark ได้สูงที่สุด 149 คะแนน (ข้อมูล ณ มกราคม 66) โดยกล้องหน้ารุ่นนี้ให้เลนส์มุมกว้าง 2 ระดับ 13MP พร้อมโหมดบิวตี้ให้เลือกใช้งานอีกมากมายครับ ซึ่งโหมดที่เราชอบคือ Flash always on ที่ช่วยเพิ่มแสงให้ใบหน้าของเรา ทำให้ภาพเซลฟี่จากกล้องรุ่นนี้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ส่วนกล้องหลังใช้เลนส์หลัก 50MP ที่ปรับรูรับแสงได้ 10 ระดับ พร้อมกันสั่น OIS เลนส์อัลตร้าไวด์ 13MP ที่ให้มุมกว้าง 120 องศา และเลนส์เทเลโฟโต้ 64MP ที่มีช่วงการซูมไฮบริดถึง 200 เท่า และซูมแบบออปติคอลอีก 3.5 เท่า พร้อมระบบกันสั่น OIS ช่วยให้ได้ภาพที่มีคุณภาพสูงทั้ง ภาพนิ่ง และวิดีโอ และสามารถจะใช้ถ่ายได้ดีทั้ง กลางแจ้ง และในร่มเลย พร้อมให้คุณสนุกกับการถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ด้วยโหมดถ่ายภาพที่ให้มาครบครัน
หมายเหตุ Huawei ยังไม่มีบริการ Google Mobile Services มาให้นะครับ แต่เราสามารถใช้แอปฯ GBox แทนได้ และข้อเสียใหญ่ที่สุดคือ รุ่นนี้รองรับเฉพาะ 4G เท่านั้น ดังนั้นใครที่อยากใช้ 5G ให้มองข้ามรุ่นนี้ไปได้เลยครับ
ข้อดี
- ประสิทธิภาพระดับเรือธง ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุก ๆ ด้าน
- ใช้วัสดุเป็นกระจกแบบโค้ง ทั้ง ด้านหน้า และด้านหลัง พร้อมมาตรฐานกันน้ำระดับ IP68
- จอแสดงผลขนาดใหญ่ 6.74 นิ้ว 120Hz ที่ให้ภาพดูสมูท สมจริง และสว่างสดใส
- กล้อง Ultra Aperture XMAGE ที่ใช้งานง่าย สามารถถ่ายได้ทุกสถานการณ์ทั้ง แสงมาก และแสงน้อย
- ปรับรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น และปรับรูรับแสงทางกายภาพได้ 10 ระดับ ให้การถ่ายที่ยืดยุ่นกว่า
- มีโหมดถ่ายภาพครบครัน อาทิเช่น Super Night, Portrait และฟีเจอร์ Super Macro เป็นต้น
- ซูมได้หลายเท่ามาก ๆ พร้อมให้ภาพที่มีรายละเอียดสูงในทุกระยะ
- การบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงระดับ 4K ทั้ง กล้องหน้า และกล้องหลัง
- มีระบบกันสั่น OIS พร้อมระบบลดเสียงรบกวน ที่มีประสิทธิภาพมาก
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สูง พร้อมรองรับการชาร์จเร็วทั้ง แบบมีสาย 66W และไร้สาย 50W
ข้อควรพิจารณา
- ไม่รองรับเทคโนโลยี 5G
- ไม่รองรับ Google Mobile Services (GMS) (มีวิธีแก้ไข)
- การ์ดหน่วยความจำภายนอก รองรับแบบ NM Card เท่านั้น ไม่รองรับ microSD Card
หน้าจอแสดงผล | 6.74" (2616 × 1212), OLED, 120Hz |
---|---|
ระบบปฏิบัติการ | EMUI 13 |
CPU | Qualcomm Snapdragon 8+ Gen1 |
GPU | Adreno 730 |
RAM | 8GB |
ROM | 256GB |
กล้องหน้า | 13MP, ƒ/2.4 (Wide Angle) |
กล้องหลัง |
|
การเชื่อมต่อ |
|
แบตเตอรี่ |
|
ปีที่เปิดตัว | กันยายน 2022 |
การรับประกัน | 1 ปี |
Google Pixel 7 Pro (8GB/128GB) DxOMark 147 คะแนน

ราคา 42,046 บาท*
Google Pixel 7 Pro เรือธงรุ่นใหม่ในตระกูล Google Pixel ที่ทรงพลังที่สุด ณ ขณะนี้ครับ โดยรุ่นนี้ได้คะแนนจาก DxOMark ไปสูงถึง 147 คะแนน เลยทีเดียว มาพร้อมดีไซน์สุดเรียบหรู ใช้วัสดุอะลูมิเนียมขัดเงา พร้อมกับใช้กระจก Corning Gorilla Glass Victus ทั้ง หน้า และหลัง ช่วยให้มันทนทานสูง กันน้ำได้ที่ IP68 ในด้านสเปกรุ่นนี้จัดเต็มทุกด้านครับ ตั้งแต่หน้าจอใหญ่ ความละเอียดสูง ชิปฯ Tensor G2 ที่อัพเกรดขึ้น ทั้ง กราฟฟิค การใช้พลังงาน และการใช้ AI ที่ดีขึ้นถึง 35% ช่วยให้ใช้งานด้านต่าง ๆ ได้อย่างลื่นไหล ส่วนแบตฯ รุ่นนี้ให้ความจุมาถึง 5,000mAh รองรับชาร์จไวทั้ง แบบมีสาย และไร้สายครับ
ส่วนการถ่ายภาพคือจุดขายของรุ่นนี้ครับ โดยให้กล้องหน้า 10.8MP ซึ่งให้ภาพที่มีสกินโทนสวยมาก ๆ ในด้านกล้องหลัง 3 ตัว ให้เลนส์หลัก 50MP ออโต้โฟกัส เลนส์อัลตราไวด์ 12MP ที่มุมมองกว้างถึง 126 องศา และเลนส์เทเลโฟโต้ 48MP ที่ให้การซูมออปติคอล 5 เท่า และซูมสูงสุดได้ 30 เท่า ด้วย Super Res Zoom โดยมีรูรับแสงที่กว้าง และความเร็วชัตเตอร์ที่ปรับให้เร็วขึ้น 2 เท่า ช่วยให้ใช้ถ่ายภาพได้ดี ทั้ง กลางแจ้ง และในร่มเลย โดยที่กล้องสามารถให้คอนทราสต์ที่ดูสวยงามในทุก ๆ สภาวะแสง และภาพยังมีความอิ่มตัวของสีสันที่ดี พร้อมให้สมดุลแสงขาวที่แม่นยำ นอกจากนี้ก็ยังมีฟังก์ชันเสริมให้ด้วย เช่น Magic Eraser ที่ช่วยให้ลบวัตถุที่ไม่ต้องการในภาพได้ง่าย ๆ และ Face Unblur ที่ช่วยลดรอยเปื้อนบนตัวแบบ เป็นต้น และตัวแอปฯ เองก็มี AI อีกมากมาย คอยช่วยให้การถ่ายภาพง่ายและสนุกขึ้นครับข้อดี
- ประสิทธิภาพในระดับเรือธง ใช้งานอย่างลื่นไหลได้ทุกด้าน
- จอแสดงผลขนาด 6.7 นิ้ว 120Hz คมชัด สว่าง และมีความแม่นยำของสีสูง
- กล้องที่มีประสิทธิภาพ พร้อมฟังก์ชันที่ชาญฉลาด ให้ภาพโดยรวมที่มีโทนสีที่ดี และมีคอนทราสต์ที่เป็นธรรมชาติ
- ระบบรูรับแสงที่กว้าง และความเร็วชัตเตอร์ที่สูง ช่วยให้การถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย ทำได้ดี
- การซูมที่ยอดเยี่ยม สูงสุดได้ 30 เท่า ให้รายละเอียดที่ดีในทุกระยะการซูม
- การบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงระดับ 4K ทั้ง กล้องหน้า และกล้องหลัง
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวของกล้องหน้าและหลังที่มีประสิทธิภาพ
- ฟังก์ชัน Photo Unblur ที่สามารถแก้ไขรูปภาพเก่าได้อย่างง่ายดาย
- รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วได้ทั้ง แบบมีสาย และไร้สาย (อาจจะช้ากว่ารุ่นอื่น ๆ)
ข้อควรพิจารณา
- กล้องเซลฟี่ที่ธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ
- การจัดการเสียงลม หรือเสียงรบกวนที่ทำได้ไม่ค่อนดีเท่าไหร่
- นอยซ์ในภาพที่มองเห็นได้ เมื่อถ่ายที่สภาวะแสงน้อยมาก ๆ
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
- การชาร์จเร็วที่ค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน
หน้าจอแสดงผล | 6.7" QHD+ (1440 × 3120) LTPO OLED, 120Hz |
---|---|
ระบบปฏิบัติการ | Android 13 |
CPU | Google Tensor G2 Titan M2 |
GPU | Mali-G710 MC10 |
RAM | 12 GB LPDDR5 RAM |
ROM | 128GB/ 256GB/ 512GB UFS 3.1 |
กล้องหน้า | Ultra-Wide: 10.8MP, ƒ/2.2 (92.8°) |
กล้องหลัง |
|
การเชื่อมต่อ |
|
แบตเตอรี่ |
|
ปีที่เปิดตัว | ตุลาคม 2022 |
การรับประกัน | 1 ปี |
Apple iPhone 14 Pro Max (6GB/256GB) DxOMark 146 คะแนน

ราคา 48,900 บาท*
iPhone 14 Pro Max เป็น iPhones รุ่นท๊อปสุด ในซีรี่ส์ใหม่ล่าสุดของ Apple ที่เปิดตัวมาในปี 2022 ซึ่งแน่นอนครับว่า ทุกคนคงทราบประสิทธิภาพของ iPhone กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ว่ามันดีมากแค่ไหน ? ทั้งในด้านดีไซน์ที่นำเทรนด์ หน้าจอขนาดใหญ่ที่คมชัดสูง นวัตกรรมใหม่บนหน้าจอ Dynamic Island ระบบปฏิบัติการ iOS ที่เสถียรมาก ๆ ใช้งานได้นาน อายุการใช้งานที่ใช้งานได้นานขึ้น และอีกมากมายครับ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ iPhones ทำได้ดีในทุก ๆ รุ่นอยู่แล้วครับ

ในด้านการถ่ายภาพ มาพร้อมกล้องหน้า 12MP ที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งใช้อยู่ใน iPhones รุ่นก่อนหน้าครับ ในส่วนกล้องหลังรุ่นนี้ได้มีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น โดยในครั้งนี้มาพร้อมกับเลนส์หลักที่มีความละเอียดสูงถึง 48MP ทำงานร่วมกับเลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP และเลนส์เทเลโฟโต้ 12MP ที่รองรับการซูมสูงสุด 3 เท่า ซึ่งด้วยเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ ทำให้การถ่ายภาพ จะสามารถทำได้ดีทั้ง ในสภาวะแสงมาก และแสงน้อยเลย ช่วยให้การถ่ายภาพในเวลากลางคืน ทำได้สบายหายห่วงครับ และจุดเด่นอีกอย่างนึง ของกล้อง iPhone คือ การประมวลผล AI ครับ ซึ่งช่วยให้มันสามารถปรับแต่งภาพ รวมถึงให้ช่วงไดนามิกที่ดีมาก ๆ สีสันสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ มอบภาพที่น่าประทับใจได้ง่าย ๆ นอกจากนี้การบันทึกวิดีโอ รุ่นนี้ก็ทำได้ดีด้วย เนื่องจากมันมีทั้ง ระบบกันสั่นไหวที่มีประสิทธิภาพ พร้อมโหมดสนุก ๆ ให้ใช้งานอีกมากมายครับ

ข้อดี
- การออกแบบที่พรีเมียม เอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมวัสดุคุณภาพสูง กันน้ำได้ถึงระดับ IP68
- ประสิทธิภาพในระดับเรือธง ใช้งานอย่างลื่นไหลได้ทุก ๆ ด้าน
- จอแสดงผลขนาด 6.7 นิ้ว 120Hz คมชัด สว่าง และมีความแม่นยำของสีสูง
- กล้องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมการประมวลผล AI และฟังก์ชันที่ชาญฉลาด ให้ภาพที่คมชัด น่าประทับใจ
- เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ รูรับแสงกว้าง ให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อย ทำได้ดีมาก ๆ
- กล้องเซลฟี่ดีมาก ให้ค่าแสงที่แม่นยำ รายละเอียดครบ โทนสีผิวที่ดี รวมไปถึงเอฟเฟ็กต์โบเก้ ก็ดูเป็นธรรมชาติมาก
- โฟกัสอัตโนมัติที่แม่นยำ และความชัดลึกที่กว้าง เหมาะสำหรับการถ่ายเซลฟี่ และการถ่ายภาพหมู่ทุกประเภท
- การบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงระดับ 4K ทั้ง กล้องหน้า และกล้องหลัง
- การเก็บเสียง และการจัดการเสียงลม หรือเสียงรบกวน ทำได้ค่อนข้างดี
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวของกล้องหน้า และหลังที่มีประสิทธิภาพ
- รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วได้ทั้ง แบบมีสาย และไร้สาย (อาจจะช้ากว่ารุ่นอื่น ๆ)
ข้อควรพิจารณา
- กล้องเซลฟี่ยังคงเหมือน ๆ กับรุ่นก่อนหน้า
- การซูมสูงสุดได้เพียง 3 เท่า เท่านั้น แต่ให้รายละเอียดการซูมที่ดีในทุกระยะ
- ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- ไม่รองรับพอร์ต USB-C แต่จะใช้พอร์ต Lightning 2.0 ของตัวเอง
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ค่อนข้างต่ำ
- การชาร์จเร็วที่ค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน
- มีราคาสูงสุด ณ ปัจจุบันนี้ (รุ่นความจุ 1TB ราคาประมาณ 66,900 บาท)
![]() |
![]() |
หน้าจอแสดงผล | 6.7" QHD+ (2796 × 1290) OLED, ProMotion 120Hz |
---|---|
ระบบปฏิบัติการ | iOS 16 |
CPU | A16 Bionic Hexa Core (2+4) |
GPU |
|
RAM | 6GB |
ROM | 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB |
กล้องหน้า |
|
กล้องหลัง |
|
การเชื่อมต่อ |
|
แบตเตอรี่ |
|
ปีที่เปิดตัว | กันยายน 2022 |
การรับประกัน | 1 ปี |
Apple iPhone 14 Pro (6GB/256GB) DxOMark 146 คะแนน

ราคา 45,700 บาท*
ใครที่เป็นสาวก iPhone แล้วรู้สึกว่า iPhone 14 Pro Max รุ่นท๊อปสุดนั้น มีขนาดที่ใหญ่ และมีราคาที่แพงมากเกินไป เราขอแนะนำ iPhone 14 Pro รุ่นรองท๊อปในซีรี่ส์นี้ที่เปิดตัวมาพร้อมกันในปี 2022 ครับ ซึ่งมันมาพร้อมกับสเปกที่แทบจะเหมือนกันทุกอย่างเลย ทำให้รุ่นนี้ได้คะแนนจาก DxOMark ในด้านกล้องไป 146 คะแนน เท่ากับรุ่นท๊อปครับ โดยสิ่งที่แตกต่างกัน ก็คือขนาดหน้าจอแสดงผลที่เล็กกว่า นอกเหนือจากนี้ทั้ง วัสดุ ดีไซน์ ก็เหมือนกัน เพียงแต่เล็กกว่ส หน้าจอก็คมชัดสูง มี Dynamic Island ระบบ iOS ที่เสถียร และอื่น ๆ อีกมากมายครับ เพราะฉะนั้นในด้านสเปก และประสิทธิภาพ หายห่วงไปได้เลยครับ
ส่วนกล้องอย่างที่บอกครับ มันเหมือนกับรุ่น Pro Max เลย โดยมาพร้อมกล้องเซลฟี่ 12MP ที่มีมุมกว้างและให้สกินโทนที่โดดเด่นเป็นธรรมชาติ กล้องหลังมีความละเอียดสูงขึ้น ซึ่งจะใช้ เลนส์หลัก 48MP คู่กับระบบกันสั่นแบบออปติคัล เลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP ที่มีมุมมองภาพ 120 องศา และเลนส์เทเลโฟโต้ 12MP ซึ่งรองรับการซูมสูงสุด 3 เท่า มาพร้อมกับ ระบบกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล ช่วยให้การถ่ายภาพทำได้ดีทั้ง ภาพนิ่ง และวิดีโอ ไม่ว่าจะในที่ร่ม หรือกลางแจ้ง แสงน้อย แสงมาก รุ่นนี้ก็พร้อมให้ภาพที่น่าประทับใจครับ นอกจากนี้ยังมีโหมดการถ่ายภาพมากมาย และ AI ที่คอยช่วยปรับแต่งภาพ รวมถึงปรับช่วงไดนามิกให้ดีขึ้น มอบภาพที่ดูเป็นธรรมชาติจริง ๆ
ข้อดี
- การออกแบบที่พรีเมียม เอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมวัสดุคุณภาพสูง กันน้ำได้ถึงระดับ IP68
- ขนาดตัวเครื่องค่อนข้างเล็ก และเบากว่ารุ่นท๊อปประมาณ 40 กรัม ทำให้เหมาะกับผู้หญิงมากขึ้น
- ประสิทธิภาพเทียบเท่าเรือธงอย่าง iPhone 14 Pro Max
- จอแสดงผล 120Hz ที่ให้ภาพคมชัด มีความสว่าง และมีความแม่นยำของสีสูง
- กล้องที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมกับมีโหมดถ่ายภาพ และ AI ที่ชาญฉลาด ช่วยให้ภาพดูคมชัด เป็นธรรมชาติ
- เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ รูรับแสงกว้าง ให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อย ทำได้ดีมาก ๆ
- กล้องเซลฟี่ดีมาก ให้ค่าแสงที่แม่นยำ รายละเอียดครบ แถมยังให้โทนสีผิวที่ดี
- โฟกัสอัตโนมัติที่แม่นยำ และความชัดลึกที่กว้าง เหมาะสำหรับการถ่ายเซลฟี่ และการถ่ายภาพหมู่
- การบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงระดับ 4K ทั้ง กล้องหน้า และกล้องหลัง
- การเก็บเสียง และการจัดการเสียงลม หรือเสียงรบกวน ทำได้ค่อนข้างดี
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่มีประสิทธิภาพ
- รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วได้ทั้ง แบบมีสาย และไร้สาย (อาจจะช้ากว่ารุ่นอื่น ๆ)
ข้อควรพิจารณา
- หน้าจอที่ค่อนข้างเล็ก
- กล้องเซลฟี่ยังคงเหมือน ๆ กับรุ่นก่อนหน้า
- การซูมสูงสุดได้เพียง 3 เท่า เท่านั้น แต่ให้รายละเอียดการซูมที่ดีในทุกระยะ
- ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- ไม่รองรับพอร์ต USB-C แต่จะใช้พอร์ต Lightning 2.0 ของตัวเอง
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ค่อนข้างต่ำ
- การชาร์จเร็วที่ค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน
หน้าจอแสดงผล | 6.1" QHD+ (2556 × 1179) OLED, ProMotion 120Hz |
---|---|
ระบบปฏิบัติการ | iOS 16 |
CPU | A16 Bionic Hexa Core (2+4) |
GPU |
|
RAM | 6GB |
ROM | 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB |
กล้องหน้า |
|
กล้องหลัง |
|
การเชื่อมต่อ |
|
แบตเตอรี่ |
|
ปีที่เปิดตัว | กันยายน 2022 |
การรับประกัน | 1 ปี |
Huawei P50 Pro (8GB/256GB) DxOMark 143 คะแนน

ราคา 33,440 บาท*
Huawei P50 Pro เป็นสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ในตระกูล P-series จาก Huawei ที่ปล่อยออกมาเพื่อที่จะกลับมาทวงบัลลังก์ สุดยอดสมาร์ทโฟนแห่งการถ่ายภาพ โดยรุ่นนี้ได้พัฒนากล้องร่วมกับ Leica ช่วยให้ได้กล้องคุณภาพที่สูงขึ้น พร้อมแสดงผลบนหน้าจอ True-Chroma OLED ขอบโค้ง ขนาด 6.6 นิ้ว 120Hz ที่มอบภาพที่คมชัด แต่แฝงความนุ่มนวล เนียนตา ทำงานด้วยชิป Snapdragon 888 ชิปตัวท๊อปที่ประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว เเรม 8GB และรอมอีก 256GB ทำให้มันตอบโจทย์ทุกการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนแบตฯ ให้ความจุ 4,360 mAh พร้อมรองรับชาร์จไว 66W และรองรับชาร์จไวแบบไร้สาย 50W ด้วย
ในส่วนของกล้อง มันจัดเต็มทั้งกล้องหน้า และหลัง ทำให้ได้คะแนนจาก DxOMark ไปถึง 143 คะแนนครับ จัดอยู่ในอันดับที่ 6 ในปี 2023 แซงหน้า Mi 11 Ultra และ iPhone 13 Pro Max ไปเพียง 2 คะแนน เท่านั้น โดยใช้ชุดกล้องหลัง 4 ตัว ดีไซน์เป็นคู่ Dual-Matrix ได้แก่ เลนส์หลัก 50MP, เลนส์โมโน 40MP, เลนส์อัลตร้าไวด์ 13MP และเลนส์ซุปเปอร์ซูม 64MP สำหรับกล้องหน้า มาพร้อมเลนส์ 13MP มุมกว้างพิเศษ ให้คุณเซลฟี่ด้วยภาพที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับนวัตกรรมด้านการถ่ายภาพมากมาย เช่น XD Fusion Pro ใช้การถ่ายภาพเชิงคำนวณควบคู่ไปกับชิปประมวลผลภาพ ช่วยปรับรายละเอียดของภาพให้ดีขึ้น XD Optics ช่วยแก้ไขความผิดเพี้ยนของสีสันในภาพ และอื่น ๆ อีกมากมายครับ
ข้อดี
- ดีไซน์เรียบหรู ดูพรีเมี่ยม
- จอโค้งแบบไร้ขอบ ขนาดใหญ่ แสดงผลได้อย่างคมชัด สีสันสดใส
- กล้องที่มีประสิทธิภาพ มอบคุณภาพ และขอบเขตการมองเห็นที่กว้าง เก็บชัดทุกรายละเอียด
- มีช่วงไดนามิกกว้างในทุกสภาวะ แถมนอยส์ค่อนข้างต่ำ ทำให้เหมาะจะถ่ายทั้ง แสงมาก และแสงน้อย
- การบันทึกวิดีโอมีการเปิดรับแสงที่ดี และมีช่วงไดนามิกที่กว้าง
- การเปลี่ยนสมดุลสีขาวที่ดี และโฟกัสอัตโนมัติที่เสถียร มีความแม่นยำ ให้ภาพที่เป็นธรรมชาติ
- การบันทึกวิดีโอที่ยอดเยี่ยม พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่มีประสิทธิภาพสูง
- ให้รูปภาพ และการเซลฟีที่ยอดเยี่ยม
- รองรับระบบชาร์จไวทั้ง แบบมีสาย และแบบไร้สาย
ข้อควรพิจารณา
- ไม่ได้ติดตั้งบริการต่าง ๆ ของ Google
- ความสว่างหน้าจอค่อนข้างต่ำ อาจทำให้มีปัญหาในการใช้งานกลางแจ้ง
- ภาพตัวอย่างบนหน้าจอ แตกต่างไปจากภาพที่ได้พอสมควร
หน้าจอแสดงผล | 6.6 นิ้ว 1228 × 2700 pixels, OLED, 120Hz |
---|---|
ระบบปฏิบัติการ | EMUI 12 |
CPU | Qualcomm Snapdragon 888 |
GPU | N/a |
RAM | 8GB |
ROM | 256GB |
กล้องหน้า | 13MP, ƒ/2.4 |
กล้องหลัง |
|
การเชื่อมต่อ |
|
แบตเตอรี่ |
|
ปีที่เปิดตัว | มกราคม 2022 |
การรับประกัน | 1 ปี |
Apple iPhone 13 Pro Max (6GB/256GB) DxOMark 141 คะแนน

ราคา 43,400 บาท*
มาต่อกันที่ iPhone 13 Pro Max ครับ ซึ่งเปิดตัวไปในเดือนกันยายน 2021 ที่ผ่านมา ถือเป็นรุ่นที่ดีที่สุด ในบรรดา iPhone 13 Series ของปี 2021 ซึ่งสามารถทำคะแนนจาก DxOMark ไปได้ 141 คะแนนครับ ยังจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของปี 2023 โดยรุ่นนี้ยังคงมาในดีไซน์สไตล์เดิม ไม่ต่างไปจากก่อนหน้านี้ พร้อมกับหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว 120Hz ที่ให้ภาพคมชัด สีสันแม่นยำ และสู้แสงได้ดี ทำงานด้วยชิป A15 ที่มีประสิทธิภาพสูงในทุก ๆ ด้าน ซึ่งถ้าเทียบกับ 12 Series รุ่นนี้จะประสิทธิภาพสูงกว่าพอสมควรเลย
ส่วนกล้องถ่ายภาพก็ถือว่า พัฒนาขึ้นมามากเช่นกันครับ โดยจะใช้กล้องหน้า TrueDepth 12MP ที่มีโหมดภาพถ่าย และการจัดแสงภาพ พร้อมเอฟเฟ็กต์อีก 6 แบบ ช่วยให้การเปิดรับแสงบนใบหน้าที่แม่นยำ มอบสีสันและโทนสีผิวที่ดูเป็นธรรมชาติ ในส่วนกล้องหลัง เลนส์หลัก 12MP ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น และรูรับแสงที่กว้างขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น เลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP และมีเลนส์เทเลโฟโต้ 12 MP ที่ให้ระยะการซูมได้ 3 เท่า ทำงานร่วมกับโฟกัสอัตโนมัติ PDAF ช่วยให้กล้องทำงานได้ดีขึ้น พร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล ช่วยเพิ่มคุณภาพของภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว และสามารถเก็บรายละเอียดภาพได้ดีทั้ง ภาพในร่ม และกลางแจ้ง (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปสเปก iPhone 3 Series)
ข้อดี
- การออกแบบที่พรีเมียม เอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมวัสดุคุณภาพสูง กันน้ำได้ถึงระดับ IP68
- ประสิทธิภาพในระดับเรือธง ใช้งานอย่างลื่นไหลได้ทุก ๆ ด้าน
- จอแสดงผลขนาด 6.7 นิ้ว 120Hz คมชัด สว่าง สู้แสงได้ดีขึ้น
- กล้องหลังที่มีประสิทธิภาพสูง มอบภาพถ่ายคุณภาพสูง พร้อมรายละเอียดที่ดีทั้ง กลางแจ้ง และในร่ม
- เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ รูรับแสงกว้าง ให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อย ทำได้ดีมาก ๆ
- กล้องเซลฟี่มีประสิทธิภาพพอ ๆ กับ iPhone 14 Pro Max พร้อมการจัดแสงภาพ เอฟเฟ็กต์โบเก้ ให้โทนสีผิวที่ดี
- โฟกัสอัตโนมัติที่รวดเร็ว แม่นยำ และความชัดลึกที่กว้าง
- การบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงระดับ 4K ทั้ง กล้องหน้า และกล้องหลัง
- การเก็บเสียง และการจัดการเสียงลม หรือเสียงรบกวน ทำได้ค่อนข้างดี
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวมีประสิทธิภาพ
- รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วได้ทั้ง แบบมีสาย และไร้สาย (อาจจะช้ากว่ารุ่นอื่น ๆ)
ข้อควรพิจารณา
- ขนาดของรอยบากกล้องหน้าบนหน้าจอ อาจรบกวนการเล่นเกม และการรับชมวิดีโอได้
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ยังคงเป็นจุดอ่อนของ iPhone
- ใช้เวลาในการชาร์จจนเต็ม นานกว่า 2 ชั่วโมง เลยทีเดียว
- ไม่รองรับ SD card ภายนอก และแจ็ค 3.5 มม.
หน้าจอแสดงผล | 6.7 นิ้ว 1284 × 2778 pixels, OLED, 120Hz |
---|---|
ระบบปฏิบัติการ | iOS 15 |
CPU | Apple A15 Bionic |
GPU | Apple GPU (5 core graphics) |
RAM | 6GB |
ROM | 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB |
กล้องหน้า |
|
กล้องหลัง |
|
การเชื่อมต่อ |
|
แบตเตอรี่ |
|
ปีที่เปิดตัว | กันยายน 2021 |
การรับประกัน | 1 ปี |
Xiaomi Mi 11 Ultra 5G (8GB/256GB) DxOMark 141 คะแนน

ราคา 26,098 บาท*
Mi 11 Ultra สมาร์ทโฟนเรือธง ราคาสุดคุ้ม ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้เองครับ ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้คะแนนเรื่องกล้องติดท๊อปเทน โดยทำคะแนน DxOMark ไปได้ถึง 141 คะแนน เท่ากับ iPhone 13 Pro Max เลย ซึ่งรุ่นนี้มาในดีไซน์สุดหรู ใช้หน้าจอขอบโค้ง แบบไร้ขอบ ขนาดใหญ่ถึง 6.81 นิ้ว WQHD+ ซึ่งจะช่วยเก็บรายละเอียดเเละเพิ่มคอนทราสต์ของสีสันได้อย่างดีครับทำงานด้วยชิป Snapdragon 888 และกราฟฟิก Adreno 660 ซึ่งเป็นตัวท็อปทั้งคู่ ทำให้ประมวลผลอย่างรวดเร็ว พร้อมมีเเรม 8GB และรอม 256GB ช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างลื่นไหลในทุก ๆ ด้าน ส่วนแบตเตอรี่ให้ความจุมา 5,000 mAh โดยรองรับการชาร์จไวถึง 67 วัตต์ และยังรองรับการชาร์จไร้สายอีกด้วย
ในส่วนกล้อง รุ่นนี้เคยได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในการจัดอันดับ DxOMark แต่ปัจจุบันถูกรุ่นใหม่ ๆ แซงไปแล้ว โดยที่กล้องหลังใช้เซ็นเซอร์ 3 ตัว และการโฟกัสที่มีประสิทธิภาพทั้ง ในเวลากลางวัน และกลางคืน โดยใช้เลนส์หลัก 50MP เลนส์ Ultrawide 48MP และเลนส์ Telephoto 48MP ช่วยให้คุณเก็บภาพได้อย่างคมชัดทุกรายละเอียด พร้อมคุณสมบัติการถ่ายภาพของกล้องอีกมากมาย โดยเฉพาะโหมดกลางคืน 2.0 + Ultra Night Photos และการจับภาพการกระทำ ในส่วนของกล้องเซลฟี่ใช้เลนส์ 20MP พร้อมโหมดบิวตี้อีกหลากหลายโหมดให้เลือกเล่น ช่วยให้ถ่ายภาพออกมาดูสวยงาม เป็นธรรมชาติ และยังมีฟังก์ชันการถ่ายภาพอื่น ๆ อีกมากมายครับ
ข้อดี
- หน้าจอแสดงผลไร้ขอบ แบบขอบโค้ง ขนาดใหญ่ ที่ให้การแสดงผลด้วยสีสันที่แม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยน
- มีหน้าจอขนาดเล็กด้านหลังเครื่อง ช่วยให้การเซลฟี่ด้วยกล้องหลังที่มีคุณภาพ ทำได้ง่ายขึ้น
- ประสิทธิภาพของกล้องที่ยอดเยี่ยมทั้ง หน้า และหลัง มีคุณสมบัติรอบด้าน พร้อมช่วงไดนามิกที่กว้าง
- มุมมองภาพในกล้องอัลตร้าไวด์ ดูกว้างกว่าคู่แข่งหลาย ๆ รุ่น
- ประสิทธิภาพการซูมระยะไกล ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- ระบบการบันทึกเสียง มีคุณภาพ ตัดเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดี
- แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh พร้อมรองรับการชาร์จไวถึง 67 วัตต์ และการชาร์จแบบไร้สาย
ข้อควรพิจารณา
- กล้องเซลฟี่ค่อนข้างธรรมดา หากเทียบกับกล้องเซลฟี่ที่ดีที่สุด ในสมาร์ทโฟนระดับเดียวกัน
- ถือเป็นรุ่นที่เก่าแล้ว
หน้าจอแสดงผล | 6.81 นิ้ว 1440 × 3200 pixels, OLED, 120Hz |
---|---|
ระบบปฏิบัติการ | MIUI 12.5 base on Android 11 |
CPU | Qualcomm Snapdragon 888 Octa Core |
GPU | Adreno 660 |
RAM | 8GB |
ROM | 256GB |
กล้องหน้า | 20MP, ƒ/2.3 |
กล้องหลัง |
|
การเชื่อมต่อ |
|
แบตเตอรี่ |
|
ปีที่เปิดตัว | พฤษภาคม 2021 |
การรับประกัน | 2 ปี |
OPPO Find X5 Pro 5G (12/256GB) DxOMark 130 คะแนน

ราคา 34,403 บาท*
OPPO Find X5 Pro สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงจากออปโป้รุ่นใหม่ที่ขึ้นชื่อในด้านสกินโทนของกล้องที่ดูสวยงามมาก ๆ โดยรุ่นนี้ได้คะแนนจาก DxOMark ไป 130 คะแนน ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้คะแนนน้อยที่สุดในลิสส์นี้นะครับ แต่ขอบอกเลยว่า ใครชอบภาพที่แตกต่าง มีสีสันสดใส และสกินโทนดูน่ารัก ๆ ละมุน กล้องออปโป้ทำได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ ครับ โดยรุ่นนี้มาพร้อมการดีไซน์ที่เรียบหรูเช่นเคย ใช้จอไร้ขอบ 6.7 นิ้ว QHD+ 120Hz ที่ให้ความคมชัดสูง มีสีสันที่สดใส พร้อมการแสดงผลภาพที่ลื่นไหล ส่วนขุมกำลังใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 1 ที่มีประสิทธิภาพ แรม 12GB และรอม 256GB ช่วยให้มันทำงานได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ทุก ๆ การใช้งาน ส่วนของแบตเตอรี่รุ่นนี้มีความจุถึง 4,500 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จไร้สาย และรองรับการชาร์จไว 65W ด้วย
ในด้านกล้องก็โดดเด่นไม่แพ้กันครับ โดยมาพร้อมกับกล้องหน้า 32MP ที่สามารถบันทึกวีดีโอได้สูงสุด 4K ที่ 60fps ส่วนกล้องหลังจัดเต็มด้วย Quad Camera ที่มีเลนส์หลัก 50MP เลนส์อัลตร้าไวด์ 50MP และเลนส์เทเลโฟโต้ 13MP พร้อมการซูมแบบต่าง ๆ ใช้ระบบโฟกัส PDAF และ Laser Auto Focus ช่วยทำให้การจับภาพง่ายดาย และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยี และโหมดการถ่ายภาพอีกมากมายคอยช่วยเหลือ ทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับการถ่ายภาพได้อย่างเต็มที่ครับ
ข้อดี
- ดีไซน์พรีเมี่ยม พร้อมใช้วัสดุอย่างดี ช่วยให้มีการกันน้ำ IP68
- หน้าจอไร้ขอบขนาดใหญ่ แสดงผลได้อย่างดีเยี่ยม
- โดดเด่นในการภาพบุคคล ตอบโจทย์ทั้ง การถ่ายภาพมุมกว้าง และมุมแคบ
- ภาพถ่าย และวิดีโอ ส่วนใหญ่ มีสีสันสดใส น่าประทับใจ และภาพตัวอย่างที่เชื่อถือได้
- มีการประมาณความลึกที่แม่นยำ ในภาพถ่ายโบเก้
- สามารถขยายช่วงไดนามิกในภาพถ่ายกลางคืนได้
- ออโต้โฟกัสที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนโฟกัสได้อย่างราบรื่น
- รายละเอียดภาพจากกล้องอัลตร้าไวด์ มีคุณภาพสูง
- การบันทึกเสียงโดยรวม มีประสิทธิภาพสูง
- รองรับการชาร์จเร็วได้ทั้ง แบบมีสายสูงสุด 80W และแบบไร้สายสูงสุด 10W
ข้อควรพิจารณา
- กล้องอัลตร้าไวด์มีระยะการมองเห็นที่ค่อนข้างจำกัด
- ไม่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพฉากช่วงไดนามิกสูง เช่น ภาพบุคคลย้อนแสง
- ภาพถ่ายระยะไกล มีรายละเอียดที่จำกัด
- ไม่รองรับ SD card
หน้าจอแสดงผล | 6.7" QHD+(3216 × 1440), AMOLED, 120Hz |
---|---|
ระบบปฏิบัติการ | ColorOS 12.1 based on Android 12 |
CPU | Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1 |
GPU | Adreno 730 |
RAM | 12GB |
ROM | 256GB |
กล้องหน้า | 32MP, ƒ/2.4 |
กล้องหลัง |
|
การเชื่อมต่อ |
|
แบตเตอรี่ |
|
ปีที่เปิดตัว | เมษายน 2022 |
การรับประกัน | 1 ปี |
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
ตารางเปรียบเทียบ รีวิว 8 มือถือ ยี่ห้อไหน ถ่ายรูปสวยที่สุด ปี 2023 | ||||
---|---|---|---|---|
ยี่ห้อ/รุ่นสินค้า | คุณสมบัติ | ดูเพิ่มเติม | ||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
|
เทคนิค การถ่ายภาพ ในเบื้องต้น ด้วยกล้องมือถือ !
1. ทำความสะอาดเลนส์
สำหรับข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เนื่องจากการที่คุณนำมือถือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงหรือใส่กระเป๋าสะพาย มีโอกาสสูงที่เลนส์กล้องจะไปโดนกับสิ่งของหรือฝุ่นละลองที่อยู่ภายในกระเป๋า นี่ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ภาพคุณออกมาไม่สวย เมื่อหยิบออกมาถ่ายกลางแจ้ง แสงจากภายนอกจะทำให้มันเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะเห็นความผิดพลาดเหล่านี้ ฉะนั้นการหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายทุกครั้ง อย่าลืมทำความสะอาดมือถือและโดยเฉพาะเลนส์ก่อนนะครับและอย่าลืมไปดูสิ่งที่คุณไม่ควรใช้ในการทำความสะอาดมือถือด้วยนะครับ
2. เปิดใช้งาน GRID
“Grid” หรือ “เส้นตาราง” ถือว่ามีประโยชน์มาก ๆ สำหรับการถ่ายภาพ เนื่องจากมันช่วยให้คุณสามารถจัดวางตำเเหน่ง รวมถึงจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ของภาพ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของภาพถ่าย ตำแหน่งขององค์ประกอบต่าง ๆ ในเฟรม หลักง่าย ๆ ในการเรียนรู้และจดจำคือ “กฎสามส่วน” โดยพื้นฐานแล้ว “Grid” จะเป็นตาราง 9 ช่อง มีขนาดเท่า ๆ กัน ซึ่งจะเห็นจุดที่เส้นตัดกันทั้งหมด 4 จุด ลองจัดตำแหน่งโดยให้แบบของคุณ ไปอยู่บนจุดตัดจุดใดก็ได้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณได้ภาพที่น่าทึ่ง และน่าสนใจมากกว่าการถ่ายภาพที่แบบอยู่ตรงกลางเพียงอย่างเดียวครับ
3. เล่นกับแสงและเงา
เมื่อเราสามารถจัดวางองค์ประกอบของภาพได้แล้ว การเล่นกับแสงและเงา สามารถช่วยทำให้ภาพออกมาดูพิเศษมากขึ้นได้เช่นกัน เพียงแค่เลือกจุดที่เราคิดว่ามีแสงส่องมากำลังดี และปรับโหมดของกล้องเป็น HDR เพื่อให้กล้องสามารถเก็บรายละเอียดในภาพได้ทั้งส่วนที่มืดและส่วนที่สว่าง แม้จะเป็นกำแพงธรรมดาแต่หากแสงและเงาที่เกิดขึ้นมันดูสวยงาม มันอาจทำให้ภาพดูพิเศษกว่าภาพอื่น ๆ ได้ครับ
4. เลือกโหมดที่เหมาะสม
อย่างที่เราได้กล่าวไป กล้องของสมาร์ทโฟนในปัจจุบันสามารถถ่ายภาพได้หลากหลายแนว มีหลายโหมดให้เลือกใช้งาน ทั้ง ถ่ายเซลฟี่ ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ ถ่ายภาพเลนส์ไวน์ และอื่น ๆ ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุด เราควรทำการศึกษาวิธิการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของสมาร์ทโฟนรุ่นนั้น ๆ เสียก่อน ซึ่งถ้าหากเราเลือกใช้โหมดในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ภาพที่ออกมาก็จะสมบูรณ์แบบด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้องแต่งเติมใด ๆ เลย
บทส่งท้าย
สำหรับใครที่ได้อ่านจนจบแล้วก็น่าจะเห็นจุดเด่นของกล้องมือถือรุ่นต่าง ๆ การดูคุณสมบัติของกล้องมือถือ ว่าควรเลือกอย่างไร แต่อย่าลืมเลือกจากคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ของมือถือด้วย เพราะสมาร์ทโฟนบางรุ่น สเปคกล้องให้มาสูงมาก แต่ซอฟแวร์หรือฮาร์ดแวร์ส่วนอื่น ๆ มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เพื่อทำให้มีราคาที่ไม่สูง ส่งผลให้ประมวลผลต่าง ๆ อาจจะทำได้ช้า หากใครมีงบที่จำกัดและรับได้ก็ไม่เป็นไร แต่หากใครรับไม่ได้ก็อาจจะขัดใจซะเปล่า ๆ ดังนั้นเราหวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้คุณสามารถเลือกมือถือรุ่นที่ต้องการ และสามารถตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้มากที่สุดนะครับ สุดท้ายนี้หากใครที่เป็นสายถ่ายภาพตัวยงก็อย่าลืมหาพวก Micro SD, Flash Drive, USB Hub หรือ External Hard Drive ไว้สำหรับสำรองภาพถ่าย รวมไปถึงอุปกรณ์เสริมที่จำเป็นอย่าง ขาตั้งกล้องมือถือ, ไม้เซลฟี่, พาวเวอร์แบงค์ และอื่น ๆ เผื่อไว้ด้วยนะครับ เผื่อจำเป็นจะต้องใช้
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.dxomark.com