วัยรุ่นทุกวันนี้คงจะคุ้นชินกับชื่อศิลปินระดับโลก อย่าง Taylor Swift, Ariana Grande, Justin Bieber, Lady Gaga หรือ Bruno Mars กันใช่ไหมครับ แต่ทราบหรือไม่ว่าก่อนที่จะมีรายชื่อศิลปินเหล่านี้มาจุติอยู่ในวงการ พวกเขาก็เคยมีไอดอลและแรงบันดาลใจในการเป็นศิลปินเช่นเดียวกัน ซึ่งหนึ่งในคนศิลปินที่วัยรุ่นในวงการของยุคนี้ต่างยกย่องในความสามารถและการสู้ชีวิตอย่างยาวนานนั่นคือ ‘บริตนีย์ สเปียส์ (Britney Spears)’
โดยแฟนเพลงและคนในวงการอย่าง Madonna รวมไปถึงศิลปินระดับตำนานหลายคนต่างตั้งฉายาให้เธอเป็น “The Princess of POP” หรือ “เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป็อป” เนื่องจากความสามารถทางด้านการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้เธอมีเพลงฮิตติดหูจำนวนมาก แม้แต่ในทุกวันนี้ยังมีคนทั่วโลกเปิดกันตามห้าง วิทยุ หรือแม้แต่สื่อวิดีโอต่าง ๆ มากมาย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสกิลการเต้นขั้นเทพที่เอนเตอร์เทนคนได้ท้ังฮอล์ใหญ่อย่างอยู่หมัด อีกทั้งชีวิตของเธอยังมีความน่าสนใจ ซึ่งผมคิดว่าคงเป็นแรงบันดาลใจในการสู้ชีวิตให้กับใครได้หลายคน ดังนั้นวันนี้ผมจึงถือโอกาสที่จะมาแชร์ประวัติและผลงานเพลงคุณภาพของเธอฝากกันไว้ ให้ทุกคนที่อยากรู้จักบริตนีย์มากขึ้น หรืออยากฟังและหาเพลงเพราะ ๆ ของเธอไปเพิ่มในเพลย์ลิสต์ของตัวเองกันครับ
ประวัติของ บริตนีย์ สเปียส์ (Britney Spears)
บริตนีย์ จีน สเปียส์ (Britney Jean Spears) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “บริตนีย์ สเปียส์” กันจนติดปาก เธอนั้นเกิดในรัฐมิสซิสซิปปี แต่โดยเชื้อชาติของตระกูลเธอแท้จริงแล้วเป็นชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในลอนดอน ดังนั้นความสามารถอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือบริตนีย์สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ถึง 2 สำเนียงนั่นคืออเมริกันและบริติช เนื่องจากทุกครั้งที่เธอได้ไปเยี่ยมคุณย่า เธอจะพูดเป็นสำเนียงบริติชอยู่เสมอ นอกจากนี้ด้วยครอบครัวที่มีการนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้บริทนี่ได้รับอิทธิพลการร้องประสานเสียงภายในโบสถ์มาตั้งแต่ยังเด็ก เปรียบเสมือนกับการปลูกฟังให้เธอชื่นชอบในการร้องเพลงไปในตัว
จนเมื่อเธออายุ 3 ขวบ บริตนีย์ก็เริ่มต้นที่จะเรียนเต้นและร้องเพลงอย่างจริงจัง ความสามารถของบริตนีย์เหมือนกับได้รับพรจากพระเจ้าและติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทำให้ทักษะของเธอพัฒนาไปอย่างรวดเร็วชนิดที่เธอเริ่มเข้าสู่วงการประกวดนักร้องหรือศิลปินในทันทีตั้งแต่อายุ 3 ขวบเท่านั้น โดยเธอเป็นที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักกันดีถึงเวทีประกวดความสามารถ เพราะบริตนีย์กวาดมาแทบจะทุกรางวัล จากนั้นเมื่อเธออายุ 8 ขวบเธอจึงได้ตัดสินไปออดิชันมิกกี้เมาส์คลับ แต่เธอได้รับการปฎิเสธ ซึ่งสาเหตุไม่ใช่เพราะความสามารถแต่เป็นเพราะเธอยังเด็กจนเกินไปที่จะอยู่บนหน้าจอ อย่างไรก็ดีสายเลือดความเป็นนักร้องยังทำให้เธอทำตามความฝันไปเรื่อย ๆ จนครอบครัวต้องย้ายไปอยู่ในนิวยอร์กเพื่อทำความฝันให้เป็นจริง
ซึ่งแน่นอนว่าการย้ายไปอยู่ในรัฐที่มีแสงเสียงทำให้เธอได้รับโอกาสทั้งการแสดงบรอดเวย์และโชว์ความสามารถอีกมากมาย อีกทั้งเธอยังเคยได้ไปประกวด Star Search ที่รวบรวมเอาเด็กเสียงดีมาประชันการร้องกันแบบแมตช์ต่อแมตช์ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ชนะและเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะการร้องของเธอค่อนข้างจะดีและกินขาดผู้เข้าแข่งขันอีกคน
อย่างไรก็ดีคนที่มีความสามารถอย่างบริตนีย์ยังสามารถเติบโตในวงการนี้ไปได้อีกเรื่อย ๆ และในที่สุดความฝันของเธอก็เป็นจริงเมื่อเธอไปแคสงานกับทางมิกกี้เมาส์อีกครั้ง จนได้โอกาสร่วมงานกับทางดิสนีย์ร่วมกับศิลปินมากความสามารถ ไม่ว่าจะเป็น คริสตินา อากีเลรา, จัสติน ทิมเบอร์เลค และ ไรอัน กอสลิง ที่ถือว่าเป็นกลุ่มระดับตำนาน เพราะทุกวันนี้ทุกคนยังเป็นศิลปินแนวหน้าของวงการ จนมาถึงวันหนึ่งที่มิกกี้เม้าส์ได้ปิดตัวลง ทำให้บริตนีย์และคนในครอบครัวจึงต้องกลับบ้านเกิดกัน เพื่อใช้ชีวิตตามเดิมแบบที่เคยเป็นมา
ด้วยบริตนีย์ที่ยังเป็นเด็กและมีไฟที่อยากจะประสบความสำเร็จ ครอบครัวของเธอจึงพยายามคอนแทคกับคนที่อยู่ในวงการและอัดเสียงเพื่อส่งไปให้กับค่ายเพลงต่าง ๆ ด้วยความสามารถของบริตนีย์หลายคนคงจะคิดว่าค่ายเพลงคงแย่งกันรับเธอเข้าเป็นศิลปิน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเธอได้รับการปฎิเสธถึง 3 ค่าย จนทำให้เธอแอบนอยเล็กน้อย อย่างไรก็ดีโชคชะตาของความเป็นสตาร์และเสียงเพราะ ๆ ของเธอก็ไปถึงหูของทางรองประธานบริษัท Jive Records จนเขาต้องรีบเรียกเธอให้มาร้องสดต่อหน้าของเขา แน่นอนว่าบริตนีย์ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เพราะเธอเลือกที่จะร้องเพลง “I Have Nothing” ของ Diva ระดับตำนานอย่าง Whitney Huston ซึ่งทำเอาคนในห้องนั้นทึ่งไปตามกัน จนรีบจำเธอเข้าเซ็นสัญญาโดยด่วน
เมื่อเธอเป็นศิลปินที่มีค่ายหรือสังกัดแล้ว เธอก็เริ่มลุยการทำเพลงทันที จนในที่สุดความฝันของเธอในการเป็นศิลปินมืออาชีพเต็มตัวก็มาถึง เพราะอัลบั้มของเธอที่ชื่อว่า “…Baby One More Time” ได้วางจำหน่ายและทำยอดขายได้ถึง 10 ล้านชุดภายในหนึ่งปีเท่านั้น รวมไปถึงยอดขายซิงเกิ้ลยอดฮิตระดับตำนานที่ใช้ชื่อเดียวกับอัลบั้มก็ขายได้ 5 แสนก็อปปี้ภายในหนึ่งวัน ทั้งยังขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ได้ติดต่อกันถึง 2 สัปดาห์ เรียกว่าเป็นการเหยียบเข้าวงการที่สวยหรู น้อยคนมากที่จะทำได้แบบนี้
มรสุมชีวิตของบริตนีย์ สเปียส์ (Britney Spears) และ #FreeBritney
ความฮ็อตและความสามารถของบริตนีย์ทำให้เธอปังอย่างต่อเนื่องชนิดที่ฉุดไม่อยู่ ตั้งแต่ปี 1998 ไปจนถึงปี 2004 บริทนีย์ถือว่าเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จทั้งเพลงและโฆษณา ถ้าจะบอกว่าเป็น Top 3 ของวงการในช่วงนั้นก็คงไม่ผิด แต่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้เลยคือเมื่อมีกราฟขึ้นก็ย่อมจะมีกราฟลงเสมอ โดยในเดือนกรกฎาคม 2004 เธอเกิดประสบอุบัติเหตุขึ้นระหว่างกำลังเต้นเพื่อถ่ายทำมิวสิควิดีโอ ซึ่งในครั้งนั้นเป็นการบาดเจ็บที่หัวเข่าค่อนข้างหนัก ทำให้เธอหยุดพักจากวงการและไปมีชีวิตครอบครัว มีลูกกับทางสามี Kevin Federline ถึง 2 คน ในช่วงของการพักเบรค
การมีครอบครัวเหมือนจะทำให้ชีวิตของเธอครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยเพราะเมื่อเธอเลิกกับทางสามี ปาปารัซซี่ก็ยิ่งตามเธอไปทุกหนทุกแห่งตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อที่จะทำข่าว โดยไม่สนใจถึงความเป็นส่วนตัวของเธอ หลังจากนั้นปัญหาก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอเครียดและโกนหัวตัวเองเลยทีเดียว ในช่วงเวลานั้นสภาพจิตใจของบริตนีย์ย่ำแย่มากจนต้องได้รับการบำบัด ทุกคนในวงการมองว่าเธอคงไม่สามารถกลับมายืนในวงการได้อีกครั้ง แต่บริตนีย์กลับมาพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าเธอมีความแกร่งและความสามารถติดตัว ทำให้เธอกลับมาอีกครั้งในปี 2008 ด้วยการปล่อยอัลบั้มสุดแซ่บอย่าง “Blackout” และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเธอก็ปล่อยอัลบั้มออกมา ให้แฟนเพลงได้หายคิดถึงกันกันแบบยาว ๆ จนถึงปี 2018
ทุกอย่างเหมือนจะเดินไปได้อย่างสวยงาม แต่แล้วมรสุมชีวิตก็กลับมาอีกครั้ง เพราะก่อนที่จะเริ่มคอนเสิร์ต “Domination” ใน Las Vegas อยู่ดี ๆ เธอก็ประกาศทางผ่าน Instagram ว่าเธอจำเป็นจะต้องยกเลิกโชว์ตลอดทั้งปี เพื่อกลับไปดูแลอาการป่วยของคุณพ่อ James Parnell Spears แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้แฟนเพลงของเธอกลับแปลกใจกันไปเป็นแถว เพราะถึงแม้ว่าพ่อของเธอจะป่วยก็จริง แต่ในช่วงระยะเวลานั้นคุณพ่อของเธออาการเป็นปกติและหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าความลับไม่มีอยู่จริงบนโลก เนื่องจากบริตนีย์ตัดสินใจดำเนินเรื่องขึ้นศาลเพื่อถอดถอนคุณพ่อของเธอที่อยู่ในฐานะ ‘Conservatorship’ ออกไป
โดยเธอกล่าวในศาลพร้อมกับร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2008 จนถึง 2021 ชีวิตของเธอไม่เป็นสุขเลยกว่า 13 ปี เพราะคุณพ่อของเธอใช้อำนาจในการดูแลบังคับเธอในทุกทาง ไม่ว่าจะเป็น เงินที่บริตนีย์หามาได้นับพันล้าน จากการออกทัวร์คอนเสิร์ต ขายเพลง หรือน้ำหอมชื่อดัง เธอไม่มีสิทธิ์ในการใช้เลยแม้แต่บาทเดียว นอกจากนี้เธอยังถูกบังคับให้ใส่ห่วงยางอนามัยไว้ในมดลูก เพื่อคุมกำเนิดไม่ให้เธอท้อง แม้ว่าเธออยากจะมีลูกสาวก็ตาม และทำงานต่อไปแบบไม่มีวันหยุด แม้ในวันที่เธอไข้ขึ้นจนเกือบช็อก เธอก็โดนทีมงานและคุณพ่อบังคับลากเธอขึ้นไปเวทีจนได้ ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังโดนสั่งให้รับประทานยา ‘ลิเทียม’ หรือยาทางจิตเวชที่มีความรุนแรง เพื่อทำให้เธอมึนและพูดกับใครไม่รู้เรื่อง เพราะพ่อของเธอต้องการจะยืดระยะเวลา Conservatorship นั่นเอง
อย่างไรก็ดีกระบวนการทางศาลเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานพอสมควร ซึ่งการที่จะคืนความเป็นอิสระให้บริตนีย์ไม่ได้มีเพียงแค่ศาลเท่านั้น แต่แฟนคลับก็มีส่วนช่วยอย่างหนึ่งที่อย่างน้อยก็เป็นปากเป็นเสียง หรือเป็นกำลังใจให้กับเธอในยามทุกข์ยากตอนนี้ แฟนคลับจึงตั้ง #FreeBritney ขึ้นมา เป็นการซัพพอร์ตและเปิดเผยความจริงเพื่อช่วยเธอในอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่แฟนคลับเท่านั้นที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับบริตนีย์ เพราะนักร้องระดับโลกอย่าง Mariah Carey, Madonna, Miley Cyrus หรือ Ariana Grande ก็ต่างช่วยโพส #FreeBritney เช่นเดียวกัน ซึ่งทางเราก็หวังเช่นเดียวกันว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้นกับบริตนีย์ ทำให้แฟนคลับได้เห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มจริง ๆ อีกครั้ง แม้ว่าเธอจะกลับมาในวงการเพลงหรือไม่ก็ตาม
10 อันดับ ผลงานคุณภาพของ บริตนีย์ สเปียส์ (Britney Spears)
1. Baby One More Time

แนวเพลง | Pop, dance-pop และ teen pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Jive |
ผู้แต่งเพลง | Max Martin |
โปรดิวเซอร์ | Max Martin และ Rami |
เพลงในปี | 1998 |
“…Baby One More Time” คือเพลงที่เปรียบเสมือนกับการปูพรหมแดงให้บริตนีย์ได้เข้าสู่วงการเพลงในฐานะศิลปินเดี่ยวดาวรุ่งอย่างเต็มที่ โดยในตอนนั้นเพลงนี้เป็นที่ฮือฮาค่อนข้างมากกับตัวเพลงและเอ็มวีที่เป็นหญิงสาวไฮสคูล แต่ซ่อนความเปรี้ยวไว้เล็กน้อยด้วยการผูกเสื้อเชิ้ตโชว์หน้าท้อง ส่วนทางด้านของเพลงที่มาในแนวป๊อปหวานใสตามฉบับของ Teen Pop ก็ติดหูตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน ในขณะเดียวกันเนื้อเพลงที่เผ็ดร้อน ทำให้เพลงนี้ดูมีลูกเล่น ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนกับการรับประทานทับทิมกรอบที่มีท็อปปิ้งเป็นพริกโปะหน้า เรียกว่าในช่วงปลาย 90 ไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้อย่างแน่นอน นอกจากที่คนจะร้องกันตามทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว บริตนีย์ยังเป็นผู้นำแฟชั่นอีกด้วย เพราะเด็กสาวทุกคนต่างผูกปลายเสื้อโชว์หน้าท้องกันเป็นแถว ๆ เลยทีเดียว
2. Womanizer

แนวเพลง | Electropop และ dance-pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Jive และ Zomba |
ผู้แต่งเพลง | The Outsyders |
โปรดิวเซอร์ | The Outsyders |
เพลงในปี | 2008 |
สำหรับเพลง “Womanizer” เรียกได้ว่าเป็นเพลงชาติของผู้หญิงที่ใช้จิกกัดผู้ชายเจ้าชู้โดยเฉพาะ ด้วยเนื้อเพลงและจังหวะดนตรีแบบ Electropop ผสมเข้ากับความเป็นบริตนีย์ด้วย Dance-pop บอกได้เลยว่าทุกบีทและทุกจังหวะของเพลงมันส์จนแทบไม่ได้หยุดหายใจ ยิ่งโดยเฉพาะท่อนฮุคที่มีความ Powerful หากได้เปิดในผับบาร์หรืองานปาร์ตี้จะต้องมีคนเลื้อยลงพื้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งคนแน่นอน ดังนั้นเพลงนี้จึงถูกยกให้เป็นการคัมแบคอย่างสมเกียรติและสมศักดิ์ศรีของบริตนีย์ หลังจากที่หยุดพักไปด้วยปัญหาชีวิตหลายอย่าง
3. S&M With Rihanna

แนวเพลง | Hi-NRG, dance-pop และ Eurodance |
---|---|
ค่ายเพลง | Def Jam และ SRP |
ผู้แต่งเพลง | Mikkel S. Eriksen, Tor Erik Hermansen, Sandy Wilhelm และ Ester Dean |
โปรดิวเซอร์ | Stargate และ Sandy Vee |
เพลงในปี | 2011 |
ถ้าให้เปรียบเทียบ S&M กับอาหาร ผมคงจะต้องให้เพลงนี้เป็นส้มตำที่ใส่พริก 50 เม็ด พร้อมกับการราดด้วยปลาร้าอีกสัก 2 ช้อนโต๊ะเพื่อเพิ่มความแซ่บนัว เมื่อทานเข้าไปแล้วจะต้องแสบท้องไปถึงลำไส้อย่างแน่นอน เพราะเพียงแค่ชื่อเพลงก็คงไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากความ (ใครอยากรู้ความหมายลองไปเสิร์ชกันดูนะครับ) แต่อย่างหนึ่งที่จะบอกคือความพิเศษและสิ่งที่ไม่มีใครจะคาดฝันคือการที่ Rihanna ได้ร่วมงานกับ Britney Spears ซึ่งในตอนนั้นเป็นอะไรที่ฮือฮามาก เนื่องจากปี 2011 เป็นหนึ่งในปีที่รุ่งโรจน์ของทั้งสองคนมาก ๆ โดยการที่จะมีตัวท็อประดับนี้มาร่วมงานกันต้องบอกได้เลยว่าค่อนข้างจะน้อยมาก เรียกได้เลยว่ามันเป็นการ Collabration ระดับตำนาน แน่นอนว่าหลังจากที่รีแอนนาปล่อยเวอร์ชันนี้ออกมา เพลงนี้ขายดีแบบเทน้ำเทน่าและขึ้นไปพิชิตบนยอดชาร์ตอันดับ 1 ได้สำเร็จ เพราะเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งคู่ที่ผสมได้ลงตัว บวกเข้ากับดนตรีที่ชูโรงให้ความเผ็ดนัวของเพลงเพิ่มไปอีก 50 ระดับ ถ้าหากใครยังไม่เคยฟัง รีบไปฟังด่วน ๆ ครับ รับรองได้เลยว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
4. 3
แนวเพลง | Electropop |
---|---|
ค่ายเพลง | Jive |
ผู้แต่งเพลง | Max Martin, Shellback และ Tiffany Amber |
โปรดิวเซอร์ | Max Martin และ Shellback |
เพลงในปี | 2009 |
อีกหนึ่งเพลงที่มีความคลาสสิกและแสดงความเป็นเจ้าแม่เพลงป๊อปได้ดีเลยคือ ‘3’ โดยเพลงนี้จะมาในแนว Electropop ที่มีจังหวะและบีทสนุก ๆ ซึ่งดนตรีที่มีใช้เสียงเบสเป็นไฮไลท์ของเพลง ทำให้ทุกอย่างดูลงตัวและเหมาะกับการเปิดเต้นชวนแฟนเพลงทุกคนให้เต้นไปตามเพลงได้อย่างสนุกสนาน ทางด้านเนื้อเพลงก็หายห่วงแน่นอนเพราะ Max Martin นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์คู่บุญของบริตนีย์เป็นคนจัดวางทุกอย่างได้ลงตัว ถึงแม้ว่าเสียงของบริทนีย์จะมีความใสละมุน แต่แม็กซ์สามารถดึงความเปรี้ยวของบริตย์ออกมาให้เพลงนี้ดูเซ็กซี่และกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานที่จารึกในผลงานชิ้นโบว์แดงของเธอ
5. Hold It Against Me

แนวเพลง | Dance-pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Jive |
ผู้แต่งเพลง | Max Martin, Dr. Luke และ Bonnie McKee |
โปรดิวเซอร์ | Dr. Luke และ Max Martin |
เพลงในปี | 2011 |
อีกหนึ่งบทเพลงตำนวนและการคัมแบคสุดยิ่งใหญ่ที่ทำให้สถิติให้บริตนีย์มายืนเป็นตัวแม่อีกครั้งในวงการเพลงคือ “Hold It Against Me” ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลังก่อนที่เพลงนี้จะรีคอร์ตด้วยเสียงบริตนีย์ ตัวเพลงเคยถูกเสนอไปให้ Katy Perry มาก่อน แต่ทาง Dr.Luke และ Max Martin มองว่าเพลงไม่เข้ากับเสียงของทางเคที่ ทำให้โปรดิวเซอร์ทั้งสองคนต้องหานักร้องที่เหมาะจะอัดเสียง ทำให้เพลงนี้กลายเป็นตำนาน จนในที่สุดทั้งคู่ก็ลงความเห็นกันว่าคนที่คู่ควรมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น “Britney Spears” และความคิดของพวกเขาก็ไม่ผิด เพราะหลังจากที่เพลงนี้ปล่อยออกมาในสัปดาห์แรก เพลงนี้ก็เปิดตัวที่อันดับ 1 ทันทีโดยไม่ต้องไต่ชาร์ตให้เสียเวลา ทำให้เธอสร้างสถิติเป็นศิลปินที่มีเพลงเปิดตัวในอันดับหนึ่งถึงสองเพลง ซึ่งในตอนนั้นมีเพียงแค่ 2 คนที่ทำได้นั่นคือ Britney Spears และ Mariah Carey
6. Everytime

แนวเพลง | Pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Jive |
ผู้แต่งเพลง | Britney Spears และ Annette Stamatelatos |
โปรดิวเซอร์ | Guy Sigsworth และ Britney Spears |
เพลงในปี | 2004 |
บริตนีย์จะได้รับการชื่นชมอยู่เสมอว่าเธอเป็นศิลปินที่เต้นเก่งและโชว์ได้ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการ แต่แทบไม่มีใครเคยรู้ว่าทักษะการแต่งเพลงของเธออยู่ในระดับจีเนียส ถึงขนาดที่โปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานร่วมกับเธอต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ทักษะการแต่งเพลงของบริตนีย์นั้นดีจนแทบคาดไม่ถึง และหนึ่งในเพลงที่พิสูจน์ความสามารถตรงนี้ได้ดีคือ “Everytime” เพราะบริตนีย์ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับการนั่งอยู่หน้าเปียโนของตัวเองภายในบ้าน เพื่อนั่งหาคีย์และแต่งเนื้อเพลงให้สมบูรณ์แบบ จนในที่สุดก็ได้เพลงนี้ออกมา โดยเนื้อหาภายในเพลงเป็นการบอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวด ที่ทาง “จัสติน ทิมเบอร์เลก” (แฟนเก่า) แต่งเพลงถึงเธอและบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ควรจะพูดให้สาธารณะฟัง ความเจ็บปวดในครั้งนั้นทำให้เธอเหมือนตายทั้งเป็น ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมเพลงนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลงที่เศร้าที่สุดของบริตนีย์ ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก หากเปรียบเทียบกับมาตรฐานความดังที่เธอเคยทำไว้ แต่บอกได้เลยว่ามันตรึงตราตรึงใจใครหลายคนเลยทีเดียว สำหรับใครที่อยากฟังเสียงเพราะ ๆ คลอไปกับเปียโน “Everytime” จะทำให้คุณอินและหลงไปกับมลเสน่ห์ของเสียงบริตนีย์ไปอย่างไม่รู้ตัว
7. Toxic

แนวเพลง | Dance-pop และ techno-pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Jive |
ผู้แต่งเพลง | Cathy Dennis, Christian Karlsson, Pontus Winnberg และ Henrik Jonback |
โปรดิวเซอร์ | Bloodshy & Avant |
เพลงในปี | 2004 |
“Toxic” เป็นอีกหนึ่งเพลงตกแฟนเพลงนับล้านให้กลายมาเป็นแฟนคลับของเธอ เพราะด้วยดนตรีแบบ Techno-pop ที่หลอมรวมเข้ากับ Dance-pop ให้ความรู้สึกเหมือนกับดูหนังแอคชั่นเรื่องเดอะเมทริกซ์ แต่แกมหรือแซมเข้าด้วยความเผ็ดร้อนของเสียงสุดเซ็กซี่ของบริตนีย์ เหมือนจะไม่ค่อยเข้ากัน แต่มันแมตช์กันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งนี้ในแง่ของดนตรีที่ใช้ก็บอกได้เลยว่าอัจฉริยะมาก เพราะเสียงของกีตาร์ไฟฟ้า กลอง และ เปียโนไฟฟ้า เมื่อเล่นรวมกับแล้วกลมกล่อมสุด ๆ ดังนั้นต้องยกความดีความชอบให้ Bloodshy & Avant เลยครับ หากใครอยากฟังหนึ่งผลงานคุณภาพที่สุดของบริตนีย์ ต้องไปฟังเพลง “Toxic” ครับ
8. I’m A Slave 4 U

แนวเพลง | Dance-pop และ R&B |
---|---|
ค่ายเพลง | Jive |
ผู้แต่งเพลง | Chad Hugo, Pharrell Williams และ Britney Spears |
โปรดิวเซอร์ | The Neptunes |
เพลงในปี | 2001 |
“I’m A Slave 4 U” เปรียบเสมือนกับการก้าวเดินครั้งใหญ่ของบริตนีย์ เพราะเธอเริ่มฉีกภาพลักษณ์ความหวานใสจาก “…Baby One More Time” ให้กลายมาเป็นลุคเซ็กซี่เหมือนหญิงสาวที่ดูโตขึ้น ในขณะเดียวกันเสียงของบริทนีย์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยตามอายุของเธอ ซึ่งในช่วงนั้นเป็นที่ถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะมากถึงการเปลี่ยนภาพลักษณ์ตรงนี้ แต่ก็ไม่มีใครปฎิเสธได้เลยว่า เพลงนี้สร้างความจดจำให้ใครหลายคน นอกจากจะมีความเป็น Dance-pop แล้วยังผสมด้วย R&B เล็กน้อย
9. Work B**ch!

แนวเพลง | EDM |
---|---|
ค่ายเพลง | RCA |
ผู้แต่งเพลง | William Adams, Otto Jettman, Sebastian Ingrosso, Anthony Preston, Ruth-Anne Cunningham และ Britney Spears |
โปรดิวเซอร์ | Sebastian Ingrosso, Otto Knows และ will.i.am |
เพลงในปี | 2013 |
บริตนีย์เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่เคยหยุดพัฒนาผลงานของตัวเอง โดย “Work B**ch!” เป็นอีกหนึ่งผลงานที่พิสูจน์ได้ว่าเธอก้าวไปตามเทรนต์ของดนตรีอยู่เสมอ เพราะเธอเลือกที่จะร่วมงานกับทาง Will.i.am ซึ่งเป็นนักร้องและโปรดิวเซอร์ที่โดดเด่นในเรื่องของดนตรีแนว EDM ล้ำสมัย ทำให้เพลงนี้เหมือนเป็นการทดสอบความสามารถในการร้องของบริตนีย์อีกครั้ง ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นนักร้องมืออาชีพระดับโลก แต่เธอยอมลงทุนที่จะจ้าง Vocal Coach มาช่วยครีเอทและเตรียมความพร้อมทางด้านเสียงไว้โดยเฉพาะ ทั้งนี้ด้วยเนื้อเพลงที่ไปตรงใจกับมนุษย์เงินเดือน ทำให้รู้สึกมีแรงบันดาลใจในการทำงาน ก็ทำเอาชาวอเมริกาหลายคนฟังและขอเพลงนี้ทางวิทยุกันเป็นจำนวนมาก จนพิชิตอันดับที่ 12 ของ Billboard Hot 100 และยังไปขึ้นชาร์ตทั่วโลกกว่าอีก 14 ประเทศ หากใครเป็นสาย EDM ที่อยากเปิดใจฟังบิตนีย์สักครั้ง
10. Circus

แนวเพลง | Dance-pop และ electropop |
---|---|
ค่ายเพลง | Jive |
ผู้แต่งเพลง | Lukasz Gottwald, Claude Kelly และ Benjamin Levin |
โปรดิวเซอร์ | Dr. Luke และ Benny Blanco |
เพลงในปี | 2008 |
Circus เป็นซิงเกิ้ลในอัลบั้มที่ชื่อเดียวกันว่า “Circus” โดยความพิเศษของเพลงนี้จะอยู่ตรงที่การร้องของเธอจะใช้แนวกึ่ง Rap เมื่อนำมาเบลนเข้ากับดนตรีที่เป็น Electropop ทำให้เพลงโดยรวมออกมาเป็นเอกลักษณ์ตามฉบับของบริตนีย์ จนนักวิพากษ์วิจารณ์เพลงออกมาชื่นชมกันเป็นเสียงเดียวกันว่า Circus เป็นเพลงที่สร้างมาตรฐานและมิติใหม่ให้กับบริตนีย์ ทั้งนี้ตัวเพลงก็ถือว่าประสบความสำเร็จในชาร์ตได้ค่อนข้างดี เพราะสามารถขึ้นไปได้ในอันดับ 3 และกลายเป็นเพลงที่มียอดขายติดอันดับ Top 10 ของปี 2009 เลยทีเดียวครับ