New Normal ชีวิตในรูปแบบใหม่กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งตอนนี้หลาย ๆ คน อาจจะกำลังสงสัยและเริ่มวิตกกังวลว่าจะปรับตัวใช้ชีวิตกันอย่างไรต่อไปให้เข้ากับสถานการณ์โควิดที่มีแนวโน้มจะดีขึ้นในไม่ช้า บางคนก็อาจจะบอกว่า “ฉันก็ใช้ชีวิตในวิถีแบบเดิม” หรือบางคนก็อาจจะ “ตระหนักได้” แล้วว่าภัยร้ายนั้นมีอยู่รอบตัวและจะต้องป้องกันระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ เพราะภัยร้ายนั้นไม่ใช่เพียงแต่เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ แต่ภัยร้ายที่มองไม่เห็นนั้นก็ต้องควรระวังเช่นกัน
เราเชื่อว่าสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นนั้น ได้เปลี่ยนความคิดของหลาย ๆ คนไปไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น การมีวินัยในเรื่องของความสะอาด โดยการรู้จักสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อต้องไปข้างนอกหรือที่ที่มีผู้คนแออัด, การหมั่นล้างมืออย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย, การพกเจลล้างมือแอลกอฮอล์และสเปรย์แอลกอฮอล์ไว้ใช้สำหรับฆ่าเชื้อที่มองไม่เห็น, พฤติกรรมการทานอาหารที่เปลี่ยนไป รวมถึงการใช้ธุรกรรมทางการเงินออนไลน์กันมากขึ้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ชีวิตที่ไม่ต้องพกเงินสด สิ่งเหล่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละนิด ๆ โดยที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว
เคล็ดลับที่จะช่วยคุณรับมือกับชีวิตในรูปแบบใหม่ หลังจากสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น
ในวันนี้เราจะมาแนะนำการใช้ชีวิตแบบ “New Normal” กันค่ะ หลังจากที่สถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น และหลายคนอาจจะต้องกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันแล้ว หลังจากที่ต้อง Work From Home กันมาหลายเดือน การจะออกจากที่พักแต่ครั้งคุณจะต้องมีความพร้อมในด้านใดบ้าง คุณจะต้องมีไอเท็มตัวไหนบ้างที่ต้องพกเมื่อออกไปข้างนอก และคุณจะต้องเตรียมตัวรับมือกับการเข้าสังคมที่ต้องเว้นระยะห่างอย่างไร วันนี้เราจะแนะนำให้คุณได้รู้จักการใช้ชีวิตแบบใหม่กันค่ะ แม้ว่าสถานการณ์ดีขึ้นแต่คุณก็ยังต้องคงมาตรการป้องกันตามเดิมนะคะ
1. ตรวจสิ่งของที่จำเป็นต้องพกก่อนออกจากบ้าน
สิ่งแรกในยุคนี้ที่ขาดไม่ได้เลยนั้นก็คือ หน้ากากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย(สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้) หรือหน้ากาก N95 ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็ตาม หากคุณลืมสวมหน้ากากเมื่อต้องออกข้างนอก รับรองได้วันนั้นทั้งวันจะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้คุณแน่นอน เพราะหน้ากากเป็นนั้นเป็นเสมือนเกราะป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ เมื่อไม่มีหน้ากากก็เท่ากับว่าคุณจะใช้ชีวิตได้ลำบากมากขึ้นค่ะ เพราะร้านค้าหรือร้านอาหารรวมถึงออฟฟิศ ตอนนี้ก็มีข้อกำหนดที่ชัดเจนเกี่ยวการสวมหน้ากากก่อนเข้าไปในภายอาคาร ทางที่ดีคุณควรจะสวมหน้ากากตลอดทั้งวันแต่ตั้งก่อนออกจากบ้านจนกว่ากลับบ้าน และควรจะพกหน้ากากสำรองไว้ในประเป๋าด้วย เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
สิ่งต่อมาที่พกไว้นั่นก็คือ เจลล้างมือแอลกอฮอล์(สามาทำเองทำเองได้), สเปรย์แอลกอฮอล์(สามารถทำเองได้), ทิชชูเปียกแบบฆ่าเชื้อ, ผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ(สามารถทำเองได้) หรือ Alcohol Pad แผ่นฆ่าเชื้อ เป็นต้น ที่จะต้องใช้สำหรับการสัมผัสพื้นผิวใด ๆ ที่อาจจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้ อาทิเช่น พื้นผิวที่ผู้คนต้องใช้ร่วมกัน อย่าง ลูกบิดประตู ปุ่มกดลิฟต์ และราวบันได เป็นต้น หากคุณทำแผ่นฆ่าเชื้อหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ด้วยตัวเอง คุณจะต้องระวังในใช้แอลกอฮอล์ระหว่างเอทิลแอลกอฮอล์และเมทิลแอลกอฮอล์ด้วยนะคะ

หมายเหตุ: อ้างอิงจากกรมอนามัย ในกรณีที่ใช้ Face Shield นั้นคุณควรจะสวมหน้ากากควบคู่ไปด้วยทุกครั้ง การสวมเพียงแค่ Face Shield อย่างเดียว ไม่ได้ช่วยป้องกันเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเท่าที่ควร และสำหรับใครที่ล้างมือบ่อย ๆ จนมือเริ่มแห้งนั่น เรามีเคล็ดลับป้องกันมือแห้งจากการล้างมือบ่อยมาฝากกันค่ะ
2. เสื้อผ้าที่สวมใส่
นอกจากการหมั่นล้างมืออย่างน้อย 20 วินาทีด้วยสบู่ให้สะอาดแล้วนั้น เสื้อผ้าก็มีส่วนที่จะมีเชื้อโรคเกาะได้เช่นเดียวกับผิวหนังนะคะ ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านแล้วให้คุณถอดเสื้อผ้าออกและอาบน้ำล้างตัวทันที โดยแยกซักเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกไปข้างนอกกับที่ใช้ในบ้านออกจากกันให้เรียบร้อย และไม่ควรใช้เครื่องซักผ้าสาธารณะร่วมกับผู้อื่น หากคุณไม่มีเครื่องซักผ้าที่บ้าน ให้คุณซักด้วยมือไปก่อนในช่วงนี้ อย่าลืมใส่น้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับผลิตภัณฑ์ซักผ้าด้วยนะคะ

3. หลีกเลี่ยงการใช้เงินสด
เชื่อหลาย ๆ คนตอนนี้ก็น่าจะมีแอปพลิเคชันเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน (อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง) กันมากขึ้น ร้านค้าต่าง ๆ ก็เริ่มมีบริการเก็บเงินได้จากแอปพลิเคชันเหล่านี้ มันสะดวก ๆ และลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรค เพราะเงินคือแหล่งรวมเชื้อโรคชั้นดี แต่สำหรับใครที่ไม่สะดวกในการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง คุณก็ยังสามารถใช้เงินสดได้เช่นเดิมค่ะ เพียงแต่หลีกเลี่ยงการใช้กระเป๋าสตางค์ไปก่อนในช่วงนี้ แนะนำให้ใส่เงินถอนที่ได้จากร้านค้าต่าง ๆ ในถุงซิปล็อกไปก่อน และเมื่อกลับถึงบ้านให้ทำความสะอาดเงินถอนเหล่านั้นด้วยน้ำสบู่หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ จากนั้นก็ผึ่งลมให้แห้งสนิท
4. ระวังในเรื่องของอาหารการกิน
หากพูดถึงพฤติกรรมการทานอาหารนั้น เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดที่สุด เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลมีมาตรการล็อกร้านอาหาร ทำให้หลาย ๆ คน เลือกที่จะสั่งซื้อทางออนไลน์กันมากขึ้น ร้านอาหารหลายร้านต้องปรับตัว มีบริการสั่งของแบบเดลิเวอรี่ หรือบางร้านก็ลงทะเบียนในแอปพลิเคชัน Food Delivery อย่างเช่น Grab, LINE MAN และ Foodpanda เป็นต้น ซึ่งทำให้มีอาชีพเป็นคนขับรถส่งอาหารเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้หลาย ๆ คนก็อาจจะเลือกปรุงอาหารทานเองที่บ้าน เพื่อเป็นหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก และเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปในตัว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะคุณจะได้ทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและมีประโยชน์ด้านคุณค่าทางสารอาหารอย่างครบถ้วน

สำหรับใครที่ชอบไปทานตามร้านอาหารในช่วงนี้ คุณอาจจะต้องรู้สึกเหงาเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าคุณจะไปพร้อมกับเพื่อน ๆ แต่ก็ต้องแยกกันนั่งคนละโต๊ะ บางร้านอาจจะอะลุ่มอล่วยให้สามารถนั่งทานได้ 2 คนต่อโต๊ะ แต่ก็ต้องนั่งแยกห่างกันพอสมควร ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ชอบทานข้าวคนเดียวหรือรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องนั่งทานคนเดียวอาจจะต้องเลือกสั่ง Food Delivery ไปก่อนนะคะ แต่สำหรับใครที่เป็นสายอินดี้ สามารถนั่งคนเดียวได้ นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะใช้ชีวิตในแบบที่คุณชอบโดยไม่ต้องสนใจคนรอบข้างว่าจะมองคุณอย่างไร ซึ่งผู้เขียนบทความเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวเช่นกันค่ะ การที่มีมาตรการแยกกันนั่งคนละโต๊ะโดยปฏิบัติเหมือนกันทุกร้าน ก็ช่วยลดความเขินอายลงได้บ้างไม่มากก็น้อย 🙂
5. มีระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)
ระยะห่างทางสังคมนั้นยังคงต้องปฏิบัติเช่นเดิม แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นแล้วก็ตาม คุณจะต้องเว้นระยะจากผู้อื่นอย่างน้อย ๆ 1-2 เมตร เพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น หลาย ๆ ครั้งที่ผู้อื่นมักจะลืมตัวเดินเข้ามาใกล้คุณโดยไม่มีการเว้นระยะห่าง ถึงแม้ว่าพวกเขาและคุณจะสวมหน้ากากอนามัยแล้วก็ตาม แต่คุณก็ควรจะมี Social Distancing เช่นเดิมค่ะ
แม้ว่าจะต้องเว้นระยะห่าง หรืออาจจะต้องงดพบเจอกัน แต่ไม่ได้หมายถึงการตัดการเชื่อมต่อทางสังคมออนไลน์ คุณยังคงสามารถเชื่อมต่อกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ได้ในรูปแบบที่ต่างกัน อาทิเช่น การเปิดกล้องคุยกันเป็นต้น
วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป
- การสวมหน้ากากและถุงมืออาจเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
- การเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบ (มีการเว้นระยะห่าง) จะถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในประเทศไทย
- ระบบขนส่งสาธารณะบางประเภทจะเป็นรับคนได้จำนวนจำกัดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ดีในเรื่องของความแออัด หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความล้าช้าในชั่วโมงเร่งด่วนก็เป็นไปได้ค่ะ
- เราจะหันมาใส่ใจสุขภาพร่างกายตัวเองมากขึ้น พยายามดูว่ามีอะไรผิดผกติหรือไม่ และระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น เราจะระวังตัวเป็นพิเศษเมื่อมีใครบางคนไอหรือจามใกล้ตัวเรา
- เราจะใช้วันหยุดในการพักผ่อนไปกับสวนหลังบ้านของเรา เนื่องจากข้อจำกัดในการออกไปข้างนอก หรือเลือกที่จะใช้วันหยุดไปกับธุรกิจในท้องถิ่น อย่างเช่น ร้านกาแฟท้องถิ่น ร้านอาหารต่าง ๆ เพราะมีผู้คนไม่แออัด เป็นอุดหนุนธุรกิจขนาดเล็กไปด้วยในตัว
- หลาย ๆ คนมีทางเลือกในการทานอาหารมากขึ้น จากเดิมที่ต้องทานอาหารจานด่วนเป็นประจำทุกวันก็กลายเป็นปรุงอาหารทานด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นการฝึนทักษะด้านการทำอาหารไปในตัว
- การศึกษาที่เปลี่ยนไป ตอนนี้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างก็ย้ายมาสอนแบบออนไลน์ มันอาจจะช่วยลดการแพ่กระจายเชื้อได้ดี แต่หากผู้เรียนหรือผู้สอนไม่มีความพร้อมมากพอก็อาจจะทำให้ผู้เรียนไม่สามรถเข้าถึงเนื้อหาที่สอนได้ โดยเฉพาะเด็กวัยเล็ก ดังนั้นคุณจะต้องเข้าไปช่วยการเรียนออนไลน์สำหรับเด็ก ๆ ด้วยนะคะ อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องพยายามอยู่เพียงลำพัง
- การทำงานที่เปลี่ยนไป พวกเราหลายคนย้ายไปทำงานที่บ้านเพื่อลดการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะหรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่สำนักงานออฟฟิศ ดังนั้นการประชุมผ่านวีดีโอแชทจึงกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
- กิจกรรมบางอย่างที่คุณชื่นชอบจะต้องถูกยกเลิก กิจกรรมคอนเสิร์ต, โรงละคร, โรงภาพยนตร์ และเทศกาลพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ จะต้องถูกยกเลิกไปก่อน
- การเข้าสังคมจะต้องเปลี่ยนไป สำหรับพ่อแม่ ผู้สูงอายุ ปู่ย่า ตายาย และเพื่อนฝูงนั้น การพบเจอเยี่ยมเยียนกันตอนนี้คงเป็นเรื่องยาก หรือการรวมกลุ่มกันนั่งเมาส์กับเพื่อน ก็คงเป็นไม่ได้ เพราะทุกคนจะต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร เพื่อความาปลอดภัย (สำหรับผู้สูงอายุนั้นคุณสามารถส่งความคิดถึงแก่พวกเขาได้จากคำแนะนำของเรา)
- ธุรกิจการท่องเที่ยวจะซบเซา ด้วยข้อจำกัดการเดินทางในสถานที่ต่าง ๆ และการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ
สรุปส่งท้าย
แน่นอนค่ะว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรจากเดิมนั่นเป็นเรื่องยากและท้าทาย ไม่ว่าเป็นการวางสำหรับการปรับตัวอย่างฉับพลัน หรือการวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาเราพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในวิถีชีวิตของเราเนื่องจาก COVID-19 ใครจะคิดว่าหน้ากากอนามัยหรือแอลกอฮอล์สำหรับล้างแผลจะมีค่าเหมือนดั่งทองคำ! และตอนนี้เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มดีขึ้นอีกครั้ง เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับ New Normal ซึ่งถือว่าเป็นการการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานเพื่อวิถีชีวิตที่ดีขึ้น