ดนตรีและแฟชั่นเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเสมอ แต่ในทุกยุคทุกสมัยต่างก็มีเสน่ห์และความเป็นไอคอนของตัวเอง ซึ่งเมื่อพูดถึงนักร้องชื่อดังในปัจจุบัน แน่นอนว่าหลายคนคงจะนึกถึง Ariana Grande, Taylor Swift, Bruno Mars, Lady Gaga หรือ Justin Bieber ใช่ไหมครับ ซึ่งรายชื่อศิลปินที่กล่าวมาก็ล้วนแล้วแต่โดดเด่นในสายเพลงของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Pop หรือ R&B สมัยใหม่ ที่ดนตรีจะมีความเป็นอิเล็กโทรหรือสังเคราะห์เพิ่มลงไป เพื่อให้ตรงกับตลาดและเทสของคนฟังสมัยใหม่
แต่ถ้าหากมองกลับไปในยุค 80 หรือยุค 90 ต้น ๆ รสนิยมการฟังเพลงของคนในยุคนั้นจะมีความเป็น Pop หรือ Disco คลาสสิกที่ดนตรีจะไม่ดัดแปลงอะไรมากมาย อีกทั้งนักร้องที่มีชื่อเสียงในช่วงนั้นก็จะมีเสียงอันโดดเด่นและฮิตโน้ตกันชนิดที่ปอดแทบจะแตก หรือศัพท์ในวงการเพลงจะเรียกว่า ‘Diva’ ซึ่งนักร้องที่รู้จักกันในยุคนั้นก็จะมี Whitney Huston, Mariah Carey และที่ดังแบบฉุดไม่อยู่คือ ‘Celine Dion’ เพราะด้วยสำเนียงแคนาเดียนอันเป็นเอกลักษณ์, เทคนิคการร้องที่โดดเด่น และการฮิตโน้ตแบบทะลุจักรวาลที่มีไม่กี่คนในวงการเพลงโลกสามารถทำได้ ดังนั้นวันนี้ผมจึงถือโอกาสมาบอกเล่าเรื่องราวประวัติอันน่าสนใจและผลงานเพลงอันโดดเด่นที่ยังคงเป็นตำนานจวบจนถึงวันนี้มาฝากกันครับ
ประวัติของ Celine Dion (เซลีน ดิออน)
ถึงแม้ว่าหลายคนจะรู้จักเซลีนในฐานะนักร้องที่โดดดังในสหรัฐอเมริกาและมีชื่อเสียงระดับโลก แต่จริง ๆ แล้วเซลีนได้เกิดและเติบโตในรัฐเกแบ็ก ประเทศแคนาดา โดยถึงแม้ครอบครัวของเธอจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่ด้วยความอบอุ่นและอยู่ในครอบครัวที่ชื่นชอบดนตรี ทำให้เธอได้มีโอกาสในการร้องเพลงตั้งแต่เด็กร่วมกับพี่น้องตามงานแต่งและบาร์ต่าง ๆ ซึ่งเหตุนี้ละครับที่ทำให้เธอมีแรงบันดาลใจในการเป็นนักร้องตั้งแต่อายุ 5 ขวบ
หลังจากที่เซลีนรู้ว่าความฝันของตัวเองคืออะไร เธอก็เริ่มออกจากบ้านเพื่อทำความความฝันให้เป็นจริงและหาประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง จนในช่วงที่เธออายุ 12 ปี เซลีนได้มีการร่วมงานกับคุณแม่และพี่ชาย ในการแต่งเพลงที่ชื่อว่า ‘Ce n’était qu’un rêve’ เมื่อผลงานเสร็จแล้วเรียบร้อย ทุกคนในครอบครัวค่อนข้างประทับใจมาก จนพี่ชายของเซลีนตัดสินใจส่งผลงานให้กับผู้จัดการอย่าง René Angélil (สามีของ Celine) และเมื่อทาง René ได้ฟังเพลงนี้เขาถึงกับร้องไห้ออกมา ทั้งยังมั่นใจอีกว่ายังไงเซลีนก็จะเป็นซุปสตาร์ในอนาคต
แน่นอนว่า René พยายามดันเซลีนในทุกทางทั้งการออกซิงเกิ้ลและแสดงโชว์มากมาย ซึ่งความสามารถในการร้องเพลงที่เหนือชั้นของเซลีนทำให้เธอดังอย่างรวดเร็วในแคนาดา โดยเพลงของเธอทำยอดขายได้ถึงระดับ Gold และขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ตได้แบบไม่ยากเย็น ทั้งยังได้รับรางวัลอีกมากมาย จนมาถึงวันหนึ่งในช่วงอายุ 18 ปี เธอได้มีโอกาสไปดูคอนเสิร์ตของ Michael Jackson และความประทับใจในครั้งนั้นทำให้เธอบอกกับทาง René ว่า “ฉันอยากจะเป็นเหมือนเขา” ซึ่งตรงนี้ละครับคือจุดเริ่มต้นก่อนที่เธอจะดังไปทั่วโลก
ในช่วงปี 1989 เธอได้พยายามไปพัฒนาภาษาอังกฤษและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อที่จะเริ่มตีตลาดในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี เซลีนก็เดินสายทำงานผลงานทันที ซึ่งหนึ่งในโปรดิวเซอร์ที่เธอเริ่มทำเพลงด้วยคือ ‘David Foster’ และได้ปล่อยเพลงฮิตติด Top 10 ออกมาในปี 1991 ไม่ว่าจะเป็น Where Does My Heart Beat Now หรือ Beauty and the Beast ที่ทำเปิดประตูให้เธอเข้างวงการเพลงในอเมริกาอย่างเต็มตัว แต่ความดังของเธอไม่ได้หยุดแค่เพียงเท่านั้น
ในปี 1996 ความดังของเธอก็เริ่มฉุดไม่อยู่ เพราะการปล่อย Because You Loved Me, All By Myself และ ที่คนไทยทุกคนต้องเคยฟังผ่านหูกันมาบ้างคือ ‘My Heart Will Go On’ ซึ่งทำยอดขายได้กว่า 18 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก ชนะทั้งรางวัล Grammy Awards และ Golden Globe รวมไปถึงการขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้นานถึง 2 สัปดาห์ แม้ว่าเพลงนี้จะปล่อยออกมานานกว่า 24 ปี แต่ทุกคนยังคงสามารถร้องได้และเป็นเพลงซิกเนเจอร์ของเซลีนที่สามารถหากินไปได้แบบชั่วลูกชั่วหลาน ทำให้เธอกลายเป็นดาวค้างฟ้าที่ทุกวันนี้ยังคงมีแฟนคลับซัพพอร์ตเหนียวแน่น และยอมจ่ายเงินหลักพันหลักหมื่นเพื่อชมและฟังเสียงสด ๆ ของเธอในคอนเสิร์ต
1. The Power Of Love

แนวเพลง | Pop และ soft rock |
---|---|
ค่ายเพลง | Columbia, Epic และ 550 |
ผู้แต่งเพลง | Gunther Mende, Candy DeRouge, Jennifer Rush และ Mary Susan Applegate |
โปรดิวเซอร์ | David Foster |
เพลงในปี | 1993 |
ดนตรีของ ‘The Power Of Love’ จะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็น Pop และ Soft Rock ที่ฟังได้เรื่อย ๆ และมีความเป็นสไตล์ 90 อยู่ในตัวค่อนข้างเยอะ แต่ไฮไลท์สำคัญที่ทำให้ตัวเพลงประสบความสำเร็จนั้นจะอยู่ที่เสียงของเซลีน เพราะการร้องในแนวบัลลาดทำให้เธอโชว์พลังเสียงได้แบบเต็มที่ (มีดีเท่าไหร่งัดมาใส่ในเพลงนี้ทั้งหมด) บอกได้เลยว่าคีย์ในการร้องของเธอนั้นทะลุมิติ มีศิลปินในวงการไม่กี่คนที่ฮิตโน๊ตได้สูงขนาดนี้ อีกทั้งเนื้อเพลงก็ค่อนข้างโรแมนซ์สูง ซึ่งทั้งดนตรีและเทคนิคการร้องระดับ Diva ค่อนข้างจะเป็นเทสของคนในยุคนั้น ทำให้เพลงนี้สามารถทำยอดขายมากกว่า 1.5 ล้านก็อปปี้และขึ้นอันดับ 1 ได้แบบสวยงาม ถือว่าเป็นอีกเพลงที่เซลีนนำไปร้องในคอนเสิร์ตบ่อยมาก หากใครเป็นแฟนคลับคงต้องเคยฟังกันมามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ถ้าใครยังไม่เคยฟังแนะนำเลยครับว่ามันดีมากจริง ๆ
2. Because You Loved Me

แนวเพลง | Pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Columbia และ Epic |
ผู้แต่งเพลง | Diane Warren |
โปรดิวเซอร์ | David Foster |
เพลงในปี | 1996 |
ตำนานเพลงรักซึ้งกินใจคงต้องยกให้เพลง ‘Because You Loved Me’ ที่ถึงแม้ว่าจะเปิดฟังมาแล้ว 10,000 ครั้งก็ยังลึกซึ้งและเรียกน้ำตาได้เสมอ ซึ่งตรงนี้คงต้องยกความดีความชอบให้กับทาง Diane ที่เป็นคนเขียนเพลงนี้ขึ้น โดยเบื้องหลังของเนื้อเพลงมาจากความรักของเธอที่มีต่อคุณพ่อ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมความหมายของเพลงค่อนข้างจะลึกซึ้งและเรียลได้ขนาดนี้ ทั้งนี้การให้เลือกให้เซลีนร้องก็ถือเป็นช้อยส์ที่เหมาะมาก เพราะเธอเป็นนักร้องหนึ่งคนในวงการที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีอยู่แล้ว ยิ่งการร้องสไตล์บัลลาดก็เป็นอะไรที่ทำให้คนฟังเข้าถึงเพลงได้มากยิ่งขึ้น ถือเป็นเพลงที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรพลาด ผมขอยกให้เป็น Top 10 เพลงที่ดีที่สุดของเซลีนในตลอดระยะเวลาของการอยู่ในวงการเพลงเลยครับ
3. My Heart Will Go On

แนวเพลง | Pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Columbia และ Epic |
ผู้แต่งเพลง | Will Jennings |
โปรดิวเซอร์ | Walter Afanasieff, James Horner และ Simon Franglen |
เพลงในปี | 1997 |
เมื่อพูดถึง Celine Dion แน่นอนว่าเพลงที่ขึ้นมาในหัวเพลงแรกเลยคือ ‘My Heart Will Go On’ เพราะด้วยการเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง ‘Titanic’ และตัวเพลงที่ปราณีตทั้งดนตรีและการร้องตั้งแต่คีย์แรกยันคีย์สุดท้าย แต่สิ่งหนึ่งที่อยากแชร์และหลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนคือ เซลีนเคยรู้สึกว่าเธอไม่ได้อยากจะเรกคอร์ดนี้
อย่างไรก็ดีด้วยเพลงประกอบอนิเมชันและภาพยนตร์อย่าง Beauty And The Beast และ Because You Loved Me ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ เลยทำให้เซลีนคิดว่า ‘My Heart Will Go On’ น่าจะเป็นเพลงลัคกี้ของเธอและเปลี่ยนใจมาบันทึกเสียง ซึ่งแน่นอนว่าเธอคิดถูกมาก ๆ เพราะตัวเพลงสามารถทำยอดขายได้หลายล้านก็อปปี้ อีกทั้งยังได้รางวัล Grammy Awards ในสาขาใหญ่อย่าง Record Of The Year อีกด้วย เป็นหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดตลอดกาลของวงการเพลงโลยทีเดียว
4. I’m Your Angel

แนวเพลง | R&B, pop, soul และ gospel |
---|---|
ค่ายเพลง | Epic และ Jive |
ผู้แต่งเพลง | Robert Kelly |
โปรดิวเซอร์ | R. Kelly |
เพลงในปี | 1998 |
‘Im Your Angel’ เป็นการ Duet หรือ Collab ที่ค่อนข้างจะลงตัวมาก เพราะทั้งสองคนมีเทคนิคการร้องที่ยูนีคทั้งคู่ อย่าง R. Kelly ก็จะโดดเด่นในสไตล์ของ R&B ที่ไดนามิคการร้องของ Kelly ค่อนข้างจะดี ถ้ามองให้เห็นภาพคือก็คงจะเหมือนกับกราฟการเต้นของชีพจร ที่ขึ้นลงและไล่คีย์ได้แบบโหดมาก ในขณะที่ Celine เองก็คงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เพราะในวงการเพลงเธอก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักร้องที่เสียงดีระดับโลก ทั้งนี้แนวตัวเพลงที่ทำออกมาให้มันมีความ Gospel, R&B และ Soul ผสมรวมกับดนตรีที่โดดเด่นในเสียงเบส ทำให้เพลงนี้กลมกล่อมและละมุนมาก ๆ หากใครอยากรู้ว่าจักคำว่า ‘Masterpiece’ เป็นยังไง ผมบอกได้เลยครับว่าเพลงนี้ให้คำตอบได้ดีเลย
5. It’s All Coming Back To Me Now

แนวเพลง | Popsoft และ rock |
---|---|
ค่ายเพลง | Columbia, Epic และ 550 |
ผู้แต่งเพลง | Jim Steinman |
โปรดิวเซอร์ | Jim Steinman, Steven Rinkoff และ Roy Bittan |
เพลงในปี | 1996 |
สื่อและนักวิจารณ์เพลงต่างลงความเห็นกันเป็นเสียงเดียวว่า ‘It’s All Coming Back To Me Now’ เป็นเพลงบัลลาดที่ดีที่สุดตลอดกาล ถึงแม้ว่าเวอร์ชันของเซลีนจะไม่ใช่เวอร์ชันออริจินอล แต่ด้วยเสียงอันทรงพลังของเซลีนทำให้เพลงนี้ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ส่วนทางด้านดนตรีเองก็น่าสนใจครับ เพราะช่วงพีคของเพลงจะเป็น Rock แต่ทาง Jim Steinman ได้มีการผ่อนความหนักเบาด้วยการแซม Popsoft เข้าไปด้วยเสียงเปียโนที่คลอไปกับเสียงของเซลีนแบบเพอร์เฟค ถือเป็นผลงานคุณภาพของเซลีนอีกผลงานหนึ่งที่มีความ Timeless และ Classic ไม่ว่าจะฟังในยุคไหนก็เพราะจับใจสุด ๆ
6. Where Does My Heart Beat Now

แนวเพลง | Pop และ soft rock |
---|---|
ค่ายเพลง | Columbia และ Epic |
ผู้แต่งเพลง | Robert White Johnson และ Taylor Rhodes |
โปรดิวเซอร์ | Christopher Neil |
เพลงในปี | 1990 |
ด้วยจังหวะที่ช้าของเพลง ‘Where Does My Heart Beat Now’ ทำให้เซลีนสามารถร้องบัลลาดได้แบบจัดหนักจัดเต็มและโชว์พลังเสียงของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญคือเพลงนี้เป็นภาษาอังกฤษเพลงแรกที่เธอได้บันทึกเสียง ดังนั้นสำเนียงอันยูนีคตามสไตล์แคนาเดียน กลับกลายเป็นอีกหนึ่งจุดขายและทำให้เธอแตกต่างออกไปจากดีว่าคนอื่น ๆ ในยุคนั้น จนเพลงนี้ได้ทำสถิติให้เซลีนได้กลายศิลปินชาวแคนาเดียนคนแรกที่สามารถเข้าชาร์ต Billboard Hot 100 ใน 10 อันดับแรกได้ อีกทั้งยังได้รางวัล ASCAP Pop Award ติดมือกลับบ้านไปอีกด้วย
7. If You Asked Me To

แนวเพลง | Popsoft และ rock |
---|---|
ค่ายเพลง | Diane Warren |
ผู้แต่งเพลง | Bad Wolves |
โปรดิวเซอร์ | Guy Roche |
เพลงในปี | 1992 |
‘If You Asked Me To’ เวอร์ชันออริจินอลจะเป็นของศิลปินระดับตำนานอย่าง ‘Patti Labelle’ ที่ทำออกมาได้สมูธและทัชใจ แน่นอนว่าการที่เซลีนนำเพลงมาโคฟเวอร์เป็นเวอร์ชันใหม่อาจมีความกดดันและเกิดการเปรียบเทียบ แต่หากมองด้วยความไม่อคติก็ต้องบอกว่าเซลีนทำออกมาได้ค่อนข้างดี เพราะเธอพยายามในการเปลี่ยนเทคนิคการร้องให้แตกต่าง เพิ่มอารมณ์และเสียงพลังเสียงมากขึ้น ทำให้เพลงนี้มีความดีฟหรือเข้าถึงอารณณ์มากกว่าเดิม อีกทั้ง Diane Warren และ Guy Roche ก็ช่วยปรับแต่งตัวเพลงและดนตรีให้ตัวเพลงเป็น Soul ที่โมเดิร์นแมตช์กับเซลีนยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแฟนเพลงถึงยอมรับและชื่นชมเวอร์ชันของเซลีน ทั้งนี้ตัวเพลงยังสามารถไต่ขึ้นอันดับ 4 ของชาร์ตในอเมริกาได้เช่นเดียวกัน
8. All By Myself

แนวเพลง | Soft rock |
---|---|
ค่ายเพลง | Epic, 550 Music และ Columbia |
ผู้แต่งเพลง | Eric Carmen และ Sergei Rachmaninoff |
โปรดิวเซอร์ | David Foster |
เพลงในปี | 1996 |
เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ทางเซลีนได้นำเอามาโคฟเวอร์เป็นเวอร์ชันของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าเธอทำออกมาได้ดีมาก และเวอร์ชันของเธอก็ได้กลายเป็นตำนานที่นักร้องสายประกวดยุคใหม่เลือกใช้ในการร้องตามเวทีต่าง ๆ แต่กว่าจะทำเพลงนี้ออกมาให้เพอร์เฟคและไม่ซ้ำกับเวอร์ชันของ Eric Carmen ก็ต้องบอกว่าเป็นงานหินของทางโปรดิวเซอร์อย่าง David และ Celine มาก ๆ เพราะดนตรีเปียโนและการร้องบัลลาดของ Eric นุ่มลึกและคลาสสิกไม่เหมือนใคร
ดังนั้นการที่เซลีนจะสร้างภาพจำใหม่ในเวอร์ชันของเธอเอง เซลีนก็จะต้องใส่เทคนิคและพลังเสียงที่มีลงไปในเพลงนี้ทั้งหมด โดยเบื้องหลังการบันทึกเสียงนั้นก็เรียกว่าคลุกรุ่นเหมือนกัน เพราะ David พยายามปลุกเร้าและกระตุ้นให้เซลีนฮิตโน้ตสูงทะลุเพดานยาวนานถึง 10 กว่าวินาที ด้วยการบอกว่า “ถ้าเธอร้องไม่ได้ เพลงนี้จะต้องเปลี่ยนไปให้นักร้องคนอื่นนะ” และแน่นอนว่าจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีเซลีนก็ทำให้คนทั้งสตูดิโอช็อกอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน เพราะเธอฮิตโน้ตได้เป๊ะและไร้ข้อที่ติ จนในที่สุดท่อนพีคที่ร้องว่า “Anymore….” ก็กลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้
9. That’s The Way It Is

แนวเพลง | Pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Columbia และ Epic |
ผู้แต่งเพลง | Max Martin, Kristian Lundin และ Andreas Carlsson |
โปรดิวเซอร์ | Max Martin และ Kristian Lundin |
เพลงในปี | 1999 |
หลายคนอาจจะสบประมาทว่าเซลีนคงร้องได้แค่ป๊อปบัลลาดหรือเพลงดีว่าที่มีดีแค่การฮิตโน้ต แต่เพลง ‘That’s The Way It Is’ ได้พิสูจน์แล้วครับว่ามันไม่จริงเลย เพราะเพลงนี้เป็นป๊อปที่ค่อนข้างโมเดิร์นในช่วงนั้น ยิ่งการร่วมงานกับโปรดิวเซอร์อย่าง Max Martin ด้วยแล้วก็คงไม่ต้องพูดให้มากความ เพราะ Max มีเทสการทำดนตรีป๊อปที่เก่งและทันสมัยอยู่ตลอด ซึ่งความเก่งของโปรดิวเซอร์การที่ยังทำให้เซลีนได้โชว์เสียง แต่ในขณะเดียวกันซาวด์ก็มีความเฟรซสามารถตีตลาดวัยรุ่นในยุคนั้นได้ ถือเป็นการเบลนและแมตช์เข้าได้อย่างลงตัว ที่สำคัญคือเนื้อเพลงดีมาก ๆ ครับ หากใครที่กำลังท้ออยู่ เพลงนี้สามารถจะฮีลหัวใจให้คุณก้าวข้ามความทุกข์ไปได้
10. Beauty And The Beast

แนวเพลง | Pop |
---|---|
ค่ายเพลง | Walt Disney, Columbia และ Epic |
ผู้แต่งเพลง | Howard Ashman |
โปรดิวเซอร์ | Walter Afanasieff |
เพลงในปี | 1991 |
เด็ก ๆ ในยุคนี้อาจจะรู้จักเพลง ‘Beauty And The Beast’ ในเวอร์ชันของ Ariana Grande และ John Legend ใช่ไหมครับ ? แต่จริง ๆ แล้วเพลงนี้ถือว่ามีหลายเวอร์ชันมาก ซึ่งหนึ่งในเวอร์ชันที่ถูกยกให้เป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘Celine Dion’ ที่ได้ร้องคู่กับ ‘Peabo Bryson’ ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะมีกระแสที่อยากให้เซลีนร้องโซโล่เพียงคนเดียว แต่ถ้ามองเป็นกลางก็ต้องบอกว่าการมี Peabo นั้นช่วยเติมเต็มให้เพลงนี้มีความโรแมนซ์มากยิ่งขึ้น
อีกทั้งความนุ่มและความหล่อของเสียงก็เหมาะมาก ๆ สำหรับการร้องประกอบอนิเมชันของ Disney ส่วนเสียงของเซลีนก็เบลนเข้ากับดนตรีได้เพอร์เฟค และไม่มีอะไรที่จะต้องพิสูจน์ความสามารถในการร้องของเธออยู่แล้ว โดยถึงแม้ว่ากระแสจะมีทั้งบวกและลบ แต่ท้ายที่สุดตัวเพลงก็สามารถได้คว้ารางวัลระดับโลกอย่างแกรมมี่ในสาขา ‘Best Pop Performance by a Duo or Group With Vocals’ ที่เป็นการการันตีถึงคุณภาพของดนตรีและเทคนิคการร้องของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี หากใครยังไม่เคยฟังเวอร์ชันนี้ บอกได้เลยครับว่าคุณพลาดมาก ๆ
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับประวัติอันน่าทึ่งและผลงานเพลงของ ‘Celine Dion’ ผมหวังว่าทุกคนจะชอบและได้เพลงเพราะ ๆ ของเธอไปใส่ในเพลย์ลิสต์เพลงใน Spotify หรือ Youtube Music ของตัวเองกันนะครับ ทั้งนี้เว็บไซต์เรายังเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเพลงสากลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เพลงสากลฮิต 2021, เพลงคริสต์มาส, เพลงสากลสำหรับคนโสด, เพลงสากลอกหัก, เพลงสากลสำหรับคนโสด, เพลงสากลแนวแอบชอบ และ เพลงรักวาเลนไทน์ ซึ่งถ้าหากใครสนใจก็สามารถเข้าไปอ่านได้ครับ